ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 12:57
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  คุยกันริมคลองแบบเย้ยยุทธจักร "ไอ้ควายเอ๊ย" 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
คุยกันริมคลองแบบเย้ยยุทธจักร "ไอ้ควายเอ๊ย"  (อ่าน 3991 ครั้ง)
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« เมื่อ: 08-05-2006, 18:58 »

วันนี้ได้มีบุญปากได้ทานอาหารกับน้องคนหนึ่งที่ทำงาน  น้องคนนี้ปกติจะต่างคนต่างกินแต่วันนี้ที่บ้านเขาทำบุญเลยเอาแกงและกับข้าวอีกสองสามอย่างมาฝากพี่ ๆ ที่ทำงาน  สำหรับคนขี้เหล้าอย่างผมการได้กินฟรีในช่วงจะกลางเดือนอย่างนี้นับเป็นบุญอย่างยิ่งจึงตรงดิ่งไปร่วมวงโดยที่ยังไม่เปิดซองเทียบ  (รู้ว่าไร้มารยาทแต่ปากท้องต้องมาก่อน)  ด้วยความที่ผมมีเลือดของชาววังทองอยู่เต็มตัวจึงตรงไปตักลาบที่อยู่เข้าปาก....  อยากจะกระทำท่าทางให้เหมือน  หมึกแดง  ซะเหลือเกิน  เพราะลาบเนื้อจานนั้นรสชาติต้องปากผมเป็นที่สุด  ยิ่งลงลิ้นไปตรงมะกรูดซอยกับใบสะละแหน่แล้วยิ่งต้องซู้ดปาก....

          ขณะที่กำลังจะตักคำที่สองไอ้น้องรักคนนั้นก็สะกิดผมพร้อมถามว่า

          "พี่กินเนื้อควายด้วยเหรอ"

          ผมมองมันแล้วหันกลับมามองช้อน  ในเวลานั้นถ้าเป็นไปได้แทบจะอยากจะแหวะท้องตัวเองออกมาดูด้วยซ้ำว่า  สิ่งที่ผมกินอยู่นั้นเป็น  "ควาย" จริง ๆ   ผมมองหน้าน้องคนนั้นอย่างละเอียดเพื่อจะมองหานัยภายใต้ใบหน้านั้นแต่ไม่พบอะไรมากไปกว่าความว่างเปล่าและเมื่อพิจารณานิสัยของน้องคนนี้แล้วผมยิ่งทุกข์ใจหนักเป็นทวี  เพราะน้องคนนี้มีนิสัยไม่ชอบอำ....

           ผมวางช้อนด้วยอารมณ์ที่หดหู่เต็มขั้นล้วงกระเป๋าเงินที่มีธนบัตรอยู่น้อยนิดออกมาแล้วสั่งให้  จีบี  ประจำสำนักวิ่งไปซื้อข้าวผัดมาหนึ่งห่อ  ก่อนจะกลับไปทำงานอย่างซึมกระทือไร้อารมณ์รู้สึกรู้สาสิ่งที่ยินดีปราโมทย์  โสตประสาทไม่รับคำรื่นเริงที่ดังมาแต่ไกล  ในกมลมาลย์มีแต่ความหดหู่และร่านทุรนเมื่อข้าวที่สั่งซื้อมาถึงก็ไร้อารมณ์ที่จะเสพเพื่อต่อชีวิต

          ผมไม่ใช่คนเลือกกิน  แต่ผมเป็นคนที่ก่อนกิน  ดูตามความเหมาะสม  วัว  ตะกวด  เม่น  เก้ง...กิน  ปลาไหลก็กินแต่ถ้าเป็นต้มเปรตไม่กินเพราะมันเหมือนเป็นการทรมานสัตว์มากกว่าจะเป็นอาหาร  ผมมิเคยคัดค้านในการกินปลาช่อนตราบใดที่ผมไม่เห็นวิธีทุบ  ผมมิเคยคัดค้านในการกินกบตราบที่ไม่เห็นวิธีหักขา  ผมกินทุกชนิดถ้าบนฟ้าผมจะไม่กินเครื่องบินทุกสายพันธ์  ผมกินทุกชนิดที่อยู่บนพื้นดินถ้าไม่ใช่ยานยนตร์  ผมก็ไม่เลือกที่จะเขมือบสิ่งที่อยู่ในน้ำถ้าไม่ใช่เรือ...

