ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
28-04-2024, 12:03
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ชายคาพักใจ  |  รางวัลซีไรท์ 2550 เป็นของ มนตรี ศรียงค์ กวีหนุ่มเมืองหาดใหญ่ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
รางวัลซีไรท์ 2550 เป็นของ มนตรี ศรียงค์ กวีหนุ่มเมืองหาดใหญ่  (อ่าน 7523 ครั้ง)
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« เมื่อ: 28-08-2007, 16:59 »



มนตรี ศรียงค์ ได้รับการตัดสินให้ได้รางวัลซีไรท์ สาขากวีนิพนธ์ ของปีนี้
จากผลงาน "โลกในดวงตาข้าพเจ้า"
(ทำไมคน ชอบเรียกคนได้ซีไรท์รวม ๆ ว่า กวีซีไรท์ก็ไม่รู้ เห็นแล้วรำคาญตา เพราะซีไรท์มีทั้ง นิยาย เรื่องสั้น กวี สลับปีกันไป)

มนตรี ศรียงค์ หรือ ที่คนเล่นเน็ต ก็พอจะทราบกันดีว่าเขาใช้ชื่อไร ในการท่องเน็ต
เป็นกวีไซเบอร์ ที่สนใจ คลุกคลี กับโลกอินเทอร์เน็ต มานาน
ครั้งหนึ่ง เคยถูกคนที่เรียกตัวเองว่า "กวี" ชื่อดังในเน็ต
ขโมยผลงาน ไปอวดอ้างว่าเป็นของตัวเอง แบบดื้อ ๆ ด้าน ๆ
ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชาวเสรีไทย รู้เรื่องราวกันดี
ไม่พูดต่อดีกว่า เสียบรรยากาศ..........


ขอแสดงความยินดี กับคุณมนตรี ศรียงค์
ไว้ ณ ที่นี้ อย่างเป็นทางการ
ส่วนทางส่วนตัวนั้น
คงได้ร่วมยินดีกันหลายเอิ๊ก แน่ คืนนี้
เพราะกะลังจะออกไปซื้อไวน์ หิ้วไปเปิดเลี้ยงให้กับคุณมนตรี
เย็น ๆ แดดร่มลมตก วันนี้แหละ
เอิ๊ก เอิ๊ก
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #1 เมื่อ: 28-08-2007, 17:26 »

ถ้าทางวันนี้จะหนัก55
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 28-08-2007, 17:46 »

แสดงความยินดีด้วยละกัน

แต่เห็นในเว็บบล็อคบางคนบอกว่า เล่นพวก ก็ว่ากันไป

 
บันทึกการเข้า

Priateľ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 395



« ตอบ #3 เมื่อ: 28-08-2007, 18:18 »

อ้าว เห็นในเว็บสมัยโน้นบอกว่าขายก๋วยเตี๋ยว ผมยังนึกในใจเลยว่า ขายก๋วยเตี๋ยวยังเขียนได้ขนาดนั้น เพิ่งจะรู้ว่าเป็นกวีชื่อดัง

บันทึกการเข้า

If you ever want something badly, let it go. If it comes back to you, then it's yours forever. If it doesn't, then it was never yours to begin with.

ก๊อปมาจากหนัง Indecent proposal
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #4 เมื่อ: 29-08-2007, 06:33 »

เก็บตก จากงานเลี้ยง เมื่อคืนนี้ครับ ทั้งคนได้ซีไรท์ ทั้งคนไม่ได้ มากันถ้วนหน้า
ใครเป็นใคร ดูเอาเอง
ผมไม่ได้ถ่ายเป็นชิ้นเป็นอันนัก เพราะมัวแต่ไปนั่งประจบซีไรท์คนใหม่
และเป็นห่วง bin 407 2 ขวด ยิ่งชีพ


 







บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
(ลุง)ถึก สไลเดอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,026



« ตอบ #5 เมื่อ: 29-08-2007, 06:46 »

มาแสดงความยินดีด้วยครับ
 
บันทึกการเข้า

(ลุง)ถึก สไลเดอร์
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #6 เมื่อ: 29-08-2007, 18:50 »

ถ้าเปิด 407 กรุณาชวนด้วย

เพราะไม่ได้กินเสียนานแล้ว เปรี้ยวปาก จังเลย
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #7 เมื่อ: 09-09-2007, 09:06 »

ได้อ่านสัมภาษณ์ คุณมนตรี ศรียงค์ ใน "มติชน" ฉบับเช้าวันนี้ แล้วชอบค่ะ ขอนำบทสัมภาษณ์มาโพสต์หน่อยนะคะ 

บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #8 เมื่อ: 09-09-2007, 09:19 »

มนตรี ศรียงค์ กวีซีไรต์ร้อน-ร้อน "ผมเป็นกวีโดย DNA"

โดย พนิดา สงวนเสรีวานิช



หนุ่มฮ็อตของบรรณพิภพในเวลานี้ เจ้าของรางวัลซีไรต์ 2550 ฉายา "กวีหมี่เป็ด"

ชั่วเวลาไม่ถึง 20 วัน ของการเป็นเจ้าของรางวัลซีไรต์ ประเภท "กวีนิพนธ์" ประจำปี 2550 จากผลงาน

"โลกในดวงตาข้าพเจ้า"

เปลี่ยนบุคลิกของ "มนตรี ศรียงค์" หนุ่มหาดใหญ่วัย 39 จากคนที่พอถ่ายรูปแล้วยืนตัวตรงเหมือนถ่ายรูปบัตรประชาชน กลายเป็นนายแบบที่สามารถโพสท่าหน้ากล้องได้อย่างไม่ขัดเขิน

