(ตอน 6)"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"กับปมอินไซเดอร์ -------------------------------------------------
ประเด็นกระบวนการซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน (insider trading) และการเปิดเผยข้อมูล
13) การทยอยขายหุ้น ADVANC ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะมีการประกาศดีลนี้ต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 เข้าข่าย insider trading หรือไม่?
มาตรา 241 (ข้อห้ามการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น) ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เขียนชัดเจนว่า "ห้ามมิให้บุคคลใดทำการซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย หรือชักชวนให้บุคคลอื่นซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย ซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ว่าโดยทรงตรงหรือทางอ้อม
ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน และตนได้ล่วงรู้มาในตำแหน่งหรือฐานะเช่นนั้น และไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทำเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น หรือนำข้อเท็จจริงเช่นนั้นออกเปิดเผยเพื่อให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าว โดยตนได้รับประโยชน์ตอบแทน"
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้เป็นเพียงผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ADVANC เท่านั้น หากยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น SHIN ที่ขายหุ้นให้กับ Temasek เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ดังนั้น จึงไม่มีทางปฏิเสธว่า ตนไม่รู้เรื่องที่ Temasek จะทำเทนเดอร์หุ้น ADVANC ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดถึง 30% ก่อนวันเซ็นสัญญา
ข้อมูลจากรายการการซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้บริหาร ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 ต่อเนื่องถึงมกราคม 2549 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายิ่งลักษณ์ ขายหุ้น ADVANC เพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดย "อาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน" คือช่วงก่อนวันที่ 23 มกราคม 2549
คำตอบของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ว่า "การขายหุ้นทุกครั้งมีการแจ้งเรียบร้อย" และ "ถ้าไม่ขายก็ติด silent period ของหุ้น ESOP" จึงฟังไม่ขึ้น เพราะมันไม่ตรงประเด็นทั้งคู่
ประเด็นอยู่ที่ การขายหุ้นกว่า 288,000 หุ้น ที่ราคา 105-113 บาท (ซึ่งก็ต้องบอกว่า "แม่น" เหลือเกินที่ขายได้ทั้งหมดช่วงก่อนที่ราคาหุ้น ADVANC จะขึ้นไปสูงสุด แล้วก็หล่นลงมาเรื่อยๆ) นั้น เข้าข่าย "การขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน" (insider trading) ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย หรือไม่
ที่อ้างว่า "ถ้าไม่ขายก็ติด silent period ของหุ้น ESOP" นั้น ก็น่าหัวเราะสิ้นดี ก็เพราะคุณจะผิดกฎหมายเรื่อง insider trading น่ะสิ คุณถึงไม่ควรขายหุ้นออกมาช่วงนั้น!
คำ "แก้ตัวแทน" ของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ว่า "เขาก็ซื้อๆ ขายๆ อย่างสม่ำเสมอ" ก็ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน เพราะมันไม่ได้ตอบคำถามว่า ไอ้หุ้นที่ขายไปช่วงนี้ มันผิดกฎหมายหรือไม่
สรุปประเด็นนี้ได้ทางเดียวว่า
ความถูกต้องทางกฎหมาย ผิดกฎหมายเรื่อง insider trading 100% เต็มประตู - เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กรณีเดียวที่ยิ่งลักษณ์จะขายหุ้น ADVANC ไป 288,400 หุ้น แล้วไม่ผิดกฎนี้ คือ ถ้าเธอไม่รู้เรื่องการเจรจาขายหุ้น SHIN ของพี่ชายเลย (หรือหลานชายและหลานสาว ถ้าหากว่าคุณพี่ชายจะยืนยันต่อไปว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นประการใด) อยู่ดีๆ เช้าตรู่ของวันที่ 23 มกราคม 2549 ก็มีคนมาปลุกให้ไปเซ็นสัญญาขายหุ้น SHIN ให้ Temasek ซะดื้อๆ อย่างนั้น....
ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" - อะไรที่มัน "ผิดกฎหมาย" แบบเห็นกันชัดๆ อย่างนี้ ไม่น่าเกลียดธรรมดาแน่นอน จริงๆ แล้วถ้า ก.ล.ต. ไม่เอาเรื่องยิ่งลักษณ์ข้อนี้ ก็แปลว่ากฎหมาย insider trading ของเราไม่มีความหมาย ฉีกทิ้งไปเลยดีกว่า
14) ทำไม ตลท. ไม่สั่งขึ้นเครื่องหมายพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราว (H) ของหุ้น SHIN ทั้งๆ ที่เกิดข่าวลือเรื่องดีลนี้มาตั้งแต่ก่อนเดือนพฤศจิกายน 2548?
นี่เป็นตัวอย่างค่อนข้างชัดเจน ที่แสดงให้เห็นความ "ลำเอียง" แบบกระเท่เร่ของ ตลท. ที่มีต่อดีลนี้ หุ้น SHIN ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2548 อยู่ในระดับราคาประมาณ 37 บาท หลังจากนั้นเมื่อกระแสข่าวลือกระพือหนักว่า มีต่างชาติจะเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าว ราคาหุ้นก็ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 30% แต่ ตลท. ไม่ได้ขึ้นเครื่องหมาย "พักหรือห้ามซื้อขายหุ้น" เลยแม้แต่วันเดียว ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2549 คือวันที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น
การขึ้นเครื่องหมาย H (ย่อมาจาก Halt คือ หยุดพักการซื้อขายชั่วคราว) และเครื่องหมาย SP (ย่อมาจาก Suspend คือห้ามการซื้อขายหุ้นจนกว่า ตลท. จะได้รับคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัทจดทะเบียน) นั้น เป็น "เครื่องมือ" ของ ตลท. ที่สำคัญต่อการควบคุมดูแลตลาดหลักทรัพย์ ให้มีความโปร่งใส ช่วยให้นักลงทุนทุกรายสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้น ได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่เสียเปรียบ "คนวงใน" กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทมากกว่านักลงทุนทั่วไป
ช่วงที่ข่าวลือการเทคโอเวอร์สะพัด การที่ ตลท. ไม่ขึ้นเครื่องหมายเหล่านี้เพื่อบังคับให้ SHIN ส่งจดหมายชี้แจงอย่างเป็นทางการ และเปิดเผยข้อมูลที่บริษัทล่วงรู้ (หรือไม่รู้ เพราะบริษัทอาจไม่ทราบการกระทำของผู้ถือหุ้นก็ได้) ต่อนักลงทุน ก็เท่ากับเป็นการเปิด "ไฟเขียว" ให้กับ "คนวงใน" ทั้งหลายของ SHIN ที่รู้ความคืบหน้าการเจรจาเป็นอย่างดี ได้มีโอกาสปั่นหุ้น และซื้อขายทำกำไรแบบ insider trading กันอย่างสบายใจเฉิบ
ลองมาฟังความเห็นจากแหล่งข่าวในแวดวงการเงินดู
"ที่ผิดปกติก็คือ ทั้ง ก.ล.ต.และตลาดหุ้นต่างไม่เทคแอ็คชั่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ดูง่ายๆ วันที่ 23 มกราคม ทั้งๆ ที่มีข่าวว่าชินคอร์ปจะชี้แจงดีลประวัติศาสตร์ 7 หมื่นล้านบาท แต่ตลาดหลักทรัพย์ ทำได้แค่ขึ้นเครื่องหมาย H หยุดพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราวเมื่อเวลา 11.37 น. แต่ไม่ขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามการซื้อขายหุ้น แต่ทางบริษัทชินคอร์ปเป็นผู้ขอขึ้นเครื่องหมายเอง จึงทำให้ดูเหมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ"
ความถูกต้องทางกฎหมาย กฎหมายเรื่องการขึ้นเครื่องหมายนั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ตลท. เอง แต่ก็ต้องนับว่า ตลท. ทำให้นักลงทุนผิดหวัง เพราะเป็นการ "เลือกปฏิบัติ" ค่อนข้างชัดเจน มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้ข่าวลือแพร่สะพัดเป็นเดือนๆ หุ้น SHIN โลดแล่นติดลมบน โดยไม่สั่งพักการซื้อขายเลยแม้แต่วันเดียว
ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" - ทุกอย่างที่แสดงพฤติกรรมการ "เลือกปฏิบัติ" ของหน่วยงานรัฐ เพื่อเข้าข้างบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นความน่าเกลียดสุดขั้วอย่างไม่ต้องสงสัย
(ตอน7)แอมเพิล ริช ปม "ซุกหุ้น-อินไซเดอร์"---------------------------------------------
ถาม-ตอบ ประเด็นเกี่ยวกับ Ample Rich Investments
เมื่อคำนึงว่า บริษัทที่จดทะเบียนใน BVI นั้น หลายบริษัทมีจุดประสงค์เพื่อฟอกเงิน หรือซื้อขายหุ้นในลักษณะปั่นหุ้น (ด้วยการซื้อขายหุ้นในกระดานต่างประเทศ) แล้ว เราก็อาจตั้งสมมติฐานได้ว่า การถือหุ้น SHIN ผ่านบริษัทนอมินีชื่อ Ample Rich Investments ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์นั้น ไม่น่ามี "เจตนาดี" ใดๆ
การกระทำนี้ น่าจะเป็นการซุกหุ้นแบบ "บกพร่องโดยสุจริต" ไม่ต่างจากพฤติกรรมเมื่อปี 2543
ประเด็นเรื่อง Ample Rich นั้น ซับซ้อนและต้องใช้เวลารอข้อมูลที่ครอบครัวชินวัตร ต้องชี้แจงต่อ ก.ล.ต. แต่จากข้อมูลล่าสุด ณ 14 กุมภาพันธ์ 2549 รวมทั้งจากปากคำของนายกฯ เอง ก็ทำให้เห็นภาพค่อนข้างชัดเจนระดับหนึ่ง
...ชัดเจนว่า นายพานทองแท้ ยังไม่ได้ส่งรายละเอียดการซื้อขายหุ้น SHIN ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ที่ทำผ่าน Ample Rich ให้กับ ก.ล.ต. ทั้งๆ ที่ล่วงเลยกำหนดเวลาที่ ก.ล.ต. บอกให้ส่ง (ภายใน 7 วัน คือ ภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549) มาแล้วกว่าหนึ่งสัปดาห์ ก.ล.ต. เองก็ไม่ติดตามเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ทั้งๆ ที่เป็นประด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน และเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะพิสูจน์ว่า นี่เป็นการ "ซุกหุ้นภาค 2" หรือไม่ ซึ่ง ส.ว. กลุ่มหนึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
...ชัดเจนว่า การที่คนในครอบครัวชินวัตร ถือหุ้น SHIN ผ่าน Ample Rich ใน 6 ปีที่ผ่านมา มีเจตนา "ซุกซ่อน" ให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหุ้น SHIN ส่วนนี้หลุดรอดสายตาของ ก.ล.ต. ไม่ว่าเจตนานั้นจะเป็นของนายกฯ ทักษิณ หรือของนายพานทองแท้ก็ตาม
...ชัดเจนว่า การซื้อขายหุ้น SHIN ผ่าน Ample Rich นั้น น่าจะเข้าข่ายผิดกฎ "insider trading" คือมาตรา 241 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ตลอดจนผิดกฎการรายงาน มาตรา 246 ใน พ.ร.บ.เดียวกันด้วย
...ชัดเจนว่า การที่ Ample Rich ซึ่งมีทุนจดทะเบียนเพียง $1 (ประมาณ 40 บาท) สามารถไปซื้อขายหุ้น SHIN หลายครั้ง มูลค่านับร้อยนับพันล้านบาท โดยไม่มีหลักฐานการได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ให้นำเงินออกนอกประเทศเลยนั้น น่าจะเป็นประเด็นที่สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงินหรือ ป.ป.ง. ควรตั้งข้อสงสัยว่า มีการฟอกเงินหรือไม่ และออกมาตรวจสอบธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ว่า ป.ป.ง.นั้น เป็น "หน่วยงานของรัฐบาล" จึงไม่น่าแปลกใจที่ ป.ป.ง. ออกมาชี้แจงไปแล้วว่า ไม่มีอะไรต้องตรวจสอบ)
ชนวนเรื่อง Ample Rich นั้น คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ เคยเขียนบทความตีแผ่อย่างละเอียดมาแล้วในชื่อ "ความลับของ Ample Rich ความลับของทักษิณ" จึงขอนำบางตอนมาเผยแพร่ และเพิ่มเติมรายละเอียดในบางประเด็น
เมื่อนายกฯ โอนหุ้น Ample Rich ที่ตัวเองถืออยู่ 100% ให้แก่นายพานทองแท้ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2543 นั้น เท่ากับว่านายพานทองแท้ ได้กรรมสิทธิ์หุ้น SHIN ที่ Ample Rich ถืออยู่ 32.92 ล้านหุ้น หรือ 11.87% มาด้วย ซึ่งตามมาตรา 258 ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ต้องนับรวมหุ้นที่ Ample Rich ถืออยู่กับหุ้นที่นายพานทองแท้ถืออยู่แล้ว 73.39 ล้านหุ้น หรือประมาณ 24.99% (ได้มาเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 43) ด้วย ซึ่งจะทำให้นายพานทองแท้ถือหุ้น SHIN รวมทั้งสิ้น 36.86% หรือประมาณ 106.3 ล้านหุ้น
15) ในการรับโอนหุ้น Ample Rich เมื่อปี 2543 นายพานทองแท้ ละเมิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์ เรื่องการเปิดเผยข้อมูลต่อ ก.ล.ต. หรือไม่?
มาตรา 246 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ กล่าวว่า "บุคคลใดได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใดในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุก 5% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น...บุคคลนั้นต้องรายงานถึงจำนวนหลักทรัพย์ในทุก 5% ดังกล่าวต่อสำนักงานทุกครั้งที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ภายในวันทำการ ถัดจากวันที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการนั้น เว้นแต่ในกรณีการจำหน่ายที่ไม่มีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือธุรกิจของกิจการ"
ในกรณีนี้ นายพานทองแท้ได้หุ้นมาข้ามเส้นทุกร้อยละ 5 คือ 25% 30% และ 35% แม้ว่าการได้มาในแต่ละครั้งจะ "ไม่มีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือธุรกิจของกิจการ" ข้อนี้ยกเว้นเฉพาะกรณีการจำหน่ายเท่านั้น ไม่ใช่การได้มา ซึ่งเป็นกรณีของนายพานทองแท้
ดังนั้น นายพานทองแท้ จึงมีความผิดที่ไม่ได้รายงานการได้มาของหุ้น SHIN จากการเข้าเป็นผู้ถือหุ้น 100% ใน Ample Rich ตามมาตรา 246
ก.ล.ต.ได้ชี้แจงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549 ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่านายพานทองแท้ เข้าข่ายผิดกฎข้อนี้ เพราะมีหน้าที่ต้องรายงานการได้มา ตามมาตรา 246
ความถูกต้องทางกฎหมาย ผิดกฎหมาย - ก.ล.ต. ได้แถลงผลการสอบเบื้องต้นแล้วว่า นายพานทองแท้เข้าข่ายผิดมาตรา 246 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์
ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดเป็นปกติ" - ถ้านายพานทองแท้ต้องรายงานแต่ไม่รายงาน ก็อาจนับเป็นความหลงลืม ความเข้าใจผิด หรือความประมาท แต่ ก.ล.ต.มีหน้าที่จะต้อง "จี้" จุดนี้ และปรับนายพานทองแท้ตามกฎหมาย
16) ในการรับโอนหุ้น Ample Rich เมื่อปี 2543 นายพานทองแท้ ละเมิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เรื่องการทำเทนเดอร์หุ้น SHIN หรือไม่?
การรับโอนหุ้น Ample Rich (ซึ่งถือเป็น "บุคคลเกี่ยวข้องกัน") ทำให้นายพานทองแท้ถือหุ้น SHIN รวมทั้งสิ้น 36.86% เพิ่มจาก 24.99% จึงเป็นการ "ข้ามเส้น" 25% ที่ต้องทำเทนเดอร์หุ้น SHIN ทั้งหมด ตามมาตรา 247 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์
การโอนหุ้นจากบิดามาบุตรนี้ หากมองด้วยสายตาของคนทั่วไปอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เข้าเรื่อง เพราะก็เหมือนแค่เป็นการโอนหุ้นให้กันในหมู่ญาติครอบครัว ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่ ซึ่งก็จริง และได้มีการแก้ไขในประกาศ ก.ล.ต. ฉบับ กจ. 58/2545 โดยเพิ่มเติมเข้าไปว่า ผู้ถือหุ้นสามารถเลือกรายงานการถือหุ้นเป็นกลุ่มได้ ซึ่งกลุ่มจะเป็นกลุ่มแบบไหนก็ได้ เช่น เพื่อน แต่โดยทั่วไปก็จะเป็นการนับตามวงศาคณาญาติ
เพราะฉะนั้น ตระกูลชินวัตร และตระกูลดามาพงศ์ สามารถรายงานการถือครองหลักทรัพย์ต่อ ก.ล.ต. ว่าเป็นกลุ่มเดียวกันได้ ซึ่งประกาศฉบับนี้ได้มีการลงนามโดย คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนี้ และมีผลบังคับใช้เมื่อ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป
ประกาศ กจ. 58/2545 นั้นจะทำให้การโอนหุ้นระหว่างนายกฯ และนายพานทองแท้ ไม่เป็นปัญหา ไม่ต้องทำเทนเดอร์หุ้น SHIN เพราะถือว่าเป็นการโอนหุ้นภายในกลุ่มกันเอง แต่ว่าข้อเท็จจริงก็คือ การโอนหุ้นนั้นเกิดเมื่อปลายปี 2543 ซึ่งนับเป็นเวลา 2 ปีก่อน กจ. 58/2545 จะมีผลบังคับใช้ ดังนั้นจะเอาการนับรวมกลุ่มตาม กจ.58/2545 มาคิดในกรณีนี้ไม่ได้
ดังนั้น เนื่องจากนายพานทองแท้ มิได้ทำเทนเดอร์หุ้น SHIN และมิได้ขอผ่อนผันการทำเทนเดอร์ จึงผิดมาตรา 247 ค่อนข้างชัดเจน
ก.ล.ต.ได้ชี้แจงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549 ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า นายพานทองแท้เข้าข่ายผิดกฎข้อนี้ เพราะมีหน้าที่ต้องทำ mandatory tender offer ตามมาตรา 247
ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดมาตรา 247 พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ
ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - ตอนนี้ก็ต้องรอดูอย่างเดียวว่า ก.ล.ต.จะกล้าปรับคนนามสกุลชินวัตรหรือไม่
17) ที่ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร โฆษกครอบครัวชินวัตร แถลงว่าต้องตั้ง Ample Rich ขึ้นมาเพื่อเตรียมเอา SHIN จดทะเบียนในตลาด NASDAQ ของอเมริกานั้น เชื่อถือได้แค่ไหน?
ข้ออ้างนี้ปาหี่มาก ถ้า SHIN อยากจดทะเบียนใน NASDAQ จริง ก็ตั้งบริษัทที่อเมริกาได้ ไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนที่ "สวรรค์ของนักหนีภาษี" อย่าง BVI แล้วก็มีขั้นตอนมากมายมหาศาลที่ SHIN ต้องทำ มากกว่านายกฯ โอนหุ้น 10.98% ไปไว้ในบริษัทนอมินี ก่อนจะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนในตลาด NASDAQ ได้ ทำไมไม่มีใครเคยรู้แผนนี้เลย? แล้วทำไมนายกฯ (หรือนายพานทองแท้ ถ้านายกฯ ยังอยากอ้างว่าไม่รู้เรื่องนี้) ไม่เคยโอนหุ้นส่วนนี้กลับมาเมืองไทยเลย ทั้งๆ ที่ตลาด NASDAQ ตกฮวบไปแล้วตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งเป็นเหตุผลที่ ดร.สุวรรณ บอกว่า ทำให้ SHIN ล้มเลิกแผนนี้?
นอกจากนั้น หุ้น SHIN ที่ Ample Rich ถือนั้น มีการซื้อๆ ขายๆ อย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2543-2548 โดยมี UBS โบรกเกอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ สาขาสิงคโปร์ เป็นผู้ดำเนินการแทน (ดูรายละเอียดเส้นทางหุ้นได้ในประเด็นที่ 19) ถัดไป) ถ้า SHIN อยากจดทะเบียนใน NASDAQ จริง ก็ต้องถือหุ้นเหล่านี้ไว้เฉยๆ เพื่อ "สำรอง" หุ้นไว้จดทะเบียน ไม่ใช่ซื้อไปขายมาอยู่ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ความถูกต้องทางกฎหมาย : ไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไม่ให้บริษัทไทยไปจดทะเบียนใน NASDAQ หรอก...
ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว"...กฎหมายไม่ได้บังคับให้เราต้องเชื่อ ข้ออ้างข้างๆ คูๆ แบบนี้ซะหน่อย
18) ถ้า Ample Rich เป็นนอมินีถือหุ้น SHIN แทนนายกฯ จริง ผิดกฎหมายหรือไม่?
ถ้าหลักฐานการทำธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหุ้น SHIN ใน Ample Rich พิสูจน์ได้จริงว่า Ample Rich เป็นนอมินีของนายกฯ จริง นายกฯ ก็มีความผิดตามมาตรา 209 ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดห้ามไม่ให้รัฐมนตรี มีส่วนได้เสียในธุรกิจใดๆ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ ส.ว.กลุ่มหนึ่ง นำโดยคุณแก้วสรร อติโพธิ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ไต่สวนเรื่อง "ซุกหุ้นภาค 2" ไปแล้ว
แต่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ก.ล.ต.หรือแม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีวันเห็นหลักฐานเหล่านี้หรือไม่ เพราะที่ ดร.สุวรรณ อ้างว่านายกฯ โอนหุ้น Ample Rich 100% ให้บุตรชายในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 นั้น ก็ยังไม่มีใครเห็นหลักฐาน รวมทั้ง ก.ล.ต.เองด้วย
ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดกฎหมายถ้าพิสูจน์ได้ว่า Ample Rich เป็นนอมินีของนายกฯ - กรณีนี้จะผิดมาตรา 209 ในรัฐธรรมนูญ ต้องติดตามผลการตรวจสอบของ ก.ล.ต.และการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - แค่คนในครอบครัวมี "เจตนาซุกหุ้น" ก็น่าเกลียดสุดขั้วแล้ว ไม่ว่าเจตนานั้นจะเป็นของนายกฯ (ผู้ก่อตั้ง Ample Rich) หรือบุตรชาย (เจ้าของ Ample Rich คนปัจจุบัน) ก็ตามแต่
19) การซื้อขายหุ้น SHIN ที่ Ample Rich ถือ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ผิดกฎหมายหรือไม่?
น่าสังเกตว่า หุ้นไทยที่ถืออยู่นอกประเทศไทย ในมือนอมินีนั้น เป็นหุ้นแบบที่สามารถใช้ปั่นหุ้นในกระดานต่างประเทศของ SHIN ได้ง่าย เวลาซื้อขายที คนจะได้นึกว่าเป็นฝรั่งอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่เป็น "ฝรั่งหัวดำ" ทั้งนั้น...
คำชี้แจงเรื่อง Ample Rich ไม่ว่าจะจากปากของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร หรือนายกฯ เอง ล้วน "ฟังไม่ขึ้น" หรือไม่ก็ไร้พยานหลักฐานประกอบ
เส้นทางหุ้น SHIN ส่วนที่ Ample Rich ถือ สรุปเป็นแผนผังโดยคร่าวได้ดังนี้
ลำดับเหตุการณ์ในเส้นทางหุ้น SHIN ส่วนที่ Ample Rich ถือ โดยคร่าวได้ดังนี้
1.นายกฯ โอนหุ้น SHIN 32.92 ล้านหุ้น ไปให้ Ample Rich ถือ เมื่อต้นปี 2543
2.Ample Rich ลดสัดส่วนการถือหุ้น SHIN เหลือ 22.92 ล้านหุ้น โดยไม่รายงานการถือครองหลักทรัพย์ (แบบ 246-2) กับ ก.ล.ต.ว่า โอนหรือขายที่เหลืออีก 10 ล้านหุ้น ให้กับใคร
ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2543 ปรากฏชื่อ Vicker Ballas ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ เป็นผู้ถือหุ้น SHIN จำนวน 11.56 ล้านหุ้น ดังนั้น 10 ล้านหุ้น ในนี้ จึงไม่น่าจะเป็นอื่นไปได้นอกจากหุ้นเดิมของ Ample Rich
บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของ SHIN ณ วันที่ 30 เมษายน 2544 ที่สำเนาโพสต์ในเวบไซต์ของคุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (
www.korbsak.com) แสดงให้เห็นชัดเจนว่า จำนวนหุ้นเดิมทั้งหมด 32.92 ล้านหุ้น มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกให้ Ample Rich สัญชาติ BVI ถือ จำนวน 22.92 ล้านหุ้น
ส่วนที่สองให้ Ample Rich "คู่แฝด" สัญชาติอังกฤษ ถือจำนวนที่เหลือ 10 ล้านหุ้น ซึ่งทั้ง ดร.สุวรรณ และนายกฯ ออกมาปฏิเสธว่าไม่มี Ample Rich นี้ ทั้งๆ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบ่งชัดว่า Ample Rich นี้มีจริง และเป็นผู้รับโอนหรือรับซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น ไปจาก Vicker Ballas
3.ปี 2544 SHIN มีการแตกพาร์จาก 10 บาทต่อหุ้น เป็น 1 บาทต่อหุ้น ทำให้หุ้น SHIN ที่ Ample Rich ทั้งสองสัญชาติถือ เพิ่มเป็น 10 เท่า จาก 32.9 ล้านหุ้น เป็น 329.2 ล้านหุ้น
4.Ample Rich สัญชาติ BVI ถือหุ้น SHIN จำนวน 229.2 ล้านหุ้น มาเรื่อยๆ แต่หุ้นอีก 100 ล้านหุ้น ที่ Ample Rich สัญชาติอังกฤษเป็นผู้ถือ อยู่ดีๆ ก็ "หาย" เข้ากลีบเมฆ สันนิษฐานว่าโอนไปไว้ที่ UBS สาขาสิงคโปร์ ประมาณเดือนกันยายน หรือตุลาคม 2544 เพราะปรากฏชื่อ "UBS AG SINGAPORE BRANCH-FIXED INCOME" ถือหุ้น SHIN จำนวน 100.52 ล้านหุ้น ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2544 (ในวันเดียวกันก็ปรากฏชื่อ "UBS AG, SINGAPORE BRANCH-PLEDGE A/C" เป็นผู้ถือหุ้น SHIN อีกจำนวน 53.6 ล้านหุ้น ชื่อบัญชีหุ้นที่มีคำว่า "PLEDGE" (แปลว่า "จำนำ") นั้น ปกติใช้สำหรับเรียกหุ้นที่เอามาจำนำเป็นหลักประกันเงินกู้ แต่หุ้นตรงนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับ Ample Rich เพราะยังเห็น Ample Rich สัญชาติ BVI ถือหุ้น SHIN 229.2 ล้านหุ้น เหมือนเดิม)
5.ระหว่างปี 2545-2547 จำนวนหุ้น SHIN 100 ล้านหุ้น ในบัญชี "UBS AG SINGAPORE BRANCH-FIXED INCOME" ซึ่งต่อมาใช้ "UBS AG, SINGAPORE BRANCH" และชื่ออื่นๆ ด้วย มีจำนวนเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในระดับไม่เกิน 5 แสนหุ้น
6.ระหว่างเดือนพฤษภาคม และเดือนสิงหาคม 2547 Ample Rich สัญชาติ BVI โอนหุ้น SHIN ทั้งหมดที่ตนถือ คือ 229.2 ล้านหุ้น ให้กับ UBS โดยไปไว้ในบัญชีชื่อ "UBS AG SINGAPORE BRANCH-PB SECURITIES CLIENTS" (ย่อมาจาก Private Banking Securities Client คือลูกค้าบุคคลรายใหญ่ของ UBS) โดย ดร.สุวรรณ อ้างว่า UBS เป็นเพียงผู้ดูแลหุ้น (คัสโตเดียน หรือ custodian) ให้กับ Ample Rich เท่านั้น แต่ข้ออ้างนี้ฟังดูน่ากังขา เมื่อคำนึงว่า UBS รายงานการซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น มาจาก Ample Rich สัญชาติอังกฤษ เมื่อปี 2544 (ดูรายละเอียดในประเด็นที่ 20) ถัดไป)
ตามทะเบียนผู้ถือหุ้น บัญชีที่มีชื่อ UBS ทั้งหมดมีหุ้น SHIN เพิ่มมาตลอด จาก 15.405% ในปี 2544 เป็น 39.09% ในปี 2548 และเนื่องจากปี 2548 เป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัวชินวัตร เริ่มเจรจาขายหุ้นให้กับ Temasek ดังนั้น ถ้า UBS เป็นคัสโตเดียนให้กับครอบครัวชินวัตร จริง การซื้อขายหุ้น SHIN ก็ควรถือว่าเป็นการใช้ข้อมูลภายใน (insider trading) ก่อนที่จะมีการซื้อขายหุ้นวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา
ทั้งหมดนี้แปลว่าเราต้องติดตามการสอบสวนเส้นทางการซื้อขายหุ้น SHIN ของบริษัท Ample Rich และหุ้นในบริษัท Ample Rich เอง ของ ก.ล.ต.อย่างไม่กะพริบตา !
ความถูกต้องทางกฎหมาย : ถ้า Ample Rich เป็นนอมินีที่เอาไว้ปั่นหุ้น SHIN จริง ก็ต้องนับว่าผิดกฎหมาย insider trading ไมรู้กี่ครั้ง และอาจผิดกฎหมายฟอกเงินด้วย เพราะ Ample Rich มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกเพียง $1 (40 บาท) ซึ่งภายหลังเพิ่มเป็น $5 (200 บาท) คนไทยเป็นเจ้าของ 100% หากบริษัทนี้สามารถซื้อขายหุ้น SHIN ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้เป็นร้อยเป็นพันล้านบาท ก็น่าจะทำให้ ป.ป.ง.และธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลียวใจว่า เอาเงินซื้อหุ้นมาจากไหน? และเงินนั้นออกนอกประเทศไปได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่า ก.ล.ต.มีข้อมูลการซื้อขายหุ้น SHIN ของ Ample Rich ย้อนหลัง ละเอียดขนาดไหน และเมื่อไหร่ผู้จัดการของนายพานทองแท้ จะยื่นหลักฐานต่อ ก.ล.ต.เสียที
ความถูกต้องทางศีลธรรม : ถ้า Ample Rich เป็น "ฝรั่งหัวดำ" ปั่นหุ้น SHIN มาตลอดจริง ก็ต้องเรียกว่า "น่าเกลียดสุดขั้ว" แน่นอน
(ตอน หุ้นชิน "สรรพากร" ตีความผิดเจตนารมณ์ -----------------------------------------------------
ถาม-ตอบ ประเด็นเกี่ยวกับภาระทางภาษี
ประเด็นที่เกี่ยวกับภาระทางภาษีของผู้ขายหุ้นในดีลนี้ ค่อนข้างซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพราะหุ้น SHIN ส่วนใหญ่ที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ นำมาขายให้กับ Temasek นั้นเป็นหุ้น "โบราณ" ที่คนในครอบครัวได้รับโอนหรือซื้อในราคาพาร์ (10 บาท หรือ 1 บาท หลังแตกพาร์แล้ว)
จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภรรยา ช่วงระหว่างปี 2542-2543 ก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนั้นหลายฝ่ายก็ตั้ง "ข้อกังขา" หลายประการเกี่ยวกับพฤติกรรม "เลือกปฏิบัติ" ของกรมสรรพากร เพราะสรรพากรออกมาชี้แจงอย่างออกนอกหน้าว่า รายการเหล่านี้ไม่เสียภาษี ทั้งๆ ที่คนไทยคนอื่นถูกเก็บภาษีกรณีเดียวกันนี้มาโดยตลอด
แต่ตอนนั้นกระแส "ไทยรักไทยฟีเวอร์" กำลังแรง แรงจนไม่ค่อยมีใครสนใจกับข้อกังขาเหล่านี้ หรือคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจเข้าข่าย "การใช้อำนาจโดยมิชอบ" ของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร
หลายปีผ่านไป ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ เอาหุ้นเดียวกันนี้ไปขายให้กับ Temasek ในราคา "กำไรเห็นๆ" คือหุ้นละ 49.25 บาท สูงกว่าราคารับซื้อหรือโอนที่ 1 บาท ถึง 4,925%
เพราะหุ้น SHIN ที่นำมาขายนั้นมี "ที่มาที่ไป" หลายทาง หลายช่วงเวลา การทำความเข้าใจว่า รายการขายหุ้นตรงไหน ส่วนไหน "ต้องเสียภาษี" ตามกฎหมาย จึงต้องค่อยๆ ใช้เวลาไล่เลียงลำดับเหตุการณ์ เส้นทางของหุ้นทั้งหมดก่อน อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่า หุ้นทั้งหมดนั้นไม่ต้องเสียภาษีเลยเพราะเป็นการ "ขายผ่านตลาด" โดยไม่จำเป็นต้องดูที่มาที่ไปของหุ้นนั้นๆ
เส้นทางของหุ้น SHIN ที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ นำมาขายให้กับ Temasek และภาระทางภาษีของผู้ขายหรือโอนหุ้นในแต่ละทอดนั้น
(ดูตารางประกอบ เส้นทึบแสดงรายการที่ผู้ขายหรือโอนมีภาระภาษี "เส้นประ" แสดงรายการที่ผู้ขายหรือโอนไม่มีภาระภาษี จำนวน และวันที่แสดงจำนวนหุ้น และวันที่ขายหรือโอน)
การซื้อขายหุ้นในไทยจะยกเว้นภาษีเงินได้เพียงกรณีเดียว คือ การซื้อขายหุ้นของบุคคลธรรมดาในตลาดหลักทรัพย์ ถ้านอกเหนือจากกรณีนี้ ต้องเสียภาษีทั้งหมด แต่อย่างไรก็ดี ต้องเน้นว่าตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและหลักเหตุผลทั่วๆ ไป (common sense) นั้น หุ้นอะไรที่กรมสรรพากรเคย "ตีความ" ว่าเป็นทรัพย์สินประเภทอื่นที่พึงประเมินเงินได้เพื่อการเสียภาษีแล้วไซร้ (เช่น เป็นหลักทรัพย์ที่ให้โอนเสน่หา ตาม "ธรรมจรรยา") ก็ต้องจัดว่าเป็นประเภทนั้นตลอดไป ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งสรรพากรนึกอยากตีความหุ้นนั้นว่าเป็น "หุ้น" ก็ดี แล้วอีก 4 ปี มาบอกว่าหุ้นจำนวนนั้นเป็น "หลักทรัพย์" ไม่ได้ ไม่มีเหตุผล ไม่มีสรรพากรที่ไหนเขาทำกัน
21) หุ้นที่โอน/ขายใน ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ระหว่างปี 42-45 ต้องเสียภาษีหรือไม่?
เอาละ ถ้าคุณคิดว่าคุณกล้าพอที่จะทำความเข้าใจกับกฎหมายภาษีอันวกวนน่าเวียนหัว เชิญอ่านบางตอนจากบทความเรื่อง "ตีความเอื้ออาทร? ว่าด้วยเรื่องส่วนต่างราคาหุ้น กับการเสียภาษี" โดยนักข่าวหัวเห็ดคนเดิมคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์
(ก่อนปี 2544) ผู้ที่เคยซื้อหุ้นราคาพาร์เพียงหุ้นละ 1 บาท จาก พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน ได้แก่ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่บุญธรรม คุณหญิงพจมาน จำนวน 268 ล้านหุ้น (แตกพาร์แล้ว) นายพานทองแท้ ชินวัตร 733 ล้านหุ้น, นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 20 ล้านหุ้น หรือแม้แต่ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นต่อมาจาก นายพานทองแท้ 367 ล้านหุ้น
ตอนนั้นก็เกิดคำถามคล้ายกับตอนนี้ คือ การซื้อหุ้นมาในราคา 1 บาท จะต้องเสียภาษี "ส่วนต่าง" ระหว่างราคาหุ้นที่ซื้อ กับราคาตลาดหรือไม่
เมื่อปรากฏเป็นข่าวอื้อฉาวขึ้นมา กรมสรรพากรได้ยืนยันหลายครั้งว่า การซื้อขายหุ้นกันระหว่างเครือญาติชินวัตร ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดนั้น ไม่ต้องเสียภาษีดังนี้
ครั้งแรก นายวิชัย จึงรักเกียรติ รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร (นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงการคลัง) ทำหนังสือ ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2545 (ที่ กค.0811/6312) ระบุว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าว ถือไม่ได้ว่า ผู้ซื้อได้รับประโยชน์จากการโอนหุ้นซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (4) (ช) ตามประมวลรัษฎากร เนื่องจากยังมิได้ก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้ซื้อแต่ประการใด จนกว่าผู้ซื้อจะได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินที่ลงทุน
ต่อมา เมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักบัญชีหุ้น บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ ซื้อจากบิดาในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท มีส่วนต่างประมาณ 55,000 บาท ปรากฏว่าถูกกรมสรรพากรคำนวณเป็นภาษีเงินได้ จึงมีการร้องเรียนว่า กรมสรรพากรเลือกปฏิบัติ ไม่ยอมเก็บภาษี "ส่วนต่าง" ราคาหุ้น SHIN ทำให้นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลัง ชี้แจงในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ว่าเป็นความผิดพลาดและเข้าใจผิดกรมสรรพากรพร้อมที่จะคืนเงินภาษีที่เก็บไปจากนายเรืองไกรไป นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กรมสรรพากรคืนเงินให้ผู้เสียภาษีโดยผู้เสียภาษีมิได้ขอคืน
ครั้งที่สอง บันทึกคำให้การของนายเรืองไกร (ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2548) ที่นายพิชเยนทร์ กองทอง นิติกร 8 กรมสรรพากรเขียนขึ้นระบุว่า สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นผลประโยชน์จากการซื้อหุ้น ยังคงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี เพราะเงินได้ในส่วนนี้ยังมิได้มีการก่อให้เกิดรายได้ต่อท่าน (นายเรืองไกร) ท่านจะเสียภาษีเงินได้ในส่วนนี้ก็ต่อเมื่อ ท่านได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินที่ลงทุน ทั้งนี้ ตามมาตรา 40 (4) (ช)
ครั้งที่สาม นายสุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 3 ทำหนังสือ ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2548 (ที่ กค.0709.03 (ภค.)/12123) ถึงนายเรืองไกร เรื่องแจ้งคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2546 โดยระบุว่า ในกรณีดังกล่าว ยังไม่อาจถือได้ว่าท่านมีเงินได้พึงประเมินเพราะเป็นเพียงขั้นลงทุน หาใช่ผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินลงทุน ตามมาตรา 40 (4) (ช) ท่าน (นายเรืองไกร) จึงยังคงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับตัวเลขผลประโยชน์จากการซื้อหุ้น จนกว่าท่านจะได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้ เกินกว่าเงินลงทุน
สรุปแล้วทั้ง 3 ครั้ง กรมสรรพากรยืนยันว่า การที่บุคคลธรรมดาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ยังไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นจาก "ส่วนต่าง" ราคาดังกล่าว จนกว่าบุคคลผู้นั้นจะขายหุ้นออกไปในราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมา จึงจะนำ "ส่วนต่าง" ดังกล่าวมาคำนวณภาษี ซึ่งคำวินิจฉัยของกรมสรรพากรนั้น ใช้ทั้งกับกรณีนายเรืองไกร ที่ซื้อหุ้นมาจากบิดามูลค่ากว่า 50,000 บาท หรือกรณีครอบครัวชินวัตร ซื้อหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท (ราคาหุ้น SHIN หุ้นละ 1 บาท)
ดังนั้น นายเรืองไกร ขายหุ้นไปได้กำไร 50,000 บาท ก็ต้องนำ "ส่วนต่าง" 50,000 บาท ดังกล่าวมาคำนวณเป็นภาษีเงินได้ประจำปี
เช่นเดียวกับถ้าครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ นำหุ้น SHIN ที่ซื้อมาในราคาหุ้นละ 1 บาท ไปขายให้ Temasek ได้ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท เป็นเงินรวมเกือบ 70,000 ล้านบาท หรือมีส่วนต่างกว่า 60,000 ล้านบาท ก็ต้องนำ "ส่วนต่าง" กว่า 60,000 ล้านบาท ไปคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี ซึ่งแน่นอนว่าต้องเสียภาษีสูงสุด 37% ซึ่งเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท
การที่ทั้ง นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางไพฑูรย์ เกสร รองอธิบดีกรมสรรพากร รีบออกมารับหน้าว่า การขายหุ้น SHIN ของครอบครัวชินวัตรให้ Temasek ครั้งนี้ ไม่ต้องเสียภาษีใน "ส่วนต่าง" ที่เกิดขึ้น (จากที่ซื้อมาราคาหุ้นละ 1 บาท) ด้วยเหตุผลเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้ว
ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นการรักษาผลประโยชน์ของใครกันแน่ และให้ดูกันต่อไปว่า จะมีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลัง รายใดจะได้รับการปูนบำเหน็จเหมือนที่ผ่านๆ มา
แต่ดูเหมือนว่า กรมสรรพากรจะยังไม่แน่ใจว่าจะปิดช่องการเสียภาษีของการซื้อขายหุ้นชินหมดหรือยัง จึงมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งลงวันที่ 29 ธันวาคม 2548 (ที่ กค.0709.31/18325 ลงนามโดยนางจิตรมณี สุวรรณพูล สรรพากร ภาค 1 ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร) ชี้แจงเรื่องนี้ต่อนายเรืองไกรซึ่งเป็นการพลิกคำวินิจฉัยเดิมทั้งหมดว่า การซื้อขายทรัพย์สิน (หุ้น) ราคาต่ำกว่าราคาตลาด "ส่วนต่าง" ดังกล่าว ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 ของประมวลรัษฎากรตั้งแต่ต้น
หนังสือดังกล่าวพยายามอธิบายว่า การซื้อทรัพย์สินโดยปกติจะมีราคาตลาดสำหรับซื้อทรัพย์สินนั้น โดยราคาตลาดจะมีหลายราคา หากเป็นการซื้อเพื่อนำไปใช้เองหรือเป็นผู้บริโภค ผู้ซื้อจะซื้อตามราคาของผู้ขายปลีก หากเป็นการซื้อเพื่อนำไปขายซึ่งต้องซื้อเป็นจำนวนมาก ผู้ซื้อจะต้องซื้อในราคาต่ำโดยอาจซื้อราคาตลาดที่เป็นของผู้ผลิตหรือผู้ขายส่ง
ดังนั้น ทรัพย์สินชนิดเดียวกัน อาจมีราคาซื้อแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานะของผู้ซื้อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปของการซื้อขายตามมาตรา 453 แห่ง ป.พ.พ.
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ราคาซื้อดังกล่าวถูกกว่าราคาตลาด เช่น การส่งเสริมการขาย สินค้าตกรุ่นเลหลังสินค้า เลิกกิจการ ขายทอดตลาด ความพอใจ ความสัมพันธ์ส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อันเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปตามมาตรา 453 ป.พ.พ.
"การซื้อทรัพย์สินในลักษณะดังกล่าว จะเป็นเรื่องของทุนซึ่งกระทบต่อจำนวนเงินของผู้ซื้อที่มีอยู่ ทั้งจำนวนเงินที่เหลืออยู่ และที่ได้จ่ายไป ดังนั้น ไม่ว่าการซื้อทรัพย์สินผู้ซื้อจะซื้อตามราคาตลาดหรือซื้อในราคาถูกกว่าตลาด ผู้ซื้อต้องเสียเงินสำหรับการซื้อขายจำนวนมากน้อยตามราคาที่ตกลงกัน...การที่ ซื้อทรัพย์สินราคาถูกจะทำให้เหลือเงินมากกว่าซื้อทรัพย์สินในราคาปกติ เงินที่เหลือดังกล่าวไม่ว่าจะเหลือมากน้อยเท่าใด ก็เป็นเงินของผู้ซื้อเอง เป็นเรื่องของทุน มิใช่เงินที่ผู้ซื้อได้รับหรือเข้าลักษณะเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับจาก ผู้อื่นแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลข้างต้น การซื้อทรัพย์สินในราคาถูก ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ อันเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 เช่นเดียวกับส่วนลดปกติ และส่วนลดพิเศษที่จะลดให้ทันที เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าตามเกณฑ์ที่กำหนด" หนังสือของกรมสรรพากรระบุ
จากนั้นสรุปว่า กรณีของนายเรืองไกรซึ่งซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จากบิดาต่ำกว่าราคาตลาดที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เป็นการซื้อขายทรัพย์สินกันระหว่างนายเรืองไกรกับบิดา ซึ่งเป็นการซื้อขายอันเป็นเรื่องปกติในทางการค้า ส่วนราคาที่ตกลงซื้อขายกันต่ำกว่าราคาตลาด ผู้ขายและผู้ซื้อมีสิทธิตกลงกันได้โดยผู้ซื้อต้องใช้ราคาทรัพย์สินตามที่ตกลงกันนั้นตามมาตรา 453 แห่ง ป.พ.พ.
"ดังนั้น กรณีท่าน (นายเรืองไกร) ซึ่งเป็นผู้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาตลาด ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ อันเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 ตามเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น" หนังสือระบุ
จากคำชี้แจงดังกล่าวสรุปได้ว่า การซื้อขายหุ้นต่ำกว่า ราคาตลาด "ส่วนต่าง" ที่เกิดขึ้น มิได้เป็นผลประโยชน์ที่ได้รับมาตั้งแต่ต้น จึงไม่เข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินมาตั้งแต่ต้น เพราะเป็นการซื้อขายทรัพย์สินตามปกติ โดยมีเงื่อนไข เช่น ความสัมพันธ์ส่วนตัว ความพอใจ ดังนั้นต่อไปไม่ว่า ผู้ซื้อจะขายหุ้นนั้นไปในราคาสูงเท่าใด ก็ไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นจาก "ส่วนต่าง" มาตั้งแต่ต้น
เป็นการพลิกแนวคำวินิจฉัย 3 ครั้งแรก ที่ระบุว่า ถ้าขายหุ้นไปแล้วมีกำไร เกิด "ส่วนต่าง" เกินกว่าที่ได้ลงทุน (ซื้อมา) ต้องเสียภาษี "ส่วนต่าง" ดังกล่าว
การที่กรมสรรพากรเปลี่ยนคำวินิจฉัยดังกล่าวแบบกลับหลังหันช่างสอดคล้องกับห้วงเวลาการขายหุ้นชิน ให้กับ Temasek มูลค่าเกือบ 70,000 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างกว่า 60,000 ล้านบาท
เป็นการปิดทางเรียกร้องมิให้เก็บภาษี "ส่วนต่าง" ดังกล่าวกว่า 25,000 ล้านบาท !!
ชัดเจนว่า สรรพากรต้องพลิกลิ้นโดยอ้างหลักการของ "กฎหมายทั่วไป" คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งโดยธรรมชาติเป็นกฎหมายที่ "กว้าง" และเปิดให้ตีความได้หลายแง่ แทนที่จะอ้างกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับการคำนวณภาษี คือ ประมวลรัษฎากร เพราะในประมวลรัษฎากรนั้นมีข้อความชัดเจนเกี่ยวกับรายได้พึงประเมิน ซึ่งก็เป็นข้อกฎหมายที่สรรพากรใช้เรียกเก็บภาษีจากประชาชนคนไทยมาตลอด รวมทั้งคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ด้วย
สรุปว่า ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อน "ดีลประวัติศาสตร์" อยู่ดีๆ กรมสรรพากรก็เลิกอ้างอิงประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการประเมินภาษีที่เคยใช้ตลอดมา กลับไปอ้างกฎหมายทั่วไป ซึ่งกว้างกว่าและคลุมเครือกว่าโดยธรรมชาติ เพียงเพื่อต้องการสร้าง "ความชอบธรรม" ให้กับคำตอบที่สนองความต้องการของคนสี่คนในครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์
ถ้าการพลิกลิ้นครั้งนี้กลายเป็นบรรทัดฐานในการเก็บภาษี ประเทศชาติจะสูญเสียรายได้ปีละมหาศาลในปีต่อๆ ไป เพราะการซื้อขายในราคา "ต่ำกว่าราคาตลาด" นั้น เป็นเทคนิคการเลี่ยงภาษีที่นักธุรกิจทุกคนรู้ดี
เป็นการพลิกลิ้นแบบ "จับแพะชนแกะ" ที่มีราคาแพงยิ่งนัก !
ความถูกต้องทางกฎหมาย : กรมสรรพากรตีความแบบผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย - พลิกลิ้น เลือกปฏิบัติขนาดนี้ แปลว่าสรรพากรอยากตะแบงหาข้อกฎหมายที่ทำให้อ้างได้ว่า "ไม่ต้องเสียภาษี"
คงไม่มีใครแปลกใจ ถ้าในภายภาคหน้ากรมสรรพากรจะเลิกอ้างข้อกฎหมายแพ่ง กลับไปอ้างประมวลรัษฎากรเหมือนเดิม หลังจากที่ดีลนี้เสร็จสิ้นลงอย่างเรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร
ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ไร้ยางอาย" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
(ตอน 9) ผ่าปมยูบีเอสขายหุ้นชิน "179 บาท" --------------------------------------------------
20) การซื้อหุ้น SHIN 10 ล้านหุ้น ของ UBS ในปี 2544 ราคา 179 บาท ผิดกฎหมายหรือไม่?
ประเด็นนี้เกี่ยวเนื่องกับประเด็นที่แล้วที่ผู้เขียนอธิบายว่า ระหว่างเดือนพฤษภาคม และเดือนสิงหาคม 2547 Ample Rich สัญชาติ BVI โอนหุ้น SHIN ทั้งหมดที่ตนถือ คือ 229.2 ล้านหุ้น ให้กับ UBS โดยไปไว้ในบัญชีชื่อ "UBS AG SINGAPORE BRANCH-PB SECURITIES CLIENTS" โดย ดร.สุวรรณ อ้างว่า UBS เป็นเพียงผู้ดูแลหุ้น (คัสโตเดียน หรือ custodian) ให้กับ Ample Rich เท่านั้น
ปรากฏว่า ในแบบรายงานการได้มา 246-2 ที่ UBS ยื่นต่อก.ล.ต. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2544 นั้น UBS แจ้งว่าได้ซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 179 บาท ตรงนี้ชัดเจนว่าเป็นการซื้อหุ้น SHIN มาจาก Ample Rich สัญชาติอังกฤษ
และชัดเจนว่า UBS กระทำการนี้ในฐานะโบรกเกอร์ (นายหน้าค้าหลักทรัพย์) เพราะคัสโตเดียนเป็นเพียงผู้รับฝากหุ้นให้กับลูกค้า ไม่มีอำนาจเคาะซื้อหรือเคาะขายหุ้นใดๆ ทั้งสิ้น
ดังนี้ ก.ล.ต.จะต้องตรวจสอบว่า UBS มีฐานะเป็นเพียงคัสโตเดียนของ Ample Rich จริงหรือไม่ และเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะหลักฐานต่างๆ ส่อให้เห็นว่า UBS อาจไม่ได้เป็นแค่คัสโตเดียนเท่านั้น หากเป็น "โบรกเกอร์ส่วนตัว" ที่ทำหน้าที่ซื้อขายหุ้น SHIN ให้กับเจ้าของ Ample Rich ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
รายการมูลค่า 1,790 ล้านบาท รายการเดียวนี้ (10 ล้านหุ้น คูณด้วยราคาหุ้นละ 179 บาท) อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ ตั้งแต่เรื่องการรายงานการได้มาตามมาตรา 246 ในพ.ร.บ.หลักทรัพย์ กฎหมาย insider trading กฎหมายภาษี รวมทั้งกฎหมายฟอกเงินด้วย
ความถูกต้องทางกฎหมาย อาจจะผิดกฎหมาย -ถ้า ก.ล.ต.มีหลักฐานชัดเจนว่า UBS เป็นโบรกเกอร์ซื้อหุ้น SHIN ของ Ample Rich สัญชาติอังกฤษ โดยทำตามคำสั่งของเจ้าของ Ample Rich นั้น กรณีนี้เข้าข่ายเป็นการ "ปั่นหุ้น" เพราะคนขายกับคนซื้อจริงๆ แล้วเป็นบุคคลเดียวกัน (เหมือนโยกเงินจากกระเป๋าซ้าย มาใส่กระเป๋าขวา) นอกจากนี้ การขายหุ้นที่ราคา 179 บาท จากราคาเดิมที่นายกฯ โอนไปที่พาร์ คือ 10 บาท ก็ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 70 ประมวลรัษฎากร และ ปปง. และธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ควรเข้ามาตรวจสอบเส้นทางของเงินด้วย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ก.ล.ต.มีข้อมูลการซื้อขายหุ้น SHIN ของ Ample Rich ย้อนหลังละเอียดขนาดไหน และเมื่อไหร่ผู้จัดการของนายพานทองแท้ จะยื่นหลักฐานต่อก.ล.ต.เสียที
ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย
(ตอน 10) ขายหุ้น "แอมเพิล ริช" ส่วนต่างต้องเสียภาษี ----------------------
22) หุ้น SHIN ส่วนที่ Ample Rich ขายให้พานทองแท้ และพิณทองทา ในราคา 1 บาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ต้องเสียภาษีหรือไม่?
รายการซื้อขายหุ้นที่วิเคราะห์ในประเด็นนี้ คือ รายการที่ Ample Rich ขายหุ้น SHIN ให้กับพานทองแท้ และพิณทองทา ชินวัตร ที่ราคา 1 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 20 มกราคม 2549
เมื่อตัวแทนนายพานทองแท้ ออกมายอมรับผิดว่า รายการซื้อหุ้นจาก Ample Rich ที่ตอนแรกกาเครื่องหมายว่าเป็นการทำรายการ "ผ่านตลาด" นั้น จริงๆ แล้ว "ติ๊กผิด" เพราะเอาเข้าจริง รายการนี้เกิดขึ้นนอกตลาดหลักทรัพย์
เป็นอีกหนึ่งรายการ "บกพร่องโดยสุจริต" ที่บังเอิ๊ญ บังเอิญมีแนวโน้มที่จะช่วยประหยัดภาษีให้ตระกูลได้อีกหลายร้อยล้านบาท
เมื่อรายการนี้เกิดขึ้นนอกตลาด ก็เกิดคำถามทันทีว่า ทำไมหุ้น SHIN ที่ Ample Rich ซึ่งเป็นเพียงบริษัทนอมินีของนายพานทองแท้ ขายในราคา 1 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด (ราคาปิดหุ้น SHIN วันที่ 20 มกราคม 2549 อยู่ที่ 47.25 บาท) จึงไม่ต้องนำมาคำนวณภาษี??
ทั้งๆ ที่ประมวลรัษฎากร ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สรรพากรอย่างเต็มที่ในการใช้ "ราคาตลาด" ของสินทรัพย์ในการประเมินภาษีเงินได้ เพราะการ "ขายในราคาต่ำกว่าทุน" นั้นเป็นหนึ่งในเทคนิคการหลบเลี่ยงภาษีที่โบราณที่สุดในโลก
และสถานภาพการจดทะเบียนของ Ample Rich ใน BVI ก็ไม่ใช่ข้ออ้าง เพราะเป็นบริษัทของคนไทย 100% แถมสิ่งที่ขายนั้นยังเป็นหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลท. คือ SHIN
เพราะประมวลรัษฎากร มาตรา 70 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "บริษัทนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ให้บริษัทนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวัน นับแต่สิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น"
ในประเด็นนี้ ทนายความอาชีพ คุณสุวัตร อภัยศักดิ์ เขียนอธิบายในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ไว้อย่างชัดเจนดังต่อไปนี้
"การที่แอมเพิล ริช ขายหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 48 บาท เป็นการเลี่ยงภาษีอย่างชัดแจ้ง ต้องถือว่าส่วนต่างของราคาขายกับราคาที่แท้จริง เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้ และบุตรชายนายกรัฐมนตรีผู้ซื้อหุ้นซึ่งอยู่ในประเทศไทย มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายส่งกรมสรรพากรแทนแอมเพิล ริช ซึ่งอยู่ต่างประเทศ
ถ้าหากจะตีความหลีกเลี่ยงภาษีอีกว่า แอมเพิล ริช ขายหุ้นในราคาเท่าทุนจึงไม่มีกำไร ตามที่ ดร.สุวรรณ กล่าวอ้าง ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่าใครได้ประโยชน์หรือกำไรจากการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ซึ่งจะเห็นได้ชัดแจ้งว่าขณะที่บุตรชายนายกรัฐมนตรีรับโอนหุ้น 300 กว่าล้านหุ้น ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท ทั้งๆ ที่ราคาซื้อขายที่แท้จริงในตลาดหลักทรัพย์มีราคาถึงหุ้นละเกือบ 50 บาท ย่อมถือได้ว่า ในขณะที่มีการรับโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวในราคาหุ้นละ 1 บาทนั้น บุตรชายนายกรัฐมนตรีได้รับประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น ซึ่งสามารถคำนวณได้เป็นเงินเท่ากับส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาที่ซื้อขายกัน ในตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ได้รับโอนหุ้น
จำนวนเงินส่วนต่างดังกล่าวจึงเป็นเป็นได้พึงประเมินที่จะต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ที่บัญญัติไว้ว่า " "เงินได้พึงประเมิน" ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ประกอบกับมาตรา 40 (
"
แนวทางการตีความข้างต้นเคยมีคำวินิจฉัยที่ 28/2538 ของคณะกรรมการประเมินภาษี และหนังสือของอธิบดีกรมสรรพากรที่ตอบข้อหารือของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความเห็นตรงกันว่า ผู้รับโอนหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้จากผลประโยชน์ส่วนต่างของราคาขายกับราคาตลาดดังกล่าว
เมื่อกรมสรรพากรมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้พึงประเมิน จึงต้องเรียกเก็บภาษี และค่าปรับจากบุตรชายนายกรัฐมนตรีให้ครบถ้วน เพราะไม่มีกฎหมายยกเว้นภาษีให้แก่ผู้รับโอนหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีเงินได้พึงประเมิน และต้องตรวจสอบการหลีกเลี่ยงภาษีย้อนหลังไปถึงการโอนหุ้นระหว่างคนในครอบครัวชินวัตรกรณีซุกหุ้นรอบแรกเสียด้วย
กรมสรรพากรต้องไม่ตีความกฎหมายภาษีอากรให้เลือกปฏิบัติเป็น 2 มาตรฐาน เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บุคคลในครอบครัวชินวัตร โดยไม่เรียกเก็บภาษีที่จะต้องชำระ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
หากมีข้อสงสัยประการใด ก็ควรให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีไปฟ้องร้องต่อศาลภาษีอากรหลางให้วินิจฉัยชี้ขาดคดี
กรณีข้างต้นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า หากนักกฎหมายไม่ได้นำวิชาความรู้ทางกฎหมายไปใช้อย่างตรงไปตรงมา ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ และจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม
นักกฎหมายที่ดีย่อมทราบว่า กฎหมายมีเจตนารมณ์คุ้มครองเฉพาะบุคคลที่กระทำการโดยสุจริตเท่านั้น กฎหมายจะไม่คุ้มครองบุคคลที่ไม่สุจริต และไม่มีคำว่า "บกพร่องโดยสุจริต" ในกฎหมายฉบับใด ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ"
กรมสรรพากรไทย ไม่เคยน้อยหน้าสรรพากรอื่นใดในโลก ในการ "ไล่บี้" ทุกคนให้มาจ่ายภาษีตรงนี้ โดยมักจะคิดรายได้ในการคำนวณภาษี จาก "ราคาตลาด" ของสิ่งที่ขายออกไปเป็นเกณฑ์ ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อกันไม่ให้มีความพยายามหลีกเลี่ยงภาษีในการทำธุรกรรม ยกตัวอย่างเช่น เวลามีการซื้อขายที่ดิน สรรพากรจะไม่ประเมินภาษีจากราคาซื้อขายจริงอย่างเดียว แต่จะเทียบกับราคาประเมินกลางที่หน่วยงานราชการทำขึ้นประกอบอีกด้วย
ขนาดที่ดินที่หาราคาตลาดได้ยาก เนื่องจากว่าที่ดินผืนหนึ่งๆ ไม่มีการซื้อขายกันบ่อย กรมสรรพากรยังอุตส่าห์สามารถหาราคาอื่นมาใช้เป็นบรรทัดฐานเปรียบเทียบ เพื่อกันไม่ให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างฉ้อฉล เพื่อหลบเลี่ยงภาษี
นับประสาอะไรกับหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์อย่างหุ้น SHIN ที่มีการซื้อขายคล่องและมีราคาตลาดที่ชัดเจน ซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหาที่สรรพากรจะหาราคาตลาดมาเทียบ เพื่อดูว่าพอมีการซื้อปุ๊บ หากราคาขาย (1 บาท) ต่ำกว่าราคาตลาด (47.25 บาท) ก็สามารถนำส่วนต่างมาเทียบคิดภาษีได้ทันที
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นตรงกันข้าม กรมสรรพากร "เข้าข้าง" ครอบครัวชินวัตร อย่างออกนอกหน้า พลิกลิ้นพลิกตำรา ตะแบงตีความข้อกฎหมายให้ประกาศว่างานนี้ "ไม่เสียภาษี"
หากเรายอมให้สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นบรรทัดฐาน จะทำให้ในอนาคต ใครที่อยากเลี่ยงภาษีก็ทำธุรกรรมที่ฉ้อฉล แสดงใบเสร็จที่โชว์ว่าขายของทุกอย่างต่ำกว่าราคาทุน แล้วสรรพากรก็ไม่สามารถจะเรียกเก็บภาษีได้ เพราะว่าการซื้อขายเป็นไปตามราคาที่ไม่มีกำไร ใครจะโกงภาษีก็โกงได้ แล้วภาษีก็จะกลายเป็นเพียงสิ่งที่คนไม่มีเงินต้องจ่าย ในขณะที่คนรวยสามารถหาวิธีการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีได้
สิ่งที่ผู้เขียนรับไม่ได้คือความจริงที่ปรากฏว่า กรมสรรพากรออกมายืนยันในทันทีว่า การซื้อขายหุ้น SHIN ไม่มีภาระภาษี ไม่มีแม้กระทั่งส่งคนเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมนี้ ทั้งๆ ที่อาจจะเก็บเงินภาษีได้เพิ่มขึ้นหลายร้อยล้านบาท หรืออย่างน้อยก็เข้าไปสอดส่องว่ามีอะไรที่เป็นปัญหาหรือเปล่า
ในขณะที่กรมสรรพากรที่พวกเราประชาชนชาวไทยรู้จัก มีความสามารถเหลือเกินในการส่งคนเข้าไปตรวจนับเงิน และข่มขู่ผู้ประกอบการรายย่อยให้เสียภาษี แม้จะต้องนั่งนับชามก๋วยเตี๋ยวก็เอา
ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดกฎหมาย - เนื่องจากการขายหุ้นในข้อนี้ไม่ได้ทำในตลาด สรรพากรจึงหาข้อตะแบงยืนยันว่า "ถูกกฎหมาย" ได้ ยากกว่าข้อ 18) ข้างต้น
ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ไร้ยางอาย" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
( ตอนจบ) ชินคอร์ป สะท้อนพฤติกรรม"ทักษิณ"---------------------------------------------------------------
23) หุ้นที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายในตลาดหลักทรัพย์ให้กับ Temasek ไม่ต้องเสียภาษีจริงหรือ?
รายการซื้อขายหุ้นที่วิเคราะห์ในประเด็นนี้ คือ รายการที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายหุ้น SHIN ให้กับ Temasek ในวันที่ 23 มกราคม 2549
เนื่องจากหุ้น SHIN ทั้งหมดที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายให้กับ Temasek ในวันที่ 23 มกราคม 2549 เป็นหุ้นที่ "เคาะขาย" กันในตลาดหลักทรัพย์ และผู้ขายหุ้นทั้ง 4 ราย เป็นบุคคลธรรมดา จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 23 ในกฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ซึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่า "เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมมาคำนวณภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42(17) ในประมวลรัษฎากร
แต่การยกเว้นภาษีในกรณีนี้ ต้องยกเว้นหุ้น 45 ล้านหุ้น ที่คุณหญิงพจมานโอนให้กับบรรณพจน์ ดามาพงศ์ "โดยเสน่หา" เมื่อปี 2540
อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่าการยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายหุ้นในตลาดนั้น สะท้อนเจตนารมณ์รัฐในการส่งเสริมให้นักลงทุนมา "เล่นหุ้น" ในตลาดหลักทรัพย์ คือ ซื้อขายหุ้น "บนกระดาน" ตามราคาตลาด คือ ราคาหุ้นที่เสนอซื้อหรือเสนอขาย ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่นักลงทุนทุกคนมีสิทธิซื้อขายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใคร ใครอยากขายหุ้นที่ราคาสูงกว่าราคาตลาด ณ ตอนนั้น ก็ต้องต่อแถวรอคิวตามกฎ
ฉะนั้น การขายหุ้นจำนวนเป็นพันล้านหุ้น ที่ตกลงราคากันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายนอกตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้วไป "เคาะขาย" ระหว่างกันในตลาดหลักทรัพย์ (ที่แวดวงการเงินเรียกกันว่า "big lot crossing") แบบที่นักลงทุนรายอื่นไม่มีสิทธิแย่งซื้อหรือขาย จึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายในการยกเว้นภาษีข้อนี้
ในประเด็นนี้ ทนายความอาชีพคนเดิม คุณสุวัตร อภัยศักดิ์ มีมุมมองที่ตรงกับผู้เขียน ดังอธิบายในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549
"....หากเป็นนักกฎหมายที่มีจิตใจรักความเป็นธรรม และมีจิตวิญญาณรับใช้สังคมแล้ว ควรจะต้องพิจารณาตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะเห็นได้ว่ากฎหมายยกเว้นภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะกรณีที่ผู้ซื้อ และผู้ขายได้เข้าไปแสดงความจำนงตกลงซื้อขายหุ้นโดยวิธีการซื้อขายตามปกติในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น
มิได้ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ขายที่ไปทำความตกลงซื้อขายหุ้นกับนอกตลาดหลักทรัพย์ แล้วใช้วิธีการแยบยลโอนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยการสมรู้กัน อันเป็นการซื้อขายที่มิได้มีเจตนากระทำในตลาดหุ้นตามปกติ และเป็นธรรมแก่ผู้ซื้อและผู้ขายรายอื่น
จึงต้องถือว่า การซื้อขายหุ้นรายนี้เป็นการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์
เพราะวิธีการดังกล่าวทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายรายอื่นๆ ไม่มีสิทธิซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวได้อย่างเท่าเทียม และเป็นธรรมเท่ากับผู้ซื้อชาวต่างชาติที่แอบไปทำสัญญาซื้อขายหุ้นจำนวนมากมหาศาลนอกตลาดหลักทรัพย์ (แต่เชื่อว่าคนวงในตลาดหลักทรัพย์น่าจะทราบข้อมูลดี)"
ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกกฎหมายแต่ผิดเจตนารมณ์ - การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยบุคคลธรรมดา ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมาย แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นการขายแบบ "เตี๊ยม" กันนอกตลาดระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แล้วมาเคาะขายกันในตลาด ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายก็ตาม
ต้องยอมรับว่า การทำ big lot crossing เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนั้น เป็นสิ่งที่ทำกันแพร่หลายมาช้านานในตลาดหุ้น จนเป็นพฤติกรรมที่สุดแสนจะ "ธรรมดา" ในวงการไปแล้ว ดังนั้น หากเราจะบังคับให้นักลงทุนทำตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเรื่องนี้ ให้รัดกุมและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่อนุญาตให้การทำ big lot crossing รวมเป็นหนึ่งในธุรกรรมที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดเป็นปกติ" - ด้วยเหตุผลเดียวกับประเด็น "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ข้างต้น
24) หุ้นที่โอนให้เปล่า "โดยเสน่หา" เมื่อปี 2540 ให้กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ แล้วเป็นส่วนที่นายบรรณพจน์ นำมาขายต่อให้กับ Temasek ต้องเสียภาษีหรือไม่?
ถ้าท่านผู้อ่านยังจำกันได้ เมื่อ พ.ศ.2540-2544 มีการโอนหุ้นในหมู่ญาติพี่น้องทั้งสองตระกูลหลายครั้ง ซึ่งมีอยู่ตรงนั้นที่เป็นการโอนหุ้นให้เปล่า โดยอาศัยหลักธรรมจรรยา เมื่อคุณหญิงพจมาน โอนหุ้น SHIN จำนวน 4.5 ล้านหุ้น (หรือเทียบกับ 45 ล้านหุ้น ในปัจจุบันภายหลังจากการแตกพาร์แล้ว) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 ให้กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
ซึ่งการโอนในครั้งนั้น กรมสรรพากรได้ตีความโดยอาศัยความตามมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นมาตราที่ระบุยกเว้นถึงเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ โดยระบุไว้ว่า "เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา เงินได้ที่ได้รับจากการรับมรดก หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี" ไม่ต้องนำไปคิดรวมกับเงินได้ที่ต้องเสียภาษี
อย่างไรก็ดี อาจารย์สุวรรณ วลัยเสถียร ปรมาจารย์แห่งกฎหมายภาษี ผู้ผันกายมาช่วยนักธุรกิจที่โด่งดังหลายคน อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เลี่ยง...เอ๊ย! "บริหาร" ภาษีของกิจการหมื่นล้านต่างๆ เคยได้ให้อรรถาธิบายในเรื่องนี้ไว้ว่า "การที่พี่ชายโอนทรัพย์สินให้น้องชาย ผู้รับต้องเสียภาษี เพราะถือว่าเป็นมรดกที่ได้มาโดยเสน่หา ต้องนำมาแสดงรายการเสียภาษีและคุณก็ไม่มีต้นทุนด้วย หากรับโอนมา 100,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีเต็มจำนวนจากอัตราที่ใช้บังคับ" และก็เป็นธรรมเนียมบรรทัดฐานที่ปฏิบัติกันมาโอนตลอดว่ากรมสรรพากรจะเรียกเก็บภาษีของทรัพย์สินที่ให้โดยธรรมจรรยา
ในขณะนั้นหุ้น SHIN มีมูลค่าประมาณ 140 บาท มูลค่าทางตลาดของหุ้นที่โอนให้นายบรรณพจน์รวมทั้งสิ้นประมาณ 630 ล้านบาท ถ้าหากเราคิดว่านายบรรณพจน์เสียภาษีในระดับภาษีที่สูงที่สุดอยู่แล้ว (37%) ก็เท่ากับว่าหุ้นที่รับมา ณ วันนั้นต้องเสียภาษีรวมทั้งสิ้น 233.1 ล้านบาท
แต่ปรากฏว่า วันนั้นกรมสรรพากรกลับลำ ไม่นำบรรทัดฐานที่เคยปฏิบัติมาใช้ โดยอ้างมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากร วันนั้นประเทศชาติสูญเสียรายได้ไปกว่า 233 ล้านบาท
แต่สรรพากรก็บอกทิ้งทวนไว้ว่า หากขายหุ้นส่วนนี้เมื่อไหร่ก็ต้องชำระภาษี
ทีนี้มาวันที่ 23 มกราคม 2548 เมื่อครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์จะขายหุ้น SHIN ให้ Temasek ก็ทำให้ประเด็นทางภาษีในอดีตตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้งหนึ่ง
ถ้าเรามาดูว่าหุ้น 4.5 ล้านหุ้น ซึ่งกลายเป็น 45 ล้านหุ้น ไปแล้ว ต้องเสียภาษีหรือไม่ ก่อนอื่นขอให้ผู้อ่านพิจารณาข้อความต่อไปนี้ซึ่งคัดลอกมาจากประกาศกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2509 ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมประเภทเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี โดยข้อ (17) ได้เพิ่มเติมรายการนี้เข้ามา เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ที่ตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา หรือการปกครองท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ ทั้งนี้ เฉพาะเงินได้จากการขายในส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น
จะเห็นได้ชัดว่ามีการตั้งจำกัดวงเงินที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปคิดภาษีเงินได้ ขอตั้งข้อสังเกตว่าถึงแม้ตัวบริษัท SHIN นั้นน่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์เสียเป็นส่วนใหญ่ และน่าจะอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ด้วย แต่ใบหุ้นของ SHIN นั้นเป็นสังหาริมทรัพย์แน่นอน เคลื่อนย้ายได้ เอาไปฝากในตู้เซฟที่ธนาคารใน สวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ เพราะฉะนั้นน่าจะอ้างได้ว่าใบหุ้นนั้นอยู่ "นอกเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา หรือการปกครองท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ" และต้องเสียภาษีเงินได้
ซึ่งจะมีผลได้ว่าการขายหุ้นของนายบรรณพจน์ ในครั้งนี้นั้น เข้าข่ายการขายสินทรัพย์ที่ได้มาด้วยเสน่หาและต้องนำรายได้ส่วนที่เกิน 200,000 บาทไปคิดหักภาษีเงินได้ คิดเป็นมูลค่าเงินได้คือ 45 ล้านหุ้น คูณ 49.25 บาท ลบด้วย 200,000 หรือประมาณ 2,216 ล้านบาท ถ้าคิดอัตราภาษีที่ 37% เท่าเดิมก็จะเป็นเงินภาษี ทั้งสิ้น 819.92 ล้านบาท
แต่กรมสรรพากรออกมารับประกันเสียแล้วว่า ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากว่าเป็นการขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ดังนั้น หุ้นที่เคยถูกตีกรอบ นิยามไว้แล้วว่าเป็น "เงินได้จากการให้โดยเสน่หา" จึงถูกพลิกแพลง ผ่านกระบวนการ "จับแพะชนแกะ" อันแยบยลของกรมสรรพากรให้กลายเป็น "หุ้นที่บุคคลธรรมดาขายในตลาดหลักทรัพย์" ไปด้วยประการฉะนี้
ความถูกต้องทางกฎหมาย กรมสรรพากรตีความแบบผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย - การพลิกลิ้น และเลือกปฏิบัติขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าสรรพากรอยากตะแบงหาข้อกฎหมายที่ทำให้อ้างได้ว่า "ไม่ต้องเสียภาษี"
ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" - หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ไร้ยางอาย" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
25) พฤติกรรมของนายกฯ ในเรื่องนี้ เหมาะสมแล้วหรือไม่?
อันนี้คุณต้องตอบเอง หวังว่าบทความนี้ของเราได้ช่วยทำหน้าที่ให้คุณ "ใช้เหตุผล" แยกแยะประเด็นต่างๆ ออก เพียงพอที่จะตอบคำถามข้อนี้