          แต่ผมไม่มีวันที่จะคิดกิน  ควาย

          ผมไม่ใช่คนรักสัตว์อะไรมากมายขนาดนั้นแต่ผมรู้ว่า  ควาย  คือสัตว์ที่มีพระคุณ  แม้ในทุกวันนี้ชาวนาหันหน้าไปพึ่งควายเหล็กมากขึ้นแต่ภาพในชนบทผมก็ยังเห็นควายลากคราดอยู่เหมือนเดิม  บ้านผมที่พิษณุโลกมีนา  ก็ยังใช้ควายและผมสั่งคนที่บ้านเป็นอย่างหนักว่า  ห้ามกินควายโดยเด็ดขาด  ข้าวขายไม่ได้  ผลไม้ราคาตกไม่คุ้มค่าปุ๋ย  ไม่เป็นไร...  มาขอกันกินได้แต่อย่าล้มควายเป็นอันขาด  หรือในฟาร์มมีสัตว์เลี้ยงอะไรกินได้...ล้มเอาตามใจชอบม้ามี  วัวมี  ล้มได้ตามสบาย  อยากกินเป็ดไก่ก็ถือปืนแก็ปไปยิงเอา  อยากกินปลา...สวิงอยู่นู่น  แต่อย่าฆ่าผู้มีพระคุณเป็นอันขาด

          ข้าวที่อยู่ในจานที่เป็นเชื้อในการล่อเลี้ยงชีพผมและคนอื่น ๆ ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากรอยตีนควาย  และไม่ต่างกับบรรพบุรุษของเราทุกคนก็โตและเป็นผู้เป็นคนได้ก็มาจากรอยตีนควาย  ดังนั้นเราควรเลี้ยงเขาให้สมเกียรติ  เขาเกิดมาเป็นสัตว์ก็ทุกข์มากแล้ว...ยังจะเบียดเบียฬอะไรเขานักหนา  แรงงานเขาก็มอบให้เรา  ชีวิตเขาเราละไว้ไม่ได้เลยหรืออย่างไร

          เราเรียกควายว่า  ทรพี  แต่การที่คนทำแบบนี้มันต่างอะไรกับ  "ชื่อ"  ที่เราเรียกมัน

          ผมเดินไปถามน้องคนนั้นด้วยความคาใจ  ว่า  หาเนื้อควายมาได้ยังไง  เขาตอบว่า  ตลาดแถวบ้านเขามีขายกันเกลื่อน  โรงฆ่าก็อยู่ตรงปทุมธานีและจังหวัดอื่น ๆ ก็มี  มันยังพูดยิ้ม ๆ ว่า  "ควายที่หลุดมาจากโรงฆ่าวันก่อนที่วิ่งไล่ขวิดคนน่ะพี่  พี่ได้ข่าวบ้างไหม  เนื้อนี้ก็มาจากโรงเดียวกันแหล่ะ" 

          ผมว่าอะไรน้องคนนั้นไม่ได้  เพราะทุกคนคงคิดต่างกับผม  ชิวหามนุษย์สร้างความซวยให้แก่สัตว์โลกมาเยอะแล้วนี่

          ผมไม่อยากรับรู้ต่อไปว่า  วัฒนธรรมกิน  "ควาย"  ยังจะมีต่อไปอีกนานแค่ไหน...ผมไม่อยากรู้  ผมรู้แต่ผมไม่อยากเห็น  ควายไถนาให้เรากินข้าวแต่นี่คุณเอามันไปฆ่า  ไม่ละอายกันบ้างเหรอ  ถ้าอดอยากปากแห้งจริง ๆ แล้ว  ฆ่า  ไม่ว่ากัน  แต่นี่ทำเป็นธุรกิจกันเลยหรือครับ  อย่าหน้าเลือดนักเลยครับสำนึกและเจียมไว้ในกะลาหัวอันบาง ๆ ของท่านบ้าง  "ควาย"  มันมีพระคุณ

          คุณเอามันมาเป็นคำด่าในทางที่แล้วก็แย่พอแล้ว  ทำไมยังไม่เลิกทำร้ายผู้มีพระคุณอย่างนี้อีก

          ยางบนหนังหน้าน่ะ  ยังมีเหลือกันอยู่อีกไหม

          ควายมันเป็นสัตว์ที่มีสำนึกรู้  รู้จักและรักเจ้าของ  ผมเคยเลี้ยงมา...ผมรู้  ข้อเสียของ ควาย  มีอยู่บ้างก็คือความดื้อแพ่ง (ดื้อตาใส) และขี้เกียจอยู่บ้างแต่มันก็ไม่ใช่สาระแห่งการฆ่าฟัน  แล้วผมอยากรู้นักว่า  ไอ้คนที่เคยออกมาประท้วงเรื่องเพลง  "ผู้บ่าวกินแมว"  น่ะไปหลบกบาลกันอยู่ที่ไหนหมด  หรือว่าบ้านท่านใช้  แมว  ไถนา...  ถึงไม่เดือดร้อนอะไรนักเลย