เขาบอกว่าตั้งแต่ประกาศผลกวีซีไรต์แล้ว มีช่างภาพถ่ายภาพรูปเขา 300 ภาพเห็นจะได้ จากนั้นต้องให้สัมภาษณ์นักข่าว หนังสือพิมพ์ นิตยสาร คนแล้วคนเล่า

"เป็นธรรมดาครับเราต้องปรับตัวเข้าหาเขาด้วย ไม่ใช่ให้เขาปรับตัวเข้าหาเราอย่างเดียว มันเป็นกฎการอยู่ร่วมกันที่ธรรมดาที่สุด" หนุ่มจากหาดใหญ่บอก

วันที่เจอกันเขาพาภรรยามาด้วย เธอชื่อ "มะลิลา" อายุอ่อนกว่า 3-4 ปี

ดวงตาที่มองโลกอย่างคุ้มค่ามาเกือบสี่สิบปีของชายผู้นี้ บอกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตวัยรุ่นเขาวาดหวังอยากเป็น "นักเลง"

หลังถอดกางเกงขาสั้นเครื่องแบบเด็กมัธยม มนตรีจับรถไฟจากสงขลามุ่งเข้ากรุงเทพฯ สมัครเป็นลูกพ่อขุน ลงเรียนคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาไทย

ชีวิตในยามนั้นเขาหนักไปในเชิงบู๊ เมา ชกต่อย เพราะด้วยคำว่า "ลูกผู้ชาย" จึงทำให้แทบไม่ได้เข้าห้องเรียน

แต่...ก่อนที่ชีวิตจะถลำลึกไปจนสุดขั้ว เสียงระฆังหมดยกก็ดังขึ้น ระยะเวลาเพียง 3 ปี มนตรีก็ถูกเรียกตัวกลับไปรับช่วงกิจการ "หมี่เป็ดศิริวัฒน์" ที่หาดใหญ่

เขายอมกลับบ้านเพราะ "รักแม่" เป็นเหตุผลเดียวที่เขาบอก

หลังจากนั้นช่วงเวลาของมนตรีเป็นเสมือนละครชีวิตเรื่องหนึ่ง ที่แต่ละฉากถูกเปิดเผยออกมาเรียงร้อยให้สาธารณชนได้รู้จัก...

"มนตรี ศรียงค์" กวีซีไรต์ปีล่า


- "อยากรู้จักวัยเยาว์"

ผมโชคดีที่เกิดทันสังคมเก่า แม่ยังเอาผ้าขาวม้าผูกเป็นอู่ให้นอน ใช้ตีนของแม่ชักเชือกไกวเปล มือก็เย็บผ้าไปตามประสาคนบ้านนอก ปากร้องเพลง "ร้องเรือ" กล่อมลูก แม่ผมยังชอบเล่านิทานให้ฟังด้วย พอโตมาหน่อยก็ได้ฟังเพลงลูกทุ่งเก่าๆ มาจนกระทั่งเพลงแนวดุอย่าง คำรณ สัมปุณณานนท์ เสน่ห์ โกมารชุน ฯลฯ

ที่มีส่วนหล่อหลอมผมในเรื่องของบทกลอน คงเป็นเรื่องที่ได้ท่องอาขยานก่อนเลิกเรียน ส่วนเรื่องอ่านหนังสือ ผมเริ่มมาตั้งแต่ชั้นประถม ไปห้องสมุดประชาชนยืมหนังสือของ ป.อินทรปาลิต ชุด พลนิกรกิมหงวน ทุกเล่มที่มีมาอ่าน ได้รู้จักกับวรรณกรรม "ปีศาจ" "ความรักของวัลยา" ของเสนีย์ เสาวพงศ์


- "ช่วงนั้นอ่านอย่างเดียวไม่ได้เขียนกลอนหรือเรื่องสั้น"

ครับ อยู่ชั้นประถมอ่านอย่างเดียว มาเริ่มเขียนตอนมัธยมต้น เป็นพวกกลอนรัก แต่เป็นแบบแอบเขียน แอบอ่าน อ่านคนเดียว อายคนอื่นเขา...

ที่จริงเขียนให้เพื่อน เพื่อนเอาไปจีบสาว แล้วจีบสำเร็จด้วย ยกเว้นผมคนเดียวจีบไม่เคยได้

มัธยมผมเรียนมหาวชิราวุธ โปรแกรมพลศึกษา เด็กพละต้องเจียมตัว เพราะตัวดำ ไม่ใช่ดำธรรมดา ดำจนเขียว เล่นกีฬาตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงก่อนเที่ยง แล้วต้องเข้าเรียนเลยไม่ได้อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เหงื่อซ่ก พอมานั่งเรียนก็หลับ


- "ใครแนะนำหนังสือให้อ่าน?"

ไม่มี อ่านเอง เริ่มจากหนังสือของ ป.อินทรปาลิต แล้วเรื่องอีโรติกของ ต๊ะ ท่าอิฐ ผมก็อ่าน พ็อคเก็ตบุ๊กอ่านหมด นิยาย การ์ตูนก็ซื้ออ่าน ที่ชอบมากโดเรมอน เซนต์เซย่า ซิตี้ฮันเตอร์ หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ...นั่นละสุดยอด

- "ต้องช่วยงานบ้านไหม?"

