ต้องระมัดระวัง อย่าให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาฉกฉวยโอกาส

แค่ย่างเท้าออกจากพรรค ไปสังเกตการณ์ที่สนามหลวง ทุกเย็นวันอาทิตย์ ท่านก็จะรู้จักประชาชนคนไทยผู้รักประชาธิปไตยดีกว่าผู้คนเผ่าพันธุ์เดียวกับท่านที่อัดแน่นอยู่ในโลกใต้กะลาใบที่ชื่อว่า ประชาธิปัตย์
ผู้คนที่กล้าจะยืนกรำแดดกรำฝนทุกเย็นวันอาทิตย์ ที่ท้องสนามหลวง โดยไม่เกรงกลัวต่อสายตาและกล้องบันทึกภาพของหน่วยข่าว ตลอดจนกำลังตำรวจ ทหาร และเทศกิจ ที่ยืนรายล้อมด้วยแววตาหาเรื่อง ก็เพราะต้องการส่งความรักและกำลังใจไปให้นายกฯทักษิณ นั่นเอง
หากจะข้องเกี่ยวกันอยู่บ้าง ก็เพราะพวกเขาเลือกข้างนายกฯทักษิณ ชินวัตร และ ลงคะ แนนให้พรรคไทยรักไทย เนื่องจากเป็นนักการเมืองและพรรคการเมือง ที่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย ไม่รับใช้เผด็จการ เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ เห็นดีงามเห็นดี เป็นปี่เป็นขลุ่ยสอดรับกับคณะรัฐประหาร ดังที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในขณะนี้
"เอาดีใส่ตัว ชั่วให้คนอื่น" คือสันดาน ขอโทษ ไม่สุภาพ คือ สัญชาตญาณติดตัวสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทุกคน รวมทั้งคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ที่ลุ่มหลงกับพรรคการเมืองพรรคนี้ มาแต่เยาว์วัย
จึงไม่แปลกใจแก่ผมเลย ที่ได้ยินคุณอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า การพูดจาความในใจของอดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถูกคณะรัฐประ หาร ปล้นอำนาจไปจากมือ แสดงความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมือง ที่ไม่เป็นประชาธิป ไตย เป็นการไม่หวังดีต่อประเทศชาติ และประชาชน มีเจตนาก่อความวุ่นวายให้บ้าน เมืองไม่สงบ ในสายตาของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แม้แต่ การแสดงความห่วงใยประเทศชาติ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ยังถูกมองด้วยสายตา "เอาดีใส่ตัว ชั่วให้คนอื่น" จึงไม่ต้องนึกถึงกันอีกแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์ และ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความจริงใจต่อการต่อสู้ การเรียกร้อง ระบอบประชาธิปไตย กลับ คืนสู่ปวงชนชาวไทย หรือไม่
ก็ไม่แปลกใจอีกนั่นล่ะ เพราะย้อนอดีต 60 กว่าขวบปีที่ผ่านมาของพรรคประชาธิปัตย์เราจะไม่เคยเห็นพรรคประชาธิปัตย์ ต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย สักครั้งเดียว
การต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ ตลอดอายุของพรรคที่ผ่านมา คือ การต่อสู้ทางการ เมือง กับคู่แข่งขันทางการเมือง เพื่อช่วงชิงที่จะครอบครองอำนาจรัฐ เท่านั้น
เป็นการต่อสู้ของพรรคการเมือง และนักการเมือง ตามกระบวนการทางการเมือง โดยไม่ใส่ใจว่าเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ขอเพียงบรรลุเป้าหมายทางการเมืองของพรรค เท่านั้น
14 ตุลาคม 2516 พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมต่อสู้กับนิสิตนักศึกษา ประชาชนหรือไม่
คำตอบคือ ไม่
6 ตุลาคม 2519 พรรคประชาธิปัตย์ ปกป้องการเข่นฆ่านักศึกษาผู้รักประชาธิปไตย หรือไม่
คำตอบคือ ไม่
17 พฤษภาคม 2535 พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมต่อสู้กับประชาชน โค่นล้มเผด็จการรสช. หรือไม่
คำตอบคือ ไม่
19 กันยายน 2549 พรรคประชาธิปัตย์ ต่อต้านการยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ ปล้นอธิปไตยของปวงชนชาวไทย หรือไม่
คำตอบคือ ไม่
ตรงกันข้ามกับเหตุการณ์เหล่านี้
พรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ยาวนานถึง 8 ปี
พรรคประชาธิปัตย์ ต้อนรับผู้ก่อการกบฎเข้าเป็นสมาชิก และยกย่องให้ดำรงตำแหน่งสำคัญของพรรค อาทิ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี
พรรคประชาธิปัตย์ ฉีกสัญญาประชาคม "นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง" ทั้งๆ ที่ได้คะแนนสูงสุด แต่ นายพิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรค เป็นได้แค่รองนายกรัฐมนตรี เพราะยอมสยบใต้อำนาจทหาร ยกพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ไม่เคยลงเลือกตั้ง เป็นนายกรัฐมน ตรี แทน
พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาให้ร้ายประชาชนที่ร่วมต่อสู้โค่นล้มเผด็จการ รสช. เป็นพวกอนาธิปไตย ไม่ใช่ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปัตย์ เสนอคืนเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ ให้แก่เผด็จการทหารที่เข่นฆ่าประชาชนในเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตย วันที่ 14 ตุลาคม 2516
พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชอำนาจ ตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งไม่เป็นไปตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งก็คือ การเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำผิดกฎหมายนั่นเอง
ข้อเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชอำนาจ ตามมาตรา 7 ของพรรคประชาธิปัตย นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ว่า "มาตรา 7 นั้นไม่ได้หมายถึง ให้มอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจ ที่จะทำอะไรตามชอบใจ ไม่ใช่ มาตรา 7นั้น พูดถึงการปกครอง แบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่า ให้พระมหา กษัตริย์ตัดสิน ใจ ทำได้ทุกอย่าง ถ้าทำเขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ ทำเกินหน้าที่ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน ไม่เคยทำเกินหน้าที่ ถ้าทำเกินหน้าที่ ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย"
พรรคประชาธิปัตย์ คือผู้นำการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย ด้วยการบอยคอตการเลือกตั้งปี 2549 เพราะกลัวพ่ายแพ้เลือกตั้ง และ สนับสนุน สนธิ ลิ้มทองกุล ขับไล่นายกฯ เปิดสวนลุมพินี และสนามหลวง ให้สนธิ ลิ้มทองกุล ใช้ก่อม็อบ และส่งสมาชิกพรรคขึ้นอภิปรายบนเวทีขับไล่นายกฯทักษิณ อย่างต่อเนื่อง จนเป็นเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหาร และ ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
พรรคประชาธิปัตย์ ทำลายพรรคการเมืองอื่น ได้แก่พรรคประชากรไทย ด้วยการใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีล่อใจสมาชิกพรรค ให้ฉีกมติพรรค ที่สนับสนุนพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ให้มาสนับสนุนนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี
พรรคประชาธิปัตย์ คือต้นแบบการนำเอกสารเท็จอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐ มนตรี ในสภาผู้แทนราษฎร สร้างความเสื่อมเสียให้แก่การเมืองไทย และเป็นต้นแบบความไม่มีจริยธรรม ไม่มีคุณธรรม ของนักการเมืองรุ่นปัจจุบันของพรรค ที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย แม้แต่การโกหก และกระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องทำ
พรรคประชาธิปัตย์ คือต้นแบบการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย ด้วยการแก้ไขหลัก เกณฑ์การออกเอกสารสิทธิสปก.4-01 เพื่อให้สมาชิกและพวกพ้องได้รับประโยชน์จากการบุกรุกที่ดินของรัฐ ฟอกตัวผู้กระทำความผิด ให้เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ทำความดีแก่ประเทศ เช่นกรณี สปก.4-01 ที่จังหวัดภูเก็ต
พรรคประชาธิปัตย์ โดยนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เป็นผู้กราบทูลฯ ให้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายรักเกียรติ สุขธนะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และต่อมานายรักเกียรติ ประพฤติผิดร้ายแรงขณะเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ถูกศาลสั่งจำคุก แต่นายชวน ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล
นอกจากการนำพวงหรีดไปวางที่อนุสาวรีย์นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกับประชาชน มาก่อน แม้แต่ครั้งเดียว มิหนำซ้ำ ยังกล่าวหาให้ร้ายประชาชนที่ร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกด้วย
เพราะอยู่ท่ามกลางวงล้อมของประวัติศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลสำคัญของพรรคที่มีส่วนร่วมในการสร้างประวัติศาสตร์อันแปดเปื้อน ให้แก่การเมืองไทย เช่นนี้กระมัง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้รับถ่ายทอดแนวทางการ เมืองแบบประชาธิปัตย์ มาเต็มรูปแบบ
มุมมองที่เห็นว่าการแสดงความห่วงใยต่อประเทศชาติ ในภาวะที่ขาดประชาธิปไตย เป็นการสร้างความวุ่นวาย และมีเจตนาร้ายต่อประเทศชาติ จึงเป็นมุมมองที่ไม่น่าประหลาดใจ
แต่เป็นมุมมองที่พวกเรา ประชาชนทุกคนที่กำลังต่อสู้เพื่อทวงประชาธิปไตย กลับคืนมาสู่ประเทศไทยอีกครั้ง ต้องระมัดระวัง อย่าให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาฉกฉวยโอกาส และเสวยสุขกับประชาธิปไตย ที่พวกเรากำลังต่อสู้ ทวงคืน อีกครั้ง
อย่าให้ซ้ำร้อยกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่พรรคประชาธิปัตย์ ชี้หน้ากล่าวหาพวกเรา เป็น อนาธิปไตย แล้วก็เหยียบหัววีรชนเดือนพฤษภา ขึ้นไปเสวยสุขถือครองอำนาจรัฐ แบบชุบมือเปิบ ไม่เคยร่วมต่อสู้กับประชาชนสักครั้งเดียว