          รัฐบาลก็อย่านิ่งเฉยครับ  ติดต่อไปกรมไหนก็ได้  ตั้งศูนย์พิทักษ์ควายซะ  เพราะถ้าท่านทำน่ะมันง่ายรับซื้อมาเลยควายตัวไหนแก่เกินแกง  รับซื้อและอนุรักษ์มันซะเถิดครับหรือแลกเป็นหมูเห็ดเป็ดไก่หรืออะไรก็ได้ที่ชาวบ้านเขาต้องการเพื่อยังชีพ  และผลักดันให้มันเป็นสัตว์สงวนซะ  อนุญาติให้ไถนาได้แต่มิอนุญาติให้ฆ่า

          แผ่นดินนี้นอกจากชาวนาและทหารที่มีคุณอนันต์แล้ว  ท่านอย่าลืมควาย

          ไอ้คนที่โต ๆ มาเป็นคนชี้นิ้วบนแผ่นดินนี้ก็โตมาจาก  ตีนควาย  กันทั้งนั้น  ทำเพื่อ  ควาย  กันบ้างเถิดครับ

          และถ้าเรื่องนี้  พี่แม้ว  ลงมาทำอย่างจริงจัง  ผมจะปวารณาตัวเลิกพูดถึงท่านในทางร้ายต่อชีวิตของผมและจะขอกราบเท้าท่านงาม ๆ อีกหนึ่งที  เวทนามันบ้างเถิดครับวิงวอนเลย  ผมเขียนบทความนี้ทั้งน้ำตาไม่ว่าท่านจะยืนอยู่ฝ่ายไหน  ผมขอกราบเท้าท่านงาม ๆ เลยครับ  ช่วยเหลือควายผู้มีพระคุณอเนกอนันต์ของเราที
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
ปีกซ้ายตัวจี๊ด(ล่ำจัง)
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 140



« ตอบ #1 เมื่อ: 08-05-2006, 20:09 »

..
..  เข้ามาเยี่ยมครับ คุณ ปฐม

    ผมก็ไม่กินเนื้อควายเหมือนกันครับ   เพราะว่า


    ควาย ย่อม ไม่กินควายด้วยกัน  ก๊าก ๆ ๆ
บันทึกการเข้า
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« ตอบ #2 เมื่อ: 08-05-2006, 20:11 »

หวัดดีพี่ล่ำ  แหม-----  หายไปนานเชียว  คิดถึงนะพี่  ว่าแต่รูปกล้ามเนื้อใครวาดน่ะ  โคตรแม่นอนาโตมี่เลย
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
บุญมือ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 28


« ตอบ #3 เมื่อ: 08-05-2006, 20:31 »

ต้องขออกตัวว่าไม่ได้มีเจตนาที่มาขัดคอในกระทู้นี้นะครับ

แต่อยากจะตั้งเป็นข้อสังเกตว่า....ถ้าคนเราไม่อาฟายมาไถนาเสียแต่แรกเริ่ม
เปลี่ยนจากฟาย มาเป็นม้า  ลา ล่อ หรือเป็นช้าง

ความรู้สึกของคนที่มีต่อฟายนั้น.....จะเปลี่ยนไปหรือไม่?

อันที่จริงการรู้จักสำนึกในบุญคุณของสัตว์นั้นเป็นสิ่งประเสริฐ
จะยิ่งประเสริฐมาก ถ้าเราไม่จำกัด กับสัตว์ประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ

เพราะในระบบนิเวศของสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย

....ย่อมจะต้องผูกพันเกื้อกูลกันอยู่แล้ว...โดยธรรมชาติ....


ท่านใดที่เห็นแตกต่าง.....ขอได้โปรดสั่งสอน....ขอบคุณ
บันทึกการเข้า
ทิมมี่
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 709


« ตอบ #4 เมื่อ: 08-05-2006, 20:38 »

ตอนเด็กๆ  ผมยังเคยหัดนั่งหลังควายของเพื่อน ที่บางกระทุ่ม   ขี่ยากเหมือนกัน

ที่บ้านผมแม่ไม่ทานเนื้อ วัว และควาย และห้ามนำเข้าบ้าน  ผมก็เลยไม่ทานเช่นกัน

สมัยก่อนคนเขายกย่องควาย  เพราะช่วยทำนา   เพลงรวงทองยังมีเลยครับ

*เจ้าทุยอยู่ไหน  ได้ยินไหมใครมากู่ๆ  เรียกหาเจ้าอยู่ๆ......*

คุณปฐม เราอยู่สองแควเหมือนกันครับ   ยินดีที่รู้จัก
บันทึกการเข้า
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« ตอบ #5 เมื่อ: 08-05-2006, 20:41 »

