สกู๊ป-บทบาทซ่อนเร้นของธนาคารสวิส'ยูบีเอส'ในคดี'ซุกหุ้นภาค2' รายงานพิเศษ
(อ่านข่าว'นพดล'ยัน'วินมาร์ค'ไม่ใช่ของทักษิณ คลิกที่นี่)
ธนาคาร'ยูบีเอส' ได้ชื่อว่าเป็นธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ มีรากเหง้ามาจากต้นกำเนิดเมื่อปี ค.ศ. 1747 รากฐานของธนาคารแห่งนี้ในปัจจุบันเกิดจากการรวมกิจการระหว่าง
'ยูเนียน แบงก์ ออฟ สวิตเซอร์แลนด์' กับ'สวิส แบงก์ คอร์ป.' ในปี 1998 มีชื่อเต็มๆว่า
'ยูไนเต็ด แบงก์ ออฟ สวิตเซอร์แลนด์' แต่นิยมใช้ชื่อสั้นๆว่า'ยูบีเอส' มากกว่า
'ยูบีเอส' เข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณี
'ดีล ชิน' เนื่องเพราะ ปรากฎบัญชีถือครองหุ้นของบริษัทดังกล่าวอยู่หลายครั้ง ทั้งที่เป็นการฝากในชื่อบัญชีของบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนท์(เออาร์ไอ), วิคเกอร์ บัลลาส, ชื่อบัญชีเป็นตัวเลข, และการถือครองในชื่อบัญชีของยูบีเอสเอง ระหว่าง 10 เมษายน 2543 จนกระทั่งถึง เดือนมีนาคม 2549 เมื่อมีการซื้อขายหุ้นดังกล่าวเกิดขึ้น
ข้อมูลต่อไปนี้เป็นหนังสือที่
นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่เกิดผลเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ทำถึงธนาคารยูบีเอส เอจีสิงคโปร์เมื่อเดือนมิถุนายน 2550เพื่อสอบถามถึงความลึกลับในการทำธุรกรรมที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนของ
บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนท์(เออาร์ไอ)และบริษัทวินมาร์ค ลิมิเต็ดหรือในคดีที่ คตส.เรียกว่า
'ซุกหุ้นภาค 2'ธนาคาร'ยูบีเอส' ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวนี้ เป็นธนาคารยูบีเอส สาขา สิงคโปร์ ที่บัญชีที่ถือครองหุ้น'ชิน' อยู่รวมทั้งสิ้น 6 บัญชี เป็นของธนาคารยูบีเอส สาขา ลอนดอน อีก 1 บัญชี
'6บัญชี' เจ้าของเดียวกัน? 6 บัญชีในยูบีเอส สิงคโปร์ นั้น ประกอบด้วย บัญชีของ บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนต์ (เออาร์ไอ) 2 บัญชี
เออาร์ไอนั้น คตส. ได้หลักฐานยืนยันว่า เป็นบริษัทที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ก่อตั้งในปี 2542และมีหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่า เป็นผู้มีอำนาจลงนามจนเดือนกรกฎาคม 2548 ถึงก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นลูกชายและลูกสาว และขายหุ้นชินคอร์ปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้ง
อีก 1 บัญชี เป็นของวิคเกอร์ บัลลาส ถือครองหุ้นชินคอร์ป อยู่ชั่วคราว จำนวน 11,516,000 หุ้น
อีก 1 บัญชี ใช้ชื่อบัญชีเป็นตัวเลขคือบัญชีชื่อ
'12751' ซึ่ง คตส. สงสัยว่าเป็นบัญชีของ
บริษัท วินมาร์คฯ ที่คตส.เชื่อด้วยว่าเป็น บริษัทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกัน
อีก 2 บัญชี ใช้ชื่อ'ฟิกซ์ อินคัม เอสเอเอฟ' กับ'พีบี ซีเคียริตี้ส์ ซีแอล'
ทั้งหมดนี้ คตส. เข้าใจเอาว่า เป็นการเปิดบัญชีเพื่อใช้บริการ
'ไพรเวต แบงกิ้ง' โดยวิธีการ
'คัสโตเดียน' กล่าวคือให้ ธนาคารยูบีเอส เป็นผู้ดูแลหุ้นในบัญชีให้ตามความต้องการของผู้เป็นเจ้าของ
หุ้น'ชิน' ที่อยู่ในบัญชีต่างๆเหล่านี้ มีการโอนย้ายกลับไปกลับมาหลายครั้งด้วยกัน ด้วยเจตนาซ่อนเร้น ก่อนที่จะมารวมกันขายให้แก่ เทมาเส็ก โฮลดิ้ง ในเวลาต่อ คตส. เชื่อว่า เป็นการโอนย้ายตามคำสั่งของ
'เจ้าของ' หรือ
'ผู้ทรงอำนาจ' เดียวกัน เพราะทุกครั้งเป็นการโอนย้ายแบบ' ฟรี-เพย์เมนต์-ทรานสเฟอร์' คือ ไม่มีการชำระค่าโอนย้าย
สำหรับลำดับการถ่ายโอนเหล่านี้มีดังต่อไปนี้
-แบบฟอร์ม 246-2
แบบฟอร์ม 246-2 เป็นแบบฟอร์มของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ไทย สำหรับใช้ในการแจ้งการได้มาและหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ ซึ่งกิจการนั้นๆจำเป็นต้องแจ้งให้ตลาดรับทราบเมื่อเกิดขึ้น
ยูบีเอส เคยแจ้งไว้เมื่อ 24 สิงหาคม 2001(พ.ศ.2544) ว่า ได้ถือครองหุ้นชินจำนวน 10 ล้านหุ้น อยู่ในบัญชี เลขที่ 8002480002 ทั้งนี้เป็นการรับโอนมาจาก วิคเกอร์ บัลลาส โดยบอกด้วยว่า ในบัญชีดังกล่าว มีหุ้นชิน อยู่แล้วแต่เดิม 5,405,913 หุ้น การถือครองดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2001
ทำให้ ณ เวลานั้น บัญชีดังกล่าว ซึ่งเป็นบัญชีของ แอมเพิล ริช มีหุ้นชินอยู่ทั้งสิ้น 15,405,913 หุ้น
คำถามก็คือ ที่มีอยู่เดิม 5,405,913 หุ้นนั้นเป็นหุ้นของใคร ใช่ของ แอมเพิล ริช หรือ ของครอบครัวชินวัตร หรือของครอบครัวดามาพงศ์ หรือ ของผู้อื่น?ในการกรอกแบบฟอร์ม 246-2 เดียวกันนี้ ยูบีเอส บอกไว้ด้วย การโอนย้ายดังกล่าวไม่มีค่าโอนย้ายเพราะ'เป็นการโอนจากคัสโตเดียนไปยังคัสโตเดียน' นั่นหมายความว่า หุ้นทั้ง 2 ก้อน มีเจ้าของเดียวกัน ใช่หรือไม่? ดังนั้นจึงต้องแจ้งตลาดตามแบบฟอร์ม 246-2
โอนจากแอมเพิล ริชสู่วิน มาร์ควันที่ 10 ตุลาคม 2001 มีการโอนหุ้นจำนวน 53,642,130 หุ้น เข้าไปที่บัญชีที่ใช้ชื่อบัญชีเป็นตัวเลข'121751' จำนวน 53,642,130 หุ้น ก็เกิดคำถามขึ้นอีกว่า หุ้นจำนวนนี้ ใครคือเจ้าของที่แท้จริง
เพราะหากเจ้าของที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับ เออาร์ไอ แล้ว ทำไม ยูบีเอส ไม่กรอกแบบฟอร์ม 246-2 เพื่อแจ้งต่อตลาดอีกครั้งหนึ่งว่า เออาร์ไอ ถือครองหุ้นอยู่ไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์แล้วในเวลานั้น หรือไม่ก็ขอแก้ไขแบบฟอร์มที่ยื่นไปเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ให้ถูกต้อง
ใช่หรือไม่ว่า หุ้นจำนวนนี้คือหุ้นจำนวนเดียวกับ 5,405,913 หุ้นที่มีอยู่เดิมในบัญชีดังกล่าว เพียงแต่มีการแตกพาร์ขยายจำนวนหุ้นขึ้นเท่านั้น
บัญชี'121751' ที่ว่านี้ เชื่อกันว่าเป็นของ วิน มาร์ค ที่สงสัยกันว่าจะเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเช่นกันโยกหุ้นกันอุตลุตเดือนกันยายน 2002 (พ.ศ.2545)บัญชีถือครองหุ้นชินของ แอมเพิลริช ในธนาคาร ยูบีเอส สาขาสิงคโปร์ เลขที่บัญชี 8002480002 ถือครองหุ้นชินอยู่ 101,433,870 หุ้น ณ วันที่ 1 กันยายน 2002
วันที่ 19 กันยายน ปีเดียวกัน หุ้นจำนวนนี้ถูกโยกเข้าไปใส่ไว้ในบัญชีของธนาคาร สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ แบงก์ ชื่อบัญชี'ยูโอบี นอมินี ไพรเวต ลิมิเต็ด' จำนวน 18,048,870 หุ้น
บัญชีเลขที่ เลขที่ 8002480002 เหลือหุ้นอยู่ 83,385,870 หุ้น
ต่อมาวันที่ 4 ตุลาคม 2004(พ.ศ.2547) มีการโอนหุ้นจากบัญชีเลขที่ 8002480006 ชื่อบัญชี'121751'(วิน มาร์ค) มายังบัญชีเลขที่ เลขที่ 8002480002 (แอมเพิล ริช) จำนวน 17,000,000 หุ้น
บัญชีเลขที่ เลขที่ 8002480002 มีจำนวนหุ้นกลับมาเกิน 100 ล้านหุ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาต้องแสดงตัวเลข ณ สิ้นเดือนนั้น คือมีหุ้นอยู่ 100,385,000 หุ้น
ต่อมาในวันที่ 13 กรกฎาคม 2004 ยูบีเอส ได้รับหุ้นจำนวน 18,048,870 ที่ถูกโยกออกไปเมื่อวันที่ 19 กันยายนคืน แต่ไม่มีใครรู้ว่าหุ้นจำนวนนี้ถูกโยกกลับเข้ามาในบัญชีไหน บัญชีเลขที่ 8002480002 เดิมหรือว่าบัญชีอื่น?
ตรงจุดนี้ มีคำถามง่ายๆว่า เจ้าของที่แท้จริงของหุ้นทั้งหมดนี้ใช่เจ้าของเดียวกันหรือไม่? ถ้าใช่ หากไม่มีวัตถุประสงค์เพื่ปิดบังซ่อนเร้นอะไร ทำไมถึงต้องโยกหุ้นกลับไปกลับมาอุตลุดกันถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ ทำไมต้องมีการโอนย้ายจากบัญชีของ แอมเพิล ริช และใครคือผู้ออกคำสั่งโอนย้ายดังกล่าวนั้นเปลี่ยนชื่อบัญชี
วันที่ 20 พฤษภาคม 2003 (พ.ศ.2546)ยูบีเอส มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อดำเนินการดังนี้
1 เปลี่ยนชื่อบัญชี ชื่อ
'121751' เป็น'A'2 เปิดบัญชีใหม่ เลขที่บัญชี 80002480007 และ
3 ให้โอนหุ้นชินทั้งหมดจำนวน 100,394,000 เข้ามาอยู่ในบัญชีเลขที่80002480007 ที่เปิดขึ้นใหม่นี้
อย่างไรก็ตาม บัญชีใหม่นี้ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวมากมายนัก ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้งเป็น บัญชีธนาคารยูบีเอส เพื่อ'แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนต์ จำกัด'
เป็นที่น่าสังเกตุว่า ความเคลื่อนไหวต่างๆเหล่านี้นั้นเริ่มมีมากขึ้นและพิสดารขึ้นในราวปี 2002(พ.ศ.2544 ช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว) เมื่อเกิดคดีซุกหุ้นภาคแรก ที่ทำให้บัญชีของบริษัท แอมเพิล ริช ถูกติดตามตรวจสอบ ก่อนที่จะนำมารวมกันเพื่อขายให้กับเทมาเส็ก โฮลดิ้ง ในเวลาต่อมาเป็นไปได้หรือไม่ว่า เป็นเพราะเจ้าของหุ้นตัวจริงที่ถูกโยกไปโยกมา และต้องหาทางแก้ หาทางโปะกันอุตลุตนั้น คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ณ เวลานั้นยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ จึงจำเป็นต้องดำเนินการเหล่านี้เพื่อเลี่ยงกฎหมาย
คำถามเหล่านี้ เคยถูกถามไปที่ ยูบีเอส สาขาสิงคโปร์มาแล้ว เมื่อวันที่7 มิถุนายน จนป่านนี้ยังไม่มีคำตอบ
ยูบีเอส ยังเลือกที่จะปกปิดบทบาทของตัวเองในเรื่องนี้ไว้อยู่ต่อไปhttp://www.matichon.co.th/news_title.php?id=243#