ทั้งหมดนี้มีอะไรมั้ยนอกจาก คำแถลงของพรรคไทยรักไทย
และการโฆษณาที่เราเคยได้ยินมา มีอะไรใหม่มั้ย

ปัจจัยที่ทำให้ไทยฟื้นตัวจากเศรษฐกิจปี 2540 ได้ ตามที่มีคนจินตนาการไว้มีดังนี้
1. ค่าเงินบาทหลังปี 40
2. อัตราดอกเบี้ยต่ำ
3. ภาระหนี้ต่างประเทศ
4. หนี้ NPL
5. การหยุดกู้ IMF ก่อนกำหนดถึง 1 ปี
ในความเป็นจริงแล้ว 5 ข้อแค่นี้ ในสมัยนายกชวนมันไม่ได้ทำให้สามารถจ่ายหนี้คืน
ได้ เต็มที่ก็คือไม่ต้องกู้หนี้เพิ่ม ถ้าสังเกตให้ดีการที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมากหลัง
จากปี 2544 แต่มาพบปัญหาระดับโลกในช่วงสงครามอัฟกานิสถาน จนถึงปัญหาหนัก
ในประเทศเช่นโรคไข้หวัดนกจนถึงสึนามิ แม้แต่ปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งคน
จินตนาการปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นไม่ค่อยอยากจะพูดถึง ปัญหาหลายอย่างเกิด
หลังจากจ่ายหนี้คืนไปแล้ว ต้องไม่ลืมว่าเราจ่ายหนี้คืนไอเอ็มเอฟ ทำให้เงินทุนสำรองฯ
ของเราลดลง ซึ่งอาจเป็นการเสี่ยงทำให้ต้องกู้อีกรอบถ้าเจอปัญหาหนักๆ ดังกล่าว แต่
ด้วยความเข้มแข็งเพราะการบริหารจัดการให้เศรษฐกิจกระจายไปยังรากหญ้าไม่กระจุก
ตัวอยู่กับกลุ่มนักธุรกิจโบราณศักดินาตกยุค ทำให้สามารถผ่านวิกฤตการณ์ไปได้นิ่มๆ
ถ้าดำเนินนโยบายแบบรัฐบาลชวน คงได้ล้มบนฟูกสนุกสนานกันอีกรอบ โดยเฉพาะ
ไอ้แป๊ะลิ้ม
สำหรับช่วงที่นายกชวนบริหารนั่นโอกาสการแก้ปัญหามันมีมากเหลือเกิน เนื่องจากโลก
ยังไม่เจอปัญหาก่อการร้ายหรือสงครามหนักๆ ที่ต้องมาพะวงกับเรื่องความปลอดภัยจน
กระบวนการต่างๆ อืดไปหมด ความเป็นจริงอีกอย่างที่คนไม่พูดถึง คือ เงินที่กู้ต่างประเทศ
มามากมายมหาศาลจากช่วงก่อนฟองสบู่เน่าและไม่ได้จ่ายคืน มันหายไปไหน ถ้าไม่ได้
ออกไปนอกประเทศก็ต้องอยู่ในประเทศ ซุกอยู่กับพวกที่ล้มบนฟูกเนี่ยแหละ ถ้าโอกาส
กลับมาพวกนี้ก็เอาเงินมาลงในธุรกิจอีก แต่ระบบเศรษฐกิจคงไม่แข็งแรง ตราบใดที่ไม่ได้
กระจายโอกาสทางธุรกิจลงไปยัง เอสเอ็มอี ที่ไม่มีนิสัยล้มบนฟูก
ส่วนเงินที่กู้มาส่วนหนึ่งก็แปลงสภาพเป็นสินทรัพย์และหนี้เน่า เช่น ตึก รวมถึงที่ดิน การที่
จะเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในประเทศขึ้นมาได้ มันมาจากความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ ซึ่งตรงนี้
นายกชวน คิดไม่ถึงและไม่มีวันคิดถึง เมื่อเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ได้เท่ากับมีทุนเพิ่มขึ้นมา
สำหรับธุรกิจหรือบุคคลมหาศาล และความเชื่อมั่นระหว่างประเทศนั้นต้องมาจากการจัด
อันดับต่างๆ ของสถาบันระดับอินเตอร์ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเค้ายึดเรื่องอัตราการเจริญเติบโต
ของจีดีพีและตัวเลขทางเศรษฐกิจอีกหลายๆ อย่างร่วมกัน ซึ่งเราก็ต้องทำตรงนั้นไม่ใช่
ดัชนีแฮปปี้มีความสุขบ้าบออะไรนั่น สุดท้ายก็เน่าเห็นๆ อีกอย่างที่ต้องทำคู่ควบ คือ การ
ส่งผู้แทนการค้าซึ่งต้องใช้คนที่มีความสามารถระดับรัฐมนตรีมาปิดทองหลังพระ สร้างเครดิต
ประเทศเราให้คู่ค้าต่างประเทศ งานนี้เห็นผลชัดเจนมาก เพราะหลังจากยกเลิกผู้แทนการค้า
ไปแล้วในรัฐบาลนี้ ต่างชาติระแวงคลางแคลงสงสัยประเทศไทยไปหมด การติดต่อก็ขาด
ความจริงใจ ตัวอย่างคือ การกู้เจบิค ความเป็นจริงญี่ปุ่นก็ให้กู้แต่ต้นแต่ว่าขึ้นดอกเบี้ย เรา
เลยไม่กล้าตกลง
กลายเป็นว่า ห้าข้อที่มีคนจินตนาการว่าใครทำก็ได้ไม่จำเป็นต้องทักษิณ เป็นแค่เรื่องที่
จินตนาการเล่นๆ และไม่เคยเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นจริงๆ คือ ทักษิณ ทำได้และทำมาแล้ว สิ่งที่
แตกต่างเพิ่มเติมที่ห้าข้อนั้นจินตนาการไม่ถึงคือ
1. การเพิ่มทุนจากมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมหาศาลเพื่อใช้ในธุรกิจ นั่นมาจากความเชื่อมั่น
ที่ต่างประเทศมีต่อเรา ยกตัวอย่างเช่น ที่ดินรัชดาที่ทุกวันนี้มองว่ามันราคาถูกเกินไป แต่
ถ้าย้อนเวลากลับไปสมัยชวนได้ จะรู้ว่าที่ผืนนั้น มันราคาแพงเกินไป ที่ว่ามันถูกเกินไป
เพราะดันเอามาเปรียบเทียบกับราคาทุกวันนี้
2. การกระจายโอกาสไปสู่รากหญ้า การทำเอสเอ็มอี เป็นความเข้มแข้ง ภูมิคุ้มกัน หรือจะ
บอกว่ามาจากเศรษฐกิจพอเพียงก็ไม่ผิด พิสูจน์จากการที่จ่ายหนี้แล้วเจอหลายปัญหา
ระดับโลกที่หนักมากๆ แต่ประเทศก็ไม่เน่า ต้องล้มบนฟูกอีก เพราะกระจายกลุ่มทำธุรกิจ
ให้กว้างมากนั่นเอง
3. การใช้จ่ายลงทุนของภาครัฐเป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มความเชื่อถือ เชื่อมั่นระหว่างประเทศใน
หลายๆ มิติ ไม่แค่เพียงเรื่องตัวเลขจีดีพี มันรวมถึง ความเป็นเสถียรภาพของรัฐบาล และ
การกล้าตัดสินใจ การสร้างมูลค่าให้ชื่อเสียงประเทศที่แปลว่าเครดิตประเทศ สิ่งนี้ที่เห็น
ชัดมากทำให้มีคนอิจฉาเต็มไปหมดก็คือ การสร้างสนามบินขนาดยักษ์เสร็จในสมัยทักษิณ
นั่นเอง ถ้าไม่โดนยึดอำนาจไปเสียก่อนป่านนี้คงได้เป็นศูนย์กลางระดับทวีปไปแล้ว
อย่ามากำหนดกรอบง่ายๆ ไม่กี่อย่าง แล้วบอกว่า นั่นไม่ใช่ฝีมือทักษิณเลย มันไม่ใช่ของจริง
กรอบนั่นก็แคบจนตัดปัจจัยหลักๆ ที่มีผลต่อการฟื้นของเศรษฐกิจประเทศ การเอาตัวเลขบาง
อย่างมาวิเคราะห์ โดยไม่ได้ดูว่านโยบายอะไรทำให้เกิดตัวเลขแบบนั้น สภาพแวดล้อมในขณะ
นั้นเป็นยังไง และนโยบายนั่นสามารถทำตัวเลขให้ดีกว่านั้นได้หรือเปล่า การสรุปเอาดื้อๆ โดย
จินตนาการว่าไม่ใช่ทักษิณแล้วใครๆ ก็ทำได้ ดูเหมือนจะเป็นแค่การแก้ตัวของมนุษย์ขี้อิจฉา
เท่านั้นเอง จริงมั้ยคับ พี่น้อง