ดีครับ  ที่เจอคนมีความเห็นต่าง  ผมจะขอตอบอย่างนี้นะครับ

หลักคิดน่าจะเป็นไปในทางพุทธ  คือ  ปฏิจจสมุปปบาท  คือ  คิดไปทีละเปลาะ
          ผมคิดว่า  ถ้าเป็นอย่างที่คุณบอกคงอาจเป็นได้  แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของสัตว์แต่ละประเภทนั้น ๆ  ควายสามารถอยู่ในนาข้าวได้  แต่ม้า ลา ล่อ น่ะจะไม่ได้  ช้างก็คงไม่ได้  คันนาคงพังไม่เป็นท่า  ดังนั้นก็เหลือ  วัว กับ ควาย เพราะสัตว์สองอย่างนี้อยู่กลางแดดและที่ชื้นแฉะได้อีกอย่างมีแรงพอที่จะซุยหน้าดินหนัก ๆ ได้  ซึ่งสัตว์อื่นทำได้ยาก  กระทิงก็ทำได้ครับ  แต่ด้วยความดุของมันใครจะไปกล้าจับมันมาทำ  แรดก็ได้ครับ  แต่ตามันไม่ดีคงไถไม่ตรงทาง

          ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นหน้าที่มัน  ควาย  จึงถือว่าเป็นสัตว์เกิดมามีหน้าที่  ที่หาสัตว์อื่นมาแทนยาก

          สัตว์บางอย่างเกิดมาเพื่อเป็นอาหารมนุษย์  หน้าที่ของมันคือให้มนุษย์ได้กิน  เพราะมันทำประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอก  นอกจากจะอยู่ในบ่วงโซ่อาหารซึ่งวันหนึ่งมันก็ต้องเป็นไปตามกรรม  เราก็สำนึกคุณของมันที่มันเกิดมาเพื่อเป็นอาหารอย่างไรล่ะครับ

          ถ้าคุณลองยกเอาสัตว์ที่ไถนาปลูกข้าวอย่างอื่นมาเป็นตัวอย่างผมก็จะให้เหตุผลและบอกทันทีว่าจะไม่กินมันอีกต่อไป  เพราะมันมีหน้าที่และมีพระคุณ  ขอบคุณมากครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« ตอบ #6 เมื่อ: 08-05-2006, 20:42 »

คุณทิมมี่  ก็คนเมืองพระพิษณุโลก  ลูกพ่อใหญ่เหมือนกับผมหรือนี่  ยินดี ๆ ครับ 
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
บุญมือ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 28


« ตอบ #7 เมื่อ: 08-05-2006, 21:05 »

ขอบคุณ คุณปฐม

ผมไม่ติดใจเรื่อง ม้า ลา ล่อ
ถึงแม้ว่าจะมีบางประเทศ เอาสัตว์พวกนี้มาไถนาอยู่บ้างก็ตาม

แต่ยังติดใจตรงที่..."สัตว์บางอย่างเกิดมาเพื่อเป็นอาหารมนุษย์"

คือ...ถ้าเป็นความคิดของมนุษย์..ก็น่าจะใช่
แต่คงไม่น่าจะเป็นการสมยอมของสัตว์...แน่นอน

ผมเคยเห็นคนวิ่งไล่จับ เป็ด ไก่ หมู มาแล้ว ....ขนาดอยู่ในเล้าแท้ๆ

แต่กว่าจะได้แต่ละตัวนี่...

เหอ-เหอ...เหงื่อท่วมตัวเชียวนะครับ....
บันทึกการเข้า
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« ตอบ #8 เมื่อ: 08-05-2006, 21:12 »

งั้นผมขออธิบาย  คุณบุญมือ  ต่อนะครับ 

     ในเรื่อง  วงจรบ่วงโซ่อาหาร  มันเป็นวงจรครับ  คุณบุญมือ  เพราะไก่หรือเป็ดก็จะจบวงเวียนลงตรงนี้

     และ คุณ บุญมือ บอกว่า  วิ่งไล่จับในเล้าใช่ไหมครับ  อยู่ในเล้าก็แปลว่า  มีคนเลี้ยงจริงหรือไม่ครับ...

     เป็ด หรือ ไก่ เราเลี้ยงไว้นั้นเราหาประโยชน์มันยากครับ  เพราะมันไม่มีสมองใหญ่พอที่จะรับรู้แม้มีบางตัวที่มีสมองใหญ่รู้จักเจ้าของ  แต่ก็น้อยและถ้ามีเขาก็จะฟูมฟักดูแล  อย่าง ห่าน ที่ตำรวจคนหนึ่งเคยเลี้ยง

     ดังนั้นมันก็ตกท้ายที่ว่า  เขาเลี้ยงแล้วไม่ใช้งาน  ดังนั้นก็ต้อง...  กิน

     แม้จะไม่ยอม  แต่มันก็เป็นหนี้ชีวิต  ผู้เลี้ยงจริงไหมครับ  ถ้าไก่ทำงานได้ให้สมกับที่เขาดูแลเขาก็คงไม่กิน  อย่าง  ไก่ชน  ไงครับ  แต่ก็มีบางพวกที่ไก่
ตีแพ้ก็ต้องถูกจับกิน  อย่างไก่ฟ้าเขาก็ไม่กินเพราะมันสวย  ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่จะเกิดขึ้นบนโลกต้องมีประโยชน์ตอบแทนแก่โลกและคนอื่น ๆ

