ค้าข้าวตะลึงบริษัทห้องแถว หอบ300 ล.ซื้อ" เพรซิเดนท์อะกริ "
ส่งหาเพื่อน ปริศนาสหพัฒน์ทิ้งหุ้นเพรซิเดนท์ อะกริฯ 61% แฉขบวนการเชิดบริษัทห้องแถว ออกหน้าซื้อหุ้น 300 ล้านบาท วงการค้าข้าวเชื่อเป็นแค่ "นอมินี" ของทุนการเมืองยักษ์ "ประชาชาติธุรกิจ" บุกสำรวจสำนักงานใหญ่บริษัทจัสมิน เซอร์เวย์ฯ เป็นร้านขายข้าวเล็กๆ ทุนจดทะเบียนแค่ 1 ล้าน ผลประกอบการขาดทุนตลอด 3 ปี ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเงินมาซื้อหุ้นบริษัทยักษ์ค้าข้าว
"ประชาชาติธุรกิจ" ได้นำเสนอข่าวความมหัศจรรย์ของบริษัทค้าข้าวที่ชื่อบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่มุมของบริษัทค้าข้าวที่ก้าวขึ้นมาสู่หมายเลข 1 ในวงการส่งออกข้าวอย่างรวดเร็วในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เฉพาะปีนี้บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯได้ส่งออกข้าวไปแล้วถึง 1.2 ล้านตัน ท่ามกลางความเคลือบแคลงของเพื่อนร่วมวงการค้าข้าว "สงสัย" ว่า เพรซิเดนท์ อะกริฯสามารถทำได้จริงๆ หรือจากกรณีอื้อฉาว "ข้าวลม" ที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทอยู่ในปัจจุบัน แต่จากความสามารถที่เหนือชั้นและสายสัมพันธ์ในทางการเมืองที่แนบแน่น ประกอบกับมีบุคคลระดับรัฐมนตรีออกมาคอยแก้ต่างให้ ส่งผลให้บริษัทเพซิเดนท์ อะกริฯประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างสูง ดังเห็นได้จากรายได้และผลกำไรที่โตแบบพรวดๆ จนใครๆ ในวงการต่างเชื่อกันว่า บริษัทแห่งนี้มีอนาคตที่สดใส
จากการตรวจสอบ "ประชาชาติธุรกิจ" พบว่าผลประกอบการของเพรซิเดนท์ อะกริฯ ช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พบว่า ปี 2544 อันเป็นปีแรกที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ พบว่าบริษัทมีรายได้ 5,511.7 ล้านบาท มีกำไร 68 ล้าน ปีถัดมา 2545 บริษัทมีรายได้ 7,600.9 ล้านบาท มีกำไร 79 ล้านบาท ล่าสุดปี 2546 บริษัทมีรายได้ 8,594 ล้านบาท ทำกำไรเพิ่มเป็น 87 ล้านบาท ตัวเลขแห่งความมั่งคั่งและมั่นคง เปรียบเทียบกับบริษัทในธุรกิจเดียวกันหลายบริษัทแล้ว ถือว่า ดีเยี่ยม เกรด AA
แม้ว่าการเติบโตแบบพรวดพราดของ เพรซิเดนท์ อะกริฯ จะถูกจับตามองจากฝ่ายตรวจสอบอย่างพรรคประชาธิปัตย์และวุฒิสภาอย่างเข้มข้น ดังเห็นได้จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเนื้อหาการอภิปรายได้พาดพิงไปถึง บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ นับจากการขายข้าวผ่าน "บูล็อก" ตัวแทนค้าของอินโดนีเซียจนมาถึงการประมูลข้าวลอตใหญ่ 1.7 ล้านตัน ของกระทรวงพาณิชย์ที่บริษัทนี้ได้ไปคนเดียว และแม้ว่าฝ่ายค้านจะพยายามโยงสายสัมพันธ์ระหว่างนายวัฒนา เมืองสุข กับนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร กรรมการบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ แต่ที่สุดเรื่องก็เงียบหายไปเฉยๆ ถัดมา 2 เดือน นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ได้บริจาคเงินสนับสนุนพรรคไทยรักไทย 1 ล้านบาท ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า จะเป็นการตอบแทนเชิงนโยบายหรือไม่ แต่เรื่องแปลกๆ ที่แฝงปริศนาเกี่ยวกับเพรซิเดนท์ อะกริฯ ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จู่ๆ กลุ่มสหพัฒน์ที่ถือหุ้นใหญ่อยู่ในเพรซิเดนท์ อะกริฯ ได้ประกาศขายหุ้น 61 เปอร์เซ็นต์ (เพรซิเดนท์ไรซ์โปรดักส์ 51% ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ 10%) ให้แก่บริษัท จัสมิน เซอร์เวย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทเล็กๆ ที่มีทุนจดทะเบียนเพียงแค่ 1 ล้านบาท
เหตุผลของเพรซิเดนท์ไรซ์โปรดักส์ที่ชี้แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการขายหุ้นเพรซิเดนท์ อะกริฯ จำนวน 51% ก็คือ ธุรกิจพืชผลทางการเกษตรมีราคาผันผวนโดยธรรมชาติ มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และมีกำไรน้อยมาก อย่างไรก็ตาม พิจารณาจากผลประกอบการของเพรซิเดนท์ อะกริฯ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าเหตุผลไม่ค่อยสอดคล้องกันเท่าใดนัก
ปัญหาที่น่าคิดคือ ขนาดบริษัทในเครือสหพัฒน์ยังไม่กล้าแบกรับความเสี่ยงของ เพรซิเดนท์ อะกริฯ แล้วเหตุไฉนบริษัทที่ตั้งอยู่ในตึกแถวเล็กๆ จะมีเงินมาซื้อหุ้น เพรซิเดนท์ อะกริฯต่อจากกลุ่มสหพัฒน์ ซึ่งคำนวณคร่าวๆ แล้ว กลางเดือนธันวาคมศกนี้ จัสมินฯจะต้องหาเงินมากกว่า 300 ล้านบาทไปซื้อหุ้น เพรซิเดนท์ อะกริฯ
เมื่อสอบถามคนในวงการค้าข้าว ส่วนใหญ่ยืนยันกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จัสมินฯเป็นแค่บริษัทที่ถูกเชิดโดยยักษ์ใหญ่ทุนหนาระดับชาติ แต่ใครกันที่อยู่เบื้องหลังการเทกโอเวอร์ เพรซิเดนท์ อะกริฯ ในดีลที่มีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่ผู้บริหารของเครือสหพัฒน์ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพรซิเดนท์ อะกริฯ โตเกินกว่าที่สหพัฒน์จะควบคุมได้ และสหพัฒน์ไม่ต้อง การให้งบดุลของบริษัทในเครือมีหมายเหตุยืดยาว อันเป็นปัญหาจากระบบบัญชีที่สลับซับซ้อน ฉะนั้น เพื่อภาพลักษณ์ขององค์กรที่มุ่งเน้นเรื่องบรรษัทภิบาล ทำให้สหพัฒน์ ตัดสินใจขายหุ้นเพรซิเดนท์ อะกริฯ ออกไป
อย่างไรก็ตาม เพื่อพิสูจน์ว่า บริษัทจัสมินฯอาจเป็นแค่ตัวแทนของกลุ่มทุนใหญ่ ผู้สื่อข่าว "ประชา ชาติธุรกิจ" ได้ตามไปพิสูจน์สำนักงานใหญ่ของจัสมินฯ 197/8 หมู่ 5 ถ.เพชรเกษม แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ พบว่าเป็นร้านค้าข้าวเล็กๆ นอกจากนี้ บ้านเลขที่นี้ยังใช้เป็นที่จดทะเบียนตั้ง หจก. ส.มนสิทธิ์เทรดดิ้ง (ธุรกิจรับเหมา) และบริษัท ล รัตนสิน แมชชินเนอรี่ (ขายเครื่องจักร) และเมื่อสอบถามลูกจ้างภายในร้านก็ได้คำตอบว่า ไม่รู้จักกรรมการบริษัทจัสมินฯ แม้แต่คนเดียว (อ่านรายงานพิเศษ หน้า 20 ) เมื่อตรวจสอบผลประกอบการของบริษัท จัสมินฯ ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัทจัสมินฯขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2544 ขาดทุน 8,650 บาท ปี 2545 ขาดทุน 3,000 บาท และปี 2546 ขาดทุน 4,000 บาท
แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดแกนนำรัฐบาล เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หากรัฐบาลไทยรักไทยบริหารนโยบายข้าวได้อย่างเหมาะสม นอกจากจะได้ฐานเสียงจากชาวนาทั่วประเทศหลายสิบล้านเสียงแล้ว ที่สำคัญต้องอย่าลืมว่า ธุรกิจค้าข้าววันนี้มีมูลค่านับหมื่นล้านต่อปี มีอนาคตมากกว่าธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำไป เพราะอย่างไรเสีย คนก็ต้องกินข้าววันละ 3 มื้อ
ส่วนสถานการณ์ล่าสุดในเรื่องของการส่งออก "ข้าวลม" ภายหลังจากที่นายปราโมทย์ วานิชานนท์ ในฐานะกรรมการนโยบายข้าว ได้ทำหนังสือเรื่อง "ปัญหาตัวเลขการส่งออกข้าว" ที่มีความ คลาดเคลื่อนกันอยู่ประมาณ 200,000 ตัน ถึงนายพินิจ จารุสมบัติ ประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ขอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนั้น
ล่าสุดผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงาน คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจพาณิชย์และอุตสาห กรรม ได้จัดประชุมเรื่องดังกล่าวในวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ โดยกรรมาธิการซึ่งมีนายอนันต์ ดาโลดม เป็นประธาน ได้เชิญตัวแทนผู้เกี่ยวข้องจากกรมการค้าต่างประเทศ-กรมศุลกากร-สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ ขาดเพียงตัวแทนสมาคมโรงสีข้าวไทย ซึ่งเป็นผู้ร้องเรียนเข้าประชุม
โดยนายอนันต์กล่าวว่า ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเกิดกรณีวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปริมาณการส่งออกข้าวกว่า 280,000 ตัน ของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ซึ่งนายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีคำสั่งให้กรมการค้าภายในตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นที่ประชุมกรรมาธิการในวันนี้จึงมีการนำตัวเลขการส่งออกข้าวรวมทั่วประเทศของกรมศุลกากรมาเปรียบเทียบกับตัวเลขของคณะกรรมการตรวจข้าว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และตัวเลขของสำนักงานมาตรฐานสินค้า กรมการค้าต่างประเทศ ปรากฏว่าตัวเลขการส่งออกข้าวของกรมศุลกากรในปี 2545 มีการส่งออก 7,327,025.46 ตัน ปี 2546 ประมาณ 7,342,788.56 ตัน และ 10 เดือนแรกของปี 2547 มีการส่งออกข้าว 8,142,459.34 ตัน ส่วนตัวเลขของสภาหอการค้า กับสำนักงานมาตรฐานสินค้า กรมการค้าต่างประเทศ ปี 2545 ส่งออกข้าวประมาณ 7,208,381.60 ตัน ปี 2546 ประมาณ 7,572,599.28 ตัน และ 10 เดือนของปี 2547 ส่งออกข้าวประมาณ 8,309,433.8 ตัน
โดยมีข้อน่าสังเกตว่า ตัวเลขการส่งออกข้าวจากหน่วยงานทั้ง 3 ไม่ตรงกัน มีส่วนต่างเฉลี่ยประมาณ 100,000-200,000 ตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีที่กำลังมีปัญหา "ข้าวลม" ขณะนี้คือ 10 เดือนแรกของปี 2547 มีส่วนต่างกันอยู่ประมาณ 160,000 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 1.6 ด้านผู้แทนของกรมศุลกากรกล่าวว่า ทางกรมศุลกากรได้ตรวจสอบตัวเลขการส่งออกข้าวประจำปี 2545-2546 และช่วง 10 เดือนของปี 2547 ตามที่ได้รับหนังสือแจ้งมา ซึ่งเป็นตัวเลขการส่งออกจริงที่ได้รับการยอมรับตามระบบสากล พบว่าตัวเลขการส่งออกข้าวจากกรมการค้าต่างประเทศ-สภาหอการค้าฯ สูงกว่าตัวเลขส่งออกข้าวจริงของกรมศุลกากรมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าใบอนุญาตส่งออกข้าวจะต่ออายุได้ 3 เดือนก็ตาม ถ้ามองในทางเปอร์เซ็นต์ จะมีความแตกต่างกันเพียงร้อยละ 1 กว่า แต่หากคิดเป็นประมาณการรวมทั้ง 2 ปีก็จะมีปริมาณการส่งออกข้าวที่แตกต่างกันเกือบ 400,000 ตัน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก ขณะที่นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ ซึ่งเป็น 1 ในกรรมการตรวจข้าว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ชี้แจงในที่ประชุม มีสาระสำคัญอยู่ที่สมาคมได้เตรียมตัวเลขปริมาณการส่งออกข้าวย้อนหลังช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2545-ปัจจุบัน ในขณะนี้ประเด็นอยู่ที่บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง แจ้งปริมาณการส่งออกข้าว 10 เดือนแรกของปีนี้ถึง 283,000 ตัน ขณะที่บริษัทนครหลวงค้าข้าว ผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของประเทศ มีปริมาณการส่งออกสูงสุดที่ทำได้เพียง 210,000 ตันเท่านั้น แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯมีข้าวในสต๊อกมากเพราะชนะการประมูลข้าว 1.7 ล้านตันจากโครงการรับจำนำของรัฐบาล ดังนั้นการตรวจสอบจะต้องใช้ตัวเลขส่งออกข้าวของกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศมายืนยัน จะทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องนี้
"ปกติแล้วสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศมีเงื่อนไขว่า สมาชิกสมาคมทุกบริษัทจะต้องเสียค่าธรรมเนียม (ค่าต๋ง) ในการส่งออกข้าวอัตราตันละ 15 บาท เพื่อเป็นค่าบำรุงสมาคม โดยคิดตามตัวเลขการส่งออกของสภาตรวจข้าว ดังนั้นบริษัทผู้ส่งออกไม่น่าจะยอมเสียค่าส่งฟรี ทั้งที่ไม่ได้ส่งออกจริง แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ว่าตัวเลขการส่งออกข้าวจริงของกรมศุลกากรจะต่ำกว่าตัวเลขของคณะกรรมการตรวจข้าวมากถึงขณะนี้" นายวิชัยกล่าว
เมื่อที่ประชุมไม่สามารถหาข้อสรุปตัวเลขการส่งออกข้าวที่แท้จริงได้ในขณะนี้ นายอนันต์กล่าวว่า ในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ทางคณะกรรมาธิการจะเชิญองค์การคลังสินค้า (อคส.) มาให้ข้อมูลเรื่องเงื่อนไขและราคาในการขายข้าวจำนวน 1.7 ล้านตันให้กับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสต๊อกข้าว และทางคณะกรรมาธิการจะทำหนังสือไปยังกรมศุลกากร เพื่อขอข้อมูลการส่งออกข้าวประจำปี 2545-2547 ของผู้ส่งออกเป็นรายบริษัท เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายวิชาการของกรรมาธิการในการหาข้อสรุปต่อไป
- - -- - - - - - - - -- - - - - - - - -- -
ข่าวจาก : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 02 ธันวาคม 2547
ที่มา :
http://www.matichon.co.th/prachachat/