ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 17:49
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  เห็นพูดถึงกันว่า ทำไมไม่มีใครกล้าเชียร์อภิสิทธิ์มั่ง มีแล้วคน ดิ้นพล่านกันใหญ่ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
เห็นพูดถึงกันว่า ทำไมไม่มีใครกล้าเชียร์อภิสิทธิ์มั่ง มีแล้วคน ดิ้นพล่านกันใหญ่  (อ่าน 2742 ครั้ง)
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« เมื่อ: 27-08-2007, 09:26 »

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P5755868/P5755868.html
 แค่อภิสิทธิ์ยิงสปอตวาระประชาชน คนในนี้ถึงกับดิ้นพรวดพราด ถึงกับสแลงใจ ทนดูกันไม่ได้

 ขายกันที่นโยบายดี แข่งกันที่วิสัยทัศน์เยี่ยม เติมแต่งด้วยการตลาดจนใสปิ๊ง
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวิต นักการเมืองแห่งอนาคตอันไกลยอดผู้นำ

อยู่ฟรี กินฟรี เรียนฟรี รักษาฟรี ตายฟรี

ประชาชนต้องมาก่อน เลือกประชาธิปัตย์ก่อน ทำได้ไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง
ขออาสาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับไม่มีสัจจะในหมู่โจร
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #1 เมื่อ: 27-08-2007, 09:36 »

จะฟันธงเรื่องอนาคตให้เนียน...ก็ต้องหันกลับมาดูอดีตและปัจจุบันของคนนั้นๆ มาร์คเคยมีผลงานอะไรในการบริหารงานในตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกฯ?  เคยมีส่วนกำหนดนโยบายของปชป.ที่โดดเด่นอะไรบ้าง? เคยมีพฤติกรรมต่อต้านเผด็จการทหารหรืออย่างน้อยๆเพิกเฉยต่อการทำรัฐประหารสักครั้งไหม!?!


อยู่ๆจะมาบังคับให้คนไทยเค้าลงคะแนนให้ อยู่ๆจะให้สื่อเลวมาตัดสินมอบตำแหน่งนายกฯให้ลอยๆ และอยู่ๆจะไม่ให้คนไทยขุดสันดานของผู้ที่กระสันต์อยากเป็นนายกฯจนตัวสั่น....มันมากไปม้างงงง!!
บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #2 เมื่อ: 27-08-2007, 09:45 »

ผมไม่ได้แก้้ตัวแทนอภิสิทธิ์นะ อาจารย์จ๊ะ

มองมาร์คเป็นประชาชนทั่วไปที่มีความยินดีปรีดากับการรัฐประหารทักษิณก็ได้

แต่มาร์คไม่เคยไปพินอบพิเทาเผด็จการขอดาวเทียมด้วยนา

สมัครเองก็ไม่เคยต่อต้านเผด็จการด้วย
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #3 เมื่อ: 27-08-2007, 09:53 »

ผมไม่ได้แก้้ตัวแทนอภิสิทธิ์นะ อาจารย์จ๊ะ

มองมาร์คเป็นประชาชนทั่วไปที่มีความยินดีปรีดากับการรัฐประหารทักษิณก็ได้

แต่มาร์คไม่เคยไปพินอบพิเทาเผด็จการขอดาวเทียมด้วยนา

สมัครเองก็ไม่เคยต่อต้านเผด็จการด้วย


อย่าลืมเป็นอันขาดว่าโลโก้ของปชป.ก็คือ การต่อต้านเผด็จการทหารมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี หากผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคมีพฤติกรรมสนับสนุนการทำรัฐประหารก็คือว่าเป็นการฉีกวัฒนธรรมและพันธกิจของสถาบันอย่างไม่น่าให้อภัย


แค่หลักการพื้นๆเรื่องเดียวแค่นี้...คนไทยก็รับไม่ได้หรอกครับ!!
บันทึกการเข้า
varada
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,193



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 27-08-2007, 09:55 »

ไม่เชียร์แต่จะเลือกค่ะ
บันทึกการเข้า
best
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 201


« ตอบ #5 เมื่อ: 27-08-2007, 10:18 »

จะออกนโยบายเลิศหรูอลังการ เพ้อฝันแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ทำได้ไม่ได้ไม่รู้

มันก็แค่การประชาสัมพันธ์หลงยุคของพรรคการเมืองนึงเท่านั้น

แต่ก็ยังมีคนหลงเชื่ออีกเยอะ

บันทึกการเข้า
irq5
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,149



« ตอบ #6 เมื่อ: 27-08-2007, 10:45 »

 

อย่าเชียร์ให้เวอร์เกินหละครับ

ไม่งั้นมาร์คอาจได้เที่ยวยุโรปไม่มีกำหนดกลับแบบทักกี้อีกคน
บันทึกการเข้า

.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMddMMMs..
.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMssMMMMs..
.:Mddddddddddddddddddddddddddo+ddddNs..
.:M................................................hs..
.:M.............//:................//:.............hs..
.:M...........:MMs.............NMd............hs..
.:M................................................hs..
.:M................................................hs..
.:M.............yNNNNNNNNNN................hs..
.:M.................................................hs..
.:dyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyho..

....W..W::W:...AAA...NN...N...TTTTT..EEEEE...DDD..........
.....Ww.wW...AAAA..N..N..N......T.....EEE......D....D.......
.....-W...W...A......A N....NN......T.....EEEEE...DDD..........
. . . . . . . . . . . . thaksin shinawatra
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 27-08-2007, 10:47 »

จะออกนโยบายเลิศหรูอลังการ เพ้อฝันแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ทำได้ไม่ได้ไม่รู้

มันก็แค่การประชาสัมพันธ์หลงยุคของพรรคการเมืองนึงเท่านั้น

แต่ก็ยังมีคนหลงเชื่ออีกเยอะ



แล้วทำไม๊ ทำไม ทีไอ้แม้วออกนโยบาย เพ้อฝัน เลิศหรู อลังการ ถึงมีคนเชื่อเอาๆว๊าาาา 

อย่างนี้มัน 2 มาตรฐานหรือเปล่าน๊ออออออออออ 
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #8 เมื่อ: 27-08-2007, 11:48 »

แหมมมมมมมมมม ก็ดูตัวเลือกแต่ละคนซิค่ะ หัวหน้าพรรคแต่ละพรรคก็แทบจะหามลงโลงกันอยู่แล้ว

ใกล้ฝั่งแถมปากยังถามหาฝั่งเร็วๆๆนี้

บางคนใกล้ฝั่งก็ชอบกินหมูฉลาม เป็นปลาไหล


บางคนชื่อเล็กๆ แต่ก็สมองยังเล็ก ลืมนั้นลืมนี้ลืมคำพูดตัวเอง เกือบชาติย่อยยับ

แล้วพี่มาร์คผิดตรงไหน พี่มาร์คออกจะหล่อเท่ห์ ผลงามมันต้องดูเมื่อตอนคนเขามีโอกาสทำ ไม่ใช่เขายังไม่ทำก็ออกมาสกัดกั้นกัน แต่ไอ้พวกมีโอกาสโชว์ ผลงานออกมามันก็แค่กระดาษแผ่นเดียว แล้วยังโชว์ผลงานการคอลั่ปชั่นอย่างลือลั่นทั่วโลก


เวรกรรมของประเทศจริงๆๆนะ
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #9 เมื่อ: 27-08-2007, 11:52 »

จะออกนโยบายเลิศหรูอลังการ เพ้อฝันแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ทำได้ไม่ได้ไม่รู้

มันก็แค่การประชาสัมพันธ์หลงยุคของพรรคการเมืองนึงเท่านั้น

แต่ก็ยังมีคนหลงเชื่ออีกเยอะ



ทำไม่ได้ ก็ยังไม่เท่าไหร่.....แต่ที่นโยบาย เลิศหรู แล้วทำได้ .แต่ชาติ ฉิบหาย นี่ มันเหลือทนจริง ๆ .....

 
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #10 เมื่อ: 27-08-2007, 12:37 »

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P5755868/P5755868.html
 แค่อภิสิทธิ์ยิงสปอตวาระประชาชน คนในนี้ถึงกับดิ้นพรวดพราด ถึงกับสแลงใจ ทนดูกันไม่ได้

 ขายกันที่นโยบายดี แข่งกันที่วิสัยทัศน์เยี่ยม เติมแต่งด้วยการตลาดจนใสปิ๊ง
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวิต นักการเมืองแห่งอนาคตอันไกลยอดผู้นำ

อยู่ฟรี กินฟรี เรียนฟรี รักษาฟรี ตายฟรี

ประชาชนต้องมาก่อน เลือกประชาธิปัตย์ก่อน ทำได้ไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง
ขออาสาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับไม่มีสัจจะในหมู่โจร

อยู่ฟรี กินฟรี เรียนฟรี รักษาฟรี ตายฟรี 
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #11 เมื่อ: 27-08-2007, 12:39 »

อยู่ฟรี กินฟรี เรียนฟรี รักษาฟรี ตายฟรี 

อันสุดท้าย เข้ากับนโยบายตากใบ ในยุคทักษินเลย  
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
samepong(ยุ่งแฮะ)
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,402



« ตอบ #12 เมื่อ: 27-08-2007, 13:41 »

จะออกนโยบายเลิศหรูอลังการ เพ้อฝันแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ทำได้ไม่ได้ไม่รู้

มันก็แค่การประชาสัมพันธ์หลงยุคของพรรคการเมืองนึงเท่านั้น

แต่ก็ยังมีคนหลงเชื่ออีกเยอะ



ด่าทักษิณได้เนียนมากขอบอก
บันทึกการเข้า

เวลาจะพิสูจน์ความเชื่อ สักวัน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะถูกหรือผิด ผมขอรับไว้ด้วยตัวเอง คิเสียว่าทำแล้วเสียใจดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
watson
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 393


« ตอบ #13 เมื่อ: 27-08-2007, 14:44 »

อยู่ฟรี กินฟรี เรียนฟรี รักษาฟรี ตายฟรี 
อันหลังเนี่ย รู้สึกจะเป็นนโยบายของทุกรัฐบาลที่ผ่านมาเลยนะครับ
บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #14 เมื่อ: 27-08-2007, 14:48 »


อย่าลืมเป็นอันขาดว่าโลโก้ของปชป.ก็คือ การต่อต้านเผด็จการทหารมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี หากผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคมีพฤติกรรมสนับสนุนการทำรัฐประหารก็คือว่าเป็นการฉีกวัฒนธรรมและพันธกิจของสถาบันอย่างไม่น่าให้อภัย


แค่หลักการพื้นๆเรื่องเดียวแค่นี้...คนไทยก็รับไม่ได้หรอกครับ!!


อาจารย์จ๊ะ
คนที่แสดงตัวสนับสนุนการรัฐประหารจริงๆที่เห็นก็มีแค่ สนธิ ลิ้ม นะ

ทุกคนที่เหลือก็เสียใจครับ ที่ระบอบทักษิณพาประเทศกลับมาเจอวังวนนี้

โทษใครได้ครับ
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
สมปอง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,128



« ตอบ #15 เมื่อ: 27-08-2007, 14:51 »

อาจารย์จ๊ะ
คนที่แสดงตัวสนับสนุนการรัฐประหารจริงๆที่เห็นก็มีแค่ สนธิ ลิ้ม นะ

ทุกคนที่เหลือก็เสียใจครับ ที่ระบอบทักษิณพาประเทศกลับมาเจอวังวนนี้

โทษใครได้ครับ
บันทึกการเข้า



ไม่มีดินผืนใดให้ไออุ่น เท่ากับดินที่คุณถือกำเนิด
ไม่มีดินผืนใดดูมั่นคง เท่ากับดินที่ลงสำมะโนครัว
ไม่มีดินผืนใดให้คุณเดิน เท่ากับดินที่คุณเดินตอนตั้งไข่
ไม่มีดินผืนใดมีความหมาย เท่าแผ่นดินสุดท้ายของเผ่าพันธุ์

ไม่มีเงินไม่มีทองยังไม่หมองเศร้า
มีแผ่นดินปลูกข้าวเราอยู่ได้
ไม่มีเงินไม่มีทองค่อยหาใหม่ บนแผ่นดินสุดท้ายของไทยทุกคน
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #16 เมื่อ: 27-08-2007, 14:53 »

อาจารย์จ๊ะ
คนที่แสดงตัวสนับสนุนการรัฐประหารจริงๆที่เห็นก็มีแค่ สนธิ ลิ้ม นะ

ทุกคนที่เหลือก็เสียใจครับ ที่ระบอบทักษิณพาประเทศกลับมาเจอวังวนนี้

โทษใครได้ครับ


ไม่ว่าแป๊ะลิ้ม ประสงค์ ประชัย อภิสิทธิ์ ป้าย่น  สัก  แก้วสรร ชัยอนันต์ ฯลฯก็พวกเดียวกันหมดที่อยู่ในขบวนการโค่นทักษิณ....จะยอมรับกันหรือไม่ก็ให้ดูที่พฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้ในช่วงปี 2548 - 2549 มีสักครั้งเดียวไหมที่บุคคลดังกล่าวเคยออกมาสนับสนุนคุณทักษิณสักครั้งเดียว!?!
บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #17 เมื่อ: 27-08-2007, 15:15 »


ไม่ว่าแป๊ะลิ้ม ประสงค์ ประชัย อภิสิทธิ์ ป้าย่น  สัก  แก้วสรร ชัยอนันต์ ฯลฯก็พวกเดียวกันหมดที่อยู่ในขบวนการโค่นทักษิณ....จะยอมรับกันหรือไม่ก็ให้ดูที่พฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้ในช่วงปี 2548 - 2549 มีสักครั้งเดียวไหมที่บุคคลดังกล่าวเคยออกมาสนับสนุนคุณทักษิณสักครั้งเดียว!?!

คนที่มีเหตุผลอยู่คนละข้างกับทักษิณก็มีเยอะแยะ
ประสงค์
ประชัย
อภิสิทธิ์
ป้าย่น  
สัก  
แก้วสรร
ชัยอนันต์

หน้าที่การงานของพวกเขาคือตรวจสอบทักษิณอยู่แล้วนี่ครับ
ขอบใจท้าวที่ลากชื่อพวกนี้ออกมา
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
Eakle
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 132



« ตอบ #18 เมื่อ: 27-08-2007, 15:21 »


ไม่ว่าแป๊ะลิ้ม ประสงค์ ประชัย อภิสิทธิ์ ป้าย่น  สัก  แก้วสรร ชัยอนันต์ ฯลฯก็พวกเดียวกันหมดที่อยู่ในขบวนการโค่นทักษิณ....จะยอมรับกันหรือไม่ก็ให้ดูที่พฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้ในช่วงปี 2548 - 2549 มีสักครั้งเดียวไหมที่บุคคลดังกล่าวเคยออกมาสนับสนุนคุณทักษิณสักครั้งเดียว!?!

*** ตาแป๊ะ เคยออกมาชมแม้วครับ อิอิ แต่มันก่อนที่จะทะเลาะกัน ไม่พูดถึง เดี๋ยว แถ+จ๊ะ ในร่างเท้า จะแขวะเอา ***

เอาเป็นว่าเรื่องอภิสิทธฺ์ละกันนะครบ อย่าหลุดประเด็นมั่ว ชอบมามั่วกระทู้คนอื่น ให้ผิดประเด็นเรื่อยเลย คนๆนี้ มันน่าจับมา ตบปาก ตี จริงๆ

คุณเท้า เคยเห็น อภิสิทธิ์ ทำงานในตำแหน่งที่มีส่วนบริหาร จัดการอย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ จังๆ หรือยัง แล้วไปตัดสินเค้า อย่างกับตัวเก่งนักนี่
ก่อนหน้านี้ นโยบาย แม้วเลิศหรู (แต่ผมมองมั่ว) กว่านี้อีก ทำไมชอบกันจัง เชียเข้าไป ทำไม่ได้ก็ไม่ขยายผล ถือว่าไม่มีไรเกิดขึ้น ส่วนไอ้ที่ทำมานั้น
ทำไมไม่ไปขุดขึ้นมาดูบ้างหล่ะ ว่าไอ้ที่ทำไปนั้น มันหมกเม็ด หมกความเน่าเหม็นอะไรไว้ขนาดไหน

ทำไมไม่ให้โอกาศเค้าดูครับ ไม่ดี มันก็จะมีผลตอบรับเองนั่นแหละครับ มันเป็นไปตามกรรม ซึ่งสมัยนี้ติดจรวดซะด้วย เหมือนบางคน
ได้บินไปไหลบ้านเกิดเมืองนอน ยังไม่ได้กลับมาเล้ยยยยยย
บันทึกการเข้า

ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด NO.423
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #19 เมื่อ: 27-08-2007, 15:30 »

คนที่มีเหตุผลอยู่คนละข้างกับทักษิณก็มีเยอะแยะ
ประสงค์
ประชัย
อภิสิทธิ์
ป้าย่น  
สัก  
แก้วสรร
ชัยอนันต์

หน้าที่การงานของพวกเขาคือตรวจสอบทักษิณอยู่แล้วนี่ครับ
ขอบใจท้าวที่ลากชื่อพวกนี้ออกมา


ระบบการตรวจสอบคุณทักษิณจะมีความชอบธรรมตามหลักนิติธรรม หากบุคคลดังกล่าวไม่เคยเสนอแนวความคิดที่เป็นปฎิปักษ์ต่อคุณทักษิณมาก่อนหน้านี้ แต่พฤติกรรมของคนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเค้าไม่ชอบคุณทักษิณ


หากสังคมไทยปล่อยให้พวกอคติชนดังกล่าวทำหน้าที่ตำรวจ+อัยการ...สังคมไทยเราจะกล้าพูดได้เต็มปากว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยเราน่าเชื่อถือได้อย่างไรกันเล่า!?!
บันทึกการเข้า
irq5
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,149



« ตอบ #20 เมื่อ: 27-08-2007, 16:01 »

 

ถ้ามีโจรไล่ข่มขืนฆ่า จนชาวบ้านด่าทุกหัวระแหง

คงไม่มีการตัดสินใดๆเกิดขึ้น เพราะ ศาลต้องเคยด่าโจร และคงเกลียดโจรเข้าไส้
บันทึกการเข้า

.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMddMMMs..
.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMssMMMMs..
.:Mddddddddddddddddddddddddddo+ddddNs..
.:M................................................hs..
.:M.............//:................//:.............hs..
.:M...........:MMs.............NMd............hs..
.:M................................................hs..
.:M................................................hs..
.:M.............yNNNNNNNNNN................hs..
.:M.................................................hs..
.:dyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyho..

....W..W::W:...AAA...NN...N...TTTTT..EEEEE...DDD..........
.....Ww.wW...AAAA..N..N..N......T.....EEE......D....D.......
.....-W...W...A......A N....NN......T.....EEEEE...DDD..........
. . . . . . . . . . . . thaksin shinawatra
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #21 เมื่อ: 27-08-2007, 16:12 »


ระบบการตรวจสอบคุณทักษิณจะมีความชอบธรรมตามหลักนิติธรรม หากบุคคลดังกล่าวไม่เคยเสนอแนวความคิดที่เป็นปฎิปักษ์ต่อคุณทักษิณมาก่อนหน้านี้ แต่พฤติกรรมของคนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเค้าไม่ชอบคุณทักษิณ


หากสังคมไทยปล่อยให้พวกอคติชนดังกล่าวทำหน้าที่ตำรวจ+อัยการ...สังคมไทยเราจะกล้าพูดได้เต็มปากว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยเราน่าเชื่อถือได้อย่างไรกันเล่า!?!


ก่อนหน้าที่กล้าณรงค์อัดทักษิณเรื่องซุกหุ้นเนี่ย
ไม่ทราบว่ากล้าณรงค์ทำไปด้วยอคติส่วนตัวเหรอครับ
คุณหญิงจารุวรรณแกก็ทำงานตรวจเงินแผ่นดินของแกไปปกติ อยู่ดีๆก็มีคนจะหามแกออก
ประสงค์ก็เขียนคอลัมน์วิจารณ์การเมืองก็เป็นเรื่องปกติ
อภิสิทธิ์เป็นฝ่ายค้าน แต่เขาก็ว่าไปตามเหตุผลและหลักฐานที่ปรากฏนี่
แก้วสรร ก็อดีต สว เสียงข้างน้อย ที่ต่อต้านสภาสูงที่โดนครอบงำโดยทักษิณ
ประชัย มันนักธุรกิจ ปล่อยมัน

สัก หรือ ชัยอนันต์ก็ทำตามหน้าที่

แม้ไม่มีอคติ ก็ต้องทำหน้าที่ไล่บี้ทักษิณอยู่แล้วครับ
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: 27-08-2007, 16:19 »

เลือกตั้งที่จะถึงนี้ ผมให้โอกาสปชป.เข้าไปแก้ตัวครับ 
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #23 เมื่อ: 27-08-2007, 16:57 »

????????????????? ????? ????????????
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #24 เมื่อ: 27-08-2007, 17:26 »

ก่อนหน้าที่กล้าณรงค์อัดทักษิณเรื่องซุกหุ้นเนี่ย
ไม่ทราบว่ากล้าณรงค์ทำไปด้วยอคติส่วนตัวเหรอครับ
โชคดีที่คณะผู้มีอำนาจตัดสินคดีซุกหุ้น 1 ไม่มีใครที่เคยประกาศหรือแสดงตัวเป็นศัตรูกับคุณทักษิณ...ผลที่ออกมาเลยรับได้




คุณหญิงจารุวรรณแกก็ทำงานตรวจเงินแผ่นดินของแกไปปกติ อยู่ดีๆก็มีคนจะหามแกออก

แล้วมีคนหามป้าย่นขึ้นเวทีพันธมิตรด่าทักษิณด้วยหรือเปล่า!?! 




ประสงค์ก็เขียนคอลัมน์วิจารณ์การเมืองก็เป็นเรื่องปกติ

เคยมีสักครั้งไหมที่ปีศาจฟันดำชมเชยคุณทักษิณ??? สื่อที่เป็นกลางย่อมเสนอความคิดเห็นทั้ง 2 ด้าน...พวกที่เขียนซ้ำซากด้านเดียวย่อมเป็นอคติชนเท่านั้นเอง




อภิสิทธิ์เป็นฝ่ายค้าน แต่เขาก็ว่าไปตามเหตุผลและหลักฐานที่ปรากฏนี่

เหตุผลอะไรหรือที่ทำให้คุณมาร์คมีแนวคิดสนับสนุนการยึดอำนาจปชช.ผ่านกระบอกปืน? หลักฐานอะไรที่ทำให้คุณมาร์คคิดว่าในหลวงน่าที่จะลงมาเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยคิดเอาเองว่าคนไทยอยากได้นายกฯพระราชทาน!?!




แก้วสรร ก็อดีต สว เสียงข้างน้อย ที่ต่อต้านสภาสูงที่โดนครอบงำโดยทักษิณ

หน้าม้าที่ออกหนังสือโจมตีทักษิณนี่หรือที่บอกว่าเป็นกลาง!?! บทบาทของหน้าม้าในทางสภาสูง...ไม่มีใครเค้าด่าหรอก แต่ที่อุบาทว์ก็คือ ดันมาทำหน้าที่ตรวจสอบไต่สวนคนที่ตัวเองด่าเช้าเย็น น่าเกลียดไปป่าว!?!



ประชัย มันนักธุรกิจ ปล่อยมัน
ก็มันแค้นไงที่ทักษิไม่ปล่อย TPI กลับให้มัน...ตอนนี้มันเลยพยายามทุกทางให้ขิงแก่ใจอ่อน



สัก หรือ ชัยอนันต์ก็ทำตามหน้าที่

2 ตัว + สภาทะแนะทำหน้าที่ด่าทักษิณอย่างบ้าคลั่งมาตลอด มีสักครั้งไหมที่ชมเชยทักษิณ!?!




แม้ไม่มีอคติ ก็ต้องทำหน้าที่ไล่บี้ทักษิณอยู่แล้วครับ

ไล่บี้ในฐานะที่ไม่สามารถให้คุณให้โทษทักษิณในทางคดีความ...เป็นสิ่งที่คนไทยทั่วไปรับได้ แต่มาไล่บี้ในตำแหน่งและอำนาจที่โจรยื่นดาบให้มานี่ ไม่ว่าจะมองจากองศาใด มันไม่ยุติธรรมและไร้จรรยาบรรณโดยสิ้นเชิง
บันทึกการเข้า
irq5
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,149



« ตอบ #25 เมื่อ: 27-08-2007, 18:07 »

 

มิน่าสนธิถึงเป็นผู้นำม๊อบไล่แม้วได้


เพราะเคยรักเคยทะนุถนอม กันมา่ก่อนนี่เอง

 
บันทึกการเข้า

.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMddMMMs..
.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMssMMMMs..
.:Mddddddddddddddddddddddddddo+ddddNs..
.:M................................................hs..
.:M.............//:................//:.............hs..
.:M...........:MMs.............NMd............hs..
.:M................................................hs..
.:M................................................hs..
.:M.............yNNNNNNNNNN................hs..
.:M.................................................hs..
.:dyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyho..