     พอมาตรงนี้ก็ทำให้ผมคิดถึง  "คน"  ครับ  ในประวัติศาสตร์และปัจจุบันก็พูดเรื่องนี้บ่อย  เมื่อคราว  "คน"  หมดประโยชน์ก็คงมีจุดจบไม่คล้ายกับสัตว์เหมือนกันล่ะครับ

     ขอบคุณ ๆ บุญมือ มากนะครับ  แต่ถ้ามีประเด็นอะไรอีก  ผมก็ยินดี
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
จูล่ง_j
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,901



« ตอบ #9 เมื่อ: 08-05-2006, 21:18 »

มาแสดงความเห็นหน่อย

ผมว่าสิ่งที่คุณ บุญมือ ตั้งข้อสังเกตุก็น่าคิด
มนุษย์นำสัตว์มาใช้งาน และ กำหนดหน้าที่ ของมัน
แต่การเปลี่ยนแปลง ถ้ามันกระทันหัน คงมีคนทำใจไม่ได้เป็นจำนวนมาก

ผมเข้าใจว่า ควายที่คุณ ปฐมกิน น่าจะเป็นควายที่เลี้ยงไว้กินครับ
เพราะผมเคยไปฟาร์มวัวโชคชัย เค้าบอกมาว่า
ปัจจุบัน นิยมเลี้ยงควายไว้กินมากขึ้น คือ เหมือนเลี้ยงวัวพันธ์เนื้อไว้กิน
ส่วนเขามันเอาไปทำอะไรไม่รู้
ตรงนี้ถ้าคุณปฐมคาใจ น่าลองหาข้อมูลดูนะครับ ว่ามีกลุ่มอนุรักษณ์ควาย หรือ เกี่ยวข้องทำนองนี้ไหม
เพื่อหาข้อมูล และ แนวร่วม อนุรักษณ์ควาย ไม่ให้มันเป็นอาหาร
บันทึกการเข้า

ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« ตอบ #10 เมื่อ: 08-05-2006, 21:23 »

ไม่ใช่ ควายเลี้ยงเพื่อกิน แน่นอนครับ  พี่จูล่ง

เพราะควายเลี้ยงเพื่อกินตอนนี้มีน้อยมาก  มีที่อยุธยาและสิงห์บุรี และอีก 2 - 3 ที่  แต่ผมจำไม่ได้  แต่ไม่ใช่ปทุมธานีแน่นอน  เพราะที่นั่นส่วนใหญ่เขาเอามาจากชาวนาที่ต้องการขายหลังจากใช้งานเสร็จครับ  คือ จริง ๆ มันเป็นโรงฆ่าวัวนั่นแหล่ะครับ  แต่ทุกเดือนจะมีควายเข้ามา  ผมค่อนข้างตามเรื่องนี้แม้ในตอนนี้ก็ช่วยกับเพื่อนหาข้อมูลอยู่
          ศูนย์อนุรักษ์ควายก็เป็นของ  ประภัทธ  โพธสุธน ครับ  (ถ้าจำชื่อไม่ผิด)  เป็น ส.ส.สุพรรณบุรีและมีพิพิทธภัณฑ์ชาวนาด้วยครับ  แต่ก็ไม่พอเพียงที่จะช่วยเหลือได้ทั้งหมด  งานนี้ต้องรัฐสถานเดียวครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
Suraphan07
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,128



« ตอบ #11 เมื่อ: 08-05-2006, 21:28 »

 "รัฐบาลก็อย่านิ่งเฉยครับ  ติดต่อไปกรมไหนก็ได้  ตั้งศูนย์พิทักษ์ควายซะ  เพราะถ้าท่านทำน่ะมันง่ายรับซื้อมาเลยควายตัวไหนแก่เกินแกง  รับซื้อและอนุรักษ์มันซะเถิดครับหรือแลกเป็นหมูเห็ดเป็ดไก่หรืออะไรก็ได้ที่ชาวบ้านเขาต้องการเพื่อยังชีพ  และผลักดันให้มันเป็นสัตว์สงวนซะ  อนุญาติให้ไถนาได้แต่มิอนุญาติให้ฆ่า

          แผ่นดินนี้นอกจากชาวนาและทหารที่มีคุณอนันต์แล้ว  ท่านอย่าลืมควาย

          ไอ้คนที่โต ๆ มาเป็นคนชี้นิ้วบนแผ่นดินนี้ก็โตมาจาก  ตีนควาย  กันทั้งนั้น  ทำเพื่อ  ควาย  กันบ้างเถิดครับ

          และถ้าเรื่องนี้  พี่แม้ว  ลงมาทำอย่างจริงจัง  ผมจะปวารณาตัวเลิกพูดถึงท่านในทางร้ายต่อชีวิตของผมและจะขอกราบเท้าท่านงาม ๆ อีกหนึ่งที  เวทนามันบ้างเถิดครับวิงวอนเลย  ผมเขียนบทความนี้ทั้งน้ำตาไม่ว่าท่านจะยืนอยู่ฝ่ายไหน  ผมขอกราบเท้าท่านงาม ๆ เลยครับ  ช่วยเหลือควายผู้มีพระคุณอเนกอนันต์ของเราที "


         ถ้าคนไทยทุกคน ตั้งปฎิญาณอย่างนี้แล้ว ท่านบรรหารต้องเป็นต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่ๆเลย เพราะพิพิธภัณฑ์ควาย ที่เอาควาย มาฝึกสอนจนสามารถสั่งให้ยิ้ม สวยๆได้ ตั้งอยู่ที่สุพรรณบุรี...

         ผมผ่านไปหลายครั้ง ยังไม่มีโอกาสแว่ะเข้าไปชมสักที มีแต่ลูกๆ ที่ได้ไปทรรศนะศึกษา เล่าให้ฟัง...
         ยังนึกในใจว่า ถ้าควายมันถูกสอนจนรับคำสั่งให้ยิ้มได้แล้ว เราจะใช้ชื่อมันเป็นคำว่ากล่าว คนอื่นได้อีกล่ะหรือ...

         มันน่าจะเป็นคำชมด้วยซ้ำ เช่นเมื่อเห็นใครซื่อสัตย์ และทำตามคำสั่งได้ดี ทั้งๆที่เคยมีความดื้อ ในสัญชาติญาณ...
เราก็ชมเขาว่า "โอ้โห คุณนี่ควายจริงๆ"     Laughing   
บันทึกการเข้า
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« ตอบ #12 เมื่อ: 08-05-2006, 21:35 »

เอ่อ........  พี่สุรพันธ์ครับ  ผมคงยังต้องโกรธอยู่ล่ะครับ  แต่อาจจะเบาหน่อยถ้าหวนคิดถึงเรื่องวันนี้  แต่ผมคงคุมสติได้ไม่นานแน่ ๆ
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
Suraphan07
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,128



« ตอบ #13 เมื่อ: 08-05-2006, 23:33 »

เอ่อ........  พี่สุรพันธ์ครับ  ผมคงยังต้องโกรธอยู่ล่ะครับ  แต่อาจจะเบาหน่อยถ้าหวนคิดถึงเรื่องวันนี้  แต่ผมคงคุมสติได้ไม่นานแน่ ๆ

โอ๊ะ โอ... Sad


ผมต้องขอโทษ คุณปฐม จริงๆครับ เพราะพอผมกลับมาอ่านที่ได้โพสต์ไปอีกครั้งหนึ่ง...
ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ทั้งๆที่มีเจตนาที่ต้องการเย้าแหย่และอยากแขว่ะ คนที่พยายามหาอำนาจ
ใส่ตัว และทำตัวได้แย่กว่า...

บ้านผม ไม่ทานเนื้อ(วัว-ควาย) มานานแล้ว ด้วยความคิดเช่นเดียวกับคุณ... Neutral

คำคำนี้ ใช้พร่ำเพรื่อไม่ได้ จริงๆ!!!
บันทึกการเข้า
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« ตอบ #14 เมื่อ: 08-05-2006, 23:41 »

ผมเข้าใจครับว่าพี่เย้า  และขอบอกตามตรงว่า  ถ้ากับเพื่อนกันจะด่าผมว่า  ไอ้ควาย  ผมไม่โกรธครับ

แต่ถ้าด่าแบบใน  ราชดำเนิน  ก็ลงนวมกับผมได้เลย  ดังนั้นพี่สุรพันธ์ครับ  ผมเข้าใจที่พี่หมายถึงครับ  และก็อดอมยิ้มไม่ได้ที่พี่คิดต้องกับผมแต่ผมกลัวว่าถ้าฟากโน้นมาอ่านเจอ  แล้วด่าผมแล้วอ้างจากในนี้  ผมซวยแน่ ๆ พี่...  ผมเลยตอบเป็นเกราะป้องกันตัวไว้ครับ 

          ขอบคุณพี่มาก ๆ ครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
เสลา
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 514



« ตอบ #15 เมื่อ: 09-05-2006, 09:18 »


ป้าเสลาอ่านกระทู้นี้มาตั้งแต่เริ่ม
ใจก็หวังว่า คุณ100600 ผู้ที่น่าจะรอบรู้เรื่อง"ควาย" เข้ามาต่อกระทู้
แต่ยังไม่เห็นมา

วันนี้ป้าเสลาเลยขอถือโอกาสนำข้อมูลเรื่อง"ควาย"
มาให้อ่านสู่กันฟัง





กระบือหรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "ควาย"  เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณ
อีกทั้งเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อชีวิตของชาวไร่ชาวนาในชนบทเป็นอย่างยิ่งในระบบเกษตร
ชาวไร่ชาวนาอาศัยแรงงานจากควายในการทำไร่ไถนา และอื่น ๆ
มูลใช้เป็นปุ๋ยบำรุงดินใส่ต้นไม้ได้เป็นอย่างดี
ในด้านเศรษฐกิจควายมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะยามขาดแคลนน้ำมัน
หลังหมดอายุการใช้งานแล้วยังขายได้เงินอีกด้วย
เนื้อที่ขายตามท้องตลาดประมาณครึ่งหนึ่งเป็นเป้าหมาย และยังเป็นสินค้าส่งออกอีกด้วย

ในปัจจุบันเครื่องมือการเกษตรเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ควายยังถูกทอดทิ้งทุกขณะ ทำให้จำนวนควายลดน้อยลง

ชาวนาชาวไร่จะเลี้ยงวัวควายไว้ใช้งานและอื่น ๆ ซึ่งประโยชน์ของควายมีอีกหลายประการ
นอกเหนือจากเนื้อก็ได้กิน หนังก็ได้รองโดยไม่จำเป็นต้องเอากระดูกมาแขวนคอแล้ว"
ยังได้ประโยชน์จากควายอื่นๆอีก ดังนี้

-มีส่วนช่วยให้ระบบเกษตรของเกษตรกรไทยมีประสิทธิภาพ
เช่น ใช้ฟาง หญ้า และเศษพืชอื่น ๆ ที่มีอยู่ในไร่นาให้เกิดประโยชน์
เป็นผลให้เกิดระบบเกษตรผสมผสานซึ่งมีความมั่นคงถาวรมากกว่า
 
-เป็นทุนประกันในยามเกิดสภาวะวิปริต เช่น ฝนแล้ง น้ำท่วม
หรือในยามจำเป็นต้องใช้เงินมาก ๆ

-ได้มูลใช้เป็นปุ๋ยในไร่นา ในสภาวะที่ปุ๋ยเคมีมีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ
ชาวไร่ชาวนาหันมาใช้มูลวัวควายมากขึ้น บางรายอาจมีการหมักมูลเพื่อใช้ในการหุงต้ม
-การเลี้ยงวัวควายเป็นงานของเด็กและคนชรา ทำให้แรงงานที่ว่างในครัวเรือนได้ทำงานมีผลผลิต
ไม่สูญเปล่า ไม่เกิดปัญหาทางด้านจิตใจแก่สมาชิกในครอบครัวที่มีฐานภาพต่างกัน นอกจากนั้น คนที่ว่างงานจากการเพาะปลูกก็ได้มีงานทำ
-มีรายได้เสริมจากการขายมูลสัตว์ ลูกที่เกิดใหม่หรือสัตว์ที่ปลดระวางแล้ว

พันธุ์ควาย ควายในโลกที่มีอยู่ประมาณ 130 ล้านตัว
ประมาณร้อยละ 97.5 อยู่ในแถบประเทศเอเชีย จึงได้ชื่อว่าสัตว์เอเชีย
อย่างไรก็ตามในหลายประเทศในทวีปอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา บราซิล
รัสเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น ก็มีการเลี้ยงควาย

ควาย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า (Bubalus bubalis)
แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ

ก. ควายแม่น้ำ (River buffalo) บางครั้งเรียกควายแขก
เพราะเลี้ยงมากในประเทศอินเดีย ปากีสถานจัดว่าเป็นควายนม
แต่ก็ใช้งานได้ให้เนื้อก็ดี ชอบนอนในน้ำลึก น้ำใสหรือในแม่น้ำ
ควายประเภทนี้ในประเทศไทยมีอยู่เพียงพันธุ์เดียว คือ พันธุ์มูร์ราห์


cape buffalo


ควายแถวMissouri River,Iowa.


ข. ควายปลัก ( (Swamp Buffalo) เป็นควายที่เลี้ยงมากในประเทศจีนตอนใต้
ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย
ควายไทยจัดเป็นประเภทควายปลักเลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน ใช้เนื้อบริโภคกันทั่วไป
คนนิยมพอ ๆ กับเนื้อวัว ให้นมบ้างวันละ 1-3 ลิตร
ควายปลักชอบนอนในปลักโคลนอันเป็นหลุมดินเละ ๆ เป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้แล้วเวลาอากาศร้อนชอบลงลอยคอในคูคลองน้ำลึก


ควายปลัก



การคัดเลือกควายลักษณะที่ดี  อันนี้น่าสนใจมาก
ความเชื่อของชาวบ้านอาจมีความแตกต่างกันจากท้องที่หนึ่งไปยังอีกท้องที่หนึ่ง
ซึ่งพอสรุปลักษณะควายที่ดีในทรรศนะของเกษตรกรภาคอีสาน

ลำตัว ควายดีควรมีลำตัวใหญ่และยาว ขาแข็งแรงทั้ง 4 ขา
และได้สัดส่วนเหมาะสมกับลำตัว

ส่วนหัว ควายใช้งานควรมีหน้าค่อนข้างยาว

ตา แจ่มใส เบ้าตาใหญ่และแข็งแรง ไม่มีจุดฝ้าและสีผิดปกติ

จมูก รูจมูกใหญ่ จมูกชุ่มชื้นอยู่เสมอ

เขา นิยมควายเขากรอบหรือเขาโง้ง คล้ายวงพระจันทร์
มีขนาดสวยงาม โคนมเขาใหญ่แข็งแรง ปลายเขาเรียว





คอ อวบใหญ่หนาบึกบึน

 
ขา โคนขาใหญ่ ค่อย ๆ เรียวลงสู่ปลายเท้าถึงกีบ

กีบ ต้องมีอุ้มกีบใหญ่
 
อก ใหญ่หรือที่เรียกว่ากะโหลกมะพร้าว

หลัง แบนและกว้าง สันหลังนูนแหลมเป็นสันเป็นลักษณะไม่ดี

ท้อง เหมาะสมกับลำตัว ไม่กางหรือบวมโตจนเกินไป

ผิวหนังบางและอ่อนนุ่ม เชื่อว่าส่อลักษณะว่านอนสอนง่าย
แต่บางคนชอบหนังหนาเชื่อว่าเลี้ยงง่าย โตเร็ว

สีผิวหนัง ชอบสีดำมากกว่าสีเทา เชื่อว่าควายดำทำงานทนกว่า

ขน ยาวและดก เชื่อว่าโตเร็ว ทนโรค

หาง คอกยาวเลยข้อขาหลังลงมา ขนหางเป็นพู่ใหญ่
โคนหางใหญ่และเรียวลงสู่ปลายทาง
 
ฟัน เชื่อว่าควายฟันขาวเติบโตและสุขภาพดีกว่าควายฟันเหลือง

ขวัญ เกษตรกรยังเชื่อเรื่องขวัญมาก
ในบางท้องที่จะไม่ยอมซื้อควายที่มีขวัญไม่ดีเข้าบ้าน

ขวัญดี ได้แก่ "ขวัญก้อนชางแก้ว" คือ ขวัญสามเส้าบริเวณหน้า
ขวัญหนึ่งบริเวณหน้า สองขวัญอยู่สองด้านของดั้งจมูก
"ขวัญกางหบ" อยู่บริเวณหนอก
"ขวัญห้อยหิ่ง" อยู่ตรงกลางด้านล่างของคอ
"ขวัญอกแตก" อยู่ด้านบนของลำคอ

ขวัญไม่ดี ได้แก่ "ขวัญนั่งทับ" หรือ "ขวัญที่นั่งโจร" อยู่ประมาณด้านหน้าหรือกลางหลัง
"ขวัญกระทาบหน้า" อยู่ด้านข้างของลำตัวส่วนหน้า
"ขวัญกระทาบหลัง" อยู่สองข้างของสวาบ
และ "ขวัญลึงค์จ้ำ" หรือ "ขวัญลึงค์ฟัก" อยู่ด้านหน้าของอวัยวะเพศผู้

ป้าเสลานำเรื่องราวเกี่ยวกับควายมาเล่าเท่านี้ก่อน
เพราะนอกจากนั้นก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงดู

การเลี้ยงกระบือในประเทศไทย เป็นการเลี้ยงตามยถากรรม ไม่มีการปรับปรุงพันธุ์
กระบือตัวผู้หากตัวใดดุก็ทำการตอนหากปล่อยไว้จะควบคุมยาก
อีกทั้งยังให้กระบือเล็กแคระแกร็นไม่มีการคัดเลือกพันธุ์ที่ดี
และยังปล่อยให้กระบือหาอาหารกินเองในนาข้าวหรือในป่า
คอกหรือที่อยู่ของกระบือก็ไม่มีส่วนมากมักจะผูกกับเสาเรือน
หรือมีคอกอยู่ก็จะให้ฟางข้าวและน้ำกินโดยสุมไฟไล่แมลงรบกวน
แต่ปัจจุบันนี้ได้หันมาสนใจการเลี้ยงกระบือกันอย่างจริงจังมากขึ้น

ในช่วงปี พ.ศ. 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงริเริ่มโครงการธนาคารกระบือ (Buffalo Bank Project) ขึ้นที่ จ. ปราจีนบุรี
และกรมปศุสัตว์รับผิดชอบในการดำเนินการ

ซึ่งหากสมาชิกท่านที่สนใจจะหาศึกษาได้จากเว็บที่ป้านำมาอ้างอิงนี้
http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-9552.html
http://www.doae.go.th/library/html/detail/KUmagazine/november_44/tummi/buffalo.htm
http://www.rakbankerd.com/benny/06_agriculture/in_agricultural/sub_agricultural.html?
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: