รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่มี ส.ว. จาก กทม.?โดย สุรวุฒิ ยุทธชนะเมื่อปรากฏผลเป็นที่แน่ชัดว่าการลงประชามติในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550
ฝ่ายที่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับลงประชามติ มีมากกว่าฝ่าย
ที่ไม่เห็นชอบ ซึ่งจะมีผลให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะต้องถูกประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป
ประเด็นปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2550 อยู่ที่ว่า กรุงเทพมหานครจะมี ส.ว. หรือไม่ ก็ขึ้น
อยู่การตีความตาม มาตรา 111 ซึ่งว่าด้วยจำนวนของวุฒิสภา
ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับลงประชามติ
มาตรา 111 (วรรคหนึ่ง) บัญญัติไว้ว่า "วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนหนึ่งร้อย
ห้าสิบคน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละหนึ่งคน และมาจากการ
สรรหาเท่ากับจำนวนรวมข้างต้น หักด้วยจำนวนวุฒิที่มาจากการเลือกตั้ง"
หากพิจารณาตามหลักของมาตรา 111 แล้วจะเห็นได้ว่า วุฒิสภาจะแบ่งที่มาออกเป็น
2 ส่วน คือมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละคน แล้วเอาจำนวนที่ได้ลบออกจากจำนวนเต็ม
คือ 150 คน ที่เหลือจึงจะเป็นอัตราส่วนของวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา
กรุงเทพมหานคร เป็นจังหวัดหรือไม่ ถ้าหากพิจารณาดูจากกฎหมายปกครองต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะพบว่า
ไม่มีกฎหมาย
ปกครองฉบับใดเลยที่บอกว่ากรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นจังหวัดตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่ม
เติม ถึง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2546 ได้จัดให้ระเบียบบริหารราชกการแผ่นดินแบ่งออก
เป็น 3 ส่วน ดังความตามมาตรา 4 และมาตรา 70 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
มาตรา 4 ให้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินดังนี้
(1) ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง
(2) ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค
(3) ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
มาตรา 70 ให้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นดังนี้
(1) องค์การบริหารส่วนจังหวัด
(2) เทศบาล
(3) สุขาภิบาล
(4) ราชการท้องถิ่นอื่นตามที่กฎหมายกำหนด
*ปัจจุบันสุขาภิบาลได้ยกฐานะเป็นเทศบาล*
และตามความใน
พระราชบัญญัติ กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 4 (วรรคหนึ่ง) บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 4
"องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" หมายความว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด
องค์การบริหารส่วนตำบล
กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้ง
รวมทั้ง
พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ก็กล่าวถึง
กรุงเทพมหานครไว้ว่า กรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามความ
ในมาตรา 3 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
"องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" หมายความว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล
องค์การบริหารส่วนตำบล
กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
อื่นที่มีกฎหมายจัดตั้ง
จะเห็นได้ว่าในเมื่อ
กรุงเทพมหานครมิได้มีฐานะเป็นจังหวัดแล้วกรุงเทพมหานครจะมี
ส.ว. ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้อย่างไร เพราะสถานภาพ
ของกรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักกฎหมายดังที่ได้
กล่าวมาแล้วข้างต้น
ในอีกประเด็นหนึ่ง
ถ้าให้กรุงเทพมหานครมี ส.ว. ได้ แล้วทำไมไม่ให้เมืองพัทยาซึ่ง
เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลักษณะพิเศษเหมือนกรุงเทพมหานครมี ส.ว. ได้บ้างคงเป็นคำถามที่ยากจะตอบด้วยข้อเท็จจริงทางกฎหมาย
ตามทรรศนะของผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งที่มีมติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับลงประชามติ แต่เพื่อเป็นการป้องกันไม่เกิดปัญหาขึ้น
ในอนาคต เพราะ
ประเทศไทยเราใช้ระบบกฎหมายที่เรียกว่า ระบบกฎหมายลายลักษณ์
อักษร (CIVIL LAW) ซึ่งต้องตีความกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร ในเมื่อสถานะของ
กรุงเทพมหานครไม่ได้เป็นจังหวัด เป็นแต่เพียงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถ้าหากมี
การเลือกตั้ง ส.ว. ในเขตกรุงเทพมหานครแล้ว ต่อมามีผู้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ฐานะของกรุงเทพมหานคร ว่าเป็นจังหวัดหรือไม่ ก็จะทำให้ปัญหาต่างๆ ตามมาอีก
มากมาย มีผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม เพื่อให้บ้านเมืองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย
โดยเร็ว พร้อมทั้งมีรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ ผู้เขียนจึงใคร่เสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาดัง
กล่าว ไว้ 2 แนวทาง ดังนี้
แนวทางที่ 1 ให้ผู้ที่มีอำนาจหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณา
จักรไทย ฉบับลงประชามติ ควรยื่นให้ตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันตีความในประเด็น
นี้เสียก่อนที่รัฐธรรมนูญจะมีผลใช้บังคับ
แนวทางที่ 2 ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้ความหมายของคำว่า "จังหวัดละหนึ่งคน"
ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 111 ไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ให้ชัดเจนว่า
กรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 111 หรือไม่
ยังคงมีเวลาเพียงพอที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะช่วยกันประคับประคองให้ระบอบ
ประชาธิปไตยเดินไปได้ด้วยดี ดีกว่าปล่อยให้คาราคาซังหาคำตอบไม่ได้
ปล่อยให้ประเด็นปัญหาทางกฎหมายเกิดขึ้นในอนาคตโดยไม่จำเป็น
มติชน วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10762http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act02280850&day=2007-08-28§ionid=0130
แนวทางที่ 1 สายเกินไป รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับแล้ว
เหลือแต่แนวทางที่ 2 รอ "สภาตั้งกันเองเป็นเทวดาปาหี่ มีน้อยใช้สอยประหยัด
เป็นมันตนละสามสี่ตำแหน่ง แย่งกันทำชาติล่ม แล้วบอกมากู้" ดำเนินการ