ยังเด็กอยู่ ผมยังมีพี่สาวอีก 2 คน เขาก็ช่วยรับแขกช่วยเสิร์ฟ ตอนนั้นบ้านผมอยู่หน้าโรงเรียนกิตติวิทย์ หาดใหญ่ เป็นถิ่นของคนไทยบ้านนอก ผมซึมซับวิถีชีวิตแบบนั้นมา แล้วต่อมาก็ย้ายมาอยู่แถวตลาดกิมหยง ซึ่งเป็นชุมชนชาวจีน ก็ถูกวิถีชีวิตของชาวจีนหล่อหลอมมาอีกแบบ

ช่วงนี้เตี่ยเคี่ยวเข็นให้ผมค้าขาย เพราะเตี่ยเป็นคนจีนที่เกิดมาเพื่อทำงาน เพื่อค้าขายโดยแท้ บ้านเราเป็นร้านขายบะหมี่เป็ด ทุกอย่างเตี่ยคิดเองหมด ตั้งแต่ทำเส้นบะหมี่เอง ทำเป็ดตุ๋น หมูแดง ทำเองหมด แม้แต่ลูกชิ้นปลากรายก็ยังทำเอง บดน้ำแข็งเอง น้ำส้มพริกดอง คั่วพริกป่นเองด้วย แม้แต่เครื่องตัดเส้นบะหมี่ เตี่ยก็ออกแบบเองด้วย ทุกวันนี้เครื่องนี้ก็ยังใช้อยู่


- "เอาแต่อ่านหนังสือเตี่ยไม่ว่า?"

อ่านตอนเก็บร้านแล้ว ขึ้นไปนอนอ่านชั้นบน มีวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องหนึ่ง โค้กขวด ฮานามิถุง ก็นอนอ่านไปจนค่ำ แล้วที่บ้านถ้าเรื่องอ่านหนังสือจะไม่มีใครว่าเลย

แม่ผมจบแค่ ป.4 ส่วนเตี่ยไม่รู้ภาษาไทย เป็นคนจีนมาจากเมืองจีน เตี่ยเคยเล่าว่าเคยเดินทัพทางไกลกับเหมา เจ๋อ ตุง ด้วย แต่เตี่ยเป็นกวี คือคนเขียนภาษาจีนได้สวยที่สุดในหาดใหญ่ เขียนบทกวีภาษาจีนด้วยพู่กันจีน เขียนเสร็จแปะไว้ข้างฝา ครั้งหนึ่งมีลูกค้าชาวมาเลเซีย ชาวสิงคโปร์ มาเห็นจะขอซื้อ เตี่ยก็จะม้วนๆๆ มัดยางให้ ไม่ได้ขาย แต่ให้ลูกค้าเป็นของขวัญ


- "ตอนเรียนมหาวิทยาลัยได้เขียนหนังสือ เขียนกลอน หรือเปล่า?"

ผมเป็นคนไม่ชอบเรียน เกเรมาตั้งแต่อยู่มัธยม ที่ไปกรุงเทพฯก็ไม่ได้ตั้งใจไปเรียน ไปเที่ยวสนุกมากกว่า เลยไม่ได้สนใจเรื่องเรียน

ตอนนั้นชีวิตมีเรื่องของวัยหนุ่มเข้ามาให้ตื่นตาตื่นใจมากกว่า มีเพื่อนฝูง ทั้งเพื่อนใหม่เพื่อนเก่า เลยพยายามสร้างตัวตนขึ้นมาให้ได้รับการยอมรับ ชีวิตปี 1 ผมใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้จักใครเลย ชีวิตมีแต่เมากับตีกับชาวบ้าน ก็เป็นการสร้างชื่ออย่างหนึ่งของวัยหนุ่ม สร้างตัวตน หาที่ยืน...ผมคนเดียว

ผมไม่สามารถสร้างตัวตนในหาดใหญ่ได้ อยู่หาดใหญ่ผมก็เป็นไอ้ตี๋ของคนรู้จักกัน ไม่ว่าจะดีกว่าหรือเลวกว่าชีวิตตอนนั้น รู้แต่ว่าโลกกว้างใหญ่ พื้นที่ทุกพื้นที่บนโลกใบนี้เราสามารถจะประทับรอยตีนไว้ได้ แล้วเราก็ย่ำไปเป็นเทือก...

...สอบตกภาษาไทย ร้อยกรอง วรรณวิจารณ์ เพราะไม่เข้าเรียนเลย แค่พอจะสอบก็ซื้อชีตมาอ่าน แต่ก็ได้ 84 หน่วย จาก 144 หน่วย ได้ G วิชาปรัชญา

เรียนอยู่ได้ 2-3 ปี แม่ก็เรียกกลับ แม่กลัวจะไปพบศพชายนิรนาม ผมกลับบ้านยอมกลับเพราะรักแม่


- "เห็นว่าย้ายคณะเรียน"

พอกลับไปอยู่บ้าน ตอนหลังย้ายไปเรียนคณะรัฐศาสตร์ เอกการเมืองการปกครอง โอนหน่วยกิตไปได้บ้าง ที่เรียนรัฐศาสตร์เพราะอยากรู้เรื่องการเมือง มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ เชื้อ แซ่ฮั่น พาไปอยู่กับพรรคสัจจธรรม ในรามฯ แต่ไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ผมไปเพราะเป็นคนเพื่อนเยอะและไม่เคยปฏิเสธเพื่อน

- "ค้นพบตัวตนที่แสวงหาไหม?"

อือ...คือถ้ามองย้อนกลับไปตอนนั้น ผมยืนยันว่าผมยังจะใช้ชีวิตอย่างนั้นอยู่ หลายครั้งผมเกือบตาย แต่ผมไม่เคยเสียดาย เคยดูเรื่อง Life is Beautifull หรือเปล่า? ตอนหนึ่งที่มีกระดาษหนังสือพิมพ์ลอยคว้างไปตามแรงลม แล้วแต่ลมจะพา ชีวิตผมเป็นแบบนั้น...

แต่การที่ผมได้กลับบ้านกลับไปอยู่กับแม่-มันทำให้ผมอ่อนโยนลง แม่ทำให้ผมอ่อนลงเยอะ เรื่องยำยำๆ ของผมแม่เพิ่งมารู้ไม่กี่ปีมานี่เอง ผมเป็นคนไปไหนหลายๆ วัน จะห่วงบ้าน ห่วงแม่มาก เป็นลูกแหง่ ทุกวันนี้ยังนอนหนุนตักแม่อยู่เลย


- "กลับมาอยู่บ้านขายหมี่เป็ด?"

มาช่วยเตี่ย ตอนนั้นอายุราว 21-22 เตี่ยไม่ค่อยสบายก้างปลากระพงแทงทะลุกระเพาะ แล้วก็ต้องผ่าตัดไต ต่อมาก็เป็นมะเร็งกล่องเสียงต้องเจาะคอ

แรกๆ ผมก็ปฏิเสธนะ อาชีพค้าขายผมไม่เอา คิดว่าคงทำไม่ได้ดี เพราะใจร้อน บางคนโดนผมไล่ออกจากร้านเลย บางทีท้าต่อยก็มี ผมเป็นพ่อค้าที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่

แต่...ปัจจุบันน่ารักพอสมควร (หัวเราะ)


- "เห็นว่าหูซ้ายรับออเดอร์ลูกค้า มือขวาลวกเส้น ปากยังคุยกับเพื่อน หัวยังคิดบทกวีได้อีกด้วย

(หัวเราะชอบใจ)...มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ นอกจากปรับสภาพตัวเองเข้ากับสภาพแวดล้อมได้แล้ว ยังสามารถปรับสภาพจิตใจได้ด้วย จากสิ่งที่เคยปฏิเสธ หลังๆ พอเราทำความเข้าใจมัน เรารู้จักมันดีขึ้น และเราเข้าใจมันที่สุด เราก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมัน

- "กลับมาขายหมี่เป็ดยังอ่านหนังสือ?"

อ่านมากกว่าเก่าอีก แต่จะอ่านบทกวีเยอะที่สุด เรื่องที่อยู่ในใจเลยนะ "กูคือนิสิตนักศึกษา" เป็นเล่มเดียวจริงๆ ที่อยู่ในใจ

แต่ถ้าถามบทกวีที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจมากก็ต้องงานของ "แก้ว ลายทอง" มันเป็นร็อคแอนด์โรล มีจังหวะมีอารมณ์มีการร้องแบบร็อคเกอร์


ยุคนั้นบทกวีทุกเล่มที่วางขายผมมีหมด ซื้อไว้หมด ผมชอบอะไรที่มันทะลึ่งๆ ขำๆ ท้าทาย "ระเด่นลันได" ของพระมหามนตรี ผมชอบมาก ชอบอะไรที่มันแหกกฎ

- "กวีนักเขียนทางใต้รวมตัวกันอย่างไร?"

มีทั้งรวมกลุ่มกัน และเป็นอิสระ ที่ชัดเจน คือ "กลุ่มคลื่นใหม่" อยู่นครศรีธรรมราช สตูล และตรัง "กลุ่มนาคร" อยู่นครศรีธรรมราช และ "กลุ่มภูเก็ต" ที่หาดใหญ่เคยมี "กลุ่มหมื่นส้อง" เป็นกลุ่มที่ออกหนังสือทำมือเล่มแรกๆ ของไทย ผมเคยเข้าร่วมในกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มของคนที่มีรสนิยมเดียวกัน มาเจอกัน ใครจะมาก็มา ใครจะไปก็ไป อย่างมากก็วิจารณ์งานซึ่งกันและกัน

- "บทกวีเรื่องแรกที่เขียน?"

ที่เป็นเรื่องเป็นราวชื่อ "นิยายน้ำเน่าเก้าบท" ส่งให้พี่อี๊ด-ไพลิน รุ้งรัตน์ พิจารณา หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่ไม่ผ่าน แต่พี่อี๊ดเขียนข้างๆ บัญชรคอลัมน์ที่ตีพิมพ์ ว่ามีบทกวีชิ้นนี้ของมนตรีน่าสนใจ นั่นคือกำลังใจใหญ่หลวงของผม

ผมว่าผมเป็นกวีโดย DNA เพราะเตี่ยผมเป็นกวีจากเมืองจีน

- "ตอนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเข้าร่วม?"

ผมอยู่หาดใหญ่ ไม่ได้ขึ้นมากรุงเทพฯ แต่หาดใหญ่ก็มีการตั้งเวทีชุมนุม ผมรู้จักกับกลุ่มเคลื่อนไหวที่หาดใหญ่ ก็ไปร่วมกับเขา เราตกลงกันว่าเราจะยึดรถไฟเข้ากรุงเทพฯ แต่คืนนั้นเขายิงกันเสียก่อนเลยไม่ได้ขึ้นมา

จากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมก็เริ่มเขียนงาน ส่วนหนึ่งเพราะเหตุการณ์ 14 ตุลา กับ 6 ตุลา มันเป็นเหตุการณ์ฮีโร่ในใจผมด้วย แล้วพอเกิดพฤษภาทมิฬเลยคิดว่าเรากำลังจะสร้างประวัติศาสตร์อยู่ด้วย


- "ทำไมเขียนกลอนเกี่ยวกับการทำบะหมี่"

จริงๆ ผมเขียนมานานแล้ว ตั้งแต่ชิ้นที่ชื่อ "คนหน้าหม้อ" เขียนปี 2539 ปีที่กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ได้ซีไรต์ ลงใน "ข่าวพิเศษ" แล้วตามมาด้วย "บะหมี่ก้อนสุดท้าย" "เพื่อนร้าน 1" "เพื่อนร้าน 2" จากตรงนั้นทำให้ผมคิดว่าทำไมผมไม่เขียนเรื่องของผมให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นเรื่องที่บ้านและร้าน ประมาณปี 2546 ก็เลยเขียน "ถนนละม้ายสงคราะห์" ขึ้นมา เขียนอย่างมีความสุขมาก จนกระทั่งกลายมาเป็น "ถนนละม้ายสงเคราะห์" และ "ถนนละม้ายสงเคราะห์ (ตัดใหม่)"

ผมทำงานตลอดเวลา เขียนเก็บๆ แล้วก็เขียนส่งตามนิตยสารบ้าง แต่ถ้าจะรวมเล่มจะส่งที่สำนักพิมพ์ "สามัญชน" บ.ก.จะเป็นคนคัดเรื่องออกมา ซึ่งก็กลายเป็น "โลกในดวงตาข้าพเจ้า"


แล้วผมเป็นคนบอกเองว่าปีนี้ผมจะส่งเข้าประกวดซีไรต์

- "ทำไมมั่นใจขนาดนั้น"

ไม่ใช่มั่นใจ เรามีงานแล้วพอมีรางวัลเราก็อยากจะส่ง รางวัลไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ เป็นเกียรติยศหนึ่งของการทำงาน แต่ไม่ใช่สิ่งสูงสุดของชีวิต

- "ทำไมมนตรี ศรียงค์ จึงสนใจโลกไซเบอร์"

เริ่มมาจากปี 2540 กับเพื่อน 3 คน จะทำเพลงออกมา ผมร้องเพลงไม่เป็น เล่นเพลงไม่ได้ แต่เขียนเพลงเป็น พอมีทุนอยู่บ้างจึงคิดทำสตูดิโอเล็กๆ ที่บ้าน ทีนี้ต้องโหลดโปรแกรมจากทางอินเตอร์เน็ต แล้วอินเตอร์เน็ตมันเป็นโลกกว้าง ผมก็เลยรู้จักเว็บบอร์ดต่างๆ ก็เล่นมาเรื่อย

แต่ไม่ได้เขียนงานเผยแพร่ในเน็ต ผมมีเว็บเพื่อเป็นที่เก็บงานของผม ซึ่งผมเปิดให้คนอ่าน และบางครั้งผมก็เอางานตัวเองไปโพสต์ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง


- "การได้รางวัลซีไรต์กดดันไหม? ในเมื่อทุกคนคาดหวังว่างานต่อไปจะต้องดี"

นั่นเป็นการคาดหวังของคนอื่น ไม่ใช่ไม่แคร์ แต่ผมไม่กดดัน ผมเชื่อว่านักเขียนทุกคนกว่าจะปล่อยงานออกมา เขาต้องเชื่อมั่นว่าเป็นงานที่สุดที่สุดแล้วในกาละและเทศะนั้น

- "จนถึงตอนนี้ "ซีไรต์" คือตัวตนที่ค้นหา?"

พอเราผ่านยุคหนึ่งของเรา เราจะหามันอยู่เรื่อย ครั้งหนึ่งผมอยากจะเป็นนักเลง อยากเป็นมาเฟีย อยากเดินบนถนนนักเลง พอผ่านไป เติบโตขึ้น ผมพบว่าเราเปลี่ยนไปอีก มนุษย์เราไม่สามารถที่จะมีเพียงแค่สถานภาพใดสถานภาพหนึ่ง

ผมยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ กาละ และเทศะ หมายถึงว่าในพื้นที่นั้นเวลานั้นเราควรวางตัวอย่างไร มีชีวิตอยู่อย่างไร

ในร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ ผมยังเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ ยังทำงาน "ลวกๆ" ของผมต่อไป

แต่เมื่อผมอยู่หน้าสมุดของผม ผมก็จะเป็นกวีเป็นนักเขียน


- "เป็นศิลปิน?"

ไม่รู้ เป็นคนธรรมดาที่ขายก๋วยเตี๋ยว และเขียนบทกวีได้...

...เอาเป็นว่า เป็นกวีที่เสือกขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดได้

"ผมชอบทั้งสองอย่าง เพราะมันคือผม"

หน้า 17


http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01fun01090950&day=2007-09-09&sectionid=0140
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2007, 09:22 โดย aiwen^mei » บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
irq5
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,149



« ตอบ #9 เมื่อ: 09-09-2007, 15:05 »

 

หมี่เป็น ผู้ชายในตาสนิมเหล็ก

^ ^ คนบ้านเดียวกัน

อ่านนิยายเหมือนกันอีกด้วย

  จะยังจำ ไกด์ผี  , ผู้หญิงหลังเที่ยงคืน ของต๊ะท่าอิฐได้มั๊ยเนี่ย

- -!  หนังสืออื่น ก็อ่านคล้ายๆกัน

หรือว่าที่บ้านผมไปเหมามือสองจากบ้านเค้าหว่า   

ถ้าใครอยู่หลุดโลกสมัยยังมีวรรณกรรมหลุดโลกต้องจำเค้าได้แน่ครับ
บันทึกการเข้า

.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMddMMMs..
.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMssMMMMs..
.:Mddddddddddddddddddddddddddo+ddddNs..
.:M................................................hs..
.:M.............//:................//:.............hs..
.:M...........:MMs.............NMd............hs..
.:M................................................hs..
.:M................................................hs..
.:M.............yNNNNNNNNNN................hs..
.:M.................................................hs..
.:dyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyho..

....W..W::W:...AAA...NN...N...TTTTT..EEEEE...DDD..........
.....Ww.wW...AAAA..N..N..N......T.....EEE......D....D.......
.....-W...W...A......A N....NN......T.....EEEEE...DDD..........
. . . . . . . . . . . . thaksin shinawatra
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #10 เมื่อ: 13-09-2007, 19:31 »

  * เพิ่งจะรู้ว่า ... คุณพี่แกขาย   หมี่เป็ด   จริง ๆ 

   ( ตอนแรกที่ได้ยินชื่อยังนึกแปลกใจ ... ว่าอารมณ์ไหนเนี่ยยถึงเลือกใช้ชื่อนี้ )

   ไปอ่านเรื่องราวในหนึ่งวันของคนขายหมี่เป็ด ( ที่เป็นกวี ) มา ...... ที่เวปหนึ่ง

   เค๊าเอาบทกวีที่ชื่อ
      ‘นิพพานในร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์’     มาแปะให้อ่าน

   ขออนุญาตเอามาแปะที่นี่ด้วย  ....  นะจ๊ะ


           ๑).แป้งในถังนวด
       
       คือแป้งขาวขาวกับไข่ไก่.............อยู่ในถังสเตนเลสใบเขื่อง
       เป็นงานไข่กับแป้งใช้แรงเปลือง........ปฐมบทหมี่เหลืองศิริวัฒน์!
       แล้วจึงมือสองข้างจ้วงกลางแป้ง.....โถมด้วยแรงวัยหนุ่มขยุ้มอัด
       กวนบี้คุ้ยกำขยำยัด.................ด้วยกล้ามเนื้อทุกมัดเข้าจัดทำ
       จนเป็นแป้งเนื้อเดียวอันเหนียวนุ่ม.....ขณะเหงื่อวัยหนุ่มก็ชุ่มฉ่ำ
       วิทยุอย่าขอเพลงหมอลำ............และซ้ำซ้ำ สลา คุณาวุฒิ
       
       ๒).ทุ่นกระทบแป้ง
       
       คือความเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งยวด....ความเมื่อยปวดลามลุกไปทุกจุด
       น้ำในหูเอียงเทจนเซซุด....................ยังก้มหน้างุดงุดยังทำงาน
       เทแป้งลงกระบะในเครื่องตี..........ลมหายใจหอบถี่นั้นฟุ้งซ่าน
       ความเหน็ดเหนื่อยนักอันดักดาน.........ชั่วโมงอันยาวนานแสนนานยาว
       เสียงทุ่นกระทบแป้งดังตึงตัง........ฟุ้งทั้งแป้งป่นจนโพลนขาว
       กลบเสียงโฆษณาที่ปาวปาว........กลบข่าวโจรใต้ฆ่ารายวัน
       อยู่กับความอึกทึกอันกึกก้อง.......ในห้องที่ปิดมิดชิดกั้น
       พบตนเองโซมเหงื่อจนเนื้อมัน....กำลังฝันถึงไหนก็ไม่รู้
       สะดุดถังสแตนเลสที่ข้างตัว........เจ็บหัวแม่เท้าจนครางอู้
       ตกใจ ภวังค์ง่วงก็ร่วงกรู.............เหลือบดูทุ่นเหล็กแล้วขนลุก!

       
       ๓).แป้งที่รีดจนบางเรียบ
       
       ชีวิตมีอันตรายอยู่รอบตัว........................ง่วงงัวเงียงงก็จงปลุก
       เหนื่อยเป็นเหนื่อยท้อเป็นท้อทุกข์เป็นทุกข์.........ให้รู้ทุกสภาวะของชีวิต
       เช่นที่ตีแป้งเหนียวเนื้อเดียวกัน..................มันราบเรียบเนียนสนิท
       ให้รีดแบนแผ่นบางทีละนิด...................... ค่อยค่อยบิดลูกโม่ทีละน้อย
       ค่อยค่อยเป็นค่อยค่อยไปอย่างที่เป็น........ ตาเห็นหูยินให้บ่อยบ่อย
       ลูกโม่หมุนรอยรอบซ้ำรอบรอย................ นับร้อยร้อยรอบจนพอดีบาง
       ต้องให้บางพอดีอย่างที่เป็น.................... เพื่อการตัดเป็นเส้นสวยสล้าง
       มิให้บางหรือหนาเกินกว่าบาง................... เพื่อมือสางเส้นสวยได้ด้วยดี
       คือการงานจากไข่และจากแป้ง................ โถมด้วยแรงจนเส้นกลายเป็นหมี่
       ลุล่วงลงตัวด้วยพอดี.............................. ไม่มีมากน้อยจนเกินไป
       เพราะจิตขณะนั้นได้ดำดิ่ง...................... ภาวะสงบนิ่งมิติงไหว
       จึงคล้ายคล้ายการงาน การหายใจ............ กำหนดกันและกันไว้อยู่ในที
       
       ๔).หมี่เหลืองศิริวัฒน์
       
       กลายเป็นการงานอันแสนสุข................ ตื่นปลุกเบิกบานในหน้าที่
       วันเป็นวันเดือนเป็นเดือนปีเป็นปี ............คนขายหมี่จะไปนิพพานแล้ว


   เออ ... เนาะ  อารมณ์  กวี  เนี่ยยยมันไม่จำกัดจริง ๆ ด้วย ....

   ว่าอาชีพหลัก หรือ รอง  ของใครคืออะไร .........
   แต่คุณพี่คาเมะ .... จขกท.   เมื่อไหร่จะได้ ซีไรท์ กะเค๊ามั่งละเนี่ยยย
   
บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
อังศนา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,860


Can't fight the moonlight!


เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 13-09-2007, 20:34 »

..ข้าพเจ้าอดนึกถึงคราวเคราะห์หามยามร้ายของตัวเองหนนั้นไม่ได้ 
นอกจากโดนคนห้องสมุดบางคนปะหงับปากด่าซะแสบไส้แล้ว ยังโดนกวีซีไรท์คนนี้
ดูแคลนอีกด้วยว่าเป็นพวกสาวแก่แม่หม้ายห้องกวีการเมืองแต่ไม่มีความรู้เรื่องการเมือง
แถมชั้นเชิงโคลงก็จืดชืดน่าเบื่อ.. หุ หุ

..หวังแต่ว่าจะไม่ซวยกะลุดม้อแบบนั้นอีก ยังไงก็ตามข้าพเจ้ารู้สึกพึงใจอยู่ลึกๆ 
ที่มีโอกาสได้เห็นคนบางคนโดนกรรมตามสนอง ด่าคนอื่นเขาไว้เยอะ พอวันดีคืนดี
จึงโดนถล่มเข้าบ้าง กระทู้ยาวเหยียดหลายร้อยคูหา อ่านกันตาแทบพลัด.. ฮิ ฮิ

(ปล. ย่อหน้าหลังนี้ไม่เกี่ยวกับกวีซีไรท์เพื่อนคุณเฟร็ดดี้คาเมหรอกนะคะ)   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-09-2007, 21:15 โดย อังศนา » บันทึกการเข้า

แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย 
ดาวยังพราย ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน (จิตร ภูมิศักดิ์)
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #12 เมื่อ: 13-09-2007, 23:25 »



..หวังแต่ว่าจะไม่ซวยกะลุดม้อแบบนั้นอีก ยังไงก็ตามข้าพเจ้ารู้สึกพึงใจอยู่ลึกๆ 
ที่มีโอกาสได้เห็นคนบางคนโดนกรรมตามสนอง ด่าคนอื่นเขาไว้เยอะ พอวันดีคืนดี
จึงโดนถล่มเข้าบ้าง กระทู้ยาวเหยียดหลายร้อยคูหา อ่านกันตาแทบพลัด.. ฮิ ฮิ




หูผึ่ง...ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่...

ไม่รู้เป็นไง เรื่องของชาวบ้านเนี่ย ชอบอยากจะรู้จริง จริ๊งงงงง
 
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #13 เมื่อ: 16-09-2007, 18:55 »

 
..หวังแต่ว่าจะไม่ซวยกะลุดม้อแบบนั้นอีก ยังไงก็ตามข้าพเจ้ารู้สึกพึงใจอยู่ลึกๆ 
ที่มีโอกาสได้เห็นคนบางคนโดนกรรมตามสนอง ด่าคนอื่นเขาไว้เยอะ พอวันดีคืนดี
จึงโดนถล่มเข้าบ้าง กระทู้ยาวเหยียดหลายร้อยคูหา อ่านกันตาแทบพลัด.. ฮิ ฮิ

(ปล. ย่อหน้าหลังนี้ไม่เกี่ยวกับกวีซีไรท์เพื่อนคุณเฟร็ดดี้คาเมหรอกนะคะ)   



*  เอ้ ... คิดว่า   

    เอ้ .........   เข้าใจเนาะว่าพี่  อังศนา  หมายถึงใคร    ^_^

    และอาจจะเข้าใจความรู้สึกบ้างเล็ก ๆ  ........ ว่าคิดยังไง  ( เดาเอานะแหละ )

    วันดีคืนดี .........  เอ้  จะไปหาไรหม่ำในเวลาค่ำๆ ช่วงวันเสาร์ที่ร้านบารนีฯ

    เพราะเป็นเวลาดี .... ที่ ฝ่ายรักแม้วมากัน ตรึม

    กะว่าจะไปเยี่ยมเยือน ... พี่ ๆ บางคนในฟากตรงข้ามที่เคยเสวนากันมาก่อน

    รวมถึงพี่บางคนที่เวลาเปลี่ยน .... ความคิดเปลี่ยน ... ด้วย !!

    เอาใจช่วย พี่อัง  ฮับ ...
 

บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
อังศนา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,860


Can't fight the moonlight!


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 19-09-2007, 21:15 »

หูผึ่ง...ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่...

ไม่รู้เป็นไง เรื่องของชาวบ้านเนี่ย ชอบอยากจะรู้จริง จริ๊งงงงง
 


อิอิ.. จ้างก็ไม่บอกหรอกค่ะ 
ไปหากระทู้แนะนำเก่าๆ ของห้องสมุดอ่านเองเต๊อะ
บอกไปเดี๋ยวจะมีปากตะไกรมาหาเรื่องไล่แง้บๆ ข้าพเจ้าอีก ..กัววว!



   
..............................................................

    เอาใจช่วย พี่อัง  ฮับ ...
 


ขอบคุณค่ะ น้องเอ้ 
เมนูใหม่ที่อยากแนะนำ โรตีแฮมชีสนะคะ
วันเสาร์ก่อนพี่ไปกินกับเพื่อนๆ ..ซัดซะพุงกาง

ปล. ข้าพเจ้าก็มาขุดหากระทู้เก่าอ่านเหมียนกัน

บันทึกการเข้า

แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย 
ดาวยังพราย ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน (จิตร ภูมิศักดิ์)
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #15 เมื่อ: 06-10-2007, 14:59 »

เลี้ยงกันจนมึน ทั้งคนเลี้ยง คนถูกเลี้ยง ไม่รู้กี่งานแล้ว
แต่เมื่อคืนนี้ (5 ตค.) รู้สึกจะเป็นงานสุดท้ายแล้วมังครับ
เพราะหลังจากนี้ กวีซีไรท์คนล่าสุด มนตรี ศรียงค์
ก็จะต้องเข้าห้องหอ(นอน)โอเรียนเต็ล
ร่วมปฏิบัติกิจกรรม กับซีไรท์ชาติอื่น ๆ ตามที่เจ้าของรางวัล โรงแรมโอเรียนเต็ล กำหนดไว้
เป็นเวลา หนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ

ทางบริษัทเคล็ดไทย(ผู้จัดจำหน่าย)และ สนพ.สามัญชน(ผู้จัดพิมพ์)
จึงจัดเลี้ยงอย่างเป็นทางการส่งท้ายให้
โดยงานนี้ พ่วงฉลองรางวัลศิลปาธร ให้กับนักเขียนอีกท่าน คือ คุณศิริวร แก้วกาญจน์ ด้วย
(คุณศิริวร จะอ้างอยู่เสมอว่า เป็นน้องชายแท้ ๆ ของพี่แจ้-ดนุพล แก้วกาญจน์ แต่ไม่มีใครเชื่อ)


มีภาพบรรยากาศ เล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝาก ครับ


พิธิกรในงาน คุณคมสัน นันทจิต (รู้สึกวงการนี้ จะมีพิธีกรอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะงานบวช งานแต่งใคร ก็..คมสัน เหมาหมด)



ภาพบนเวทีไม่ต้องไปสนใจนะครับ ให้ดูด้านล่างคนขวาสุด ว่า ไผ...คุ้น ๆ



ไม่ใช่ใครที่ไหน และไม่ได้มาผิดงานหรอกครับ อ. ส.ศิวรักษ์ (ขวัญใจคุณพรรณชมพู)
ถูกงาน เลยล่ะ เพราะโดยนิตินัยแล้ว บริษัทเคล็ดไทย ก็อาจารย์ ส. นั่นแหละเป็นเจ้าของ
งานนี้อาจารย์แกรับเป็นเจ้าภาพ เหมาร้านอาหารนิวออร์ลีน ย่านผ่านฟ้า จัดฉลองให้
แถมยังมีใจเมตตา ขนไวน์ 1 ลัง มาให้คอไวน์ลิ้มชิมรส
ไวน์ของอาจารย์ ส. (ที่แกคุยว่าเป็นไวน์ที่แกกินประจำ) ผมลอง ๆ ชิมดู (รู้สึกจะชิมไปประมาณขวดกว่า ๆ)
แล้วก็ อืมมมม รสนิยมอาจารย์ เป็นอย่างนี้นี่เอง 5 5 5

อาจารย์แกขึ้นไปพูดบนเวที ตลกมาก
หัวเราะกันทั้งงาน
แกบอก จริง ๆ ไม่ใช่ฉลองซีไรท์ให้ใครหรอก
เป็นงานฉลองหนังสือต้องห้าม 6 ตุลา ของแกต่างหาก



กวีหมี่เป็ด (ที่กลายเป็นกวีซีไรท์) มนตรี ศรียงค์
ขึ้นกล่าวบนเวที
ที่เห็นหน้าตาดูเคร่งเครียด ซีเรียส ไม่ใช่เพราะยังเคียดแค้นคนแถวนี้ ที่ไปขโมยกวีเขาหรอกนะครับ
เรื่องนั้น พี่หมี่แกบอก อโหสิ ให้แล้ว
คุณมนตรีทำหน้าจริงจัง ประกอบการอ่าน "ปาฐกถา" ที่จริง ๆ บอกว่าจะเอาไปอ่านในงานพระราชทานรางวัลซีไรท์
แต่เพื่อเป็นเกียรติแก่ อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ จึงนำมากล่าวในวันนี้เสียเลย



หลังจากหมี่เป็ดปาฐกถาจบ ศิริวร แก้วกาญจน์ ขึ้นกล่าวบ้าง
สองคนนี้ มีอะไรกินนัยกันอยู่
ศิริวรมักจะอ้างว่า รางวัลซีไรท์เป็นรางวัลไพร่(รางวัลโรงแรม) รางวัลศิลปาธรของเขาสิ เป็นรางวัลเจ้า
มนตรีจึงเป็นแค่ กวีไพร่ ส่วนเขา เป็นกวีราชสำนัก 5 5 5

รูปเก็บตก มีแค่นี้แหละครับ
รูปบรรยากาศ ผู้มาร่วมงานคนอื่น ๆ
ขีเกียจเอามาลง พวกคนดัง คนมีชื่อเสียง เอาใจยาก
เอารูปมาลง ก็หาว่ารุกล้ำความเป็นส่วนตัว


ปล.เด๋วไฟท์หน้า ว่าจะไปถ่ายรูปเตียงนอนในโอเรียนเต็ลมาให้ดูครับ
เพราะก็ไม่เคยเห็นเป็นบุญตาเหมือนกัน ว่าห้องนอน เตียงนอน อ่างล้างหน้า โถส้วม
ในห้องราคาคืนละเป็นแสน หน้าตามันเป็นยังไง

 
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
ไทมุง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,543



« ตอบ #16 เมื่อ: 06-10-2007, 15:58 »



ไม่ใช่ใครที่ไหน และไม่ได้มาผิดงานหรอกครับ อ. ส.ศิวรักษ์ (ขวัญใจคุณพรรณชมพู)
ถูกงาน เลยล่ะ เพราะโดยนิตินัยแล้ว บริษัทเคล็ดไทย ก็อาจารย์ ส. นั่นแหละเป็นเจ้าของ
งานนี้อาจารย์แกรับเป็นเจ้าภาพ เหมาร้านอาหารนิวออร์ลีน ย่านผ่านฟ้า จัดฉลองให้
แถมยังมีใจเมตตา ขนไวน์ 1 ลัง มาให้คอไวน์ลิ้มชิมรส
ไวน์ของอาจารย์ ส. (ที่แกคุยว่าเป็นไวน์ที่แกกินประจำ) ผมลอง ๆ ชิมดู (รู้สึกจะชิมไปประมาณขวดกว่า ๆ)
แล้วก็ อืมมมม รสนิยมอาจารย์ เป็นอย่างนี้นี่เอง 5 5 5


อาจารย์ ส.ก็ไปแฮะ ตอนนั้นรู้ยัง เรื่องสันติบาลตามเก็บหนังสือค่อนศตวรรษฯ


ปล.ถึงพี่อังฯ ช่างมันเถอะ พวกกวีใจแคบหน่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: