ลุงแคนเป็นอะไรของลุงน่ะครับ...งง...มีปัญหาอะไรกับคนใต้หรือเปล่า
หรือไม่ได้อย่างใจกับคนอีสานด้วยกันก็เลยมาลงกับคนใต้
แบบนี้มันไม่สมกับเป็นลุงเลยนะครับ
จริงๆแล้วไม่ว่าภาษาไทยลาว ไทยกลาง หรือไทยใต้ มันก็คือไทยเหมือนกันน่ะแหละ
เพียงแต่ความ "เดิม" ที่ผมหมายถึงก็คือมีความเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด
ไม่ได้หมายความว่าใครจะเป็นไทยน้อยไปกว่าใคร เข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่าครับ??
ส่วนภาษาไทยที่ผมพูดถึง หมายถึงตระกูลภาษาหนึ่ง ตามความหมายเชิงวิชาการ
ไม่ได้มีความหมายทางการเมืองนะครับ ภาษาไทยก็ส่วนหนึ่ง คำว่าอาณาจักรสยาม ล้านนา ล้านช้าง
ประเทศไทย ประเทศลาว มันเป็นเรื่องของการเมือง ไม่ใช่เรื่องของภาษา
อย่างๆถ้าจะนับกันจริงๆตามปัจจุบัน ไทยอาหมก็เป็นคนอินเดีย ไม่ใช่คนไทย ไทยใหญ่ก็เป็นคนพม่า
ตอนกรุงแตกครั้งที่สอง มีบันทึกว่าพวกแรกที่ข้ามกำแพงเข้าไปลุยกับทหารอยุธยา
บนกำแพงก็พวกเงี้ยวหรือไทยใหญ่นี่แหละ
ภาษาไทยก็มีภาษาถิ่นมากมาย แม้แต่ภาษาใต้หรือภาษาอีสานเองก็มีเยอะแยะ
ในภาษาไทยอาหมเองก็มีภาษาไทยย่อยๆอีกเกือบสิบภาษา ในบางภาษามีอะไรแปลกๆ
อย่างเสียงห-หีบ เพี้ยนเป็นร-เรือหมดก็มี หรือภาษาใต้เอง คนนครหรือพัทลุงก็ไม่มีเสียง ง-งูในหน่วยเสียง
หรือคำศัพท์หลายๆคำก็ต่างกัน ผมรับรองได้ว่าภาษาใต้ไม่มีคำว่า "กระด้อกระเดี้ย" แน่นอน
แต่ลักษณะร่วมของภาษาไทยก็คือเป็นภาษาคำโดด ไม่มีวิภัติปัจจัย
ถึงแม้ตัวภาษาถิ่นจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ลักษณะร่วมนี้ก็ไม่เปลี่ยน
แม้ปัจจุบันเอง คำศัพท์พื้นฐานของไทยเหนือ ไทยใต้ ไทยอีสานหลายตัวก็ยังตรงกันอยู่
บางคำภาษากลางก็เอามารวมกันเป็นคำผสม อย่างพบปะ เสื่อสาด ฯลฯ
ส่วนภาษาไทยอาหมที่อ.บรรจบเค้าตามไปเก็บมา สาเหตุที่มันไม่เปลี่ยนแปลงอีก
ก็เพราะภาษามันตายสนิทไปแล้ว ภาษามันก็ไม่เปลี่ยนแปลงอีก
และคนไทยที่อพยพขึ้นไปที่นั่นมันนานก่อนที่จะเกิดแคว้นล้านนา ล้านช้าง
ในเมื่อภาษามันตรงกัน ก็เป็นไปได้ที่ความเป็นออริจินัลจะเหมือนกัน
ยิ่งดูตำแหน่งของภาคใต้ที่ไม่มีการเคลื่อนย้ายประชากรจำนวนมาก
อย่างกรุงศรีฯ หรือกรุงเทพฯ การผสมผสานประชากรก็น้อย ก็แน่ใจได้ว่าภาษาที่ใช้อยู่จะดั้งเดิมมากกว่า
อีกอย่าง ผมก็ตามรอยเสียงเหน่อของคนภาคกลางลงไปทางใต้
ก็ไปเจอรอยต่อตรงที่มันหายแถวกาญจน์ ประจวบ จริงๆ
หรือไปเปิดดูหนังสือพวกจินดามณ๊ ทำไมถึงต้องผันวรรณยุกติ์ ขา ข่า ข้า - คา ค่า ค้า
ทำไมไม่เป็น คา ค่า ค้า ค๊า ค๋า ให้สิ้นเรื่องล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะอิทธิพลของภาษาดั้งเดิม
และวรรณยุกต์ตรีกับจัตวาก็เป็นวรรณยุกต์แปลกปลอม เพราะมีใช้แค่เฉพาะอักษรกลาง
แล้วอักษรกลางเสียงตรีกับจัตวาก็ไม่มีคำไทยแท้ๆอยู่เลย แสดงว่าเป็นอะไรที่เพิ่มเข้าไปทีหลัง
บทประพันธ์ดั้งเดิมของไทยก็มีแต่โคลงกับร่าย พวกฉันท์ที่เป็นครุ
ลหุก็เพิ่งจะมีทีหลัง แสดงว่าสระเสียงสั้น คำเป็นคำตายก็เป็นของใหม่สำหรับคนไทย
หรือเสียงวรรณยุกต์ ก็เป็นของหายากในภาษาทั่วโลก มีชัดๆก็ภาษาตระกูลไทย กับภาษาจีน
ภาษาตระกูลอื่นอย่างอินโดยูโรเปียนก็ไม่มี การที่มีการเพิ่มวรรณยุกต์รูปแบบใหม่ๆในภาษา
ก็แสดงว่ามีหน่วยเสียงใหม่เพิ่มขึ้นมา อย่างตัวอักษร ท ธ ฒ เหล่านี้ก็เป็นเสียงใหม่ที่เรารับมา
แต่ไม่มีปัญญาออกเสียง มันก็ทิ้งร่องรอยให้เห็นในภาษาว่าของเดิมมันเป็นคนละเสียงกัน
ภาษาเหนือ หรือภาษาอีสาน คนสมัยนี้ต่างก็คุ้นเคยดีอยู่ แล้วก็น่าจะรู้กันอยู่ดีแล้ว
ว่ามีลักษณะเฉพาะตัวตรงไหน อย่างหน่วยเสียงร กลายเป็น ฮ หรือภาษาเหนือที่ไม่มีเสียงระเบิดลม
อย่างเสียง ท เป็น ต ก็รู้กันอยู่ และอีกอย่าง สิ่งที่ทำให้เสียงควบกล้ำร ล หายไปจากภาษา
ของคนยุคใหม่ นอกจากอิทธิพลของคนเชื้อจีนแล้ว คนเหนือ คนอีสานที่อยู่ในระบบการศึกษา
ก็มีส่วน เพราะเป็นหน่วยเสียงที่ไม่เคยมีในภาษามาก่อน แล้วเราก็รู้ว่าประวัติศาสตร์ไทยเหนือ
กับไทยใต้เป็นอะไรที่แยกสายกันชัดเจน ของล้านนาเองก็มีประวัติศาสตร์ของตัวเอง รูปแบบการปกครองของตัวเอง
ผมไม่ได้งมโข่งอยู่แค่หนังสือของกรมพระยาดำรงฯ หรอกนะ
ส่วนล้านช้างเองก็มีประวัติศาสตร์ตัวเองเหมือนกัน
ผมก็อยากอ่านโคลงท้าวฮุ่ง ท้าวเจืองอยู่หรอก แต่เค้าดันขายซะแพงเชียว ถ้าจำไม่ผิด ท้าวเจืองเค้าแผ่อำนาจ
ลงไปทางพวกจามพวกเขมรไม่ใช่เหรอ ไม่เกี่ยวกับไทยใต้สักหน่อย แล้วคำว่าเมืองเหนือของสยามสมัยอยุธยาตอนต้นน่ะ
มันไปสุดแค่พิษณุโลกเองนะ อย่างประวัติศาสตร์ก่อนหน้าสุโขทัยก็มีตั้งหลายเวอร์ชั่น จะเอาเวอร์ชั่นไหนล่ะ
หรือถ้าใครอยากตามรอยภาษาตระกูลไทย-ลาว ก็ต้องขึ้นไปแถวสิบสองปันนา สิบสองจุไทยตอนใต้ของจีน ก็จะไปเจอ
คนที่ใช้ภาษาตระกูลไทยสาขาไทย-ลาวตกค้างอยู่ที่นั่นจริงๆ แสดงว่าภาษาตระกูลไทยดั้งเดิม กับภาษาไทย-ลาว ที่เป็นสาขาหนึ่งของภาษาไทย
มีการแยกสายกันค่อนข้างจะนานแล้ว และเป็นการขึ้นไป แล้วกลับลงมา ส่วนพวกไทยอาหมนั้นขึ้นไปแล้ว
ตั้งอาณาจักรได้ก็เลยค้างเติ่งอยู่ที่นั่น
หนังสือคำขอม ลาว ไทย อะไรนั่นของจิตร ภูมิศักดิ์ผมก็อ่านน่ะ เมื่อก่อนเคยชอบมาก
แต่ตอนนี้ผมกลับมองว่าจิตรก็เหมือนอ.นิธิน่ะแหละ ที่ชอบมองอะไรด้านเดียว
เอะอะก็จะให้เป็นปัญหาชนชั้นไปหมด คำก็ศักดินา สองคำก็กดขี่ เหมือนพยายามจะยัดอูฐผ่านรูเข็ม
หลังๆก็เลยเลิกอ่านไปเลย เพราะผมไม่เชื่อหรอกว่าในระหว่างชนชั้น จะไม่มีการพึ่งพิง เอื้อผลประโยชน์
สมยอมอยู่ในตัว หรือผลประโยชน์ระหว่างกันอยุ่ แต่สาเหตุที่สังคมมันเปลี่ยน เกิดการปฏิวัติปฏิรูป
ก็แค่เพราะปัจจัยเปลี่ยนแล้ว เอื้อผลประโยชน์ต่อกันไม่ได้แล้ว ดันมีคนพยายามยื้อยุดไม่ให้เปลี่ยน
มันก็ต้องสู้กัน มันก็แค่นั้น
ส่วนประวัติศาสตร์ไทยนั้น ก็อย่างที่คุณว่า เราจะนับคนไทยด้วยอะไรล่ะ
ด้วยคนที่พูดภาษาไทยอย่างเดียว หรือคนหลายชาติหลายภาษาที่มาอยู่ร่วมกันในพื้นที่เดียวกัน
ต่อสู้เอาตัวรอดร่วมกัน เอาแค่คำจำกัดความแค่นี้ก็ลำบากแล้ว
เอาแค่ประวัติศาสตร์ไทยก็มีไม่รู้กี่เวอร์ชั่น จะเชื่อใครล่ะ จะอ่านงานใครดี
กรมพระยาดำรงค์ หรือสุจิตต์ วงเทศก์ หรือจิตต์ ภูมิศักดิ์ ฯลฯ
ยังมีบันทึกโจวต้ากวน มีของบาดหลวงตาซาร์ด บลาๆๆ
แค่นี้ก็จะสำลักข้อมูลตายแล้ว ผมแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในมิติเวลานั้นๆก็พอ
เรืองวิเคราะห์น่ะ แต่ละสายแต่ละความคิดก็วิเคราะห์ไปร้อยแปดพันอย่างตามวิสัยมนุษย์นั่นแหละ
แต่ผมไม่ได้มองคำว่า ชาติไทย หรือประเทศไทย ในแง่ลบอย่างหลายๆคนหรอกนะ เพราะส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์
คำๆนี้ก็ช่วยปกป้องคนในขอบเขตแผ่นดินที่เรียกว่าไทยให้พ้นหายนะมาหลายครั้งแล้ว การจะรีบโยนมันทิ้งไปตอนนี้
ผมว่ามันเร็วไป และโง่พอๆกับแม่กวางในนิทานอีสปที่พอพรานพ้นตาไปก็กินเถาวัลย์ซะหมดจนโดนยิงตายหรอก
คนที่ยุให้โยนคำว่าไทยทิ้งตอนนี้ ก็มีแต่พวกหัวก้าวหน้าซื่อบื้อที่โดนทุนฝรั่งข้ามชาติหลอกให้รื้อรั้วตัวเอง
แล้วก็โดนล้วงตับ ล้วงทรัพยากรง่ายๆโดยรัฐได้แต่มองตาปริบๆ มันก็แค่กลยุทธตื้นๆของ
พวกล่าอาณานิคมแอบแฝงน่ะแหละ คนที่พูดถ้าไม่โง่ก็ต้องมีเอี่ยวด้วย คำว่าชาติไทย มันก็เหมือนคำว่าผีปู่ ผีย่า ผีทุ่งผีเถื่อน
เจ้าป่าเจ้าเขา ที่ครั้งหนึ่งเราเคยรื้อทิ้งหาว่าล้าสมัย แล้วป่าก็โดนตัดจน***น ลูกหลานเรา
ฟรีเซ็กส์กันซะจนเละเทะ เพราะเราโยนเครื่องมือเก่าทิ้งไปทั้งๆที่ไม่คิดหาเครื่องมือใหม่มาทดแทน
... มันก็ความโง่แบบเดิมๆของคนไทยน่ะแหละ
ชักจะร้อนขึ้นมามั่งแล้วแฮะ...