....W..W::W:...AAA...NN...N...TTTTT..EEEEE...DDD..........
.....Ww.wW...AAAA..N..N..N......T.....EEE......D....D.......
.....-W...W...A......A N....NN......T.....EEEEE...DDD..........
. . . . . . . . . . . . thaksin shinawatra
dragon baby
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 379



« ตอบ #26 เมื่อ: 27-08-2007, 18:33 »

ผมว่า คนตั้งกระทู้ มันไม่ได้เชียร์  มันด่ามากกว่า
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #27 เมื่อ: 27-08-2007, 18:37 »

ตอนนี้ฝ่าย PT พยายามโจมตีอภิสิทธิ์เป็นการใหญ่ ไปลากเรื่องเก่า ปชป. มาด้วย
นึกถึงประวัติทางการเมืองของทักษิณ ก่อนเข้ามาเป็นนายกฯ ก็ล้มเหลวมาตลอด

- ประกาศจะแก้ปัญหาจราจรภายใน 6 เดือนแล้วเอาเข้าจริงก็แก้ไม่ได้
- รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรมจากมหาจำลอง แล้วก็มาบริหารจนเจ๊ง
- ลาออกจากพรรคพลังธรรมบอกว่าเมียให้เลิกเล่นการเมืองแล้วก็ไม่เลิกจริง
- พยายามสมัคร สสร. 2540 แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ตำแหน่ง
- เข้าร่วมรัฐบาลชวลิต หลังลอยค่าเงินบาทแล้วรัฐบาลก็ไปไม่รอด
- สุดท้ายโดนคดีซุกหุ้นปกปิดทรัพย์สินในการดำรงตำแหน่งเข้าไปอีก

ความสำเร็จทั้งหลายแหล่ที่มีตอนนั้นคือมีเงินจากธุรกิจสัมปทานเท่านั้นเอง
แต่ประวัติทางการเมืองน่ะปุปะไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเลย


เหตุผลที่ชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลตอนนั้นเพราะ ปชป. ถูกปล่อยข่าวโจมตี
จนประชาชนกลัวว่าจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก (ใครเป็นคนปล่อยข่าวก็ไม่รู้  )

แล้ว 5 ปีที่ผ่านมาตลอดรัฐบาลทักษิณ มีใครเอาผิดผู้บริหาร ปชป. ได้บ้างไหม?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2007, 18:38 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #28 เมื่อ: 27-08-2007, 18:55 »

*** ตาแป๊ะ เคยออกมาชมแม้วครับ อิอิ แต่มันก่อนที่จะทะเลาะกัน ไม่พูดถึง เดี๋ยว แถ+จ๊ะ ในร่างเท้า จะแขวะเอา ***

เอาเป็นว่าเรื่องอภิสิทธฺ์ละกันนะครบ อย่าหลุดประเด็นมั่ว ชอบมามั่วกระทู้คนอื่น ให้ผิดประเด็นเรื่อยเลย คนๆนี้ มันน่าจับมา ตบปาก ตี จริงๆ

คุณเท้า เคยเห็น อภิสิทธิ์ ทำงานในตำแหน่งที่มีส่วนบริหาร จัดการอย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ จังๆ หรือยัง แล้วไปตัดสินเค้า อย่างกับตัวเก่งนักนี่
ก่อนหน้านี้ นโยบาย แม้วเลิศหรู (แต่ผมมองมั่ว) กว่านี้อีก ทำไมชอบกันจัง เชียเข้าไป ทำไม่ได้ก็ไม่ขยายผล ถือว่าไม่มีไรเกิดขึ้น ส่วนไอ้ที่ทำมานั้น
ทำไมไม่ไปขุดขึ้นมาดูบ้างหล่ะ ว่าไอ้ที่ทำไปนั้น มันหมกเม็ด หมกความเน่าเหม็นอะไรไว้ขนาดไหน

Mark เคยเป็นรมต.มาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ขนาดนี้ยังทำให้คนลืมไปแล้วเลย ฮ่าๆๆๆ....แต่ที่คนเค้าไม่ไว้ใจMarkก็เพราะว่าแกไม่เคยแสดงทัศนะคติต่อต้านเผด็จการทหารสักครั้งเดียวในชีวิต(ปชป.คือพรรคเดียวในประวัติศาสตร์ที่ต่อสู้กับเผด็จการทหารมากว่า 60 ปี)    แถมยังไร้สาระขอนายกฯพระราชทานโดยปฎิเสธที่จะลงแข่งขันเพียงเพราะ กกต. ให้เวลาลงแข่ง 45 วัน (ไหนคุณชวนบอกว่าเราเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาไงในช่วงปี2535)  ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้มันไม่ควรจะมีสำหรับผู้นำพรรคการเมืองอย่างปชป. มันเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโตที่พอสู้คนอื่นไม่ได้ก็ล้มกระดานแล้ววิ่งร้องไห้ไปบอกให้อันธพาล(รัฐประหาร)มาไล่อัดคู่แข่ง(ทักษิณ)




ทำไมไม่ให้โอกาศเค้าดูครับ ไม่ดี มันก็จะมีผลตอบรับเองนั่นแหละครับ มันเป็นไปตามกรรม ซึ่งสมัยนี้ติดจรวดซะด้วย เหมือนบางคน
ได้บินไปไหลบ้านเกิดเมืองนอน ยังไม่ได้กลับมาเล้ยยยยยย


การบริหารประเทศไม่ใช่จะไปให้โอกาสเด็กไม่รู้จักโต...คนกว่า 60 ล้านคนไม่สมควรที่จะฝากอนาคตไว้กับผู้นำที่มีคุณสมบัติไร้ศักดิ์ศรีดังกล่าว อย่างๆน้อยๆคนทั่วประเทศเค้าก็ให้คำตอบกับMarkไปแล้วในปี 2544 และในปี 2549 (เพียงแต่Markถอดใจไม่ยอมลงแข่งดื้อๆ)
บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #29 เมื่อ: 28-08-2007, 07:06 »

ก่อนหน้าที่กล้าณรงค์อัดทักษิณเรื่องซุกหุ้นเนี่ย
ไม่ทราบว่ากล้าณรงค์ทำไปด้วยอคติส่วนตัวเหรอครับ
โชคดีที่คณะผู้มีอำนาจตัดสินคดีซุกหุ้น 1 ไม่มีใครที่เคยประกาศหรือแสดงตัวเป็นศัตรูกับคุณทักษิณ...ผลที่ออกมาเลยรับได้

ท้าวตอบผมไม่ตรงนะ ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยังไงก็เรื่องของศาล ถึงมติจะเฉียดฉิวก็ตาม ไม่ว่ากัน แต่ท้าวจะมองว่ากล้าณรงค์ทำไปเพราะอคตินั้น มิได้นะครับ หน้าที่ ปปช ก็คือหน้าที่ วันไหนท้าวค้ายาบ้า ถ้าผมเป็น ปปส ผมก็ต้องไปเล่นท้าว ถึงปัจจุบันผมจะรักท้าวขนาดนี้ก็เถอะ :

คุณหญิงจารุวรรณแกก็ทำงานตรวจเงินแผ่นดินของแกไปปกติ อยู่ดีๆก็มีคนจะหามแกออก
แล้วมีคนหามป้าย่นขึ้นเวทีพันธมิตรด่าทักษิณด้วยหรือเปล่า!?! 

แล้วมีที่ไหนให้แกชี้แจงแบบจะๆบ้างไหมครับ สว.แม้ว พากันรุมกินโต๊ะแกอยู่ฝ่ายเดียว คิดเสียว่า แกทำในนามส่วนตัวเหมือนจรัลดำ กก.สิทธิมนุษยชนละกัน

ประสงค์ก็เขียนคอลัมน์วิจารณ์การเมืองก็เป็นเรื่องปกติ

เคยมีสักครั้งไหมที่ปีศาจฟันดำชมเชยคุณทักษิณ??? สื่อที่เป็นกลางย่อมเสนอความคิดเห็นทั้ง 2 ด้าน...พวกที่เขียนซ้ำซากด้านเดียวย่อมเป็นอคติชนเท่านั้นเอง

มีสักครั้งไหมที่สมัครจะด่าทักษิณ สือแบบสมัครเป็นกลางหรอกเหรอครับ ทั้งๆที่สมัครก็ประกาศตัวอยู่ปาวๆว่าเป็นสื่อมวลชนเช่นกัน

อภิสิทธิ์เป็นฝ่ายค้าน แต่เขาก็ว่าไปตามเหตุผลและหลักฐานที่ปรากฏนี่

เหตุผลอะไรหรือที่ทำให้คุณมาร์คมีแนวคิดสนับสนุนการยึดอำนาจปชช.ผ่านกระบอกปืน? หลักฐานอะไรที่ทำให้คุณมาร์คคิดว่าในหลวงน่าที่จะลงมาเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยคิดเอาเองว่าคนไทยอยากได้นายกฯพระราชทาน!?!
ผมดูหลายรายการ อ่านหนังสือพิมพ์ก็หลายฉบับ ไม่เคยเห็นมาร์คมีแนวคิดสนับสนุนครับ ถึงจะไม่ขวางก็ตาม ถ้าคนที่ไม่ขวางคือคนที่ท้าวมองว่าสนับสนุนการยึดอำนาจละก็ เหนื่อยหน่อยนะ คงมีมาก

แก้วสรร ก็อดีต สว เสียงข้างน้อย ที่ต่อต้านสภาสูงที่โดนครอบงำโดยทักษิณ

หน้าม้าที่ออกหนังสือโจมตีทักษิณนี่หรือที่บอกว่าเป็นกลาง!?! บทบาทของหน้าม้าในทางสภาสูง...ไม่มีใครเค้าด่าหรอก แต่ที่อุบาทว์ก็คือ ดันมาทำหน้าที่ตรวจสอบไต่สวนคนที่ตัวเองด่าเช้าเย็น น่าเกลียดไปป่าว!?!
ถ้ามันรักกันปานจะแหกตูดดมละก็ มันคงไม่มาตรวจสอบกันหรอก ป่านนี้ไปนั่งแบ่งเงินแล้วล่ะครับ หรือ สว ที่ดีในสายตาท้าวก็ สุดทน ชาลีเครือเท่านั้น ที่เหมาะสม ?? เอียงกะเท่เร่เข้าทางทักษิณตลอด ไม่เกินไปหรอกเหรอครับ เพราะหน้าที่สภาสูงต้องเป็นกลางอย่างที่ท้าวบอก



ประชัย มันนักธุรกิจ ปล่อยมัน
ก็มันแค้นไงที่ทักษิไม่ปล่อย TPI กลับให้มัน...ตอนนี้มันเลยพยายามทุกทางให้ขิงแก่ใจอ่อน

ก็ว่ากันไปครับ เรื่องนี้ผมไม่ใส่ใจหรอก

สัก หรือ ชัยอนันต์ก็ทำตามหน้าที่

2 ตัว + สภาทะแนะทำหน้าที่ด่าทักษิณอย่างบ้าคลั่งมาตลอด มีสักครั้งไหมที่ชมเชยทักษิณ!?!
จะหาคนชมอย่างบ้าคลั่ง ไปหาเอาในไทยรัฐ สมัคร สุนทรเวช ดุสิต ศิริวรรณ จักรพันธ์ ยมจินดา ข่าวช่อง 3 ของประชา มาลีนนท์ ไอทีวีของวินคอร์ป กับข่าวช่อง 11 สมัยทักษิณเป็นนายกนะครับ



แม้ไม่มีอคติ ก็ต้องทำหน้าที่ไล่บี้ทักษิณอยู่แล้วครับ

ไล่บี้ในฐานะที่ไม่สามารถให้คุณให้โทษทักษิณในทางคดีความ...เป็นสิ่งที่คนไทยทั่วไปรับได้ แต่มาไล่บี้ในตำแหน่งและอำนาจที่โจรยื่นดาบให้มานี่ ไม่ว่าจะมองจากองศาใด มันไม่ยุติธรรมและไร้จรรยาบรรณโดยสิ้นเชิง
ทุกอย่างว่าไปตามกฏหมายแหละครับ สุดท้ายแล้วพวกนั้นก็ต้องส่งศาลอีกอยู่ดี อย่ามาโมเมว่าศาลไม่เป็นธรรมอีกนะครับ ทักษิณฟ้องศาลเอาผิดคนนั้นคนนี้เช้าเย็นอยู่ทุกวันนี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2007, 07:24 โดย ปรมาจารย์เจได » บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #30 เมื่อ: 28-08-2007, 09:18 »

ก่อนหน้าที่กล้าณรงค์อัดทักษิณเรื่องซุกหุ้นเนี่ย
ไม่ทราบว่ากล้าณรงค์ทำไปด้วยอคติส่วนตัวเหรอครับ
โชคดีที่คณะผู้มีอำนาจตัดสินคดีซุกหุ้น 1 ไม่มีใครที่เคยประกาศหรือแสดงตัวเป็นศัตรูกับคุณทักษิณ...ผลที่ออกมาเลยรับได้

ท้าวตอบผมไม่ตรงนะ ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยังไงก็เรื่องของศาล ถึงมติจะเฉียดฉิวก็ตาม ไม่ว่ากัน แต่ท้าวจะมองว่ากล้าณรงค์ทำไปเพราะอคตินั้น มิได้นะครับ หน้าที่ ปปช ก็คือหน้าที่ วันไหนท้าวค้ายาบ้า ถ้าผมเป็น ปปส ผมก็ต้องไปเล่นท้าว ถึงปัจจุบันผมจะรักท้าวขนาดนี้ก็เถอะ :

ก็คงต้องย้อนกลับไปดูพฤติกรรมและทัศนคติของคุณกล้าณรงค์ต่อคุณทักษิณด้วยเช่นกันว่าแกด่าทักษิณลูกเดียว หรือว่าวิเคราะห์เหตุผลทั้ง 2 ด้าน เรื่องบทบาทของแกในปปช.ในเรื่องซุกหุ้นภาค1...ไม่มีใครติดใจแกหรอกเพราะเป็นไปตามอำนาจและหน้าที่ แต่คนเค้าติดใจแกว่าในเมื่อคดีดังกล่าวสิ้นสุดไปแล้วและตัวแกก็เป็นปปช.เสียงข้างน้อย แต่ก็ยังพยายามพูดในเรื่องดังกล่าวในแง่มุมของตัวแกเองเพื่อให้คุณทักษิณเสื่อมเสียมาตลอด จึงทำให้แกถูกมองว่ามีอคติ และยิ่งเมื่อได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจและหน้าที่ในคตส. และองค์กรอื่นๆในยุค คมช. คนเค้าก็ยิ่งมองคุณกล้าณรงค์ด้วยความแคลงใจในความยุติธรรม อันเนื่องมาจากอดีตกาลของตัวแกเองที่แสดงต่อคุณทักษิณนั่นเอง!!






คุณหญิงจารุวรรณแกก็ทำงานตรวจเงินแผ่นดินของแกไปปกติ อยู่ดีๆก็มีคนจะหามแกออก
แล้วมีคนหามป้าย่นขึ้นเวทีพันธมิตรด่าทักษิณด้วยหรือเปล่า!?! 

แล้วมีที่ไหนให้แกชี้แจงแบบจะๆบ้างไหมครับ สว.แม้ว พากันรุมกินโต๊ะแกอยู่ฝ่ายเดียว คิดเสียว่า แกทำในนามส่วนตัวเหมือนจรัลดำ กก.สิทธิมนุษยชนละกัน

ประสงค์ก็เขียนคอลัมน์วิจารณ์การเมืองก็เป็นเรื่องปกติ

เคยมีสักครั้งไหมที่ปีศาจฟันดำชมเชยคุณทักษิณ??? สื่อที่เป็นกลางย่อมเสนอความคิดเห็นทั้ง 2 ด้าน...พวกที่เขียนซ้ำซากด้านเดียวย่อมเป็นอคติชนเท่านั้นเอง

มีสักครั้งไหมที่สมัครจะด่าทักษิณ สือแบบสมัครเป็นกลางหรอกเหรอครับ ทั้งๆที่สมัครก็ประกาศตัวอยู่ปาวๆว่าเป็นสื่อมวลชนเช่นกัน

บทบาทของคุณสมัครต่างจากบทบาทของปีศาจฟันดำ...เพราะบทบาทของคุณสมัครในขณะนี้ไม่สามารถให้โทษกับใครได้ แต่ปีศาจฟันดำเป็นทั้งประธานร่างฯ เป็นทั้งสมาชิก สนช. ฯลฯ ที่สามารถออกกฏหมายเลือกตั้งให้คุณให้โทษกับสังคมได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบรรดาเหล่าสมาชิกสนช. ที่มาจากการแต่งตั้งแหล่งเดียวกันที่ล๊อบบี้ให้เห็นด้วยง่ายอยู่แล้วยิ่งกว่าสภาผัวเมีย (เพราะสภาผัวเมียมีเพียงไม่กี่คู่ เบ็ดเสร็จแล้วไม่ถึง 20 คนในสภาสูงขณะนั้น)  แต่ สนช. ทั้ง 100 คนมาจากต้นกำเนิดเดียวกันคือ คมช. ที่สำคัญตอนนี้คุณสมัครไม่มีสื่อในมือ ในขณะที่ปีศาจฟันดำมีทั้งสื่อค่ายบางนา+พระอาทิตย์คอยสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตา มันจึงเป็นการเทียบกันไม่ได้เลยเกี่ยวกับบทบาทและอำนาจของทั้ง 2 คน


บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #31 เมื่อ: 28-08-2007, 09:29 »

ก่อนหน้าที่กล้าณรงค์อัดทักษิณเรื่องซุกหุ้นเนี่ย
ไม่ทราบว่ากล้าณรงค์ทำไปด้วยอคติส่วนตัวเหรอครับ
โชคดีที่คณะผู้มีอำนาจตัดสินคดีซุกหุ้น 1 ไม่มีใครที่เคยประกาศหรือแสดงตัวเป็นศัตรูกับคุณทักษิณ...ผลที่ออกมาเลยรับได้

ท้าวตอบผมไม่ตรงนะ ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยังไงก็เรื่องของศาล ถึงมติจะเฉียดฉิวก็ตาม ไม่ว่ากัน แต่ท้าวจะมองว่ากล้าณรงค์ทำไปเพราะอคตินั้น มิได้นะครับ หน้าที่ ปปช ก็คือหน้าที่ วันไหนท้าวค้ายาบ้า ถ้าผมเป็น ปปส ผมก็ต้องไปเล่นท้าว ถึงปัจจุบันผมจะรักท้าวขนาดนี้ก็เถอะ :

ก็คงต้องย้อนกลับไปดูพฤติกรรมและทัศนคติของคุณกล้าณรงค์ต่อคุณทักษิณด้วยเช่นกันว่าแกด่าทักษิณลูกเดียว หรือว่าวิเคราะห์เหตุผลทั้ง 2 ด้าน เรื่องบทบาทของแกในปปช.ในเรื่องซุกหุ้นภาค1...ไม่มีใครติดใจแกหรอกเพราะเป็นไปตามอำนาจและหน้าที่ แต่คนเค้าติดใจแกว่าในเมื่อคดีดังกล่าวสิ้นสุดไปแล้วและตัวแกก็เป็นปปช.เสียงข้างน้อย แต่ก็ยังพยายามพูดในเรื่องดังกล่าวในแง่มุมของตัวแกเองเพื่อให้คุณทักษิณเสื่อมเสียมาตลอด จึงทำให้แกถูกมองว่ามีอคติ และยิ่งเมื่อได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจและหน้าที่ในคตส. และองค์กรอื่นๆในยุค คมช. คนเค้าก็ยิ่งมองคุณกล้าณรงค์ด้วยความแคลงใจในความยุติธรรม อันเนื่องมาจากอดีตกาลของตัวแกเองที่แสดงต่อคุณทักษิณนั่นเอง!!

แกไม่ได้ว่าในทางเสื่อมเสียหรอกครับ แกก็พูดเรื่องเดิมๆที่แกเคยฟ้องคุณทักษิณนั่นแหละครับ ถ้าไม่ผิด ก็ไม่ต้องกลัว
เสียดายในตอนนั้นที่ ปปช ตรวจสอบไม่เจอเงินของคุณทักษิณที่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ประชาชนจะได้รู้ว่าผู้นำคนนี้เล่นแร่แปรธาตุเก่งขนาดไหน
เหตุผลที่คุณกล้าณรงค์ยกมา ล้วนแล้วแต่มีมูล เนื่องจากพฤติกรรมของคุณทักษิณเป็นตัวเผยออกมาเองทั้งนั้นแหละครับ




คุณหญิงจารุวรรณแกก็ทำงานตรวจเงินแผ่นดินของแกไปปกติ อยู่ดีๆก็มีคนจะหามแกออก
แล้วมีคนหามป้าย่นขึ้นเวทีพันธมิตรด่าทักษิณด้วยหรือเปล่า!?! 

แล้วมีที่ไหนให้แกชี้แจงแบบจะๆบ้างไหมครับ สว.แม้ว พากันรุมกินโต๊ะแกอยู่ฝ่ายเดียว คิดเสียว่า แกทำในนามส่วนตัวเหมือนจรัลดำ กก.สิทธิมนุษยชนละกัน

ประสงค์ก็เขียนคอลัมน์วิจารณ์การเมืองก็เป็นเรื่องปกติ

เคยมีสักครั้งไหมที่ปีศาจฟันดำชมเชยคุณทักษิณ??? สื่อที่เป็นกลางย่อมเสนอความคิดเห็นทั้ง 2 ด้าน...พวกที่เขียนซ้ำซากด้านเดียวย่อมเป็นอคติชนเท่านั้นเอง

มีสักครั้งไหมที่สมัครจะด่าทักษิณ สือแบบสมัครเป็นกลางหรอกเหรอครับ ทั้งๆที่สมัครก็ประกาศตัวอยู่ปาวๆว่าเป็นสื่อมวลชนเช่นกัน

บทบาทของคุณสมัครต่างจากบทบาทของปีศาจฟันดำ...เพราะบทบาทของคุณสมัครในขณะนี้ไม่สามารถให้โทษกับใครได้ แต่ปีศาจฟันดำเป็นทั้งประธานร่างฯ เป็นทั้งสมาชิก สนช. ฯลฯ ที่สามารถออกกฏหมายเลือกตั้งให้คุณให้โทษกับสังคมได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบรรดาเหล่าสมาชิกสนช. ที่มาจากการแต่งตั้งแหล่งเดียวกันที่ล๊อบบี้ให้เห็นด้วยง่ายอยู่แล้วยิ่งกว่าสภาผัวเมีย (เพราะสภาผัวเมียมีเพียงไม่กี่คู่ เบ็ดเสร็จแล้วไม่ถึง 20 คนในสภาสูงขณะนั้น)  แต่ สนช. ทั้ง 100 คนมาจากต้นกำเนิดเดียวกันคือ คมช. ที่สำคัญตอนนี้คุณสมัครไม่มีสื่อในมือ ในขณะที่ปีศาจฟันดำมีทั้งสื่อค่ายบางนา+พระอาทิตย์คอยสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตา มันจึงเป็นการเทียบกันไม่ได้เลยเกี่ยวกับบทบาทและอำนาจของทั้ง 2 คน

เอกอย่าแถครับ เราพูดถึงตอนที่ประสงค์เป็นคอลัมนิสต์ ที่วิจารณ์ทักษิณ ตอนนั้นประสงค์ก็ให้คุณให้โทษใครไม่ได้เช่นกัน ส่วนตอนนี้ มาเป็น สสร เอกว่าประสงค์จะออกกฏหมายให้คุณให้โทษกับชาวบ้าน แล้วทีนี้หันกลับไปมองสมัครสิเอก โผล่มาบอกจะทวงความเป็นธรรมให้ทักษิณอยู่อย่างเดียว ถ้าคนๆนี้ได้เป็นผู้นำประเทศ แล้วทีนี้ กฏหมายทุกฉบับที่ออกจาก ครม ของสมัคร มันจะดีต่อชาวบ้านจริงๆเหรอเอก บอกหน่อย และสุดท้าย ในขณะที่ทักษิณมีอำนาจ 3 5 7 9 11 ไอทีวี ก็ของทักษิณเช่นกัน

บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #32 เมื่อ: 28-08-2007, 11:42 »

แกไม่ได้ว่าในทางเสื่อมเสียหรอกครับ แกก็พูดเรื่องเดิมๆที่แกเคยฟ้องคุณทักษิณนั่นแหละครับ ถ้าไม่ผิด ก็ไม่ต้องกลัว
เสียดายในตอนนั้นที่ ปปช ตรวจสอบไม่เจอเงินของคุณทักษิณที่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ประชาชนจะได้รู้ว่าผู้นำคนนี้เล่นแร่แปรธาตุเก่งขนาดไหน
เหตุผลที่คุณกล้าณรงค์ยกมา ล้วนแล้วแต่มีมูล เนื่องจากพฤติกรรมของคุณทักษิณเป็นตัวเผยออกมาเองทั้งนั้นแหละครับ

การตั้งบริษัทที่ British Island ของคุณทักษิณสามารถอ่านความจริงได้ที่นี่เลยน๊ะตัว  http://www.thai4thai.net/document/chapter/Shin%20Share%20Sale%20Chapter2%20V4a.htm




เอกอย่าแถครับ เราพูดถึงตอนที่ประสงค์เป็นคอลัมนิสต์ ที่วิจารณ์ทักษิณ ตอนนั้นประสงค์ก็ให้คุณให้โทษใครไม่ได้เช่นกัน ส่วนตอนนี้ มาเป็น สสร เอกว่าประสงค์จะออกกฏหมายให้คุณให้โทษกับชาวบ้าน แล้วทีนี้หันกลับไปมองสมัครสิเอก โผล่มาบอกจะทวงความเป็นธรรมให้ทักษิณอยู่อย่างเดียว ถ้าคนๆนี้ได้เป็นผู้นำประเทศ แล้วทีนี้ กฏหมายทุกฉบับที่ออกจาก ครม ของสมัคร มันจะดีต่อชาวบ้านจริงๆเหรอเอก บอกหน่อย และสุดท้าย ในขณะที่ทักษิณมีอำนาจ 3 5 7 9 11 ไอทีวี ก็ของทักษิณเช่นกัน

ตัว...เรากำลังโต้เถียงกันเรื่องสถานะภาพของสงค์ฟันเน่าในเรื่องการให้คุณให้โทษอยู่ขณะนี้ ตำแหน่งประธานร่างฯและ สนช. ของแกย่อมชี้นำกระบวนการปกครองและนิติบัญญัติได้ ในขณะที่คุณสมัครเป็นเพียงหัวหน้าพรรคพปช.ที่ไม่มีอำนาจใดๆในการชี้นำอย่างเป็นทางการ ยิงป้าย่น สาก เจิ่ม นาม ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มคนที่เป็นศัตรูทางความคิดกับคุณทักษิณมาโดยตลอด การมาทำหน้าที่ตรวจสอบ-ไต่สวนคดีความของคุณทักษิณจึงเป็นเรื่องที่ไม่โปร่งใส ไร้จริยธรรม และขาดความชอบธรรมทุกประการ โดยหลักนิติธรรมแล้ว...กระบวนการ คตส. ถือเป็นการกระทำที่เป็นโมฆะธุรกรรมมาตั้งแต่ต้น

บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #33 เมื่อ: 28-08-2007, 13:34 »

แกไม่ได้ว่าในทางเสื่อมเสียหรอกครับ แกก็พูดเรื่องเดิมๆที่แกเคยฟ้องคุณทักษิณนั่นแหละครับ ถ้าไม่ผิด ก็ไม่ต้องกลัว
เสียดายในตอนนั้นที่ ปปช ตรวจสอบไม่เจอเงินของคุณทักษิณที่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ประชาชนจะได้รู้ว่าผู้นำคนนี้เล่นแร่แปรธาตุเก่งขนาดไหน
เหตุผลที่คุณกล้าณรงค์ยกมา ล้วนแล้วแต่มีมูล เนื่องจากพฤติกรรมของคุณทักษิณเป็นตัวเผยออกมาเองทั้งนั้นแหละครับ

การตั้งบริษัทที่ British Island ของคุณทักษิณสามารถอ่านความจริงได้ที่นี่เลยน๊ะตัว  http://www.thai4thai.net/document/chapter/Shin%20Share%20Sale%20Chapter2%20V4a.htm

เห็นพวกไข่แม้วเอาเว็บนี้มาอ้างทุกทีแหละครับ ไม่ทราบว่าบทความในเว็บนั้น ใครเป็นคนเขียนครับ น่าเชื่อถือหรือไม่ในสังคม และรับรองได้แค่ไหนครับว่ามันจริงอย่างนั้น บอกผมทีครับอาจารย์จ๊ะ

เอกอย่าแถครับ เราพูดถึงตอนที่ประสงค์เป็นคอลัมนิสต์ ที่วิจารณ์ทักษิณ ตอนนั้นประสงค์ก็ให้คุณให้โทษใครไม่ได้เช่นกัน ส่วนตอนนี้ มาเป็น สสร เอกว่าประสงค์จะออกกฏหมายให้คุณให้โทษกับชาวบ้าน แล้วทีนี้หันกลับไปมองสมัครสิเอก โผล่มาบอกจะทวงความเป็นธรรมให้ทักษิณอยู่อย่างเดียว ถ้าคนๆนี้ได้เป็นผู้นำประเทศ แล้วทีนี้ กฏหมายทุกฉบับที่ออกจาก ครม ของสมัคร มันจะดีต่อชาวบ้านจริงๆเหรอเอก บอกหน่อย และสุดท้าย ในขณะที่ทักษิณมีอำนาจ 3 5 7 9 11 ไอทีวี ก็ของทักษิณเช่นกัน

ตัว...เรากำลังโต้เถียงกันเรื่องสถานะภาพของสงค์ฟันเน่าในเรื่องการให้คุณให้โทษอยู่ขณะนี้ ตำแหน่งประธานร่างฯและ สนช. ของแกย่อมชี้นำกระบวนการปกครองและนิติบัญญัติได้ ในขณะที่คุณสมัครเป็นเพียงหัวหน้าพรรคพปช.ที่ไม่มีอำนาจใดๆในการชี้นำอย่างเป็นทางการ ยิงป้าย่น สาก เจิ่ม นาม ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มคนที่เป็นศัตรูทางความคิดกับคุณทักษิณมาโดยตลอด การมาทำหน้าที่ตรวจสอบ-ไต่สวนคดีความของคุณทักษิณจึงเป็นเรื่องที่ไม่โปร่งใส ไร้จริยธรรม และขาดความชอบธรรมทุกประการ โดยหลักนิติธรรมแล้ว...กระบวนการ คตส. ถือเป็นการกระทำที่เป็นโมฆะธุรกรรมมาตั้งแต่ต้น

สุดท้ายเรื่องทั้งหมดของคุณทักษิณ จะส่งศาลหรือเปล่าล่ะครับอาจารย์จ๊ะ หรืออาจารย์จ๊ะกำลังจะบอกว่าศาลต้องลำเอียง ?
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #34 เมื่อ: 28-08-2007, 13:51 »


เห็นพวกไข่แม้วเอาเว็บนี้มาอ้างทุกทีแหละครับ ไม่ทราบว่าบทความในเว็บนั้น ใครเป็นคนเขียนครับ น่าเชื่อถือหรือไม่ในสังคม และรับรองได้แค่ไหนครับว่ามันจริงอย่างนั้น บอกผมทีครับอาจารย์จ๊ะ


จ๊ะก็เห็นก็อ่านข้อมูลจากเว๊บดังกล่าวมานาน แต่ก็ไม่เห็นมีใครสักคนที่จะโต้เถียง/แย้งข้อมูลดังกล่าวได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลสักราย จ๊ะเองก็อยากได้ยินได้ฟังข้อมูลอีกขั้วอยู่น๊า จะมีปัญญาจัดให้จ๊ะได้มั้ยเอ่ย!?!




สุดท้ายเรื่องทั้งหมดของคุณทักษิณ จะส่งศาลหรือเปล่าล่ะครับอาจารย์จ๊ะ หรืออาจารย์จ๊ะกำลังจะบอกว่าศาลต้องลำเอียง ?

ส่งไปที่ศาลแน่นอน แต่ timing ในการพิจารณาคดีนี่ซิสำคัญว่าหาก คมช. ถอยฉากออกไปและผู้มีบารมีไม่เข้าไปแทรกแซง...คดีความดังกล่าวก็จะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม ประเทศไทยก็จะเป็นที่น่าเชื่อถือในเวทีโลก นักลงทุนต่างชาติก็กล้าเข้ามา...ตอนนี้ต่างชาติเค้าระงับการลงทุนในไทยก็เพราะกลัวว่าธุรกิจจะถูกยึดโดยไม่มีเหตุผล ไม่งั้นเศรษฐกิจไทยจะแย่ในทุกsegments แบบนี้หรือ!?!
บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #35 เมื่อ: 28-08-2007, 14:51 »

อยากได้ข้อมูลอีกด้าน เอาไปดูนะจ๊ะเอก มีทั้งหมด 10 ภาค สุดยอดมหากาพย์

(บทความตอนที่ 1) ขายชินคอร์ป วิบากกรรม'ทักษิณ'

25 ประเด็นดีลชินคอร์ป สร้างกลไกซับซ้อนเปิดทางสิงคโปร์ยึด

            ดีลการขายชินคอร์ป ในมุมมองของผู้ใช้นามปากกาว่า"ม้านอก"และ"เด็กนอกกรอบ" นั้นได้ตั้งชื่อไว้ว่า"เมื่อความถูกต้องทางกฎหมาย อยู่เหนือความถูกต้องทางศีลธรรม:บทวิเคราะห์ 25 ประเด็นหลักในดีลเทคโอเวอร์กลุ่มชินคอร์ป"อย่างไรก็ตาม หากติดตามทั้ง 25ประเด็นเราจะพบว่ามีหลายเรื่อง ที่ไม่เฉพาะผิดศีลธรรมหรือจริยธรรมเท่านั้น แต่สุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมายด้วยซ้ำ

ปมแรกวันนี้ จะเปิดด้วยคำถามประเด็นโครงสร้างการซื้อกิจการของ Temasek ซึ่งมีอยู่ 7ประเด็นหลัก

            1) ทำไม Temasek จึงไม่ซื้อหุ้น ADVANC ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานมือถือ โดยตรงจาก SHIN ทำไมไปซื้อหุ้น SHIN ซึ่งเป็นเพียงบริษัทโฮลดิ้งของกลุ่มชินคอร์ปเท่านั้น? จริงๆ แล้ว ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางธุรกิจ เพราะในฐานะผู้ซื้อ Temasek มีสิทธิเต็มที่ที่จะเลือกว่า อยากซื้อหุ้นของบริษัทใดบ้างในกลุ่ม SHIN แต่ก็มีข้อน่าสังเกตดังนี้

            1.SHIN เป็นบริษัทโฮลดิ้งของกลุ่ม มี ADVANC เป็นบริษัทหลักที่ทำรายได้สูงถึง 94% ของรายได้ทั้งกลุ่ม

            2.การซื้อหุ้นที่ระดับ SHIN ไม่ใช่ ADVANC จะช่วยให้บริษัท SHIN ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะผู้ถือหุ้นของ SHIN เป็นบุคคลธรรมดา ที่ได้รับการผ่อนผันให้ไม่ต้องเสียภาษีถ้าขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ (แต่ประเด็นนี้ก็มีข้อกังขามาก-ดูประเด็นที่ 21) ถึง 24) ประกอบ) ซึ่งหมายความว่าผู้ถือหุ้น SHIN ที่ขายให้ Temasek จะได้เม็ดเงินสุทธิจากการขายหุ้น มากกว่าในกรณีที่ Temasek ซื้อ ADVANC

            3.Temasek แจ้งในคำขอผ่านผันไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น SATTEL และ ITV ต่อก.ล.ต. ว่า ไม่มีเจตนาที่จะเข้าครอบงำกิจการของบริษัททั้งสองแห่ง อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ Temasek ได้เข้าครอบงำกิจการทั้งสองบริษัทไปแล้ว ซึ่งการครอบงำ ITV นั้นเป็นการละเมิด พ.ร.บ.ต่างด้าว ที่กำหนดชัดเจนว่าห้ามคนต่างด้าวดำเนินกิจการโทรทัศน์

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางธุรกิจ ไม่ใช่ประเด็นกฎหมาย ไม่มีกฎหมายข้อใดที่บังคับว่า Temasek ต้องซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้น SHIN ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - เป็นประเด็นทางธุรกิจ ที่ยังไม่มีใครรู้เจตนาของ Temasek อย่างชัดเจน ต้องรอดูว่า หลังเทนเดอร์หุ้น SHIN กับ ADVANC จบแล้วจะจัดโครงสร้างของกลุ่มชินอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะต้องรอดูว่า Temasek จะขายหุ้น SHIN ในบริษัท ITV SATTEL และ Thai Air Asia ออกมาให้กับคนไทยหรือไม่

2) ทำไม Temasek จึงต้องตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาหลายชั้นหลายบริษัทเพื่อรับซื้อหุ้น SHIN ทำไมไม่ซื้อหุ้น SHIN โดยตรง?

            ประเด็นนี้ส่วนหนึ่งคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ รองบก.มติชน ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนในบทความเรื่อง "ชิน คอร์ป บริษัทไทย - หัวใจสิงคโปร์?" จึงขออนุญาตตัดตอน เรียบเรียง และเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุผลในการตั้ง Aspen Holdings ดังต่อไปนี้

            2.1) เหตุผลในการตั้งบริษัท กุหลาบแก้ว, บริษัท Cypress Holdings, และบริษัท Cedar Holdings

SHIN ถือหุ้นอยู่ในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจประกอบกิจการด้านโทรคมนาคมและสื่อสารมวลชน ซึ่งถือเป็นบริการที่มีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ดังต่อไปนี้ (กรุณาดูแผนผังโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่ม SHIN ข้างต้นประกอบ)

            1.ADVANC : SHIN ถือหุ้นอยู่ 42.8% ในขณะที่ Sing Tel ของสิงคโปร์ถือหุ้นอยู่ 19.2%

            2.SATTEL : SHIN ถือหุ้นอยู่ 51.38%

            3.ITV : SHIN ถือหุ้นอยู่ 53%

            ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และฉบับที่ 2 พ.ศ.2549 ซึ่งเพิ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 มกราคม 2549 (เพียง 2 วันก่อนวันเซ็นสัญญาขายหุ้น) นั้น ADVANC และ SATTEL จะมีบุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นต่างด้าวถือหุ้นเกิน 49% ไม่ได้

            สำหรับ ITV ซึ่งทำธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน รัฐธรรมนูญมาตรา 39 วรรคห้า บัญญัติไว้ว่า "เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ" ซึ่งหมายความว่า ผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านสื่อสารมวลชนต้องมีต่างด้าวไม่ถึง 50%

            นอกจากนั้น พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ต่างด้าว) ยังกำหนดชัดเจนว่า กิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ เป็นธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการ

            ถ้าครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายหุ้นทั้งหมดให้แก่ Temasek โดยตรง จะทำให้บุคคลต่างชาติถือหุ้นอยู่ใน SHIN ถึงกว่า 90% SHIN จะกลายเป็นนิติบุคคลต่างด้าวทันที ทำให้การถือหุ้นของ SHIN ใน ADVANC และ SATTEL ขัดต่อพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคมทันที แม้จะมีการขยายสัดส่วนการถือหุ้นให้ต่างด้าวเข้าไปถือหุ้นได้ถึง 49% แล้วก็ตาม

            กล่าวคือ ADVANC จะมีบุคคลต่างด้าวถือหุ้นอยู่กว่า 62% (SHIN 42% + SinTel 19.2%) ขณะที่ SATTEL จะมีบุคคลต่างด้าวถืออยู่ 51.38%

ในขณะที่ ITV จะมีต่างด้าวถืออยู่กว่า 53% ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 39 และ พ.ร.บ.ต่างด้าว

            ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้ Temasek ไม่สามารถซื้อหุ้นจากครองครัวชินวัตร-ดามาพงศ์โดยตรง ต้องตั้งบริษัท โฮลดิ้ง (บริษัท Cedar Holdings) สัญชาติไทยขึ้นมารับซื้อหุ้นแทน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ SHIN กลายเป็นนิติบุคคลต่างด้าว

            วิธีการที่หลีกเลี่ยงมิให้ Cedar Holdings ไม่เป็นนิติบุคคลต่างด้าวก็ให้บริษัท Cypress Holdings ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Temasek สัญชาติสิงคโปร์ถือหุ้นในบริษัท Cedar Holdings เพียง 48.99% และจัดตั้งบริษัทสัญชาติไทยคือ บริษัท กุหลาบแก้ว ถือหุ้นสูงถึง 41.1%% และให้ธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้นอีก 9.9% รวมแล้วเป็น 51.1% แค่นี้ Cedar Holdings ก็แปลงสัญชาติเป็นนิติบุคคลไทยเรียบร้อย

            2.2) เหตุผลในการตั้งบริษัท Aspen Holdings

            ทีนี้ก็มาถึงคำถามสุดท้ายเกี่ยวกับโครงสร้างการถือหุ้นอันสลับซับซ้อน : ทำไม Temasek จึงตั้ง Aspen Holdings ขึ้นมาถือหุ้น SHIN อีกบริษัทหนึ่ง? ทำไมไม่ใช่ Cedar Holdings บริษัทเดียว ถือหุ้นที่รับซื้อจากครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ทั้งหมด 49.59% ไปเลย? ทำไมต้องแบ่งหุ้น 10.97% ให้ Aspen Holdings ถือ?

            คำตอบน่าจะเป็นเพราะ Temasek ต้องการ "ล็อค" สัดส่วนผู้ถือหุ้นไทยใน SHIN ให้อยู่ในระดับต่ำสุดเท่าที่กฎหมายอนุญาตเพื่อคงสถานภาพความเป็น "นิติบุคคลไทย" คือ 50.01%

            การซื้อหุ้น SHIN จำนวน 49.59% ทำให้ Temasek มีภาระต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (mandatory tender offer) หุ้นทั้งหมดของ SHIN เพราะการเข้าซื้อหุ้นจำนวนนี้ทำให้ Temasek "ก้าวข้าม" จุดการถือหุ้น 25% ซึ่งเป็นจุดที่ต้องทำคำเสนอซื้อต่อผู้ถือหุ้น SHIN รายอื่นๆ

            ในการทำคำเสนอซื้อหุ้น 100% ของ SHIN นั้น Temasek จะต้องเตรียมเงินทุนให้เพียงพอสำหรับกรณีที่ผู้ถือหุ้น SHIN ทุกรายมาขายหุ้นคืนให้ ในราคาเสนอซื้อที่ 49.25 บาท และต้องเตรียมคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าสัดส่วนระหว่างผู้ถือหุ้นไทย กับผู้ถือหุ้นต่างด้าวของ SHIN ในกรณีนั้น จะอยู่ที่ประมาณเท่าไร

            ก่อนวันที่ 20 มกราคม 2549 มีผู้ถือหุ้นต่างด้าวใน SHIN รวมกันประมาณ 39.02% และผู้ถือหุ้นไทยอีกประมาณ 11.39% ดังนั้นถ้าหากผู้ถือหุ้นไทยทั้งหมดมาขายหุ้นให้ Cedar Holdings และไม่มีผู้ถือหุ้นต่างชาติขายหุ้น ก็แปลว่าถ้า Cedar Holdings (ซึ่งโดยนิตินัยมีสัญชาติไทย) ถือหุ้นที่ซื้อมาจากครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ทั้ง 49.59% ก็จะทำให้ SHIN มีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยอย่างน้อยจำนวน 49.59%+11.39% = 60.98% ซึ่งมากเกินความจำเป็นทางกฎหมายที่จะทำให้ SHIN รักษาสถานภาพนิติบุคคลไทยได้ คือ 50.01% หากมีผู้ถือหุ้นต่างชาติขายหุ้นออกมา สัดส่วนนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

            ดังนั้น ถ้า Temasek ตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาอีกหนึ่งบริษัท ที่เป็นบริษัทต่างด้าว ให้ถือหุ้นจำนวน 49.99% (สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวที่กฎหมายอนุญาต) - 39.02% (สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวก่อนทำดีล โดยใช้สมมติฐานว่าไม่มีผู้ถือหุ้นต่างชาติขายหุ้นออก) = 10.97% ก็จะสามารถ "ล็อค" สัดส่วนผู้ถือหุ้นไทยใน SHIN ให้อยู่ที่ระดับเพียง (49.59%-10.97%) + 11.39% (ผู้ถือหุ้นไทยนอกเหนือจากกลุ่มชินวัตร-ดามาพงศ์) = 50.01% ซึ่งเท่ากับสัดส่วนการถือหุ้นขั้นต่ำ ที่จะทำให้ SHIN ยังถือเป็นบริษัทไทยตามกฎหมาย

          บริษัท Aspen Holdings จึงถือกำเนิดขึ้นมาถือหุ้น 10.97% ด้วยประการฉะนี้!

            โครงสร้างนี้ทำให้มองเห็นเจตนารมณ์ของ Temasek ค่อนข้างชัดเจนว่า ตั้งบริษัท Aspen Holdigns (สัญชาติสิงคโปร์) เพื่อมาถือหุ้น SHIN ส่วนที่เป็นของชาวต่างชาติ และตั้งบริษัท Cedar Holding (สัญชาติไทย) เพื่อฒาถือหุ้น SHIN ส่วนที่เป็นของชาวไทย

            ฉะนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าตัวเลขการถือหุ้น SHIN ของทั้งสองบริษัทนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนมือไปมาระหว่างกัน ขณะที่กระบวนการทำเทนเดอร์หุ้น SHIN ยังไม่เสร็จสิ้นลง เพราะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า ผู้ถือหุ้น SHIN นั้น จะมาเทนเดอร์ (ขายหุ้น SHIN ให้ Temasek) กี่คน เป็นชาวไทยเท่าไหร่ และชาวต่างชาติเท่าไหร่

            (อนึ่ง หากท่านสงสัยว่า ทำไมการบริหารจัดการของบริษัท กุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings จึงถูกควบคุมโดยสิงคโปร์ได้ ทั้งๆ ที่มีคนไทยถือหุ้นมากกว่าครึ่งหนึ่ง เชิญอ่านคำตอฐประเด็นที่ 3) ถัดไปโดยพลัน)

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกกฎหมาย 100% - แหม อุตส่าห์ตั้งโฮลดิ้งขึ้นมาหลายชึ้นขนาดนี้ ไม่ถูกกฎหมายเรื่องสัญชาติบริษัทก็ให้มันรู้ไป!

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - การใช้บริษัทโฮลดิ้งหลายชั้นหลายบริษัทในการทำดีลเทคโอเวอร์นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนหนึ่งเพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ การซื้อหุ้นครั้งนี้อาจทำให้บริษัทลูกของ SHIN ผิดกฎหมายเพราะกลายเป็นบริษัทต่างด้าวไป อยางไรก็ตาม กรุณาพิจารณาคำตอบประเด็นที่ 4) ประกอบ

3) ตอนนี้ SHIN ยังเป็นบริษัทสัญชาติไทยอยู่หรือไม่?

            ประเด็นนี้ คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ รองบก. มติชน ก็ได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้วเช่นกันในบทความเรื่อง "ชินคอร์ป บริษัทไทย - หัวใจสิงคโปร์?" จึงขอตัดตอนบางส่วนมาไว้ ณ ที่นี้

            วิธีการควบคุม SHIN อย่างถูกกฎหมาย คือต้องทำให้ SHIN ยังคงสถานภาพเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย ในขณะที่ทุนและอำนาจการควบคุมบริษัทซึ่งเป็น "หัวใจ" สำคัญ จะเป็นของสิงคโปร์ก็ตาม

วิธีการดังกล่าวเริ่มจาก

            ขั้นที่หนึ่ง Temasek ต้องจัดตั้งนิติบุคคลสัญชาติไทยขึ้นมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกิน 50% ซึ่งในการนี้ Temasek ได้จัดตั้งบริษัท กุหลาบแก้ว (ประชุมตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 ก่อนซื้อหุ้น SHIN 11 วัน) โดยให้บริษัท Cypress Holdings (เป็นนิติบุคคลต่างด้าว) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ถือหุ้น 4,900 หุ้น หรือ 49% ในบริษัท กุหลาบแก้ว

            ทว่า แม้บริษัท กุหลาบแก้ว จะเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย แต่เสียงในการควบคุมบริษัทซึ่งเป็น "หัวใจ" สำคัญอยู่กับฝ่ายสิงคโปร์ทั้งหมด บุคคลสัญชาติไทยเป็นเพียง "นอมินี" หรือ "ตัวแทน" ของฝ่ายสิงคโปร์เท่านั้น

            ขั้นที่สอง เมื่อจัดตั้งบริษัทกุหลาบแก้วเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยแล้ว ก็ต้องจัดตั้งนิติบุคคลสัญชาติไทยอีกแห่งเพื่อดึงพันธมิตรอื่นเข้ามาร่วม ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยนิติบุคคลแห่งที่ 2 คือบริษัท Cedar Holdings ทั้งนี้ สิงคโปร์ต้องมีอำนาจควบคุมบริษัทแห่งนี้แบบเบ็ดเสร็จ เพราะจะเป็นบริษัทที่เข้าไปซื้อหุ้น SHIN โดยตรง

            บริษัท Cedar Holdings มีบริษัท Cypress เข้าถือหุ้น 48.99% เพื่อมิให้เป็นนิติบุคคลต่างด้าว ขณะที่ให้บริษัทกุหลาบแก้ว ซึ่ง Cypress Holdings ควบคุมอยู่ ถือหุ้น 41.1% ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ถืออยู่ 9.9%

            ดังนั้นแม้ในทางรูปแบบของกฎหมาย Cedar Holdings จะมีบุคคลสัญชาติไทยถืออยู่ 51% แต่เมื่อดูเสียงผู้ถือหุ้นในการควบคุมบริษัทซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจแล้ว Temasek ของสิงคโปร์ มีเสียงผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ถึง 90% (Cypress Holdings 48.99% + กุหลาบแก้ว 41.1%) ซึ่งมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในการดำเนินกิจการบริษัท

            จากข้อเท็จจริงทั้งหมด คำยืนยันของนายบุญคลี ปลั่งศิริ ประธานกรรมการบริหาร SHIN ที่ว่า "Cedar เป็นบริษัทคนไทย จึงส่งผลให้ SHIN ยังเป็นของคนไทยด้วย" นั้น ถูกต้องในรูปแบบของกฎหมาย

          แต่สิ่งที่นายบุญคลีไม่ได้บอกคือ "หัวใจ" นั้นกลายเป็นของสิงคโปร์เรียบร้อยไปแล้ว

            อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการถือหุ้น SHIN ของ Temasek นั้น เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ต่างด้าว เพราะเกี่ยวเนื่องกับกิจการที่รัฐห้ามต่างด้าวทำ เช่น กิจการโทรทัศน์ ซึ่ง พ.ร.บ.ต่างด้าว มีข้อบังคับที่เข้มงวดกว่ากฎหมายทั่วไป

            ความถูกต้องทางกฎหมาย : ถูกกฎหมายแต่ผิดเจตนารมณ์ - กฎหมายไทยยังใช้ "จำนวนหุ้น" ในการตัดสิน "สัญชาติ" ของบริษัท มิใช่ "สิทธิออกเสียง" ของหุ้นทั้งหมดอย่างที่ควรจะเป็น (เพราะในความเป็นจริงอำนาจควบคุมบริษัทมาจาก "สิทธิออกเสียง" ของหุ้น มิใช่จำนวนหุ้น) ซึ่งกฎนี้นับว่ายังล้าหลังประเทศพัฒนาแล้วอยู่มาก

            ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดเป็นปกติ" - การออกหุ้นบุริมสิทธิให้กับคนไทยที่ถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่า เพื่อให้มีสิทธิออกเสียงน้อยกว่าหุ้นที่ออกให้คนต่างด้าวนั้น เป็น "ทริค" ของบริษัทต่างด้าวในการเทคโอเวอร์บริษัทไทย ที่รู้และใช้กันมานานหลายสิบปีในหลากหลายธุรกิจ ดังนั้นถึงการกระทำของ Temasek จะ "น่าเกลียด" ในแง่ที่มีเจตนาจะเลี่ยงกฎหมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่มีตัวอย่างให้เห็นก่อนหน้านี้มากมายหลายกรณี

            ดังนั้นประเด็นที่สำคัญกว่าคือ เมื่อไหร่ที่เราจะแก้กฎหมายให้นับ "สัญชาติ" ของบริษัทตาม "สิทธิออกเสียง" ของหุ้นเสียที เพื่อมิให้นักธุรกิจเจ้าเล่ห์ทั้งหลายอาศัยช่องโหว่นี้ไปเรื่อยๆ (อ่านต่อตอนสอง)


บทความ ตอนที่2 : ชินคอร์ปในคราบ"สิงคโปร์" เสี่ยงผิดกฎหมาย

4) SHIN มี "หัวใจ" เป็นสิงคโปร์ได้อย่างไร และผิดกฎหมายหรือไม่?

            ก่อนจะวิเคราะห์ประเด็นนี้ ลองมาทำความรู้จัก พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ต่างด้าว) กันก่อน

            มาตรา 36 ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนหรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ โดยคนต่างด้าวนั้นมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่ผู้เดียว หรือ ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดหรือนิติบุคคลใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งคนต่างด้าวซึ่งยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวตามพระราชบัญญัตินี้กระทำการดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งให้เลิกการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือสั่งให้เลิกการร่วมประกอบธุรกิจ หรือสั่งให้เลิกการถือหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนนั้นเสีย แล้วแต่กรณี หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลต้องระวางโทษปรับวันละหนึ่งหมื่นบาทถึงห้าหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่

บัญชีท้าย พ.ร.บ.ฉบับนี้แยกประเภทธุรกิจออกเป็นสามประเภท ได้แก่ :

            1) บัญชีหนึ่ง คือธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการเลย อาทิ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ การทำนา เลี้ยงสัตว์ ประมง ป่าไม้ ฯลฯ

            2) บัญชีสอง คือธุรกิจที่เกี่ยวกับความปลอดภัยหรือความมั่นคงของประเทศหรือมีผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น การผลิตอาวุธปืน การขนส่งทางบก ทางน้ำ รวมทั้ง กิจการการบินในประเทศ การค้าของเก่า การทำเหมือง ฯลฯ บุคคลต่างด้าวที่อยากประกอบธุรกิจในบัญชีนี้ต้องได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรีก่อน

            3) บัญชีสาม คือธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันกับคนต่างด้าว อาทิเช่น บริการทางบัญชี กฎหมาย สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ฯลฯ บุคคลต่างด้าวที่อยากประกอบธุรกิจในบัญชีนี้ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการประกอบธุรกิจต่างด้าวก่อน

            โดยเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น เห็นชัดว่า คนต่างด้าวที่ประกอบกิจการการบินในประเทศนั้น ต้องได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรีก่อน และเห็นชัดว่า ธุรกิจเกี่ยวกับสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเป็นกิจการที่ ITV ดำเนินการอยู่ ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจเลย

            จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายจงใจเขียนมาตรานี้ เพื่อกันมิให้ชาวต่างด้าวเข้ามาทำธุรกิจที่สงวนไว้ให้คนไทย โดยอาศัยชื่อของคนไทยบังหน้า แต่เป็นกลุ่มชาวต่างชาติมีอำนาจควบคุมอยู่เบื้องหลัง หรือใช้โครงสร้างที่เรียกกันว่า "นอมินี" (ตัวแทน) นั่นเอง

            ผู้เขียนขออธิบายความหมายของคำว่า "นอมินี" ก่อน คำนี้ในที่นี้มีความหมายกว้างๆ ว่าองค์กรหรือหน่วยงานที่ได้รับการจดทะเบียนในชื่อของบุคคลหนึ่ง แต่อำนาจในการควบคุมที่แท้จริงกลับตกเป็นของอีกบุคคลหนึ่ง

            ในกฎหมายบริษัทจำกัดนั้น การนับอำนาจควบคุมจะดูที่ทุนจดทะเบียน นั่นคือในการตั้งบริษัท ใครลงเงินมากกว่าก็เป็นผู้มีอำนาจควบคุมนั่นเอง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอาจคิดว่าเป็นสามัญสำนึกธรรมดาๆ

            แต่ในความเป็นจริงนั้น การดูทุนจดทะเบียนเพียงอย่างเดียว ไม่อาจสืบสวนไปถึงอำนาจควบคุมที่แท้จริงได้ ยกตัวอย่างเช่น อาจมีการเซ็นสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นว่า ในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมนั้น ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งสามารถมอบคะแนนเสียงของตนให้ผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่งออกเสียงแทนได้ หรือในการจัดตั้งบริษัท ผู้ถือหุ้นกลุ่มหนึ่งอาจได้รับหุ้นบุริมสิทธิแทนที่จะเป็นหุ้นสามัญ ซึ่งน้ำหนักในการออกเสียงลงคะแนนไม่จำเป็นต้องเท่ากัน เช่น 10 หุ้นบุริมสิทธิสามารถออกเสียงได้เท่ากับ 1 เสียงหุ้นสามัญ ทั้งๆ ที่หุ้นทั้งสองแบบมีราคาที่ตราไว้เท่ากัน เป็นต้น ซึ่งทำให้คนที่ถึงแม้ในกระดาษหุ้นดูเหมือนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่มีสิทธิในการควบคุมอะไรเลย พูดง่ายๆ ก็คือมีลักษณะเป็นหุ่นเชิดนั่นเอง

            แน่นอน ในกรณีของ SHIN นั้น กฎหมายยังรับรองว่าเป็นบริษัทไทยอยู่ โต้โผสูงสุดของ SHIN นายบุญคลี ปลั่งศิริ ก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า ผู้ถือหุ้น SHIN ยังเป็นคนไทยมากกว่าครึ่ง ไม่ใช่คนสัญชาติสิงคโปร์แต่อย่างใด แต่จริงๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่ หรือมีอะไรสลับซับซ้อนไปกว่านั้น

          โครงสร้างการถือหุ้นในปัจจุบันของ SHIN ที่เกี่ยวข้องกับ ITV

          โครงสร้างการถือหุ้นของ SHIN นั้น ค่อนข้างสลับซับซ้อน ขอนำข้อมูลจากส่วนต้นมาอธิบายซ้ำเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

            ในกรณีของ SHIN นั้น ประเด็นเรื่องการถือหุ้นโดยบริษัทต่างชาติไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัท SHIN โดยตรง เนื่องจากว่าธุรกิจโฮลดิ้งส์ของ SHIN ไม่ได้เป็นธุรกิจที่จำกัดไว้ให้แต่เฉพาะชาวไทยเท่านั้น แต่ประเด็นปัญหาจะอยู่ที่บริษัท ซึ่ง SHIN ไปถือครองหุ้นอยู่ อันได้แก่ ADVANC (42.86%) , SATTEL (51.38%) และ ITV (53%) ซึ่งล้วนเป็นกิจการที่กฎหมายห้ามชาวต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% (หรือไม่ถึง 50% ในกรณีของ ITV)

            ถึงแม้ว่า Temasek จะได้ประกาศออกมาแล้วว่า ไม่มีเจตนาที่จะครอบงำ ITV แต่ข้อเท็จจริงในขณะนี้ ก็คือ Temasek ได้มีอำนาจการบริหารใน ITV แล้ว เพราะฉะนั้น หาก SHIN มีสถานะเป็นบริษัทต่างด้าว จะทำให้การถือหุ้นใน ITV ผิดกฎหมายทันที เนื่องจาก Temasek จะมีสถานะครอบงำกิจการของ ITV โดยอัตโนมัติ ซึ่ง พ.ร.บ.ต่างด้าว ระบุชัดว่า บุคคลต่างด้าวไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ ทำให้ถึงแม้ว่าไม่มีเจตนาจะครอบงำ แต่ตามหลักกฎหมายคือ ผิดกฎหมายเต็มประตู เจ้าหน้าที่สมควรต้องปฏิบัติตามหน้าที่ในการตรวจสอบและเอาผิด หากมีความผิดเกิดขึ้นจริง เพื่อให้ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมของสังคม

            ถ้าดูโครงสร้างการถือหุ้นของ SHIN ในปัจจุบันนั้น จะพบว่ากลุ่ม Temasek ถืออยู่ทั้งสิ้น 49.59% โดยนับเป็นขาที่ถือโดยบริษัทต่างด้าว 10.97% และขาที่ถือโดยบริษัทไทย 38.62% นอกจากนี้ ยังมีการถือหุ้นโดยชาวต่างด้าวอื่นๆ อีกมากกว่า 10% เพราะฉะนั้นหาก Cedar Holdings เป็นบริษัทต่างด้าว ก็จะทำให้ SHIN มีลักษณะเป็นบริษัทต่างด้าวเช่นกัน และยิ่งกว่านั้นก็จะทำให้การถือหุ้นใน ITV ขัดต่อกฎหมายในทันที

            ผู้เขียนอยากจะเพ่งการพิจารณามาที่สัญชาติของสองบริษัท คือบริษัทกุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings จากโครงสร้างการถือหุ้นตามแผนผังด้านบน หากกุหลาบแก้วเป็นบริษัทต่างชาติ จะทำให้ Cedar Holdings เป็นบริษัทต่างชาติ ส่งผลให้ SHIN กลายเป็นบริษัทต่างชาติในทันทีเช่นกัน

(ตอน 3) บทพิสูจน์ว่ากุหลาบแก้วเป็นนอมินีของ Temasek

---------------------------------------------------------------

            สิ่งที่ผู้เขียนจะพยายามพิสูจน์ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของประเด็นนี้ คือ บริษัทกุหลาบแก้วนั้น จริงๆ แล้ว คือนอมินี ของ Temasek ดีๆ นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะถือหุ้นโดยคนไทยเกิน 50% แต่หุ้นของคนไทยนั้นโดยพฤตินัยแล้ว ไม่มีความหมายในการควบคุม เป็นเพียงหุ้นลม ซึ่งกรณีนี้เข้าข่ายการละเมิดมาตรา 36 ของ พ.ร.บ.ต่างด้าว เพราะคนไทย "ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด หรือนิติบุคคลใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ"

            การพิสูจน์นั้นดูได้จาก 2 วิธีหลัก ดังนี้

            โครงสร้างเงินทุน การถือหุ้น อำนาจควบคุมในบริษัท

            A. การถือหุ้น : ถ้าดูเพียงเปอร์เซ็นต์การถือหุ้นเพียงอย่างเดียว จะเห็นว่า กลุ่มคนไทยคือ นายพงส์ และนายศุภเดช ถือหุ้นรวมกัน 51% ซึ่งมากกว่ากึ่งหนึ่ง ทำให้ถือได้ว่าเป็นบริษัทไทย ถ้านับตามจำนวนหุ้น

            แต่การนับจำนวนหุ้นนั้น ไม่ใช่วิธีที่จะสามารถแบ่งบอกอำนาจควบคุมได้ ด้วยเหตุผลที่อธิบายไปแล้ว แม้กระทั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็รู้ถึงข้อจำกัดนี้ เพราะฉะนั้น กฎของตลาดหลักทรัพย์ จะอิงอำนาจในการควบคุมเป็นสำคัญ และจะไม่ได้ดูที่จำนวนหุ้นเพียงอย่างเดียว

            B. การควบคุม : หากมองด้านอำนาจการควบคุมบริษัท เราสามารถแบ่งประเด็นออกไปได้อีกหลายประเด็นย่อย :

            ๐ สิทธิในการออกเสียงของผู้ถือหุ้นเป็นของคนต่างด้าว : คนไทย 2 คน ที่ถือหุ้นข้างมากจำนวน 51% ของกุหลาบแก้วนั้น แท้จริงแล้วเป็นการถือหุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งข้อบังคับข้อ 20 ของบริษัท กุหลาบแก้ว กำหนดให้หุ้นบุริมสิทธิดังกล่าว 10 หุ้น ออกเสียงได้เพียง 1 เสียง ดังนั้น คนไทยจะออกเสียงรวมกันได้ไม่ถึง 10% ในขณะที่ Cypress (ซึ่งเป็นคนต่างด้าวจะออกเสียงได้ถึง 90.59%)

            จากตารางด้านบน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นคนไทย ถือจำนวนหุ้นเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งหมด แต่กลับมีสิทธิออกเสียงเพียงนิดเดียว ซึ่งแน่นอน หมายความว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้นนั้น ชาวต่างชาติจะเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกำหนดทิศทางของบริษัทกุหลาบแก้ว

            ๐ สิทธิในผลประโยชน์ของบริษัท : คนไทย 2 คน ที่ถือหุ้นข้างมากจำนวน 51% เป็นการถือหุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งข้อบังคับบริษัท (ในข้อ 25) กำหนดให้ได้รับเงินปันผลจำกัดเพียง 3% ของจำนวนเงินที่ลงหุ้นไว้กับบริษัท ซึ่ง 3% ของเงินลงทุน 51,000 บาท จะเท่ากับ 1,530 บาทเท่านั้น โดยไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลมากกว่าจำนวนดังกล่าวอีก

            ข้อบังคับบริษัท กุหลาบแก้ว

            ข้อ 25 ระบุเงื่อนไขการจ่ายเงินปันผล ดังนี้

            (ก) ผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก จะได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหุ้นกลุ่ม ข ในอัตราร้อยละ 3 ตามจำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก ได้ลงหุ้นไว้กับบริษัท

            (ข) หลังจากการแบ่งเงินปันผลตามที่ระบุไว้ใน (ก) เงินปันผลที่เหลือจะแบ่งในจำนวนเท่าๆ กันในระหว่างผู้ถือหุ้นกลุ่ม ข ตามสัดส่วนที่ได้ลงหุ้นไว้

            (ค) เงินปันผลที่จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก ในแต่ละปี จะจ่ายอัตราที่กำหนดไว้ตาม (ก) เท่านั้น และจะไม่มีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมอีกสำหรับหุ้นกลุ่ม ก

            (ง) เงินปันผลจะถูกสะสมเฉพาะในส่วนของผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก เท่านั้น

            ถ้าพิจารณาตามนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้นคนไทยไม่ใช่ฝ่ายที่จะได้รับประโยชน์มากมายอะไรจากบริษัทกุหลาบแก้ว กลับเป็นผู้ถือหุ้นต่างด้าวที่ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่จากบริษัทนี้

            สมมติว่าถ้าท่านผู้อ่านเป็นพ่อค้าทำธุรกิจ และท่านเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทแห่งหนึ่ง ท่านจะเขียนข้อบังคับมาเพื่อจำกัดผลประโยชน์ของท่านให้ได้ไม่คุ้มเสียหรือเปล่า ก็คงไม่มีใครที่ไหนเขาทำกัน ในกรณีที่เป็นการดำเนินธุรกิจตามปกติ ซึ่งทำให้อนุมานได้ว่า สิ่งที่บริษัทกุหลาบแก้วทำอยู่ ต้องมีนัยอันไม่ปกติแอบแฝงอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

            ๐ อำนาจในการจัดการบริหารเป็นของคนต่างด้าว : บริษัท กุหลาบแก้ว มีกรรมการตามรายนามดังต่อไปนี้

            1.นางพงส์ สารสิน

            2.นายเอส ไอสวาราน

            3.นางสาวไช ยู จู

            โดยอำนาจในการลงนามเรื่องต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการติดต่องานราชการไทยนั้น ให้ใช้กรรมการ 2 คนลงนาม และประทับตราสำคัญของบริษัท ส่วนในการติดต่องานราชการนั้นให้กรรมการคนเดียวลงนามและประทับตราสำคัญของบริษัทก็พอ นัยว่าเป็นการประหยัดเวลาจะได้ไม่ต้องส่งเอกสารไปที่สิงคโปร์ให้เสียเวลา

            นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการของบริษัทกุหลาบแก้ว กำหนดองค์ประชุมกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง (เท่ากับ 2 คน) แต่ต้องมีกรรมการที่ถูกเสนอชื่อโดยผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก (ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิที่เป็นคนไทย) เข้าร่วมด้วย (ข้อบังคับบริษัท ข้อ 11) รวมทั้งสามารถลงมติเวียนได้ (ข้อบังคับบริษัท ข้อ 14) โดยที่มาตรา 1161 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) กำหนดให้การลงมติของคณะกรรมการใช้เสียงข้างมาก ถ้าเสียงเท่ากันให้ประธานชี้ขาด ดังนั้น กรรมการต่างด้าวดังกล่าวจึงสามารถควบคุมการบริหารจัดการบริษัทได้เกือบทั้งหมด

            ผู้เขียนเคยเข้าร่วมประชุมกรณีหนึ่ง ที่ฝรั่งต่างชาติมาเจรจาเพื่อร่วมลงทุนกับชาวไทย ประสบการณ์โดยตรงที่ผู้เขียนพบก็คือ ประเด็นการสรรหาคณะกรรมการนั้นเป็นประเด็นที่มักจะถกเถียงกันอย่างร้อนแรง และไม่จบลงง่ายๆ คนไทยและคนต่างด้าวทั้งสองฝ่ายมักจะไม่อยากให้ตัวเองต้องเสียอำนาจควบคุมในระดับคณะกรรมการ ผลลัพธ์ท้ายที่สุดมักจะออกมาในรูปของการแบ่งอำนาจ นั่นคือ กรรมการที่มาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย หากไม่ได้รับคะแนนเสียงจากกรรมการที่มาจากผู้ถือหุ้นของอีกฝ่ายหนึ่ง

            จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า ในบริษัทกุหลาบแก้วนั้น ผู้ถือหุ้นชาวไทยช่างเป็นคนที่อะลุ่มอล่วยเหลือเกิน ถือหุ้นมากกว่าครึ่ง แต่ยอมให้กรรมการที่มาจากผู้ถือหุ้นต่างชาติมีอำนาจตัดสินใจเรื่องสำคัญทุกเรื่องของบริษัท

            2.เส้นทางเงินทุนที่นำมาซื้อหุ้น SHIN : หากดูจากมูลค่าการซื้อขายหุ้น SHIN ซึ่งสูงถึง 73,000 ล้านบาทแล้ว หมายความว่า Cedar Holdings ซึ่งซื้อหุ้น SHIN จำนวน 38.62% ต้องใช้เงินมากถึง 56,851 ล้านบาท เป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่หากดูจากจำนวนทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว โดย Cedar Holdings ทุนจดทะเบียน 160,000,000 บาท และบริษัทกุหลาบแก้ว ทุนจดทะเบียน 100,000 บาท

            มีข้อน่าสงสัย 2 ประการคือ ทุนจดทะเบียน Cedar Holdings มีเพียง 160 ล้านบาท แต่ไปหาเงินที่ไหนมากว่า 56,000 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้น SHIN ประการที่สอง กุหลาบแก้วมีทุนจดทะเบียนเพียง 100,000 บาท แต่ถือหุ้นใน Cedar Holdings ถึง 41.1% แสดงว่าต้องมีการใช้เงินถึงกว่า 40 ล้านบาท เงินเหล่านี้มาจากไหน

            ในการซื้อหุ้น SHIN นั้น มีการกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 26,000 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าเงินอีก 30,000 ล้านบาท ต้องมาจากไหนสักแห่ง ซึ่งคาดเดาได้ว่า Cypress Holdings น่าจะเป็นผู้ที่ออกเงินที่เหลือให้ครบจำนวน โดยที่เงินกู้ 26,000 ล้านบาทนั้น Cypress ก็เป็นผู้กู้โดยตรงจากธนาคารกรุงเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ และนำมาให้ Cedar กู้ต่อแผนผังการไหลของเงินน่าจะเขียนได้ดังนี้

            จะสังเกตเห็นได้ว่า เงินไม่ได้มาจาก Cedar Holdings เลย แต่มาจาก Cypress Holdings ซึ่งเป็นบริษัทต่างด้าว แม้แต่เงินกู้เองก็กู้โดยใช้เครดิต (standby letter of credit) ที่มาจากทาง Cypress Holdings ส่วนในตัวกุหลาบแก้วนั้น แน่นอนว่า ไม่สามารถลงเงินอะไรได้ เพราะมีเงินอย่างมากที่สุดก็ 100,000 บาท

            เพราะฉะนั้น น่าจะเป็นที่ชัดเจนว่า บริษัทที่ซื้อ SHIN จริงๆ แล้วคือ Cypress Holdings โดยที่ Cedar Holdings และกุหลาบแก้วมีตัวตนอยู่เพียงเพื่อ แปลงสัญชาติเงิน ให้เป็นเงินสัญชาติไทย ในทางพฤตินัยนั้น กุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings ไม่ได้เป็นผู้ลงทุนที่แท้จริงแต่อย่างใด

            ถึงตรงนี้ก็ควรอ้างมาตรา 36 ใน พ.ร.บ.ต่างด้าวอีกครั้ง ห้ามบุคคลหรือนิติบุคคลไทย "ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดหรือนิติบุคคลใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจ โดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้"

            จะเห็นได้ว่า ถึงแม้คนไทยจะถือหุ้นมากกว่าในบริษัทกุหลาบแก้ว แท้ที่จริงแล้ว อำนาจควบคุม การบริหารจัดการ และผลประโยชน์ทางธุรกิจนั้น ตกเป็นของผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติซึ่งคือ Cypress Holdings แทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ จากการศึกษาเส้นทางเงินที่นำมาซื้อหุ้น และโครงสร้างเงินทุนของกุหลาบแก้ว ก็เห็นชัดว่า บริษัทนี้เป็นเพียงหุ่นกระบอก และทางผ่านของเงินทุนเพื่อที่จะทำให้เงินนั้นกลายเป็นเงินสัญชาติไทย แท้ที่จริงแล้ว บริษัทกุหลาบแก้ว เป็นเพียงนอมินีให้กับ Cypress Holdings เท่านั้น

            ซึ่งก็หมายความว่า บริษัท Cypress เป็นผู้ที่มีอำนาจควบคุมโดยตรงใน Cedar Holdings เนื่องจากถือหุ้นโดยตรง 49% และถือผ่านบริษัทกุหลาบแก้วอีก 41.1% รวมทั้งสิ้น 90.1% รวมทั้งสิ้น 90.1% และ Cedar Holdings ก็เป็นเพียงนอมินีให้กับ Cypress Holdings ล้างสัญชาติตัวเองชุบตัวให้เป็นนิติบุคคลไทย ซึ่งได้เข้าไปควบคุม ITV ผ่าน SHIN เรียบร้อย

            ความถูกต้องทางกฎหมาย : คนไทยที่ไปถือหุ้นเป็นนอมินีในโครงสร้างนี้ ผิดมาตรา 36 ใน พ.ร.บ. ต่างด้าวอย่างเห็นได้ชัด! เพราะเท่ากับว่าในบริษัททั้งสอง ผู้ถือหุ้นชาวไทยเป็นเพียงผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นให้กับคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจในสัดส่วนการถือหุ้นที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

            ถึงแม้ Temasek จะแจ้งเจตนาต่อ ก.ล.ต. แล้วว่า ไม่ต้องการครอบงำ ITV ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองนั้นกำลังทำผิดกฎหมายอยู่ และศาลสามารถสั่งให้ผู้ถือหุ้นไทยของกุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings "เลิกการให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือสั่งให้เลิกการร่วมประกอบธุรกิจ หรือสั่งให้เลิกการถือหุ้น หรือการเป็นหุ้นส่วนนั้นเสีย แล้วแต่กรณี" ได้ตามกฎหมาย

            แต่เนื่องจากผลประโยชน์ในการทำธุรกรรมครั้งนี้สูงลิบลิ่ว และบทลงโทษก็เพียงให้ปรับแค่วันละ 50,000 บาท ในช่วงที่ยังทำความผิด ก็คงจะไม่น่าแปลกใจหากบริษัทเหล่านี้ จะยอมเสียค่าปรับไปเรื่อยๆ

            ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองไทย เป็นสถาบันที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองไทยมานาน เข้ามามีส่วนร่วมในการถือหุ้น Cedar Holdings ซึ่งถึงแม้การถือหุ้นดังกล่าวจะไม่อยู่ในลักษณะนอมินี เนื่องจากธนาคารมีสัดส่วนในการออกเสียงตามสัดส่วนเงินทุนที่ได้ลงไป (คือ 1 หุ้น ต่อ 1 เสียง) แต่จะปฏิเสธไม่ได้จากหลักฐานข้างต้นว่า Cedar Holdings เป็นเพียงหุ่นเชิดของ Temasek ในการล้างสัญชาติเงิน และธนาคารไทยพาณิชย์ ก็เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ด้วย

(ตอน 4) เทมาเส็กกู้เงิน 2แบงก์กลยุทธ"ลดความเสี่ยง"
----------------------------------------------------------------------
5) ทำไม Temasek จึงต้องกู้เงินส่วนหนึ่งที่ใช้ซื้อหุ้น คือ 26,000 ล้านบาท จากธนาคารพาณิชย์ไทยสองแห่ง ?

            การใช้เงินกู้เป็นแหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งในการเทคโอเวอร์ เป็นเรื่องปกติในการทำธุรกรรมแบบนี้ เพราะเป็นการลดความเสี่ยงจากการใช้เงินทุนของผู้ซื้อ (กรณีนี้คือ Temasek) และมีต้นทุนทางการเงินที่ "ถูกกว่า" การใช้หุ้นด้วย

            นอกจากนี้ การกู้ยืมเงินเป็นบาทจากธนาคารในประเทศ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เพราะการซื้อหุ้น 49.59% ของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ มีมูลค่าสูงถึง 73,000 ล้านบาท แปลว่าถ้า Temasek  เอาเงินสิงคโปร์ดอลลาร์มาแลกเป็นเงินบาทจำนวนขนาดนี้เพื่อมาซื้อหุ้นในไทย จะต้องเผชิญกับภาวะ "บาทแข็ง" อย่างไม่ต้องสงสัย (ซึ่งแปลว่าเงินสิงคโปร์ดอลลาร์อ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินบาท ทำให้ต้นทุนของ Temasek ในรูปเงินสิงคโปร์ดอลลาร์สูงขึ้น) ดังนั้น การใช้เงินซื้อหุ้นส่วนหนึ่งเป็นเงินกู้บาทจากธนาคารไทย สามารถช่วยลดความเสี่ยงในจุดนี้ได้

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางธุรกิจ ไม่ใช่ประเด็นกฎหมาย

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "ไม่น่าเกลียด"-Temasek มีสิทธิและความชอบธรรมที่จะหาแหล่งเงินทุนในการซื้อหุ้นจากที่ไหนก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย ในขณะเดียวกัน ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงเทพ ก็มีสิทธิที่จะปล่อยกู้ให้กับลูกค้าบริษัทใดก็ได้ ที่ธนาคารวิเคราะห์สถานะทางการเงินแล้วเห็นว่า มีความสามารถในการชำระหนี้คืน Temasek เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของรัฐบาลสิงคโปร์ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง จึงไม่น่าจะมีข้อครหาในเรื่องนี้

6) ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงเทพ ทำผิดกฎหมายหรือไม่?

ในแง่ธุรกิจ การปล่อยกู้ให้กับกลุ่ม Temasek ของธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงเทพ เป็นการกระทำที่สมเหตุสมผล และน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระดับความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เพราะ Temasek มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีระดับความน่าเชื่อถือสูงถึง AAA จาก Standard & Poors สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ในประเด็นที่ 4) ข้างต้น

            นอกจากนี้ การเข้าถือหุ้น 9.9% ในบริษัท Cedar Holdings ของธนาคารไทยพาณิชย์ ก็เป็นการลงทุนที่ "ชาญฉลาด" ในแง่ธุรกิจ เพราะเท่ากับว่าธนาคารใส่เงินเพียง 39.6 ล้านบาท (9.9% ของทุนจดทะเบียน Cedar Holding = 9.9% x 400 ล้านบาท = 39.6 ล้านบาท) ก็สามารถถือหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SHIN ทางอ้อมได้ถึง 3.8% (เท่ากับสัดส่วนการถือหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ใน Cedar Holdings คือ 9.9% คูณด้วยสัดส่วนการถือหุ้นของ Cedar Holdings ใน SHIN คือ 38.62%)

            แถมยังได้ที่นั่งกรรมการบริษัท SHIN มา 1 ที่นั่งด้วย

            ในแง่กฎหมาย ทั้งสองธนาคารไม่น่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายใดๆ เพราะการปล่อยกู้ หรือแม้แต่ลงทุนในผู้กู้ที่มีศักยภาพที่จะชำระหนี้ เป็นธุรกิจปกติของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำกับดูแลอยู่แล้ว

            อย่างไรก็ตาม มาตรา 12 (9) ใน พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 ระบุว่า ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ "กระทำการใดๆ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือแก่ประโยชน์ของประชาชน หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ"

            อาจกล่าวได้ว่ามาตรานี้เป็นการบังคับให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ใน "กรอบของศีลธรรม" ในภาษากฎหมาย

            ท่านผู้อ่านอาจตกใจที่เห็นข้อบังคับเกี่ยวกับศีลธรรมปรากฏในกฎหมายธุรกิจ แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นเรื่องเหมาะสม เพราะกิจการธนาคารมีความสำคัญยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นผู้ดูแลเงินฝากของประชาชนหลายล้านคน ดังนั้นการที่ธนาคารจะเอาเงินของประชาชน ไปปล่อยกู้หรือทำอะไร ก็ควรต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน และเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

            ในดีลนี้ เห็นชัดว่าโครงสร้างการจัดตั้งโฮลดิ้งหลายชั้นขึ้นมาถือหุ้น SHIN ของกลุ่ม Temasek นั้น มีเจตนารมณ์ที่จะหลบเลี่ยงข้อกฎหมายไทยเรื่องจำกัดผู้ถือหุ้นต่างด้าวไว้ที่ 49% ทั้งๆ ที่ SHIN มี "หัวใจ" เป็นสิงคโปร์ไปแล้ว ซึ่งการที่ Temasek มีอำนาจควบคุม ITV และ Thai Air Asia แปลว่า SHIN น่าจะเข้าข่ายผิดมาตรา 36 ใน พ.ร.บ.ต่างด้าว ดังคำอธิบายก่อนหน้านี้ในประเด็นที่ 2), 3) และ 4) ข้างต้น

            ดังนั้น จึงน่าคิดว่าธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ เข้าข่ายผิดมาตรา 12 (9) ใน พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 หรือไม่ เพราะการปล่อยกู้ของธนาคารทั้งสองแห่ง เป็นการสนับสนุนให้กลุ่ม Temasek ให้เข้ามามีอำนาจควบคุมกิจการโทรทัศน์ (ITV) ที่ พ.ร.บ.ต่างด้าว บัญญัติไว้ว่าห้ามคนต่างด้าวทำ และกิจการการบินในประเทศ (Thai Air Asia) ที่ พ.ร.บ.ต่างด้าว บัญญัติว่าคนต่างด้าวที่อยากทำต้องได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรีก่อน

            การปล่อยกู้ของธนาคารทั้งสองแห่ง จึงเป็นการกระทำที่ "...อาจก่อให้เกิดความเสียหาย...แก่ประโยชน์ของประชาชน" ตามมาตรา 12 (9) ดังกล่าว

            ระดับ "ความผิด" ของธนาคารในกรณีนี้ขึ้นอยู่กับว่า ธนาคารทั้งสองแห่ง ล่วงรู้ล่วงหน้าหรือไม่เพียงใด ว่า Temasek มีเจตนารมณ์ที่จะหลบเลี่ยงกฎหมายไทยอย่าง "น่าเกลียด" แบบนี้

            ยกตัวอย่างเช่น ถ้าธนาคารทั้งสองแห่งไม่ได้ปล่อยกู้ให้กับ Cedar Holdings โดยตรง แต่ไปปล่อยกู้ให้กับบริษัทแม่ของ Cedar คือ Cypress Holdings แทน (ดังที่ผู้เขียนสันนิษฐานในประเด็นที่ 4) ก่อนหน้านี้) ก็อาจอ้างได้ว่า ไม่รู้เรื่องที่ Temasek จะไปจัดตั้งบริษัทกุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings ขึ้นมาเลี่ยงกฎหมาย ภายหลังจากที่อนุมัติเงินกู้ให้กับ Cypress Holdings ไปแล้ว

            ธนาคารทั้งสองแห่งอาจคิดว่า Temasek จะไปตั้งบริษัทขึ้นมาถือหุ้น SHIN แบบตรงไปตรงมา คือตั้งใจถือหุ้น 49% และมีอำนาจควบคุม 49% ด้วย ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

            ซึ่งกรณีนั้นก็นับว่าไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จริงๆ ถ้าเข้าข่ายผิดมาตรา 12 (9) ก็ผิดด้วยความประมาทเลินเล่อมากกว่า ไม่ถึงขนาด "จงใจ" ช่วย Temasek

            ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้มีหน้าที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ไทย จึงควรเข้ามาตรวจสอบกระบวนการปล่อยเงินกู้ดังกล่าวอย่างละเอียดถี่ถ้วน สามารถตอบข้อกังขาข้อนี้ได้อย่างกระจ่างชัด

            โดยเฉพาะในระหว่างที่ Temasek มีอำนาจควบคุม ITV และ SATTEL อย่างชัดเจน ยังไม่ขายหุ้นไปให้กับคนไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดเจตนารมณ์ - ธนาคารแห่งประเทศไทยควรตรวจสอบเงื่อนไข และกระบวนการปล่อยกู้ของธนาคารทั้งสองอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะหากธนาคารทั้งสองไม่รู้จริงๆ ว่า Temasek จะใช้โครงสร้างน่าเกลียดแบบนี้ การอนุมัติเงินกู้ก็สมเหตุสมผลกว่าถ้าล่วงรู้ข้อมูลทั้งหมด

            แต่ไม่ว่าธนาคารทั้งสองจะ "ตั้งใจ" ช่วย Temasek หลบเลี่ยงกฎหมายไทยหรือไม่ เพียงใดก็ตาม การปล่อยกู้ในครั้งนี้น่าจะเป็นการละเมิด "เจตนารมณ์" ของมาตรา 12 (9) ใน พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ อย่างชัดเจน

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - มาตรา 12 (9) ใน พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ เป็นข้อบังคับทางศีลธรรม ซึ่งเป็นเรื่องนามธรรมและยากต่อการพิสูจน์ ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ไทยหลายแห่งก็ได้ทำธุรกรรมกับกลุ่มธุรกิจที่บางคนอาจมองว่า "ทำความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน" อาทิเช่น อาบอบนวด สุรา บุหรี่ เป็นต้น ในขณะที่อีกหลายคนอาจมองว่าไม่เสียหาย

            อย่างไรก็ตาม ดีลการขายหุ้น SHIN นี้เกี่ยวข้องกับธุรกิจโทรทัศน์ ซึ่งรัฐห้ามต่างด้าวเป็นผู้ดำเนินการด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของประเทส และดีลนี้ยังเกี่ยวโยงกับบุคคลสำคัญระดับนายกรัฐมนตรี ระดับ "ความน่าเกลียด" จึงอยู่สูงกว่าธุรกิจอื่นๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น

            7) ทำไม Temasek จึงไม่ซื้อหุ้น 10.98% จาก Ample Rich โดยตรงในวันที่ 23 มกราคม 2549 เหมือนที่ซื้อจากผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ แทนที่จะซื้อผ่าน น.ส.พินทองทา และนายพานทองแท้ก่อนในวันที่ 20 มกราคม 2549?

ตามกฎหมายสิงคโปร์ Temasek ไม่สามารถซื้อหุ้นจากบริษัทที่เป็นนอมินีของผู้ถือหุ้นที่แท้จริงได้ แต่ถึงแม้ Temasek จะขอผ่อนผันเรื่องนี้กับรัฐบาลสิงคโปร์ Temasek ก็ไม่น่าจะอยากซื้อหุ้นจาก Ample Rich โดยตรง เพราะรู้ดีว่า Ample Rich เป็นเพียงบริษัทนอมินีของกลุ่มชินวัตร ที่จดทะเบียนอยู่ใน BVI ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็น "สวรรค์" สำหรับนักธุรกิจไม่สุจริตที่ต้องการเลี่ยงภาษี และฟอกเงิน การซื้อหุ้นโดยตรงจากบริษัทนอมินีสัญชาติ BVI อาจทำให้ Temasek ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลสิงคโปร์ ตกเป็นที่ครหาของประชาชน และสื่อมวลชนในสิงคโปร์ได้ ดังนั้น Temasek น่าจะยืนกรานที่จะซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ เท่านั้น ไม่ใช่จากบริษัทนอมินีใดๆ ของกลุ่ม

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางธุรกิจ ไม่ใช่ประเด็นกฎหมาย การตัดสินว่าจะซื้อหุ้น SHIN จากใคร ขึ้นอยู่กับดุลยพินจของ Temasek และการเจรจากับผู้ถือหุ้น SHIN จริงๆ แล้วข้อนี้เราต้องขอบคุณกฎหมายสิงคโปร์ และนโยบายของ Temasek ที่บังคับให้ Ample Rich ต้องขายหุ้นคืนมาให้ น.ส.พินทองทา และนายพานทองแท้ก่อน ทำให้คนไทยตาสว่างเมื่อเห็นชัดว่า Ample Rich คือนอมินีของใคร ว่าพฤติกรรม "ซุกหุ้น" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ไม่ได้จืดจางลงในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาแม้แต่น้อย

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "ไม่น่าเกลียด" - ด้วยเหตุผลเดียวกับประเด็น "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ข้างต้น
 
(ตอน 5) ราคาเทนเดอร์แอดวานซ์ "ถูกต้อง" แต่รายย่อยเสียหาย

-------------------------------------------------------------

            ถาม-ตอบ ประเด็นกระบวนการทำ tender offer และราคา tender offer

            การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ตามมาตรา 247 หรือ mandatory tender offer นั้น เป็นกรณีที่บริษัทผู้ซื้อถูก "บังคับ" ตามกฎหมาย ให้ทำเทนเดอร์ แต่โดยปกติ บริษัทใดๆ ก็สามารถยื่นเทนเดอร์เองโดยที่ถือหุ้นยังไม่ถึง 25% ก็ได้ กรณีนี้เรียกว่าเป็นการ "ทำคำเสนอซื้อโดยสมัครใจ" (voluntary tender offer) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ Temasek ใช้ในการทำเทนเดอร์หุ้น ADVANC (จะกล่าวถึงในลำดับต่อไป)

            นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังมีกฎเกณฑ์ว่าด้วย "การครอบงำกิจการผ่านนิติบุคคลอื่น" (chain principle) ซึ่งใช้สำหรับกรณีที่กลุ่มบริษัทใดมีบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.มากกว่าหนึ่งแห่ง (เช่น กลุ่ม SHIN มี SHIN, ADVANC, SATTEL, ITV และ CSL เป็นบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.) กฎนี้บอกว่า ถ้าผู้ซื้อเข้ามามีอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญในนิติบุคคล (เช่น SHIN) ที่เป็นผู้ถือหุ้นของกิจการอื่นที่จดทะเบียนอยู่ก่อนแล้ว (เช่น ADVANC ซึ่ง SHIN ถือหุ้นอยู่ 42.86%) ไม่ว่าการมีอำนาจควบคุมนั้นจะเกิดขึ้นโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ผ่านการถือหุ้นหรือการควบคุมในนิติบุคคลอื่นเป็นทอดๆ จนถึงนิติบุคคลที่เป็นผู้ถือหุ้นของกิจการ บุคคลนั้นต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ ถ้าได้หุ้นมาถึง Trigger point ต่างๆ ยกเว้นว่าการได้มานั้นมิได้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการครอบงำกิจการ (เช่น สมมติว่าถ้าการเทนเดอร์หุ้น SHIN ทำให้ Temasek กลายเป็นผู้มีอำนาจควบคุมใน ADVANC ทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการธุรกิจของ ADVANC กรณีนี้ Temasek ก็ขอผ่อนผันไม่ต้องทำเทนเดอร์ ADVANC ต่อ ก.ล.ต.ได้)

            ตามกฎ ก.ล.ต.ระยะเวลาในการทำเทนเดอร์ต้องไม่น้อยกว่า 25 วัน เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีเวลาตัดสินใจเพียงพอว่าอยากขายหรือไม่

            Cool ทำไม Temasek จึงต้องยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ SHIN?

            การซื้อหุ้น 49.59% ของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ทำให้ Temasek ต้องยื่นเทนเดอร์สำหรับหุ้น SHIN ทั้งหมด เพราะ 49.59% เกินจุดการถือหุ้นแรกที่ต้องทำคำเสนอซื้อตามมาตรา 247 คือ 25%

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกต้อง 100% - เรื่องนี้ Temasek ปฏิบัติตามมาตรา 247 ชัดเจน

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - ด้วยเหตุผลเดียวกับประเด็น "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ข้างต้น

            9) ราคาที่ Temasek เสนอซื้อหุ้น SHIN นั้น สมเหตุสมผลหรือไม่?

            ตามกฎ ก.ล.ต. ราคาที่ใช้ในการทำ mandatory tender offer จะต้องเป็นราคาสูงสุดที่ผู้ทำคำเสนอซื้อ (คือ Temasek ในกรณีนี้) ได้หุ้น SHIN มา ภายใน 90 วันก่อนวันยื่นเทนเดอร์ ดังนั้น Temasek จึงต้องใช้ราคาเดียวกับราคาที่ซื้อหุ้นจากครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ คือ 49.25 บาทต่อหุ้น

            ต่อคำถามว่าราคา 49.25 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่ "เหมาะสม" หรือไม่นั้น ผู้เขียนมองว่าเป็นราคาที่ค่อนข้าง "แพง" เมื่อเทียบกับดีลเทคโอเวอร์อื่นๆ ในธุรกิจโทรคมนาคม กล่าวคือ ราคานี้คิดเป็นเกือบ 4 เท่าของมูลค่าทางบัญชีของ SHIN ในขณะที่อีกสองดีลที่เกิดเมื่อเร็วๆ นี้ คือการซื้อหุ้น 10% ในบริษัทเกาหลีใต้ชื่อ KT Freetel โดยยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมญี่ปุ่น NTT DoCoMo และการขายหุ้นของครอบครัวเบญจรงคกุลให้กับพันธมิตรชาวนอร์เวย์คือ Telenor ASA ราคาซื้อคิดเป็นประมาณ 2 เท่าของมูลค่าทางบัญชีเท่านั้น นอกจากนี้ข้อมูลจากบริษัท Dealogic ซึ่งเก็บข้อมูลดีลเทคโอเวอร์อย่างละเอียด ชี้ว่า อัตราส่วนราคาซื้อต่อมูลค่าทางบัญชีของบริษัทโทรคมนาคมในทวีปเอเชีย ตลอดทั้งปี 2548 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.2 เท่านั้น

            อย่างไรก็ดี เมื่อมองว่าบริษัทลูกของ SHIN คือ ADVANC นั้นเป็นผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ที่สุดในประเทศที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มว่าจะได้ใบอนุญาตให้ทำคลื่น 3G ค่อนข้างแน่นอน ราคานี้ไม่ถึงกับ "แพงจนไร้เหตุผล" ทีเดียวนัก

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกต้อง 100% - เรื่องนี้ Temasek ปฏิบัติตามกฎ ก.ล.ต. เรื่องราคาที่ต้องใช้ในการทำ mandatory tender offer คือใช้ราคาสูงสุดที่ได้หุ้นมาภายใน 90 วัน

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - ดังกล่าวข้างต้น ราคา 49.25 บาทต่อหุ้นดู "แพงไป" แต่ก็ไม่ได้เป็นราคาที่สูงเสียจนทำให้ใครแคลงใจได้ว่า Temasek ได้รับ "ผลประโยชน์แอบแฝง" อื่นใดที่มีมูลค่ามหาศาล ในการซื้อหุ้นครั้งนี้หรือไม่ (จริงอยู่ นายกฯ อาจให้ "คำสัญญา" เกี่ยวกับ 3G ที่ยังไม่มีสิทธิให้เพราะกทช. ยังไม่ได้กำหนดโครงสร้าง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของ ADVANC ก็คงเป็นเรื่องแปลก หาก ADVANC จะไม่ได้รับใบอนุญาต 3G ดังนั้นเรื่องคำสัญญานี้ จึงไม่น่าเกลียดเท่าไรนัก)

            10) ทำไม Temasek จึงต้องยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ ADVANC

            ก่อนการซื้อหุ้น SHIN นั้น Temasek ถือหุ้น ADVANC อยู่ 19.26% ผ่านบริษัทลูกคือ SingTel ซึ่ง SHIN ถือหุ้น 60% ในขณะที่ SHIN ถือหุ้น ADVANC  อยู่ 42.86% ดังนั้น เมื่อ Temasek มาถือหุ้น 49.59% ใน SHIN และมีเจตนาครอบงำกิจการ SHIN เพราะทำเทนเดอร์หุ้นทั้งหมดของ SHIN อยู่ จึงเท่ากับว่า Temasek และบริษัทในเครือจะถือหุ้น ADVANC รวม 42.86% + 19.26% = 62.12% ซึ่งมีอำนาจควบคุมแน่นอน และ ADVANC ก็เป็นบริษัทหลักในกลุ่ม SHIN (มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 94% ของรายได้บริษัททั้งหมดในกลุ่ม) ที่ Temasek ต้องการครอบงำแน่นอน

            ดังนั้น ตามกฎ "การครอบงำกิจการผ่านนิติบุคคลอื่น" (chain principle) ของ ก.ล.ต. Temasek จึงต้องเทนเดอร์หุ้นทั้งหมดของ ADVANC ด้วย เพียงแต่มีประเด็นเทคนิคเล็กน้อย คือทำเทนเดอร์ด้วยความสมัครใจแทนที่จะรอให้ช่วงเวลาเทนเดอร์หุ้น SHIN จบลงก่อน (ซึ่งหลังจากนั้น Temasek ก็จะมีอำนาจควบคุม SHIN จริงๆ ตามกฎหมาย เพราะจะถือหุ้นเกิน 50%) ซึ่ง ก.ล.ต.ได้ชี้แจงประเด็นนี้เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2549 ว่า "การทำคำเสนอซื้อหุ้น ADVANC ในครั้งนี้มีข้อเสนอและเงื่อนไขเช่นเดียวกับการทำ mandatory tender offer ทุกประการเพียงแต่ทำเร็วขึ้นก่อนที่จะมีหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น (จึงเรียกว่าเป็น voluntary tender offer) ซึ่งการทำคำเสนอซื้อหุ้น ADVANC โดยเร็วจะช่วยป้องกันความสับสนและการคาดการณ์ต่างๆ"

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกต้อง 100% - เรื่องนี้ Temasek ปฏิบัติตามกฎเรื่อง chain principle ของ ก.ล.ต. ถูกต้อง และการขอทำ voluntary tender offer นั้นก็ทำได้ตามกฎหมาย

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - ด้วยเหตุผลเดียวกับประเด็น "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ข้างต้น

            11) ราคาที่ Temasek เสนอซื้อหุ้น ADVANC นั้น สมเหตุสมผลหรือไม่?

            เนื่องจากการทำเทนเดอร์หุ้น ADVANC ของ Temasek นั้นเป็นการทำภายใต้เกณฑ์ "การครอบงำกิจการผ่านนิติบุคคลอื่น" (chain principle) คือเป็นการเทนเดอร์หุ้นบริษัทลูกของบริษัทที่ Temasek ต้องการซื้อจึงต้องใช้หลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาเทนเดอร์ กรณี chain principle ซึ่งกำหนดให้ใช้เงินลงทุนของ SHIN ใน ADVANC หารด้วยส่วนผู้ถือหุ้นของ SHIN ก่อน แล้วเอาอัตราส่วนที่ได้มาคูณมูลค่าหุ้นทั้งหมดของ SHIN (market cap) ผลที่ได้ถือเป็นมูลค่าปัจจุบันของเงินลงทุนใน ADVANC ของ SHIN เมื่อเอาตัวเลขนี้หารด้วยจำนวนหุ้นของ ADVANC ที่ SHIN ถือ จะได้ราคาเทนเดอร์ ADVANC ต่อหุ้น

            แน่นอน ตัวเลขที่ได้นี้ย่อมต่ำกว่าราคาตลาดของหุ้น ADVANC พอสมควร เพราะต้นทุนของ SHIN ในการซื้อหุ้น ADVANC (cost of investment) ย่อมต่ำกว่าต้นทุนของผู้ถือหุ้นที่ไปไล่ซื้อหุ้น ADVANC เอาไว้ในตลาด ในกรณีนี้ ราคาเทนเดอร์ที่ได้ คือ 72.31 บาทต่อหุ้น หรือต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 30%

            ก.ล.ต. อธิบายหลักการเรื่องนี้ไว้เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2549 ว่า "หลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาเสนอซื้อหุ้นบริษัทลูกมีกำหนดตั้งแต่ปี 2545 แล้ว โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหลายท่านได้เข้าร่วมพิจารณาและร่วมกันกำหนดเกณฑ์...โดยเห็นว่า ไม่ควรใช้ราคาตลาด แต่ให้ใช้ราคาที่ได้มา ทั้งนี้ เพื่อให้สะท้อนมูลค่าหุ้นที่แท้จริงของบริษัทลูกในขณะที่มีการทำ Temasek บริษัทแม่...โดยวิธีการคำนวณราคาลักษณะนี้เคยใช้มาแล้วในกรณีการทำคำเสนอซื้อ NPC โดย SCC  ซึ่งเป็นกรณี chain principle เช่นเดียวกัน"

            สรุปคือ ต้องถือเป็น "คราวเคราะห์" ของผู้ถือหุ้น ADVANC ที่เจอราคาเทนเดอร์ต่ำกว่าตลาดขนาดนี้ ซึ่งใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาที่ตรงตามข้อกฎหมายทุกประการ ทั้งๆ ที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทุกสถาบันประเมินว่า ราคาที่เหมาะสมของ ADVANC อยู่ที่ 111 บาทโดยเฉลี่ย หรือสูงกว่าราคาเทนเดอร์ถึง 53.5%

            อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่า กฎข้อนี้ของ ก.ล.ต. "ไม่เป็นธรรม" กับผู้ถือหุ้นของ ADVANC เท่าไรนัก ด้วยเหตุว่า SHIN นั้น เป็นเพียงบริษัทโฮลดิ้งของกลุ่มชิน ที่ตั้งมาถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ของกลุ่ม ไม่มีธุรกิจอะไรเป็นของตัวเอง และมี ADVANC เป็นกิจการหลัก ทำรายได้ถึง 94% ของรายได้ทั้งกลุ่ม ดังนั้นเกณฑ์การคำนวณ "มูลค่าหุ้นที่แท้จริงของบริษัทลูก" ในกรณีนี้ ไม่ควรใช้ราคาที่บริษัทแม่ คือ SHIN ได้มา เพราะราคาตลาดของหุ้น ADVANC น่าจะเป็นตัววัด "มูลค่าหุ้นที่แท้จริงของบริษัทลูก" ได้ใกล้เคียงกว่า สะท้อนนัยสำคัญของ ADVANC ที่มีต่อ SHIN ได้ดีกว่า โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า จริงๆ แล้ว Temasek น่าจะต้องการเพียง ADVANC เท่านั้น แต่ที่มาซื้อหุ้น SHIN ก็เพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SHIN ไม่ต้องการให้ SHIN เสียภาษี

            แผนผังด้านล่างเปรียบเทียบดีลนี้ กับดีล SCC (ปูนซิเมนต์ไทย) ที่ต้องทำเทนเดอร์หุ้น NPC ตามกฎ chain principle ทั้งๆ ที่ SCC ต้องการเทนเดอร์เฉพาะ TPC เท่านั้น จะเห็นว่าในกรณีของ SCC นั้น รายได้ของกลุ่มธุรกิจ TPC และรายได้ของกลุ่มธุรกิจ NPC นั้น มีสัดส่วนพอๆ กัน คือ 54% และ 45% นอกจากนี้ TPC ก็ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกของตัวเอง ที่ต่างจากธุรกิจของ NPC คือผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ในขณะที่ SHIN ไม่มีธุรกิจของตัวเองดังที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้น การที่ SCC สามารถเทนเดอร์หุ้นของบริษัทที่ตัวเองไม่สนใจจะครอบงำ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด จึงสมเหตุสมผลมากกว่าการที่ Temasek สามารถเทนเดอร์หุ้นของบริษัทที่ตัวเองสนใจจะครอบงำ (และที่ทำรายได้คิดเป็น 94% ของทั้งกลุ่ม) ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด

            ความถูกต้องทางกฎหมาย : ถูกต้อง 100% - เรื่องนี้ Temasek ปฏิบัติตามกฎ ก.ล.ต. เรื่องเกณฑ์การกำหนดราคาเทนเดอร์กรณีเข้าข่าย chain principle ทุกประการ แม้จะทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยของ ADVANC เสียเปรียบอย่างมากมายมหาศาล

            อย่างไรก็ตาม ความ "ไม่เป็นธรรม" ของราคาเทนเดอร์ในกรณีนี้ น่าจะเป็นจุดกระตุ้นให้ ก.ล.ต.หันมาทบทวนอีกครั้งว่า ควรแก้กฎ chain principle ให้เข้มงวดขึ้น (เช่น กำหนดให้ใช้เกณฑ์เดียวกับการทำ mandatory tender offer) สำหรับการเทนเดอร์บริษัทลูกของบริษัทลักษณะที่เป็น "โฮลดิ้ง" ที่บริษัทลูกทำรายได้กว่า 90% หรือไม่

            ความถูกต้องทางศีลธรรม : "ไม่น่าเกลียด" - ระดับความน่าเกลียดในประเด็นนี้ สืบเนื่องมาจากประเด็นที่ 1) ของบทความนี้แล้ว ใครคิดว่าเหตุผลหลักที่ Temasek มาซื้อหุ้น SHIN แทนที่จะเป็นหุ้น ADVANC นั้น คือ ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ไม่ต้องการให้ SHIN เสียภาษี ก็อาจคิดว่าข้อนี้เข้าข่าย "น่าเกลียดเป็นปกติ" ได้ แต่ผู้เขียนคิดว่าต้องรอดูพฤติกรรมของ Temasek หลังจากได้อำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จในกลุ่ม SHIN ก่อน ว่าจะดำเนินธุรกิจอะไรบ้าง และอย่างไร

            บุคคลนั้นต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ ถ้าได้หุ้นมาถึง trigger point ต่างๆ ยกเว้นว่าการได้มานั้นมิได้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการครอบงำกิจการ (เช่น สมมติว่าถ้าการเทนเดอร์หุ้น SHIN ทำให้ Temasek กลายเป็นผู้มีอำนาจควบคุมใน ADVANC ทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการธุรกิจของ ADVANC กรณีนี้ Temasek ก็ขอผ่อนผันไม่ต้องทำเทนเดอร์ ADVANC ต่อ ก.ล.ต.ได้)

            ตามกฎ ก.ล.ต. ระยะเวลาในการทำเทนเดอร์ต้องไม่น้อยกว่า 25 วัน เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีเวลาตัดสินใจเพียงพอว่าอยากขายหรือไม่
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #36 เมื่อ: 28-08-2007, 14:56 »

(ตอน 6)"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"กับปมอินไซเดอร์

            -------------------------------------------------

            ประเด็นกระบวนการซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน (insider trading) และการเปิดเผยข้อมูล

            13) การทยอยขายหุ้น ADVANC ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะมีการประกาศดีลนี้ต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 เข้าข่าย insider trading หรือไม่?

            มาตรา 241 (ข้อห้ามการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น) ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เขียนชัดเจนว่า "ห้ามมิให้บุคคลใดทำการซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย หรือชักชวนให้บุคคลอื่นซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย ซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ว่าโดยทรงตรงหรือทางอ้อม

 ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน และตนได้ล่วงรู้มาในตำแหน่งหรือฐานะเช่นนั้น และไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทำเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น หรือนำข้อเท็จจริงเช่นนั้นออกเปิดเผยเพื่อให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าว โดยตนได้รับประโยชน์ตอบแทน"

            ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้เป็นเพียงผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ADVANC เท่านั้น หากยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น SHIN ที่ขายหุ้นให้กับ Temasek เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ดังนั้น จึงไม่มีทางปฏิเสธว่า ตนไม่รู้เรื่องที่ Temasek จะทำเทนเดอร์หุ้น ADVANC ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดถึง 30% ก่อนวันเซ็นสัญญา

            ข้อมูลจากรายการการซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้บริหาร ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 ต่อเนื่องถึงมกราคม 2549 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายิ่งลักษณ์ ขายหุ้น ADVANC เพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดย "อาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน" คือช่วงก่อนวันที่ 23 มกราคม 2549

            คำตอบของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ว่า "การขายหุ้นทุกครั้งมีการแจ้งเรียบร้อย" และ "ถ้าไม่ขายก็ติด silent period ของหุ้น ESOP" จึงฟังไม่ขึ้น เพราะมันไม่ตรงประเด็นทั้งคู่

            ประเด็นอยู่ที่ การขายหุ้นกว่า 288,000 หุ้น ที่ราคา 105-113 บาท (ซึ่งก็ต้องบอกว่า "แม่น" เหลือเกินที่ขายได้ทั้งหมดช่วงก่อนที่ราคาหุ้น ADVANC จะขึ้นไปสูงสุด แล้วก็หล่นลงมาเรื่อยๆ) นั้น เข้าข่าย "การขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน" (insider trading) ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย หรือไม่

            ที่อ้างว่า "ถ้าไม่ขายก็ติด silent period ของหุ้น ESOP" นั้น ก็น่าหัวเราะสิ้นดี ก็เพราะคุณจะผิดกฎหมายเรื่อง insider trading น่ะสิ คุณถึงไม่ควรขายหุ้นออกมาช่วงนั้น!

            คำ "แก้ตัวแทน" ของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ว่า "เขาก็ซื้อๆ ขายๆ อย่างสม่ำเสมอ" ก็ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน เพราะมันไม่ได้ตอบคำถามว่า ไอ้หุ้นที่ขายไปช่วงนี้ มันผิดกฎหมายหรือไม่

สรุปประเด็นนี้ได้ทางเดียวว่า

            ความถูกต้องทางกฎหมาย  ผิดกฎหมายเรื่อง insider trading 100% เต็มประตู - เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กรณีเดียวที่ยิ่งลักษณ์จะขายหุ้น ADVANC ไป 288,400 หุ้น แล้วไม่ผิดกฎนี้ คือ ถ้าเธอไม่รู้เรื่องการเจรจาขายหุ้น SHIN ของพี่ชายเลย (หรือหลานชายและหลานสาว ถ้าหากว่าคุณพี่ชายจะยืนยันต่อไปว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นประการใด) อยู่ดีๆ เช้าตรู่ของวันที่ 23 มกราคม 2549 ก็มีคนมาปลุกให้ไปเซ็นสัญญาขายหุ้น SHIN ให้ Temasek ซะดื้อๆ อย่างนั้น....

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" - อะไรที่มัน "ผิดกฎหมาย" แบบเห็นกันชัดๆ อย่างนี้ ไม่น่าเกลียดธรรมดาแน่นอน จริงๆ แล้วถ้า ก.ล.ต. ไม่เอาเรื่องยิ่งลักษณ์ข้อนี้ ก็แปลว่ากฎหมาย insider trading ของเราไม่มีความหมาย ฉีกทิ้งไปเลยดีกว่า

            14) ทำไม ตลท. ไม่สั่งขึ้นเครื่องหมายพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราว (H) ของหุ้น SHIN ทั้งๆ ที่เกิดข่าวลือเรื่องดีลนี้มาตั้งแต่ก่อนเดือนพฤศจิกายน 2548?

            นี่เป็นตัวอย่างค่อนข้างชัดเจน ที่แสดงให้เห็นความ "ลำเอียง" แบบกระเท่เร่ของ ตลท. ที่มีต่อดีลนี้ หุ้น SHIN ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2548 อยู่ในระดับราคาประมาณ 37 บาท หลังจากนั้นเมื่อกระแสข่าวลือกระพือหนักว่า มีต่างชาติจะเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าว ราคาหุ้นก็ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 30% แต่ ตลท. ไม่ได้ขึ้นเครื่องหมาย "พักหรือห้ามซื้อขายหุ้น" เลยแม้แต่วันเดียว ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2549 คือวันที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น

            การขึ้นเครื่องหมาย H  (ย่อมาจาก Halt คือ หยุดพักการซื้อขายชั่วคราว) และเครื่องหมาย SP (ย่อมาจาก Suspend คือห้ามการซื้อขายหุ้นจนกว่า ตลท. จะได้รับคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัทจดทะเบียน) นั้น เป็น "เครื่องมือ" ของ ตลท. ที่สำคัญต่อการควบคุมดูแลตลาดหลักทรัพย์ ให้มีความโปร่งใส ช่วยให้นักลงทุนทุกรายสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้น ได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่เสียเปรียบ "คนวงใน" กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทมากกว่านักลงทุนทั่วไป

            ช่วงที่ข่าวลือการเทคโอเวอร์สะพัด การที่ ตลท. ไม่ขึ้นเครื่องหมายเหล่านี้เพื่อบังคับให้ SHIN ส่งจดหมายชี้แจงอย่างเป็นทางการ และเปิดเผยข้อมูลที่บริษัทล่วงรู้ (หรือไม่รู้ เพราะบริษัทอาจไม่ทราบการกระทำของผู้ถือหุ้นก็ได้) ต่อนักลงทุน ก็เท่ากับเป็นการเปิด "ไฟเขียว" ให้กับ "คนวงใน" ทั้งหลายของ SHIN ที่รู้ความคืบหน้าการเจรจาเป็นอย่างดี ได้มีโอกาสปั่นหุ้น และซื้อขายทำกำไรแบบ insider trading กันอย่างสบายใจเฉิบ

ลองมาฟังความเห็นจากแหล่งข่าวในแวดวงการเงินดู

            "ที่ผิดปกติก็คือ ทั้ง ก.ล.ต.และตลาดหุ้นต่างไม่เทคแอ็คชั่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ดูง่ายๆ วันที่ 23 มกราคม ทั้งๆ ที่มีข่าวว่าชินคอร์ปจะชี้แจงดีลประวัติศาสตร์ 7 หมื่นล้านบาท แต่ตลาดหลักทรัพย์ ทำได้แค่ขึ้นเครื่องหมาย H หยุดพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราวเมื่อเวลา 11.37 น. แต่ไม่ขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามการซื้อขายหุ้น แต่ทางบริษัทชินคอร์ปเป็นผู้ขอขึ้นเครื่องหมายเอง จึงทำให้ดูเหมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ"

            ความถูกต้องทางกฎหมาย กฎหมายเรื่องการขึ้นเครื่องหมายนั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ตลท. เอง แต่ก็ต้องนับว่า ตลท. ทำให้นักลงทุนผิดหวัง เพราะเป็นการ "เลือกปฏิบัติ" ค่อนข้างชัดเจน มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้ข่าวลือแพร่สะพัดเป็นเดือนๆ หุ้น SHIN โลดแล่นติดลมบน โดยไม่สั่งพักการซื้อขายเลยแม้แต่วันเดียว

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" - ทุกอย่างที่แสดงพฤติกรรมการ "เลือกปฏิบัติ" ของหน่วยงานรัฐ เพื่อเข้าข้างบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นความน่าเกลียดสุดขั้วอย่างไม่ต้องสงสัย

(ตอน7)แอมเพิล ริช ปม "ซุกหุ้น-อินไซเดอร์"

---------------------------------------------

ถาม-ตอบ ประเด็นเกี่ยวกับ Ample Rich Investments

            เมื่อคำนึงว่า บริษัทที่จดทะเบียนใน BVI นั้น หลายบริษัทมีจุดประสงค์เพื่อฟอกเงิน หรือซื้อขายหุ้นในลักษณะปั่นหุ้น (ด้วยการซื้อขายหุ้นในกระดานต่างประเทศ) แล้ว เราก็อาจตั้งสมมติฐานได้ว่า การถือหุ้น SHIN ผ่านบริษัทนอมินีชื่อ Ample Rich Investments ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์นั้น ไม่น่ามี "เจตนาดี" ใดๆ

            การกระทำนี้ น่าจะเป็นการซุกหุ้นแบบ "บกพร่องโดยสุจริต" ไม่ต่างจากพฤติกรรมเมื่อปี 2543

            ประเด็นเรื่อง Ample Rich นั้น ซับซ้อนและต้องใช้เวลารอข้อมูลที่ครอบครัวชินวัตร ต้องชี้แจงต่อ ก.ล.ต. แต่จากข้อมูลล่าสุด ณ 14 กุมภาพันธ์ 2549 รวมทั้งจากปากคำของนายกฯ เอง ก็ทำให้เห็นภาพค่อนข้างชัดเจนระดับหนึ่ง

...ชัดเจนว่า นายพานทองแท้ ยังไม่ได้ส่งรายละเอียดการซื้อขายหุ้น SHIN ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ที่ทำผ่าน Ample Rich ให้กับ ก.ล.ต. ทั้งๆ ที่ล่วงเลยกำหนดเวลาที่ ก.ล.ต. บอกให้ส่ง (ภายใน 7 วัน คือ ภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549) มาแล้วกว่าหนึ่งสัปดาห์ ก.ล.ต. เองก็ไม่ติดตามเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ทั้งๆ ที่เป็นประด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน และเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะพิสูจน์ว่า นี่เป็นการ "ซุกหุ้นภาค 2" หรือไม่ ซึ่ง ส.ว. กลุ่มหนึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

            ...ชัดเจนว่า การที่คนในครอบครัวชินวัตร ถือหุ้น SHIN ผ่าน Ample Rich ใน 6 ปีที่ผ่านมา มีเจตนา "ซุกซ่อน" ให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหุ้น SHIN ส่วนนี้หลุดรอดสายตาของ ก.ล.ต. ไม่ว่าเจตนานั้นจะเป็นของนายกฯ ทักษิณ หรือของนายพานทองแท้ก็ตาม

            ...ชัดเจนว่า การซื้อขายหุ้น SHIN ผ่าน Ample Rich นั้น น่าจะเข้าข่ายผิดกฎ "insider trading" คือมาตรา 241 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ตลอดจนผิดกฎการรายงาน มาตรา 246 ใน พ.ร.บ.เดียวกันด้วย

            ...ชัดเจนว่า การที่ Ample Rich ซึ่งมีทุนจดทะเบียนเพียง $1 (ประมาณ 40 บาท) สามารถไปซื้อขายหุ้น SHIN หลายครั้ง มูลค่านับร้อยนับพันล้านบาท โดยไม่มีหลักฐานการได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ให้นำเงินออกนอกประเทศเลยนั้น น่าจะเป็นประเด็นที่สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงินหรือ ป.ป.ง. ควรตั้งข้อสงสัยว่า มีการฟอกเงินหรือไม่ และออกมาตรวจสอบธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ว่า ป.ป.ง.นั้น เป็น "หน่วยงานของรัฐบาล" จึงไม่น่าแปลกใจที่ ป.ป.ง. ออกมาชี้แจงไปแล้วว่า ไม่มีอะไรต้องตรวจสอบ)

            ชนวนเรื่อง Ample Rich นั้น คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ เคยเขียนบทความตีแผ่อย่างละเอียดมาแล้วในชื่อ "ความลับของ Ample Rich ความลับของทักษิณ" จึงขอนำบางตอนมาเผยแพร่ และเพิ่มเติมรายละเอียดในบางประเด็น

            เมื่อนายกฯ โอนหุ้น Ample Rich ที่ตัวเองถืออยู่ 100% ให้แก่นายพานทองแท้ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2543 นั้น เท่ากับว่านายพานทองแท้ ได้กรรมสิทธิ์หุ้น SHIN ที่ Ample Rich ถืออยู่ 32.92 ล้านหุ้น หรือ 11.87% มาด้วย ซึ่งตามมาตรา 258 ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ต้องนับรวมหุ้นที่ Ample Rich ถืออยู่กับหุ้นที่นายพานทองแท้ถืออยู่แล้ว 73.39 ล้านหุ้น หรือประมาณ 24.99% (ได้มาเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 43) ด้วย ซึ่งจะทำให้นายพานทองแท้ถือหุ้น SHIN รวมทั้งสิ้น 36.86% หรือประมาณ 106.3 ล้านหุ้น

15) ในการรับโอนหุ้น Ample Rich เมื่อปี 2543 นายพานทองแท้ ละเมิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์ เรื่องการเปิดเผยข้อมูลต่อ ก.ล.ต. หรือไม่?

            มาตรา 246 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ กล่าวว่า "บุคคลใดได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใดในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุก 5% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น...บุคคลนั้นต้องรายงานถึงจำนวนหลักทรัพย์ในทุก 5% ดังกล่าวต่อสำนักงานทุกครั้งที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ภายในวันทำการ ถัดจากวันที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการนั้น เว้นแต่ในกรณีการจำหน่ายที่ไม่มีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือธุรกิจของกิจการ"

            ในกรณีนี้ นายพานทองแท้ได้หุ้นมาข้ามเส้นทุกร้อยละ 5 คือ 25% 30% และ 35% แม้ว่าการได้มาในแต่ละครั้งจะ "ไม่มีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือธุรกิจของกิจการ" ข้อนี้ยกเว้นเฉพาะกรณีการจำหน่ายเท่านั้น ไม่ใช่การได้มา ซึ่งเป็นกรณีของนายพานทองแท้

            ดังนั้น นายพานทองแท้ จึงมีความผิดที่ไม่ได้รายงานการได้มาของหุ้น SHIN จากการเข้าเป็นผู้ถือหุ้น 100% ใน Ample Rich ตามมาตรา 246

            ก.ล.ต.ได้ชี้แจงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549 ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่านายพานทองแท้ เข้าข่ายผิดกฎข้อนี้ เพราะมีหน้าที่ต้องรายงานการได้มา ตามมาตรา 246

ความถูกต้องทางกฎหมาย ผิดกฎหมาย - ก.ล.ต. ได้แถลงผลการสอบเบื้องต้นแล้วว่า นายพานทองแท้เข้าข่ายผิดมาตรา 246 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์

ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดเป็นปกติ" - ถ้านายพานทองแท้ต้องรายงานแต่ไม่รายงาน ก็อาจนับเป็นความหลงลืม ความเข้าใจผิด หรือความประมาท แต่ ก.ล.ต.มีหน้าที่จะต้อง "จี้" จุดนี้ และปรับนายพานทองแท้ตามกฎหมาย

            16) ในการรับโอนหุ้น Ample Rich เมื่อปี 2543 นายพานทองแท้ ละเมิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เรื่องการทำเทนเดอร์หุ้น SHIN หรือไม่?

            การรับโอนหุ้น Ample Rich (ซึ่งถือเป็น "บุคคลเกี่ยวข้องกัน") ทำให้นายพานทองแท้ถือหุ้น SHIN รวมทั้งสิ้น 36.86% เพิ่มจาก 24.99% จึงเป็นการ "ข้ามเส้น" 25% ที่ต้องทำเทนเดอร์หุ้น SHIN ทั้งหมด ตามมาตรา 247 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์

การโอนหุ้นจากบิดามาบุตรนี้ หากมองด้วยสายตาของคนทั่วไปอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เข้าเรื่อง เพราะก็เหมือนแค่เป็นการโอนหุ้นให้กันในหมู่ญาติครอบครัว ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่ ซึ่งก็จริง และได้มีการแก้ไขในประกาศ ก.ล.ต. ฉบับ กจ. 58/2545 โดยเพิ่มเติมเข้าไปว่า ผู้ถือหุ้นสามารถเลือกรายงานการถือหุ้นเป็นกลุ่มได้ ซึ่งกลุ่มจะเป็นกลุ่มแบบไหนก็ได้ เช่น เพื่อน แต่โดยทั่วไปก็จะเป็นการนับตามวงศาคณาญาติ

เพราะฉะนั้น ตระกูลชินวัตร และตระกูลดามาพงศ์ สามารถรายงานการถือครองหลักทรัพย์ต่อ ก.ล.ต. ว่าเป็นกลุ่มเดียวกันได้ ซึ่งประกาศฉบับนี้ได้มีการลงนามโดย คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนี้ และมีผลบังคับใช้เมื่อ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป

            ประกาศ กจ. 58/2545 นั้นจะทำให้การโอนหุ้นระหว่างนายกฯ และนายพานทองแท้ ไม่เป็นปัญหา ไม่ต้องทำเทนเดอร์หุ้น SHIN เพราะถือว่าเป็นการโอนหุ้นภายในกลุ่มกันเอง แต่ว่าข้อเท็จจริงก็คือ การโอนหุ้นนั้นเกิดเมื่อปลายปี 2543 ซึ่งนับเป็นเวลา 2 ปีก่อน กจ. 58/2545 จะมีผลบังคับใช้ ดังนั้นจะเอาการนับรวมกลุ่มตาม กจ.58/2545 มาคิดในกรณีนี้ไม่ได้

            ดังนั้น เนื่องจากนายพานทองแท้ มิได้ทำเทนเดอร์หุ้น SHIN และมิได้ขอผ่อนผันการทำเทนเดอร์ จึงผิดมาตรา 247 ค่อนข้างชัดเจน

            ก.ล.ต.ได้ชี้แจงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549 ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า นายพานทองแท้เข้าข่ายผิดกฎข้อนี้ เพราะมีหน้าที่ต้องทำ mandatory tender offer ตามมาตรา 247

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดมาตรา 247 พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - ตอนนี้ก็ต้องรอดูอย่างเดียวว่า ก.ล.ต.จะกล้าปรับคนนามสกุลชินวัตรหรือไม่

17) ที่ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร โฆษกครอบครัวชินวัตร แถลงว่าต้องตั้ง Ample Rich ขึ้นมาเพื่อเตรียมเอา SHIN จดทะเบียนในตลาด NASDAQ ของอเมริกานั้น เชื่อถือได้แค่ไหน?

            ข้ออ้างนี้ปาหี่มาก ถ้า SHIN อยากจดทะเบียนใน NASDAQ จริง ก็ตั้งบริษัทที่อเมริกาได้ ไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนที่ "สวรรค์ของนักหนีภาษี" อย่าง BVI แล้วก็มีขั้นตอนมากมายมหาศาลที่ SHIN ต้องทำ มากกว่านายกฯ โอนหุ้น 10.98% ไปไว้ในบริษัทนอมินี ก่อนจะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนในตลาด NASDAQ ได้ ทำไมไม่มีใครเคยรู้แผนนี้เลย? แล้วทำไมนายกฯ (หรือนายพานทองแท้  ถ้านายกฯ ยังอยากอ้างว่าไม่รู้เรื่องนี้) ไม่เคยโอนหุ้นส่วนนี้กลับมาเมืองไทยเลย ทั้งๆ ที่ตลาด NASDAQ ตกฮวบไปแล้วตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งเป็นเหตุผลที่ ดร.สุวรรณ บอกว่า ทำให้ SHIN ล้มเลิกแผนนี้?

            นอกจากนั้น หุ้น SHIN ที่ Ample Rich ถือนั้น มีการซื้อๆ ขายๆ อย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2543-2548 โดยมี UBS โบรกเกอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ สาขาสิงคโปร์ เป็นผู้ดำเนินการแทน (ดูรายละเอียดเส้นทางหุ้นได้ในประเด็นที่ 19) ถัดไป) ถ้า SHIN อยากจดทะเบียนใน NASDAQ จริง ก็ต้องถือหุ้นเหล่านี้ไว้เฉยๆ เพื่อ "สำรอง" หุ้นไว้จดทะเบียน ไม่ใช่ซื้อไปขายมาอยู่ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไม่ให้บริษัทไทยไปจดทะเบียนใน NASDAQ หรอก...

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว"...กฎหมายไม่ได้บังคับให้เราต้องเชื่อ ข้ออ้างข้างๆ คูๆ แบบนี้ซะหน่อย

18) ถ้า Ample Rich เป็นนอมินีถือหุ้น SHIN แทนนายกฯ จริง ผิดกฎหมายหรือไม่?

            ถ้าหลักฐานการทำธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหุ้น SHIN ใน Ample Rich พิสูจน์ได้จริงว่า Ample Rich เป็นนอมินีของนายกฯ จริง นายกฯ ก็มีความผิดตามมาตรา 209 ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดห้ามไม่ให้รัฐมนตรี มีส่วนได้เสียในธุรกิจใดๆ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ ส.ว.กลุ่มหนึ่ง นำโดยคุณแก้วสรร อติโพธิ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ไต่สวนเรื่อง "ซุกหุ้นภาค 2" ไปแล้ว

            แต่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ก.ล.ต.หรือแม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีวันเห็นหลักฐานเหล่านี้หรือไม่ เพราะที่ ดร.สุวรรณ อ้างว่านายกฯ โอนหุ้น Ample Rich 100% ให้บุตรชายในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 นั้น ก็ยังไม่มีใครเห็นหลักฐาน รวมทั้ง ก.ล.ต.เองด้วย

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดกฎหมายถ้าพิสูจน์ได้ว่า Ample Rich เป็นนอมินีของนายกฯ - กรณีนี้จะผิดมาตรา 209 ในรัฐธรรมนูญ ต้องติดตามผลการตรวจสอบของ ก.ล.ต.และการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - แค่คนในครอบครัวมี "เจตนาซุกหุ้น" ก็น่าเกลียดสุดขั้วแล้ว ไม่ว่าเจตนานั้นจะเป็นของนายกฯ (ผู้ก่อตั้ง Ample Rich) หรือบุตรชาย (เจ้าของ Ample Rich คนปัจจุบัน) ก็ตามแต่

            19) การซื้อขายหุ้น SHIN ที่ Ample Rich ถือ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ผิดกฎหมายหรือไม่?

            น่าสังเกตว่า หุ้นไทยที่ถืออยู่นอกประเทศไทย ในมือนอมินีนั้น เป็นหุ้นแบบที่สามารถใช้ปั่นหุ้นในกระดานต่างประเทศของ SHIN ได้ง่าย เวลาซื้อขายที คนจะได้นึกว่าเป็นฝรั่งอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่เป็น "ฝรั่งหัวดำ" ทั้งนั้น...

            คำชี้แจงเรื่อง Ample Rich ไม่ว่าจะจากปากของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร หรือนายกฯ เอง ล้วน "ฟังไม่ขึ้น" หรือไม่ก็ไร้พยานหลักฐานประกอบ

            เส้นทางหุ้น SHIN ส่วนที่ Ample Rich ถือ สรุปเป็นแผนผังโดยคร่าวได้ดังนี้

ลำดับเหตุการณ์ในเส้นทางหุ้น SHIN ส่วนที่ Ample Rich ถือ โดยคร่าวได้ดังนี้

1.นายกฯ โอนหุ้น SHIN 32.92 ล้านหุ้น ไปให้ Ample Rich ถือ เมื่อต้นปี 2543

2.Ample Rich ลดสัดส่วนการถือหุ้น SHIN เหลือ 22.92 ล้านหุ้น โดยไม่รายงานการถือครองหลักทรัพย์ (แบบ 246-2) กับ ก.ล.ต.ว่า โอนหรือขายที่เหลืออีก 10 ล้านหุ้น ให้กับใคร

            ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2543 ปรากฏชื่อ Vicker Ballas ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ เป็นผู้ถือหุ้น SHIN จำนวน 11.56 ล้านหุ้น ดังนั้น 10 ล้านหุ้น ในนี้ จึงไม่น่าจะเป็นอื่นไปได้นอกจากหุ้นเดิมของ Ample Rich

              บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของ SHIN ณ วันที่ 30 เมษายน 2544 ที่สำเนาโพสต์ในเวบไซต์ของคุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (www.korbsak.com) แสดงให้เห็นชัดเจนว่า จำนวนหุ้นเดิมทั้งหมด 32.92 ล้านหุ้น มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกให้ Ample Rich สัญชาติ BVI ถือ จำนวน 22.92 ล้านหุ้น

            ส่วนที่สองให้ Ample Rich "คู่แฝด" สัญชาติอังกฤษ ถือจำนวนที่เหลือ 10 ล้านหุ้น ซึ่งทั้ง ดร.สุวรรณ และนายกฯ ออกมาปฏิเสธว่าไม่มี Ample Rich นี้ ทั้งๆ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบ่งชัดว่า Ample Rich นี้มีจริง และเป็นผู้รับโอนหรือรับซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น ไปจาก Vicker Ballas

            3.ปี 2544 SHIN มีการแตกพาร์จาก 10 บาทต่อหุ้น เป็น 1 บาทต่อหุ้น ทำให้หุ้น SHIN ที่ Ample Rich ทั้งสองสัญชาติถือ เพิ่มเป็น 10 เท่า จาก 32.9 ล้านหุ้น เป็น 329.2 ล้านหุ้น

            4.Ample Rich สัญชาติ BVI ถือหุ้น SHIN จำนวน 229.2 ล้านหุ้น มาเรื่อยๆ แต่หุ้นอีก 100 ล้านหุ้น ที่ Ample Rich สัญชาติอังกฤษเป็นผู้ถือ อยู่ดีๆ ก็ "หาย" เข้ากลีบเมฆ สันนิษฐานว่าโอนไปไว้ที่ UBS สาขาสิงคโปร์ ประมาณเดือนกันยายน หรือตุลาคม 2544 เพราะปรากฏชื่อ "UBS AG SINGAPORE BRANCH-FIXED INCOME" ถือหุ้น SHIN จำนวน 100.52 ล้านหุ้น ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2544 (ในวันเดียวกันก็ปรากฏชื่อ "UBS AG, SINGAPORE BRANCH-PLEDGE A/C"  เป็นผู้ถือหุ้น SHIN อีกจำนวน 53.6 ล้านหุ้น ชื่อบัญชีหุ้นที่มีคำว่า "PLEDGE" (แปลว่า "จำนำ") นั้น ปกติใช้สำหรับเรียกหุ้นที่เอามาจำนำเป็นหลักประกันเงินกู้ แต่หุ้นตรงนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับ Ample Rich เพราะยังเห็น Ample Rich สัญชาติ BVI ถือหุ้น SHIN 229.2 ล้านหุ้น เหมือนเดิม)

            5.ระหว่างปี 2545-2547 จำนวนหุ้น SHIN 100 ล้านหุ้น ในบัญชี "UBS AG SINGAPORE BRANCH-FIXED INCOME" ซึ่งต่อมาใช้ "UBS AG, SINGAPORE BRANCH" และชื่ออื่นๆ ด้วย มีจำนวนเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในระดับไม่เกิน 5 แสนหุ้น

            6.ระหว่างเดือนพฤษภาคม และเดือนสิงหาคม 2547 Ample Rich สัญชาติ BVI โอนหุ้น SHIN ทั้งหมดที่ตนถือ คือ 229.2 ล้านหุ้น ให้กับ UBS โดยไปไว้ในบัญชีชื่อ "UBS AG SINGAPORE BRANCH-PB SECURITIES CLIENTS" (ย่อมาจาก Private Banking Securities Client คือลูกค้าบุคคลรายใหญ่ของ UBS) โดย ดร.สุวรรณ อ้างว่า UBS เป็นเพียงผู้ดูแลหุ้น (คัสโตเดียน หรือ custodian) ให้กับ Ample Rich เท่านั้น แต่ข้ออ้างนี้ฟังดูน่ากังขา เมื่อคำนึงว่า UBS รายงานการซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น มาจาก Ample Rich สัญชาติอังกฤษ เมื่อปี 2544 (ดูรายละเอียดในประเด็นที่ 20) ถัดไป)

            ตามทะเบียนผู้ถือหุ้น บัญชีที่มีชื่อ UBS ทั้งหมดมีหุ้น SHIN เพิ่มมาตลอด จาก 15.405% ในปี 2544 เป็น 39.09% ในปี 2548 และเนื่องจากปี 2548 เป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัวชินวัตร เริ่มเจรจาขายหุ้นให้กับ Temasek ดังนั้น ถ้า UBS เป็นคัสโตเดียนให้กับครอบครัวชินวัตร จริง การซื้อขายหุ้น SHIN ก็ควรถือว่าเป็นการใช้ข้อมูลภายใน (insider trading) ก่อนที่จะมีการซื้อขายหุ้นวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา

            ทั้งหมดนี้แปลว่าเราต้องติดตามการสอบสวนเส้นทางการซื้อขายหุ้น SHIN ของบริษัท Ample Rich และหุ้นในบริษัท Ample Rich เอง ของ ก.ล.ต.อย่างไม่กะพริบตา !

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ถ้า Ample Rich เป็นนอมินีที่เอาไว้ปั่นหุ้น SHIN จริง ก็ต้องนับว่าผิดกฎหมาย insider trading ไมรู้กี่ครั้ง และอาจผิดกฎหมายฟอกเงินด้วย เพราะ Ample Rich มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกเพียง $1 (40 บาท) ซึ่งภายหลังเพิ่มเป็น $5 (200 บาท) คนไทยเป็นเจ้าของ 100% หากบริษัทนี้สามารถซื้อขายหุ้น SHIN ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้เป็นร้อยเป็นพันล้านบาท ก็น่าจะทำให้ ป.ป.ง.และธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลียวใจว่า เอาเงินซื้อหุ้นมาจากไหน? และเงินนั้นออกนอกประเทศไปได้อย่างไร?

            อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่า ก.ล.ต.มีข้อมูลการซื้อขายหุ้น SHIN ของ Ample Rich ย้อนหลัง ละเอียดขนาดไหน และเมื่อไหร่ผู้จัดการของนายพานทองแท้ จะยื่นหลักฐานต่อ ก.ล.ต.เสียที

ความถูกต้องทางศีลธรรม : ถ้า Ample Rich เป็น "ฝรั่งหัวดำ" ปั่นหุ้น SHIN มาตลอดจริง ก็ต้องเรียกว่า "น่าเกลียดสุดขั้ว" แน่นอน


(ตอน Cool หุ้นชิน "สรรพากร" ตีความผิดเจตนารมณ์

            -----------------------------------------------------

ถาม-ตอบ ประเด็นเกี่ยวกับภาระทางภาษี

            ประเด็นที่เกี่ยวกับภาระทางภาษีของผู้ขายหุ้นในดีลนี้ ค่อนข้างซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพราะหุ้น SHIN ส่วนใหญ่ที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ นำมาขายให้กับ Temasek นั้นเป็นหุ้น "โบราณ" ที่คนในครอบครัวได้รับโอนหรือซื้อในราคาพาร์ (10 บาท หรือ 1 บาท หลังแตกพาร์แล้ว)

 จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภรรยา ช่วงระหว่างปี 2542-2543 ก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนั้นหลายฝ่ายก็ตั้ง "ข้อกังขา" หลายประการเกี่ยวกับพฤติกรรม "เลือกปฏิบัติ" ของกรมสรรพากร เพราะสรรพากรออกมาชี้แจงอย่างออกนอกหน้าว่า รายการเหล่านี้ไม่เสียภาษี ทั้งๆ ที่คนไทยคนอื่นถูกเก็บภาษีกรณีเดียวกันนี้มาโดยตลอด

            แต่ตอนนั้นกระแส "ไทยรักไทยฟีเวอร์" กำลังแรง แรงจนไม่ค่อยมีใครสนใจกับข้อกังขาเหล่านี้ หรือคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจเข้าข่าย "การใช้อำนาจโดยมิชอบ" ของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร

            หลายปีผ่านไป ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ เอาหุ้นเดียวกันนี้ไปขายให้กับ Temasek ในราคา "กำไรเห็นๆ" คือหุ้นละ 49.25 บาท สูงกว่าราคารับซื้อหรือโอนที่ 1 บาท ถึง 4,925%

            เพราะหุ้น SHIN ที่นำมาขายนั้นมี "ที่มาที่ไป" หลายทาง หลายช่วงเวลา การทำความเข้าใจว่า รายการขายหุ้นตรงไหน ส่วนไหน "ต้องเสียภาษี" ตามกฎหมาย จึงต้องค่อยๆ ใช้เวลาไล่เลียงลำดับเหตุการณ์ เส้นทางของหุ้นทั้งหมดก่อน อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่า หุ้นทั้งหมดนั้นไม่ต้องเสียภาษีเลยเพราะเป็นการ "ขายผ่านตลาด" โดยไม่จำเป็นต้องดูที่มาที่ไปของหุ้นนั้นๆ

            เส้นทางของหุ้น SHIN ที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ นำมาขายให้กับ Temasek  และภาระทางภาษีของผู้ขายหรือโอนหุ้นในแต่ละทอดนั้น

(ดูตารางประกอบ เส้นทึบแสดงรายการที่ผู้ขายหรือโอนมีภาระภาษี "เส้นประ" แสดงรายการที่ผู้ขายหรือโอนไม่มีภาระภาษี จำนวน และวันที่แสดงจำนวนหุ้น และวันที่ขายหรือโอน)

            การซื้อขายหุ้นในไทยจะยกเว้นภาษีเงินได้เพียงกรณีเดียว คือ การซื้อขายหุ้นของบุคคลธรรมดาในตลาดหลักทรัพย์ ถ้านอกเหนือจากกรณีนี้ ต้องเสียภาษีทั้งหมด แต่อย่างไรก็ดี ต้องเน้นว่าตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและหลักเหตุผลทั่วๆ ไป (common sense) นั้น หุ้นอะไรที่กรมสรรพากรเคย "ตีความ" ว่าเป็นทรัพย์สินประเภทอื่นที่พึงประเมินเงินได้เพื่อการเสียภาษีแล้วไซร้ (เช่น เป็นหลักทรัพย์ที่ให้โอนเสน่หา ตาม "ธรรมจรรยา") ก็ต้องจัดว่าเป็นประเภทนั้นตลอดไป ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งสรรพากรนึกอยากตีความหุ้นนั้นว่าเป็น "หุ้น" ก็ดี แล้วอีก 4 ปี มาบอกว่าหุ้นจำนวนนั้นเป็น "หลักทรัพย์" ไม่ได้ ไม่มีเหตุผล ไม่มีสรรพากรที่ไหนเขาทำกัน

21) หุ้นที่โอน/ขายใน ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ระหว่างปี 42-45 ต้องเสียภาษีหรือไม่?

            เอาละ ถ้าคุณคิดว่าคุณกล้าพอที่จะทำความเข้าใจกับกฎหมายภาษีอันวกวนน่าเวียนหัว เชิญอ่านบางตอนจากบทความเรื่อง "ตีความเอื้ออาทร? ว่าด้วยเรื่องส่วนต่างราคาหุ้น กับการเสียภาษี" โดยนักข่าวหัวเห็ดคนเดิมคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์

            (ก่อนปี 2544) ผู้ที่เคยซื้อหุ้นราคาพาร์เพียงหุ้นละ 1 บาท จาก พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน ได้แก่ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่บุญธรรม คุณหญิงพจมาน จำนวน 268 ล้านหุ้น (แตกพาร์แล้ว) นายพานทองแท้ ชินวัตร 733 ล้านหุ้น, นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 20 ล้านหุ้น หรือแม้แต่ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นต่อมาจาก นายพานทองแท้ 367 ล้านหุ้น

            ตอนนั้นก็เกิดคำถามคล้ายกับตอนนี้ คือ การซื้อหุ้นมาในราคา 1 บาท จะต้องเสียภาษี "ส่วนต่าง" ระหว่างราคาหุ้นที่ซื้อ กับราคาตลาดหรือไม่

            เมื่อปรากฏเป็นข่าวอื้อฉาวขึ้นมา กรมสรรพากรได้ยืนยันหลายครั้งว่า การซื้อขายหุ้นกันระหว่างเครือญาติชินวัตร ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดนั้น ไม่ต้องเสียภาษีดังนี้

            ครั้งแรก นายวิชัย จึงรักเกียรติ รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร (นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงการคลัง) ทำหนังสือ ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2545 (ที่ กค.0811/6312) ระบุว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าว ถือไม่ได้ว่า ผู้ซื้อได้รับประโยชน์จากการโอนหุ้นซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (4) (ช) ตามประมวลรัษฎากร เนื่องจากยังมิได้ก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้ซื้อแต่ประการใด จนกว่าผู้ซื้อจะได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินที่ลงทุน

            ต่อมา เมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักบัญชีหุ้น บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ ซื้อจากบิดาในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท มีส่วนต่างประมาณ 55,000 บาท ปรากฏว่าถูกกรมสรรพากรคำนวณเป็นภาษีเงินได้ จึงมีการร้องเรียนว่า กรมสรรพากรเลือกปฏิบัติ ไม่ยอมเก็บภาษี "ส่วนต่าง" ราคาหุ้น SHIN ทำให้นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลัง ชี้แจงในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ว่าเป็นความผิดพลาดและเข้าใจผิดกรมสรรพากรพร้อมที่จะคืนเงินภาษีที่เก็บไปจากนายเรืองไกรไป นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กรมสรรพากรคืนเงินให้ผู้เสียภาษีโดยผู้เสียภาษีมิได้ขอคืน

            ครั้งที่สอง บันทึกคำให้การของนายเรืองไกร (ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2548) ที่นายพิชเยนทร์ กองทอง นิติกร 8 กรมสรรพากรเขียนขึ้นระบุว่า สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นผลประโยชน์จากการซื้อหุ้น ยังคงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี เพราะเงินได้ในส่วนนี้ยังมิได้มีการก่อให้เกิดรายได้ต่อท่าน (นายเรืองไกร) ท่านจะเสียภาษีเงินได้ในส่วนนี้ก็ต่อเมื่อ ท่านได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินที่ลงทุน ทั้งนี้ ตามมาตรา 40 (4) (ช)

            ครั้งที่สาม นายสุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 3 ทำหนังสือ ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2548 (ที่ กค.0709.03 (ภค.)/12123) ถึงนายเรืองไกร เรื่องแจ้งคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2546 โดยระบุว่า ในกรณีดังกล่าว ยังไม่อาจถือได้ว่าท่านมีเงินได้พึงประเมินเพราะเป็นเพียงขั้นลงทุน หาใช่ผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินลงทุน  ตามมาตรา 40 (4) (ช) ท่าน (นายเรืองไกร) จึงยังคงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับตัวเลขผลประโยชน์จากการซื้อหุ้น จนกว่าท่านจะได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้ เกินกว่าเงินลงทุน

            สรุปแล้วทั้ง 3 ครั้ง กรมสรรพากรยืนยันว่า การที่บุคคลธรรมดาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ยังไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นจาก "ส่วนต่าง" ราคาดังกล่าว จนกว่าบุคคลผู้นั้นจะขายหุ้นออกไปในราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมา จึงจะนำ "ส่วนต่าง" ดังกล่าวมาคำนวณภาษี ซึ่งคำวินิจฉัยของกรมสรรพากรนั้น ใช้ทั้งกับกรณีนายเรืองไกร ที่ซื้อหุ้นมาจากบิดามูลค่ากว่า 50,000 บาท หรือกรณีครอบครัวชินวัตร ซื้อหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท (ราคาหุ้น SHIN หุ้นละ 1 บาท)

            ดังนั้น นายเรืองไกร ขายหุ้นไปได้กำไร 50,000 บาท ก็ต้องนำ "ส่วนต่าง" 50,000 บาท ดังกล่าวมาคำนวณเป็นภาษีเงินได้ประจำปี

            เช่นเดียวกับถ้าครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ นำหุ้น SHIN ที่ซื้อมาในราคาหุ้นละ 1 บาท ไปขายให้ Temasek ได้ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท เป็นเงินรวมเกือบ 70,000 ล้านบาท หรือมีส่วนต่างกว่า 60,000 ล้านบาท ก็ต้องนำ "ส่วนต่าง" กว่า 60,000 ล้านบาท ไปคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี ซึ่งแน่นอนว่าต้องเสียภาษีสูงสุด 37% ซึ่งเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท

            การที่ทั้ง นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางไพฑูรย์ เกสร รองอธิบดีกรมสรรพากร รีบออกมารับหน้าว่า การขายหุ้น  SHIN ของครอบครัวชินวัตรให้ Temasek ครั้งนี้ ไม่ต้องเสียภาษีใน "ส่วนต่าง" ที่เกิดขึ้น (จากที่ซื้อมาราคาหุ้นละ 1 บาท) ด้วยเหตุผลเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้ว

            ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นการรักษาผลประโยชน์ของใครกันแน่ และให้ดูกันต่อไปว่า จะมีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลัง รายใดจะได้รับการปูนบำเหน็จเหมือนที่ผ่านๆ มา

            แต่ดูเหมือนว่า กรมสรรพากรจะยังไม่แน่ใจว่าจะปิดช่องการเสียภาษีของการซื้อขายหุ้นชินหมดหรือยัง จึงมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งลงวันที่ 29 ธันวาคม 2548 (ที่ กค.0709.31/18325 ลงนามโดยนางจิตรมณี สุวรรณพูล สรรพากร ภาค 1 ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร) ชี้แจงเรื่องนี้ต่อนายเรืองไกรซึ่งเป็นการพลิกคำวินิจฉัยเดิมทั้งหมดว่า การซื้อขายทรัพย์สิน (หุ้น) ราคาต่ำกว่าราคาตลาด "ส่วนต่าง" ดังกล่าว ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 ของประมวลรัษฎากรตั้งแต่ต้น

            หนังสือดังกล่าวพยายามอธิบายว่า การซื้อทรัพย์สินโดยปกติจะมีราคาตลาดสำหรับซื้อทรัพย์สินนั้น โดยราคาตลาดจะมีหลายราคา หากเป็นการซื้อเพื่อนำไปใช้เองหรือเป็นผู้บริโภค ผู้ซื้อจะซื้อตามราคาของผู้ขายปลีก หากเป็นการซื้อเพื่อนำไปขายซึ่งต้องซื้อเป็นจำนวนมาก ผู้ซื้อจะต้องซื้อในราคาต่ำโดยอาจซื้อราคาตลาดที่เป็นของผู้ผลิตหรือผู้ขายส่ง

            ดังนั้น ทรัพย์สินชนิดเดียวกัน อาจมีราคาซื้อแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานะของผู้ซื้อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปของการซื้อขายตามมาตรา 453 แห่ง ป.พ.พ.

            นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ราคาซื้อดังกล่าวถูกกว่าราคาตลาด เช่น การส่งเสริมการขาย สินค้าตกรุ่นเลหลังสินค้า เลิกกิจการ ขายทอดตลาด ความพอใจ ความสัมพันธ์ส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อันเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปตามมาตรา 453 ป.พ.พ.

            "การซื้อทรัพย์สินในลักษณะดังกล่าว จะเป็นเรื่องของทุนซึ่งกระทบต่อจำนวนเงินของผู้ซื้อที่มีอยู่ ทั้งจำนวนเงินที่เหลืออยู่ และที่ได้จ่ายไป ดังนั้น ไม่ว่าการซื้อทรัพย์สินผู้ซื้อจะซื้อตามราคาตลาดหรือซื้อในราคาถูกกว่าตลาด ผู้ซื้อต้องเสียเงินสำหรับการซื้อขายจำนวนมากน้อยตามราคาที่ตกลงกัน...การที่ ซื้อทรัพย์สินราคาถูกจะทำให้เหลือเงินมากกว่าซื้อทรัพย์สินในราคาปกติ เงินที่เหลือดังกล่าวไม่ว่าจะเหลือมากน้อยเท่าใด ก็เป็นเงินของผู้ซื้อเอง เป็นเรื่องของทุน มิใช่เงินที่ผู้ซื้อได้รับหรือเข้าลักษณะเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับจาก ผู้อื่นแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลข้างต้น การซื้อทรัพย์สินในราคาถูก ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ อันเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 เช่นเดียวกับส่วนลดปกติ และส่วนลดพิเศษที่จะลดให้ทันที เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าตามเกณฑ์ที่กำหนด" หนังสือของกรมสรรพากรระบุ

            จากนั้นสรุปว่า กรณีของนายเรืองไกรซึ่งซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จากบิดาต่ำกว่าราคาตลาดที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เป็นการซื้อขายทรัพย์สินกันระหว่างนายเรืองไกรกับบิดา ซึ่งเป็นการซื้อขายอันเป็นเรื่องปกติในทางการค้า ส่วนราคาที่ตกลงซื้อขายกันต่ำกว่าราคาตลาด ผู้ขายและผู้ซื้อมีสิทธิตกลงกันได้โดยผู้ซื้อต้องใช้ราคาทรัพย์สินตามที่ตกลงกันนั้นตามมาตรา 453 แห่ง ป.พ.พ.

            "ดังนั้น กรณีท่าน (นายเรืองไกร) ซึ่งเป็นผู้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาตลาด ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ อันเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 ตามเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น" หนังสือระบุ

            จากคำชี้แจงดังกล่าวสรุปได้ว่า การซื้อขายหุ้นต่ำกว่า ราคาตลาด "ส่วนต่าง" ที่เกิดขึ้น มิได้เป็นผลประโยชน์ที่ได้รับมาตั้งแต่ต้น จึงไม่เข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินมาตั้งแต่ต้น เพราะเป็นการซื้อขายทรัพย์สินตามปกติ โดยมีเงื่อนไข เช่น ความสัมพันธ์ส่วนตัว ความพอใจ ดังนั้นต่อไปไม่ว่า ผู้ซื้อจะขายหุ้นนั้นไปในราคาสูงเท่าใด ก็ไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นจาก "ส่วนต่าง" มาตั้งแต่ต้น

            เป็นการพลิกแนวคำวินิจฉัย 3 ครั้งแรก ที่ระบุว่า ถ้าขายหุ้นไปแล้วมีกำไร เกิด "ส่วนต่าง" เกินกว่าที่ได้ลงทุน (ซื้อมา) ต้องเสียภาษี "ส่วนต่าง" ดังกล่าว

            การที่กรมสรรพากรเปลี่ยนคำวินิจฉัยดังกล่าวแบบกลับหลังหันช่างสอดคล้องกับห้วงเวลาการขายหุ้นชิน ให้กับ Temasek มูลค่าเกือบ 70,000 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างกว่า 60,000 ล้านบาท

            เป็นการปิดทางเรียกร้องมิให้เก็บภาษี "ส่วนต่าง" ดังกล่าวกว่า 25,000 ล้านบาท !!

            ชัดเจนว่า สรรพากรต้องพลิกลิ้นโดยอ้างหลักการของ "กฎหมายทั่วไป" คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งโดยธรรมชาติเป็นกฎหมายที่ "กว้าง" และเปิดให้ตีความได้หลายแง่ แทนที่จะอ้างกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับการคำนวณภาษี คือ ประมวลรัษฎากร เพราะในประมวลรัษฎากรนั้นมีข้อความชัดเจนเกี่ยวกับรายได้พึงประเมิน ซึ่งก็เป็นข้อกฎหมายที่สรรพากรใช้เรียกเก็บภาษีจากประชาชนคนไทยมาตลอด รวมทั้งคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ด้วย

            สรุปว่า ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อน "ดีลประวัติศาสตร์" อยู่ดีๆ กรมสรรพากรก็เลิกอ้างอิงประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการประเมินภาษีที่เคยใช้ตลอดมา กลับไปอ้างกฎหมายทั่วไป ซึ่งกว้างกว่าและคลุมเครือกว่าโดยธรรมชาติ เพียงเพื่อต้องการสร้าง "ความชอบธรรม" ให้กับคำตอบที่สนองความต้องการของคนสี่คนในครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์

            ถ้าการพลิกลิ้นครั้งนี้กลายเป็นบรรทัดฐานในการเก็บภาษี ประเทศชาติจะสูญเสียรายได้ปีละมหาศาลในปีต่อๆ ไป เพราะการซื้อขายในราคา "ต่ำกว่าราคาตลาด" นั้น เป็นเทคนิคการเลี่ยงภาษีที่นักธุรกิจทุกคนรู้ดี

            เป็นการพลิกลิ้นแบบ "จับแพะชนแกะ" ที่มีราคาแพงยิ่งนัก !

ความถูกต้องทางกฎหมาย : กรมสรรพากรตีความแบบผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย - พลิกลิ้น เลือกปฏิบัติขนาดนี้ แปลว่าสรรพากรอยากตะแบงหาข้อกฎหมายที่ทำให้อ้างได้ว่า "ไม่ต้องเสียภาษี"

            คงไม่มีใครแปลกใจ ถ้าในภายภาคหน้ากรมสรรพากรจะเลิกอ้างข้อกฎหมายแพ่ง กลับไปอ้างประมวลรัษฎากรเหมือนเดิม หลังจากที่ดีลนี้เสร็จสิ้นลงอย่างเรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ไร้ยางอาย" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

(ตอน 9) ผ่าปมยูบีเอสขายหุ้นชิน "179 บาท"

            --------------------------------------------------

20) การซื้อหุ้น SHIN 10 ล้านหุ้น ของ UBS ในปี 2544 ราคา 179 บาท ผิดกฎหมายหรือไม่?

            ประเด็นนี้เกี่ยวเนื่องกับประเด็นที่แล้วที่ผู้เขียนอธิบายว่า ระหว่างเดือนพฤษภาคม และเดือนสิงหาคม 2547 Ample Rich สัญชาติ BVI โอนหุ้น SHIN ทั้งหมดที่ตนถือ คือ 229.2 ล้านหุ้น ให้กับ UBS โดยไปไว้ในบัญชีชื่อ "UBS AG SINGAPORE BRANCH-PB SECURITIES CLIENTS" โดย ดร.สุวรรณ อ้างว่า UBS เป็นเพียงผู้ดูแลหุ้น (คัสโตเดียน หรือ custodian) ให้กับ Ample Rich เท่านั้น

            ปรากฏว่า ในแบบรายงานการได้มา 246-2 ที่ UBS ยื่นต่อก.ล.ต. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2544 นั้น UBS แจ้งว่าได้ซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 179 บาท ตรงนี้ชัดเจนว่าเป็นการซื้อหุ้น SHIN มาจาก Ample Rich สัญชาติอังกฤษ

            และชัดเจนว่า UBS กระทำการนี้ในฐานะโบรกเกอร์ (นายหน้าค้าหลักทรัพย์) เพราะคัสโตเดียนเป็นเพียงผู้รับฝากหุ้นให้กับลูกค้า ไม่มีอำนาจเคาะซื้อหรือเคาะขายหุ้นใดๆ ทั้งสิ้น

            ดังนี้ ก.ล.ต.จะต้องตรวจสอบว่า UBS มีฐานะเป็นเพียงคัสโตเดียนของ Ample Rich จริงหรือไม่ และเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะหลักฐานต่างๆ ส่อให้เห็นว่า UBS อาจไม่ได้เป็นแค่คัสโตเดียนเท่านั้น หากเป็น "โบรกเกอร์ส่วนตัว" ที่ทำหน้าที่ซื้อขายหุ้น SHIN ให้กับเจ้าของ Ample Rich ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

            รายการมูลค่า 1,790 ล้านบาท รายการเดียวนี้ (10 ล้านหุ้น คูณด้วยราคาหุ้นละ 179 บาท) อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ ตั้งแต่เรื่องการรายงานการได้มาตามมาตรา 246 ในพ.ร.บ.หลักทรัพย์ กฎหมาย insider trading กฎหมายภาษี รวมทั้งกฎหมายฟอกเงินด้วย

            ความถูกต้องทางกฎหมาย อาจจะผิดกฎหมาย -ถ้า ก.ล.ต.มีหลักฐานชัดเจนว่า UBS เป็นโบรกเกอร์ซื้อหุ้น SHIN ของ Ample Rich สัญชาติอังกฤษ โดยทำตามคำสั่งของเจ้าของ Ample Rich นั้น กรณีนี้เข้าข่ายเป็นการ "ปั่นหุ้น" เพราะคนขายกับคนซื้อจริงๆ แล้วเป็นบุคคลเดียวกัน (เหมือนโยกเงินจากกระเป๋าซ้าย มาใส่กระเป๋าขวา) นอกจากนี้ การขายหุ้นที่ราคา 179 บาท จากราคาเดิมที่นายกฯ โอนไปที่พาร์ คือ 10 บาท ก็ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 70 ประมวลรัษฎากร และ ปปง. และธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ควรเข้ามาตรวจสอบเส้นทางของเงินด้วย

            อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ก.ล.ต.มีข้อมูลการซื้อขายหุ้น SHIN ของ Ample Rich ย้อนหลังละเอียดขนาดไหน และเมื่อไหร่ผู้จัดการของนายพานทองแท้ จะยื่นหลักฐานต่อก.ล.ต.เสียที

ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย
 

(ตอน 10) ขายหุ้น "แอมเพิล ริช" ส่วนต่างต้องเสียภาษี

----------------------

22) หุ้น SHIN ส่วนที่ Ample Rich ขายให้พานทองแท้ และพิณทองทา ในราคา 1 บาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ต้องเสียภาษีหรือไม่?

            รายการซื้อขายหุ้นที่วิเคราะห์ในประเด็นนี้ คือ รายการที่ Ample Rich ขายหุ้น SHIN ให้กับพานทองแท้ และพิณทองทา ชินวัตร ที่ราคา 1 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 20 มกราคม 2549

            เมื่อตัวแทนนายพานทองแท้ ออกมายอมรับผิดว่า รายการซื้อหุ้นจาก Ample Rich ที่ตอนแรกกาเครื่องหมายว่าเป็นการทำรายการ "ผ่านตลาด" นั้น จริงๆ แล้ว "ติ๊กผิด" เพราะเอาเข้าจริง รายการนี้เกิดขึ้นนอกตลาดหลักทรัพย์

            เป็นอีกหนึ่งรายการ "บกพร่องโดยสุจริต" ที่บังเอิ๊ญ บังเอิญมีแนวโน้มที่จะช่วยประหยัดภาษีให้ตระกูลได้อีกหลายร้อยล้านบาท

            เมื่อรายการนี้เกิดขึ้นนอกตลาด ก็เกิดคำถามทันทีว่า ทำไมหุ้น SHIN ที่ Ample Rich ซึ่งเป็นเพียงบริษัทนอมินีของนายพานทองแท้ ขายในราคา 1 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด (ราคาปิดหุ้น SHIN วันที่ 20 มกราคม 2549 อยู่ที่ 47.25 บาท) จึงไม่ต้องนำมาคำนวณภาษี??

            ทั้งๆ ที่ประมวลรัษฎากร ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สรรพากรอย่างเต็มที่ในการใช้ "ราคาตลาด" ของสินทรัพย์ในการประเมินภาษีเงินได้ เพราะการ "ขายในราคาต่ำกว่าทุน" นั้นเป็นหนึ่งในเทคนิคการหลบเลี่ยงภาษีที่โบราณที่สุดในโลก

            และสถานภาพการจดทะเบียนของ Ample Rich ใน BVI ก็ไม่ใช่ข้ออ้าง เพราะเป็นบริษัทของคนไทย 100% แถมสิ่งที่ขายนั้นยังเป็นหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลท. คือ SHIN

            เพราะประมวลรัษฎากร มาตรา 70 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "บริษัทนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ให้บริษัทนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวัน นับแต่สิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น"

            ในประเด็นนี้ ทนายความอาชีพ คุณสุวัตร อภัยศักดิ์ เขียนอธิบายในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ไว้อย่างชัดเจนดังต่อไปนี้

            "การที่แอมเพิล ริช ขายหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 48 บาท เป็นการเลี่ยงภาษีอย่างชัดแจ้ง ต้องถือว่าส่วนต่างของราคาขายกับราคาที่แท้จริง เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้ และบุตรชายนายกรัฐมนตรีผู้ซื้อหุ้นซึ่งอยู่ในประเทศไทย มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายส่งกรมสรรพากรแทนแอมเพิล ริช ซึ่งอยู่ต่างประเทศ

            ถ้าหากจะตีความหลีกเลี่ยงภาษีอีกว่า แอมเพิล ริช ขายหุ้นในราคาเท่าทุนจึงไม่มีกำไร ตามที่ ดร.สุวรรณ กล่าวอ้าง ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่าใครได้ประโยชน์หรือกำไรจากการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ซึ่งจะเห็นได้ชัดแจ้งว่าขณะที่บุตรชายนายกรัฐมนตรีรับโอนหุ้น 300 กว่าล้านหุ้น ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท ทั้งๆ ที่ราคาซื้อขายที่แท้จริงในตลาดหลักทรัพย์มีราคาถึงหุ้นละเกือบ 50 บาท ย่อมถือได้ว่า ในขณะที่มีการรับโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวในราคาหุ้นละ 1 บาทนั้น บุตรชายนายกรัฐมนตรีได้รับประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น ซึ่งสามารถคำนวณได้เป็นเงินเท่ากับส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาที่ซื้อขายกัน ในตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ได้รับโอนหุ้น

            จำนวนเงินส่วนต่างดังกล่าวจึงเป็นเป็นได้พึงประเมินที่จะต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ที่บัญญัติไว้ว่า " "เงินได้พึงประเมิน" ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ประกอบกับมาตรา 40 (Cool"

            แนวทางการตีความข้างต้นเคยมีคำวินิจฉัยที่ 28/2538 ของคณะกรรมการประเมินภาษี และหนังสือของอธิบดีกรมสรรพากรที่ตอบข้อหารือของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความเห็นตรงกันว่า ผู้รับโอนหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้จากผลประโยชน์ส่วนต่างของราคาขายกับราคาตลาดดังกล่าว

            เมื่อกรมสรรพากรมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้พึงประเมิน จึงต้องเรียกเก็บภาษี และค่าปรับจากบุตรชายนายกรัฐมนตรีให้ครบถ้วน เพราะไม่มีกฎหมายยกเว้นภาษีให้แก่ผู้รับโอนหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีเงินได้พึงประเมิน และต้องตรวจสอบการหลีกเลี่ยงภาษีย้อนหลังไปถึงการโอนหุ้นระหว่างคนในครอบครัวชินวัตรกรณีซุกหุ้นรอบแรกเสียด้วย

            กรมสรรพากรต้องไม่ตีความกฎหมายภาษีอากรให้เลือกปฏิบัติเป็น 2 มาตรฐาน เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บุคคลในครอบครัวชินวัตร โดยไม่เรียกเก็บภาษีที่จะต้องชำระ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

            หากมีข้อสงสัยประการใด ก็ควรให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีไปฟ้องร้องต่อศาลภาษีอากรหลางให้วินิจฉัยชี้ขาดคดี

            กรณีข้างต้นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า หากนักกฎหมายไม่ได้นำวิชาความรู้ทางกฎหมายไปใช้อย่างตรงไปตรงมา ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ และจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม

            นักกฎหมายที่ดีย่อมทราบว่า กฎหมายมีเจตนารมณ์คุ้มครองเฉพาะบุคคลที่กระทำการโดยสุจริตเท่านั้น กฎหมายจะไม่คุ้มครองบุคคลที่ไม่สุจริต และไม่มีคำว่า "บกพร่องโดยสุจริต" ในกฎหมายฉบับใด ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ"

            กรมสรรพากรไทย ไม่เคยน้อยหน้าสรรพากรอื่นใดในโลก ในการ "ไล่บี้" ทุกคนให้มาจ่ายภาษีตรงนี้ โดยมักจะคิดรายได้ในการคำนวณภาษี จาก "ราคาตลาด" ของสิ่งที่ขายออกไปเป็นเกณฑ์ ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อกันไม่ให้มีความพยายามหลีกเลี่ยงภาษีในการทำธุรกรรม ยกตัวอย่างเช่น เวลามีการซื้อขายที่ดิน สรรพากรจะไม่ประเมินภาษีจากราคาซื้อขายจริงอย่างเดียว แต่จะเทียบกับราคาประเมินกลางที่หน่วยงานราชการทำขึ้นประกอบอีกด้วย

            ขนาดที่ดินที่หาราคาตลาดได้ยาก เนื่องจากว่าที่ดินผืนหนึ่งๆ ไม่มีการซื้อขายกันบ่อย กรมสรรพากรยังอุตส่าห์สามารถหาราคาอื่นมาใช้เป็นบรรทัดฐานเปรียบเทียบ เพื่อกันไม่ให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างฉ้อฉล เพื่อหลบเลี่ยงภาษี

            นับประสาอะไรกับหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์อย่างหุ้น SHIN ที่มีการซื้อขายคล่องและมีราคาตลาดที่ชัดเจน ซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหาที่สรรพากรจะหาราคาตลาดมาเทียบ เพื่อดูว่าพอมีการซื้อปุ๊บ หากราคาขาย (1 บาท) ต่ำกว่าราคาตลาด (47.25 บาท) ก็สามารถนำส่วนต่างมาเทียบคิดภาษีได้ทันที

            แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นตรงกันข้าม กรมสรรพากร "เข้าข้าง" ครอบครัวชินวัตร อย่างออกนอกหน้า พลิกลิ้นพลิกตำรา ตะแบงตีความข้อกฎหมายให้ประกาศว่างานนี้ "ไม่เสียภาษี"

            หากเรายอมให้สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นบรรทัดฐาน จะทำให้ในอนาคต ใครที่อยากเลี่ยงภาษีก็ทำธุรกรรมที่ฉ้อฉล แสดงใบเสร็จที่โชว์ว่าขายของทุกอย่างต่ำกว่าราคาทุน แล้วสรรพากรก็ไม่สามารถจะเรียกเก็บภาษีได้ เพราะว่าการซื้อขายเป็นไปตามราคาที่ไม่มีกำไร ใครจะโกงภาษีก็โกงได้ แล้วภาษีก็จะกลายเป็นเพียงสิ่งที่คนไม่มีเงินต้องจ่าย ในขณะที่คนรวยสามารถหาวิธีการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีได้

            สิ่งที่ผู้เขียนรับไม่ได้คือความจริงที่ปรากฏว่า กรมสรรพากรออกมายืนยันในทันทีว่า การซื้อขายหุ้น SHIN ไม่มีภาระภาษี ไม่มีแม้กระทั่งส่งคนเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมนี้ ทั้งๆ ที่อาจจะเก็บเงินภาษีได้เพิ่มขึ้นหลายร้อยล้านบาท หรืออย่างน้อยก็เข้าไปสอดส่องว่ามีอะไรที่เป็นปัญหาหรือเปล่า

            ในขณะที่กรมสรรพากรที่พวกเราประชาชนชาวไทยรู้จัก มีความสามารถเหลือเกินในการส่งคนเข้าไปตรวจนับเงิน และข่มขู่ผู้ประกอบการรายย่อยให้เสียภาษี แม้จะต้องนั่งนับชามก๋วยเตี๋ยวก็เอา

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดกฎหมาย - เนื่องจากการขายหุ้นในข้อนี้ไม่ได้ทำในตลาด สรรพากรจึงหาข้อตะแบงยืนยันว่า "ถูกกฎหมาย" ได้ ยากกว่าข้อ 18) ข้างต้น

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ไร้ยางอาย" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

( ตอนจบ) ชินคอร์ป สะท้อนพฤติกรรม"ทักษิณ"

---------------------------------------------------------------

23) หุ้นที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายในตลาดหลักทรัพย์ให้กับ Temasek ไม่ต้องเสียภาษีจริงหรือ?

            รายการซื้อขายหุ้นที่วิเคราะห์ในประเด็นนี้ คือ รายการที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายหุ้น SHIN ให้กับ Temasek ในวันที่ 23 มกราคม 2549

            เนื่องจากหุ้น SHIN ทั้งหมดที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายให้กับ Temasek ในวันที่ 23 มกราคม 2549 เป็นหุ้นที่ "เคาะขาย" กันในตลาดหลักทรัพย์ และผู้ขายหุ้นทั้ง 4 ราย เป็นบุคคลธรรมดา จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 23 ในกฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ซึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่า "เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมมาคำนวณภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42(17) ในประมวลรัษฎากร

            แต่การยกเว้นภาษีในกรณีนี้ ต้องยกเว้นหุ้น 45 ล้านหุ้น ที่คุณหญิงพจมานโอนให้กับบรรณพจน์ ดามาพงศ์ "โดยเสน่หา" เมื่อปี 2540

            อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่าการยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายหุ้นในตลาดนั้น สะท้อนเจตนารมณ์รัฐในการส่งเสริมให้นักลงทุนมา "เล่นหุ้น" ในตลาดหลักทรัพย์ คือ ซื้อขายหุ้น "บนกระดาน" ตามราคาตลาด คือ ราคาหุ้นที่เสนอซื้อหรือเสนอขาย ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่นักลงทุนทุกคนมีสิทธิซื้อขายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใคร ใครอยากขายหุ้นที่ราคาสูงกว่าราคาตลาด ณ ตอนนั้น ก็ต้องต่อแถวรอคิวตามกฎ

            ฉะนั้น การขายหุ้นจำนวนเป็นพันล้านหุ้น ที่ตกลงราคากันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายนอกตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้วไป "เคาะขาย" ระหว่างกันในตลาดหลักทรัพย์ (ที่แวดวงการเงินเรียกกันว่า "big lot crossing") แบบที่นักลงทุนรายอื่นไม่มีสิทธิแย่งซื้อหรือขาย จึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายในการยกเว้นภาษีข้อนี้

            ในประเด็นนี้ ทนายความอาชีพคนเดิม คุณสุวัตร อภัยศักดิ์ มีมุมมองที่ตรงกับผู้เขียน ดังอธิบายในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549

            "....หากเป็นนักกฎหมายที่มีจิตใจรักความเป็นธรรม และมีจิตวิญญาณรับใช้สังคมแล้ว ควรจะต้องพิจารณาตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะเห็นได้ว่ากฎหมายยกเว้นภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะกรณีที่ผู้ซื้อ และผู้ขายได้เข้าไปแสดงความจำนงตกลงซื้อขายหุ้นโดยวิธีการซื้อขายตามปกติในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น

            มิได้ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ขายที่ไปทำความตกลงซื้อขายหุ้นกับนอกตลาดหลักทรัพย์ แล้วใช้วิธีการแยบยลโอนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยการสมรู้กัน อันเป็นการซื้อขายที่มิได้มีเจตนากระทำในตลาดหุ้นตามปกติ และเป็นธรรมแก่ผู้ซื้อและผู้ขายรายอื่น

            จึงต้องถือว่า การซื้อขายหุ้นรายนี้เป็นการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์

            เพราะวิธีการดังกล่าวทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายรายอื่นๆ ไม่มีสิทธิซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวได้อย่างเท่าเทียม และเป็นธรรมเท่ากับผู้ซื้อชาวต่างชาติที่แอบไปทำสัญญาซื้อขายหุ้นจำนวนมากมหาศาลนอกตลาดหลักทรัพย์ (แต่เชื่อว่าคนวงในตลาดหลักทรัพย์น่าจะทราบข้อมูลดี)"

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกกฎหมายแต่ผิดเจตนารมณ์ - การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยบุคคลธรรมดา ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมาย แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นการขายแบบ "เตี๊ยม" กันนอกตลาดระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แล้วมาเคาะขายกันในตลาด ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายก็ตาม

            ต้องยอมรับว่า การทำ big lot crossing เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนั้น เป็นสิ่งที่ทำกันแพร่หลายมาช้านานในตลาดหุ้น จนเป็นพฤติกรรมที่สุดแสนจะ "ธรรมดา" ในวงการไปแล้ว ดังนั้น หากเราจะบังคับให้นักลงทุนทำตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเรื่องนี้ ให้รัดกุมและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่อนุญาตให้การทำ big lot crossing รวมเป็นหนึ่งในธุรกรรมที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดเป็นปกติ" - ด้วยเหตุผลเดียวกับประเด็น "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ข้างต้น

24) หุ้นที่โอนให้เปล่า "โดยเสน่หา" เมื่อปี 2540 ให้กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ แล้วเป็นส่วนที่นายบรรณพจน์ นำมาขายต่อให้กับ Temasek ต้องเสียภาษีหรือไม่?

            ถ้าท่านผู้อ่านยังจำกันได้ เมื่อ พ.ศ.2540-2544 มีการโอนหุ้นในหมู่ญาติพี่น้องทั้งสองตระกูลหลายครั้ง ซึ่งมีอยู่ตรงนั้นที่เป็นการโอนหุ้นให้เปล่า โดยอาศัยหลักธรรมจรรยา เมื่อคุณหญิงพจมาน โอนหุ้น SHIN จำนวน 4.5 ล้านหุ้น (หรือเทียบกับ 45 ล้านหุ้น ในปัจจุบันภายหลังจากการแตกพาร์แล้ว) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 ให้กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์

            ซึ่งการโอนในครั้งนั้น กรมสรรพากรได้ตีความโดยอาศัยความตามมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นมาตราที่ระบุยกเว้นถึงเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ โดยระบุไว้ว่า "เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา เงินได้ที่ได้รับจากการรับมรดก หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี" ไม่ต้องนำไปคิดรวมกับเงินได้ที่ต้องเสียภาษี

            อย่างไรก็ดี อาจารย์สุวรรณ วลัยเสถียร ปรมาจารย์แห่งกฎหมายภาษี ผู้ผันกายมาช่วยนักธุรกิจที่โด่งดังหลายคน อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เลี่ยง...เอ๊ย! "บริหาร" ภาษีของกิจการหมื่นล้านต่างๆ เคยได้ให้อรรถาธิบายในเรื่องนี้ไว้ว่า "การที่พี่ชายโอนทรัพย์สินให้น้องชาย ผู้รับต้องเสียภาษี เพราะถือว่าเป็นมรดกที่ได้มาโดยเสน่หา ต้องนำมาแสดงรายการเสียภาษีและคุณก็ไม่มีต้นทุนด้วย หากรับโอนมา 100,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีเต็มจำนวนจากอัตราที่ใช้บังคับ" และก็เป็นธรรมเนียมบรรทัดฐานที่ปฏิบัติกันมาโอนตลอดว่ากรมสรรพากรจะเรียกเก็บภาษีของทรัพย์สินที่ให้โดยธรรมจรรยา

            ในขณะนั้นหุ้น SHIN มีมูลค่าประมาณ 140 บาท มูลค่าทางตลาดของหุ้นที่โอนให้นายบรรณพจน์รวมทั้งสิ้นประมาณ 630 ล้านบาท ถ้าหากเราคิดว่านายบรรณพจน์เสียภาษีในระดับภาษีที่สูงที่สุดอยู่แล้ว (37%) ก็เท่ากับว่าหุ้นที่รับมา ณ วันนั้นต้องเสียภาษีรวมทั้งสิ้น 233.1 ล้านบาท

            แต่ปรากฏว่า วันนั้นกรมสรรพากรกลับลำ ไม่นำบรรทัดฐานที่เคยปฏิบัติมาใช้ โดยอ้างมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากร วันนั้นประเทศชาติสูญเสียรายได้ไปกว่า 233 ล้านบาท

            แต่สรรพากรก็บอกทิ้งทวนไว้ว่า หากขายหุ้นส่วนนี้เมื่อไหร่ก็ต้องชำระภาษี

            ทีนี้มาวันที่ 23 มกราคม 2548 เมื่อครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์จะขายหุ้น SHIN ให้ Temasek ก็ทำให้ประเด็นทางภาษีในอดีตตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้งหนึ่ง

            ถ้าเรามาดูว่าหุ้น 4.5 ล้านหุ้น ซึ่งกลายเป็น 45 ล้านหุ้น ไปแล้ว ต้องเสียภาษีหรือไม่ ก่อนอื่นขอให้ผู้อ่านพิจารณาข้อความต่อไปนี้ซึ่งคัดลอกมาจากประกาศกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2509 ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมประเภทเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี โดยข้อ (17) ได้เพิ่มเติมรายการนี้เข้ามา เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ที่ตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา หรือการปกครองท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ ทั้งนี้ เฉพาะเงินได้จากการขายในส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น

            จะเห็นได้ชัดว่ามีการตั้งจำกัดวงเงินที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปคิดภาษีเงินได้ ขอตั้งข้อสังเกตว่าถึงแม้ตัวบริษัท SHIN นั้นน่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์เสียเป็นส่วนใหญ่ และน่าจะอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ด้วย แต่ใบหุ้นของ SHIN นั้นเป็นสังหาริมทรัพย์แน่นอน เคลื่อนย้ายได้ เอาไปฝากในตู้เซฟที่ธนาคารใน สวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ เพราะฉะนั้นน่าจะอ้างได้ว่าใบหุ้นนั้นอยู่ "นอกเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา หรือการปกครองท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ" และต้องเสียภาษีเงินได้

            ซึ่งจะมีผลได้ว่าการขายหุ้นของนายบรรณพจน์ ในครั้งนี้นั้น เข้าข่ายการขายสินทรัพย์ที่ได้มาด้วยเสน่หาและต้องนำรายได้ส่วนที่เกิน 200,000 บาทไปคิดหักภาษีเงินได้ คิดเป็นมูลค่าเงินได้คือ 45 ล้านหุ้น คูณ 49.25 บาท ลบด้วย 200,000 หรือประมาณ 2,216 ล้านบาท ถ้าคิดอัตราภาษีที่ 37% เท่าเดิมก็จะเป็นเงินภาษี ทั้งสิ้น 819.92 ล้านบาท

            แต่กรมสรรพากรออกมารับประกันเสียแล้วว่า ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากว่าเป็นการขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

            ดังนั้น หุ้นที่เคยถูกตีกรอบ นิยามไว้แล้วว่าเป็น "เงินได้จากการให้โดยเสน่หา" จึงถูกพลิกแพลง ผ่านกระบวนการ "จับแพะชนแกะ" อันแยบยลของกรมสรรพากรให้กลายเป็น "หุ้นที่บุคคลธรรมดาขายในตลาดหลักทรัพย์" ไปด้วยประการฉะนี้

            ความถูกต้องทางกฎหมาย กรมสรรพากรตีความแบบผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย - การพลิกลิ้น และเลือกปฏิบัติขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าสรรพากรอยากตะแบงหาข้อกฎหมายที่ทำให้อ้างได้ว่า "ไม่ต้องเสียภาษี"

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" - หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ไร้ยางอาย" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

            25) พฤติกรรมของนายกฯ ในเรื่องนี้ เหมาะสมแล้วหรือไม่?

            อันนี้คุณต้องตอบเอง หวังว่าบทความนี้ของเราได้ช่วยทำหน้าที่ให้คุณ "ใช้เหตุผล" แยกแยะประเด็นต่างๆ ออก เพียงพอที่จะตอบคำถามข้อนี้
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #37 เมื่อ: 28-08-2007, 15:04 »

ข้อมูลมีที่มาที่ไปนะครับ thai4thai ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีการแสดงตัวตนคนเขียนอีก แบบนี้เอาใครไปนั่งเทียนเขียนก็ย่อมได้เสมอล่ะครับ

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=27/Jan/2549&news_id=119293&cat_id=200

บริติชเวอร์จินไอส์แลนด์ส

27 มกราคม 2549    กองบรรณาธิการ

ก็เกิดรายการ "ซุกหุ้น ภาค อภิชาตบุตร" อันต่อเนื่องจากภาคแรกที่เรียกว่า "ภาคอภิชาตบิดา" ขึ้นแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นความดีความชอบต่อแผ่นดินของ "คุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ"

ที่นำหลักฐานชัดในประเด็นนี้มาบอกกล่าวกับสังคม

กว่า  73,000 ล้านบาท เป็นรายได้จากการซื้อขายหุ้นในตลาดฯ และไม่ต้องเสียภาษี   พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  ท่านบอกว่าเป็นความถูกต้อง-ชอบธรรมตามกติกาสากลนิยม ใครก็อย่าไปอิจฉา

แต่คราวนี้เงิน   15,883.9 ล้านบาท ในจำนวน 73,000 ล้านบาทที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเซกไปนั้น ถูกจับได้-ไล่ทันว่า

ส่วนหนึ่ง "ที่มาของหุ้นและเงิน" มีปัญหาขึ้นแล้ว

จะทำไงดีล่ะ..คราวนี้?

ถ้าทางการสืบสาวราวเรื่องกันไปจริงๆ เผลอๆ จะต้องโทษอาญาทั้งพ่อและลูก  นับเป็นเรื่องน่าสงสารนักสำหรับเด็กๆ คือ "ลูกทั้งสอง" ที่อาจต้องรับโทษจากกรรมที่ผู้ใหญ่เอาชีวิตลูกมาสร้างความถูกให้ตัวเอง

"บาปสุจริต" มันจะติดตัวลูก!

เอ่ยชื่อ  "กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ" คงทราบกันนะครับ ท่านคืออดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์  และท่านติดตามเรื่องซุกหุ้น และเรื่องธุรกิจครอบครัวนายกฯ มาตลอด เมื่อปี 2547 ท่านได้อภิปรายในสภาเรื่อง "หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน" ในส่วนที่มีความสัมพันธ์กับนายกฯ ทักษิณ

บริติชเวอร์จิน รู้จักกันดีว่า เป็นแหล่งหนีภาษี และการฟอกเงิน!

คุณกอร์ปศักดิ์เปิดหู-เปิดตาให้ประชาชนคนไทยได้ทราบว่า     มีใครคนหนึ่งไปตั้งบริษัท Ample Rich Investments Limited ไว้ที่เกาะนี้ และใครคนนั้นก็ขายหุ้นชินคอร์ปให้บริษัทนี้จำนวนหนึ่ง

ชนิดยอกย้อนซ่อนเงื่อน!!

ตอนนั้น  คนไทยไม่สนใจประเด็นที่คุณกอร์ปศักดิ์บอกหรอกครับ เพราะกำลังถูกโรคระบาดชนิดโงหัวไม่ขึ้นกันทั้งเมือง

โรคคลั่ง "เทวดาทักษิณ" อวตารลงมาเกิดน่ะ!

ค่อยๆ  ลำดับความสู่กันฟังนะครับ เดี๋ยวท่านจะงง ย้อนไปปูพื้นเป็นความเข้าใจกันก่อน  จำกันให้ดีนะครับ

วันจันทร์ที่   23  มกราคม  2549 นางกาญจนา หงษ์เหิร เลขาฯ คุณหญิงพจมาน  ชินวัตร  แจ้งต่อ ก.ล.ต.ว่า  เมื่อ 20 ม.ค. บริษัท Ample Rich ขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ รวม 329.2 ล้านหุ้น และวันเดียวกัน  คือที่  23 มกรา. นางกาญจนา ก็เป็นตัวแทนแจ้งต่อ ก.ล.ต.แทนนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาว่า ได้ซื้อหุ้นจาก Ample Rich เมื่อ 20 ม.ค. มาคนละ 164.6 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท

และระบุเป็นหลักฐานไว้กับ  ก.ล.ต.ด้วยว่า  ซื้อหุ้นดังกล่าวผ่านทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย!

วันที่  23 มกรา. คือวันอภิมหาโคตรรวยจากการขายหุ้นของครอบครัวชินวัตร อันเป็นประวัติศาสตร์ของชาติ เพราะเป็นวันที่ปรากฏและประกาศเป็นทางการว่า

ชินคอร์ปขายหุ้น   49% ให้ ซีดาร์-แอสแพน-กุกลาบแก้ว อันเป็นบริษัทที่เทมาเซกตั้งขึ้นเป็นบริษัทไทยเป็นการเฉพาะ   เพื่อรับหน้าเสื่อในการซื้อ-ขายประวัติศาสตร์ รวมแล้วมูลค่ากว่า 73,000 ล้านบาท

นายพานทองแท้ ชินวัตร ขาย 458,550,220 ล้านหุ้น

น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ขาย 604,600.000 ล้านหุ้น

ในราคาหุ้นละ    49.25  บาท   เฉพาะส่วนของบุตรชายและบุตรสาวท่านนายกฯ จะได้เป็นเงินเท่าไหร่ คูณกันเอาเองนะครับ

ท่านก็จำตัวเลขหุ้นของลูกนายกฯ ทั้งสองไว้ให้ดี  เพราะเดี๋ยวจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นตัวเลขพิศวงดังที่เป็น "ประเด็นใหม่" จะนำไปสู่ความตายน้ำตื้นในอนาคต

ปรากฏการณ์  23  มกรา. ไม่เพียงดังที่บอกนั้นนะครับ  ยังปรากฏว่า เลขาฯ คนขยันของคุณหญิงพจมาน  ได้แจ้งไปยัง ก.ล.ต.ในวัน-เวลาเดียวกันอีกว่า หุ้นที่นายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา ซื้อปุ๊บจากตลาดหุ้นคนละ 164.6 ล้านหุ้น นั้น

ได้ขายปั๊บในวันนี้   รวมอยู่ในจำนวนชินคอร์ป  "บิ๊กล็อต"  ดังกล่าว ในราคาหุ้นละ  49.25  บาท  คือที่เพิ่งซื้อมาใหม่สดๆ ซิงๆ หุ้นละ  1  บาทก็ขาย 49.25 บาทด้วย

สรุปตรงนี้   เลขาฯ  คุณหญิงพจมานคนเดียวกันนั่นแหละ   เป็นทั้งตัวแทน  Ample Rich  แจ้งขาย เป็นทั้งตัวแทนพิณทองทา-พานทองแท้ แจ้งซื้อ ก.ล.ต.ก็ซื้อ..ซื่อ..ไม่แอะอะไรเลยซักคำ

เอาละ..คราวนี้ก็ถึงคราว "ความลับไม่มีในโลก" เมื่อนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา   แจ้งต่อ ก.ล.ต.ว่าได้ซื้อหุ้นชินคอร์ปจาก  Ample  Rich ผ่านตลาดหุ้นไทย คนละ 164.6 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 บาท

ก็ไม่ยากที่จะตรวจสอบผ่านการซื้อ-ขายประจำวันของตลาดหลักทรัพย์ ก็พบว่า

ไม่ปรากฏการซื้อ-ขายหุ้นด้วยจำนวนตามที่แจ้งไว้แต่อย่างใด!

ยุ่งละซี..ตานี้ ความจริงตลาดหลักทรัพย์ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ที่ประเทศพึงได้   แต่ไม่ทำ  "คุณกอร์ปศักดิ์" อดรนทนเห็นคนกลุ่มหนึ่งสุมหัวกันต้มยำทำแกงประเทศไม่ไหว

ก็เลยกระจายข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของคุณกอร์ปศักดิ์   ประจานทั้ง   เทวโลก มนุษยโลก และเดรัจฉานโลก

ความจริงที่เป็นตัวจับความเท็จในประเด็นนี้ก็คือ   ในข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ระบุถึงการถือหุ้นชินคอร์ป  ณ  วันที่ 26 สิงหาคม 2548 ว่า น.ส.พิณทองทา  ถือหุ้น   440,000,000  หุ้น  นายพานทองแท้   ถือหุ้น 293,950,220 ล้านหุ้น

แต่ปรากฏว่า  23  มกรา. น.ส.พิณทองทา  กลับมีหุ้นขายถึง 604,600,000 ล้านหุ้น มากกว่าหุ้นที่แจ้งไว้ต่อตลาดฯ ถึง 164,600 ล้านหุ้น

เช่นเดียวกับนายพานทองแท้  ขาย 458,550,220 ล้านหุ้น มากกว่าที่แจ้งไว้ต่อตลาดถึง 164,600 ล้านหุ้นเช่นกัน

นี่ไงล่ะ..ตัวเลข "ตายตอนจบ" ท่านก็อาจเถียงได้ว่า ไม่เป็นแปลกตรงไหน ที่งอกขึ้นมาคนละ  164,600  ล้านหุ้น  นั้น ก็อย่างที่แจ้งต่อ ก.ล.ต.นั่นไงล่ะว่า ซื้อมาจาก Ample Rich

แต่ข้อสงสัยประชาชนก็มีอยู่ว่า 

1.Ample   Rich  นี้  เป็นบริษัทของใคร  เอาหุ้นชินคอร์ปจำนวน 329,200 หุ้นที่ขายให้ "พิณทองทา-พานทองแท้" มาจากไหน?

2.มีเหตุผลอะไรที่ขายในราคาพาร์   คือหุ้นละ  1 บาท ทั้งที่ราคาซื้อ-ขายในตลาดฯ ร่วม 50 บาทต่อหุ้น?

3.น.ส.พิณทองทา  และนายพานทองแท้ "แจ้งเท็จ" ต่อตลาดฯ ว่าซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์  ส่อพฤติกรรมว่าหุ้นจำนวนนี้มีที่มา "ไม่สุจริต" และ ก.ล.ต.รู้เห็นเป็นใจในการซื้อขายใช่หรือไม่?

4.นี้คือวิธีการ "ฟอกหุ้น-ฟอกเงิน" ของใครบางคน ใช่หรือไม่ และเงินส่วนต่างอันเกิดจากการขายหุ้น 329,200 หุ้น ที่ซื้อมาหุ้นละ 1 บาท แต่ขายหุ้นละ 49.25 บาท เป็นเงิน 15,883.9 ล้านบาทนี้ ต้องเสียภาษีมิใช่หรือ?

บริษัท   Ample  Rich  ที่ตั้งอยู่ที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ย่านทะเลแคริบเบียน แถวๆ เปอร์โตริโก อันเป็นแหล่งฟอกเงิน และหลบภาษีนี้ เป็นบริษัทของใคร?

ผมไม่ทราบ แต่ในรายงานการประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต.ครั้งที่ 11/2544 วันที่ 12 ตุลาคม 2544 มีบันทึกเป็นรายงานไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้

4.3.1 Ample Rich Investments Limited

ในช่วงที่ตรวจสอบพบว่า   บริษัทมี  พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ถือหุ้นทั้งจำนวนจนถึงวันที่  30   พฤศจิกายน 2543 โดยจดทะเบียนจัดตั้งใน British Virgin   Islands    เพื่อประกอบธุรกิจระหว่างประเทศเมื่อวันที่  12 เมษายน  2542  มีสถานที่ติดต่อ (Correspondent Office) ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์  ทั้งนี้  ตั้งแต่จัดตั้งพบบริษัทถือครองหุ้น SHIN เพียงหลักทรัพย์เดียว  โดยเป็นการซื้อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ  ในวันที่  11  มิถุนายน  2542 บนกระดานรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เพียงหนึ่งรายการ

ครับ..Ample   Rich บริษัทที่ขายหุ้นชินคอร์ปราคาพาร์ให้พิณทองทา-พานทองแท้   ที่แท้ก็บริษัทของ  พ.ต.ท.ทักษิณผู้เป็นพ่อนี่เอง  ถ้ายังจะดิ้น ผมก็จะมอบเชือกอีกเส้นให้ดู ดังนี้

นายบุญคลี   ปลั่งศิริ  แจ้งตลาดหลักทรัพย์  เมื่อ  11 มิ.ย. 42 เรื่อง ขอชี้แจงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท สาระสำคัญมีว่า

ชินคอร์ปได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่  โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก   23.75% เหลือ   11.88%  โดยหุ้นที่ลดลง 11.88% นั้น โอนให้ถือในนามของ "แอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด"

โดยระบุในหนังสือแจ้งว่า  "แอมเพิล    ริช" ถือหุ้นโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 100%

ครับ..ปมที่ผูกไว้  ใครจะนึกว่าจะย้อนมารัดคอตัวเองในวันนี้ได้ ประเด็นตายต่อไปก็คือ  ตัวเองขายหุ้นตัวเองให้บริษัทที่ตั้งใหม่บนเกาะบริติชเวอร์จิน อันเป็นของตัวเองแล้ว ปรากฏว่า เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2544

ในบัญชีแสดงทรัพย์สินที่ยื่นต่อ  ป.ป.ช.ไม่ปรากฏว่ามีชื่อบริษัท   Ample Rich อยู่ในบัญชีแสดงทรัพย์สินของนายกฯ ทักษิณแต่อย่างใด!?

ผมจะจบด้วยคำพูดของนายกฯ  ทักษิณที่พูดไว้เมื่อ  20  พ.ค. 45 ความตอนหนึ่งว่า เมื่อวานผมดูข่าวจาก  CNN  ทราบว่าขณะนี้สภาของสหรัฐกำลังแก้ไขกฎหมายใหม่  ทั้งนี้เพราะบริษัทต่างๆ  ไม่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐ  แต่ไปจดทะเบียนในประเทศอื่นๆ  เช่น ในปานามาบ้าง  หรือที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่ไม่รักชาติ เพราะถือว่าเป็นการเลี่ยงภาษี..."

นั่นน่ะซี มัน "โคตรยำยำ" เลยนะ ท่านว่ามั้ย?
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #38 เมื่อ: 29-08-2007, 07:21 »

เอามาให้ ก็รู้จักอ่านหน่อยนะเอก

อะไรกาน ไม่เห็นดูมั่งเลย ไหนเอกบอกอยากดูจ้อมูลอีกด้านไง ถ้าผมหามาให้เอกได้

อ่านซะนะเอกนะ
 
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 29-08-2007, 07:37 »

คนที่ออกมาต่อต้านทักษิณ มันเริ่มจากฝ่ายค้าน สื่อมวลชน นักวิชาการ

ไม่ใช่จู่ ๆ ก็ออกมาด่า แต่มันมีเหตุมาจากเรื่องไม่โปร่งใส เรื่องซุกหุ้น เรื่องซื้อพรรคย้ายพรรค( ตั้งแต่ก่อนข้าสมัครสส.ด้วยซ้ำ )

มาจนการทุจริตเชิงนโยบาย มาจนเรื่องฆ่าตัดตอน เรื่องแปรรูปกฟผ. เขื่อนปากมูล เรื่องภาคใต้

สถานการณ์มันค่อย ๆ บ่มเพาะของมันมา ไม่ใช่จู่ ๆ ใครต่อใครก็ออกมาต้านทักษิณ

พอมาเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ก็มาเรื่อง พรก.สรรสามิต CTX ไอทีวี ฯลฯ

ผลมันมาจากเหตุทั้งนั้น
บันทึกการเข้า

ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #40 เมื่อ: 29-08-2007, 07:49 »

คนที่ออกมาต่อต้านทักษิณ มันเริ่มจากฝ่ายค้าน สื่อมวลชน นักวิชาการ

ไม่ใช่จู่ ๆ ก็ออกมาด่า แต่มันมีเหตุมาจากเรื่องไม่โปร่งใส เรื่องซุกหุ้น เรื่องซื้อพรรคย้ายพรรค( ตั้งแต่ก่อนข้าสมัครสส.ด้วยซ้ำ )

มาจนการทุจริตเชิงนโยบาย มาจนเรื่องฆ่าตัดตอน เรื่องแปรรูปกฟผ. เขื่อนปากมูล เรื่องภาคใต้

สถานการณ์มันค่อย ๆ บ่มเพาะของมันมา ไม่ใช่จู่ ๆ ใครต่อใครก็ออกมาต้านทักษิณ

พอมาเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ก็มาเรื่อง พรก.สรรสามิต CTX ไอทีวี ฯลฯ

ผลมันมาจากเหตุทั้งนั้น


ท้าวแกอาจคิดว่า อยู่ดีๆคนก็อยากใส่ร้ายท่านทักษิณดวงใจท้าวเค้าน่ะ
ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลทั้งนั้นแหละน่า

แม้กระทั่งป้าย่น จารุวรรณแฟนของท้าว สมัยก่อนๆ แกไม่เคยปริปากด่าทักษิณ แกก็ยังทำเรื่องตรวจสอบกล้ายางของแกไปเรื่อย จนบางคนกลัวเจออะไรหรือเปล่า เลยหาทางถอดแกออกจนเกิดเรื่องเกิดราว

จนเกิดฝ่ายต่อต้านเยอะแยะ


* P5762454-4.jpg (19.09 KB, 311x226 - ดู 160 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
หน้า: [1]
    กระโดดไป: