นั่นสิ
เสธ หนั่นโดน กรณีแบบทักษิณ ดันโดนซิว
นี่คือ 1 ในหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ามีกระบวนการโค่นรัฐบาลทักษิณ...โดยใช้อำนาจกองทัพ-อำนาจบริหาร-อำนาจตุลาการ จัดการตามแผนบันได 4 ขั้น
ตาสว่างกันบ้างหรือยังท่านทั้งหลาย!?!"
เปิดแผนล้างบางขั้วอำนาจ ทักษิณ - ทรท.-พลังประชาชน ถูกฝังทั้งเป็น! โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 23 สิงหาคม 2550 09:57 น.
ทหาร! มั่นใจอำนาจเก่าฟื้นคืนชีพยาก แม้ผลประชามติจะออกมา 57:42 เปอร์เซ็นต์ ชี้กระบวนการศาลตอกฝาโลง ทักษิณ สนิท ด้านนักวิชาการเชื่อบิ๊กทหารลงเลือกตั้งจะเป็นช่องทางสกัดพรรคพลังประชาชนได้ ขณะที่ปชป.อ้าแขนรับทุกกลุ่มการเมือง พร้อมดัน วาระประชาชน สู้ ประชานิยม ส่วนมัชฌิมาเร่งประสาน เสนาะ-สุวัจน์ เป็นพรรคทางเลือกที่ 3
แม้ว่าร่างรัฐธรรมนูญ 2550จะผ่านความเห็นชอบจากเสียงสวนใหญ่ 57.81 เปอร์เซ็นต์ ฝ่ายตรงข้ามเบียดมาติดๆอยู่ที่ 42.19 เปอร์เซ็นต์ นั่นได้สะท้อนภาพออกมาได้ว่า คมช.-รัฐบาลชนะแบบเฉียดฉิว และ ฝ่ายอำนาจเก่า แสดงความแข็งแกร่งในพื้นที่ด้วยการรักษาฐานเสียงให้เป็นพลัง โนโหวต ในฐานที่มั่นอย่างเห็นได้ชัดจนถึงขนาดสั่ง เลี้ยวซ้ายบ่ายขวา ไปได้อย่างง่ายๆ
ไม่เพียงเท่านี้ ผลคะแนนของการลงประชามติ ในครั้งนี้สามารถสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า ไม่เพียงแต่พรรคพลังประชาชนเท่านั้นที่มีฐานเสียงที่แข็งแกร่ง ทว่าพรรคอื่นๆก็ยังคงมียึดหัวหาดของตนได้เช่นกันทั้ง พรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ที่สามารถทำให้ร่างฯผ่านการลงประชามติได้ทั้งภาค และในภาคกลางพรรคชาติไทยก็ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ ฯลฯ แต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นการสะท้อนว่า แนวโน้มการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่ใกล้จะมาถึงนั้นแต่ละพรรคต้องเตรียมการกันพอสมควร เพราะรู้ซึ่งจุดอ่อน-แข็งของฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างดี
เชื่อ อำนาจเก่า ฟื้นยาก
ขณะเดียวกัน ผลการลงประชามติครั้งนี้ ฝ่าย คมช.มั่นใจว่า กลุ่มอำนาจเก่า ไม่สามารถลุกขึ้นจากหลุมได้ ซึ่ง เสธ.ไก่อู-พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ระบุว่า นอกจากผลคะแนนจะทำให้มั่นใจแล้วยังมีประเด็นปัญหาที่จะตามมาโดยเฉพาะ กระบวนการทางศาลในการเอาผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะยังคงทำหน้าที่เอาผิดและสามารถลดกระแสของกลุ่มอำนาจเก่าได้รวมถึง ภาพรวมของการเห็นชอบในครั้งนี้จะเป็นเสมือนเครื่องยืนยันว่าประชาชนต้องการที่จะเห็นการเดินหน้าของประเทศ
นอกจากนี้ แม้ว่ากลุ่มไทยรักไทยจะยังคงรักษาพื้นที่ในภาคอีสาน-เหนือได้ แต่มิได้หมายความว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะสามารถครองเก้าอี้ในภาคอีสานกว่า 136 ที่ได้ เนื่องจากยังมีพรรคการเมืองอื่นที่ยังจะพร้อมแข่งขันในสนามนี้
ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ เนื้อหาสาระที่แปรเปลี่ยนไปของร่างฯนั้นมีการตีกรอบเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อก่อนการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ด้วย ทั้งการแทรกแซงองค์กรอิสระและ การพยายามหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ฯลฯ นอกจากนี้ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นสามารถสร้างการตระหนักรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างดี
คมช.เข็นคดี ดิสเครดิต
สอดคล้องกับที่ ดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง มองว่า ต่อไปนี้อาจจะเห็นการเห็นการลงพื้นที่ทำความเข้าใจจากภาครัฐ รวมถึงการเร่งเอาผิดในคดีทุจริตโครงการต่างๆ ในเครือข่ายกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การรื้อคดีทุจริตโครงการโรงงานกำจัดขยะจำนวน 3 โครงการมูลค่ากว่า 9,589 ล้านบาทของสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง ในช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูการเลือกตั้ง
ปชป.หวังเบียดอีสาน
กระนั้น เมื่อมองไปที่ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะขั้วตรงข้ามกับ กลุ่มไทยรักไทย ที่พร้อมที่สุดสำหรับการเลือกตั้งในขณะนี้อย่าง พรรคประชาธิปัตย์ นั้นเมื่อประเมินตัวเลขในพื้นที่อีสาน-เหนืออันเป็นฐานกำลังของ พรรคพลังประชาชน แม้จะพบว่ามีพื้นที่สีแดงที่มติ โหวตโน มีคะแนนชนะ ฝ่ายรับ ในหลายจังหวัด
ทว่า เมื่อจับกระแสเสียงแล้วจะพบว่าคะแนน โหวตโน นั้น มียอดรวมที่ลดต่ำลงจากเดิมที่ กลุ่มไทยรักไทย เคยอ้างเสียงสวรรค์จากประชาชนที่ 16 ล้านเสียงจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 เม.ย.49 และเมื่อหั่นคะแนนของ กลุ่มไม่รับ โดยเน้นไปที่เนื้อหาของร่างฯที่ผลักดันโดยกลุ่มนักวิชาการในกลุ่ม มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่เปิดกระแสไม่รับร่างฯ ซึ่งก็ไม่อาจเหมารวมว่าคะแนนโนโหวตจะเป็นของ ฝ่ายอำนาจเก่า ได้ทั้งหมด
คะแนนที่ออกมาจากการลงประชามติเป็นสิ่งสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า แต่ละพรรคมีกำลังเท่าใด และที่สำคัญ คะแนนที่เคยท่วมท้นในพื้นที่อีสาน-เหนือของกลุ่มไทยรักไทย ไม่เป็นเหมือนที่ผ่านมาแล้ว เพราะคะแนนความนิยมลดลงไปกว่าครึ่ง และเมื่อตัดกลุ่มประชาชนที่อยู่ตรงกลางออกไปโอกาสการชิงพื้นที่ในอีสานจึงเป็นเรื่องที่น่าลุ้น นิพนธ์ บุญญามณี รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวพร้อมอธิบายต่อว่า คะแนนที่เกิดขึ้น นั้นมาจากความผูกพันและเครือข่ายของ กลุ่มอำนาจเก่า ที่ยังคงเหนียวแน่นและยากที่จะตัดขาด แต่ทว่าก็ไม่ถึงกับไม่มีทางเนื่องจากตัวเลขที่ลดลงนั้นเป็นช่องทางที่พรรคอื่นๆ จะสามารถที่จะเบียดเข้ามาชิงเก้าอี้ได้เช่นกัน ที่สำคัญกลุ่มต่างๆมีการแยกตัวออกไปเป็นจำนวนมากทำให้ความแข็งแกร่งลดลง
ในอนาคตอาจมีการจับมือกับกลุ่มการเมืองอื่นๆนอกเหนือจาก พันธมิตรฝ่ายค้านเดิมอย่าง พรรคชาติไทย พรรคมหาชน ซึ่งหากมีแนวคิดที่ตรงกันก็ยังเพิ่มโอกาสในการสู้ศึกเลือกตั้งที่จะมาถึง
ความผูกพันกันเป็นเครือข่ายของกลุ่มไทยรักไทย ก็ต้องยอมรับว่า ส.ส.ยังมีเครือข่ายที่เหนียวแน่น แม้ว่าจะหมดสิทธิแต่ก็ยังเป็นกลุ่มก้อนที่มีประสิทธิภาพ แต่คะแนนที่ลดลงก็ถือว่ากลุ่มไทยรักไทยเองก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเช่นกันในการที่จะรักษาฐานเสียงให้ได้
แต่กลุ่มทางการเมืองต่างๆ ที่มีแนวคิดทางการเมืองร่วมกันได้เราก็ยังคงเปิดโอกาสในการร่วมมือทางการเมืองเช่นกัน
ชู วาระประชาชน
สู้ ประชานิยม
อย่างไรก็ตาม แม้โอกาสจะเปิดแต่สิ่งสำคัญที่หลายพรรคจะต้องทุ่มความสำคัญอย่างหนักก็คือ การจัดกระบวนทัพกันใหม่เพื่อชิงชัยในพื้นที่อีสาน-เหนือ รวมถึงต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ซึ่งต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาในยุคของ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น นโยบายประชานิยม ยังคงเป็นพื้นฐานหลักที่ชาวบ้านยังคงให้ความนิยม ซึ่งสิ่งที่ ปชป.จะเน้นเพิ่มเติมขึ้นมาคือ การผลักดันเศรษฐกิจภาคชุมชน และภาคการผลิตทางการเกษตร อาทิ การปลูกมันสำปะหลัง รวมถึงการติดต่อค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน
ชี้บิ๊กสีเขียวลงสกัดดาวรุ่ง
ขณะที่ นักวิชาการในพื้นที่ภาคเหนืออย่าง รศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่าการที่จะชิงพื้นที่ของพลังประชาชนให้ได้นั้นต้องส่งมือแข็งๆลงคุมพื้นที่ โดยเฉพาะ บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.ที่เติบโตในถิ่นหมวกแดง หน่วยรบพิเศษบ้านป่าหวาย จ.ลพบุรี ก็เชื่อว่าจะสามารถชนะในเขตดังกล่าวได้ไม่ยาก
คนที่ไม่อยากลงการเมืองเขาไม่พูดกันบ่อย แต่การที่จะขจัดกลุ่มเก่าได้ต้องอาศัยนายทหารหรือ คนในกระแสสังคมในขณะนี้อย่าง พล.อ.สนธิ จึงจะกำราบได้อยู่หมัด ดังนั้นโอกาสที่พล.อ.สนธิจะเล่นการเมืองก็ยังถือมีโอกาสเป็นไปได้
หากตัดสินใจลงเลือกตั้งในครั้งหน้านี้ในพื้นที่ตนเองอย่างลพบุรี ก็เชื่อว่าจะสามารถเข้าสู่สนามการเมืองได้อย่างเต็มรูปแบบและมีความเป็นไปได้สูง
อย่างไรก็ตาม หาก คมช.-รัฐบาลไม่คิดที่จะลงเล่นการเมือง การคิดที่จะตัดกำลังกลุ่มอำนาจเก่าก็จำเป็นที่จะต้องลงพื้นที่ทำความเข้าใจในเนื้อหาของร่างฯ ที่ถูกบิดเบือนจากกลุ่มต่างๆรวมถึงประเด็นสำคัญที่สุดของประชาชนก็คือการแก้ปัญหาปากท้องอันเป็นปัญหาใหญ่สุด จึงจะสามารถสกัด กลุ่มอำนาจเก่า ได้
จะเห็นได้ชัดจากพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ถิ่นของ เนวิน ชิดชอบ ที่ คมช.-รัฐบาลลงพื้นที่บ่อยจนคะแนนเสียงพลิกกลับขึ้นมาชนะได้ แต่ในทางกลับกับพื้นที่ภาคเหนืออย่าง จ.ลำพูนที่มีคะแนน โนโหวตสูงที่สุดในประเทศนั้นเป็นการตอกหน้า คมช.-รัฐบาลเข้าอย่างจังว่า การแก้ปัญหาปากท้องยังไม่ถึงขั้นและที่สำคัญสู้อดีตรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้ การเลือกสนับสนุนฝ่ายอำนาจเก่าจึงยังคงเป็นจำนวนที่สูงในพื้นที่ดังกล่าว
มัชฌิมาประสาน เสนาะ-พินิจ
ขณะที่ทาง กลุ่มที่ประกาศตัวเป็นขั้วการเมืองที่ 3 อย่างกลุ่ม มัชฌิมาประชาธิปไตย นั้นภายหลังการกลับมารวมกันกับกลุ่ม รวมใจไทย (ธรรมาธิปไตยเดิม) นั้น เชื่อว่าการกลับมารวมกันอีกครั้งในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 ได้ เนื่องจากเป็นการเพิ่มขุมกำลังของกลุ่มให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในภาคธุรกิจระดับโครงสร้างของประเทศ ซึ่งกลุ่มรวมใจไทยนั้นมีความเชี่ยวชาญและประกอบไปด้วยมือเศรษฐกิจที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะชื่อของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ถือว่ายังคงขายได้เนื่องจากเป็นผู้ทำคลอด นโยบายประชานิยม มากับมือ
พร้อมทั้งการมาของ เสี่ยอ๊อด-ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีต ส.ส.พิจิตร ที่รับหน้าที่เป็นมือประสานระหว่างกลุ่มการเมืองอื่นๆ อาทิ กลุ่มประชาราช ของ ป๋าเหนาะ เสนาะ เทียนทอง หรือ กลุ่มสมานฉันท์ ของ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ยังคงมีการเดินหน้าเจรจาเพื่อจับมือกันทางการเมืองอยู่เสมอ
การจับมือทางการเมืองของมัชฌิมากับกลุ่มอื่นนั้นก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า รวมใจไทยได้มาร่วมกันทำงานแล้วและในกลุ่มประชาราชหรือ กลุ่มสมานฉันท์ นั้นยังคงมีการเจรจากันอย่างต่อเนื่องโดยผ่านประดิษฐ์ (ภัทรประสิทธิ์) แม้ว่าจะไม่ได้มีการพูดคุยกันโดยตรงผ่านคุณสมศักดิ์ก็ตาม
โสภณ เพชรสว่าง รองหัวหน้ากลุ่มมัชฌิมาประชาธิปไตย เผยพร้อมอธิบายต่อว่า ทางกลุ่มเองนั้นก็มีความพร้อมอย่างเต็มที่ซึ่งจากการประชุมพรรคเมื่อวันที่ 17 ที่ผ่านมานั้น มีผู้เข้าร่วมกับกลุ่มกว่า 200 คน โดยเน้นเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งนอกจากกำลังคนจะพร้อมแล้ว นโยบายก็ถือเป็นจุดแข็งภายใต้ความเชื่อมั่น ในผลงานเก่าของกลุ่มภายใต้ร่มเงาของกลุ่มไทยรักไทย
การเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ล้วนเป็นหนทางที่บรรดานักเลือกตั้งตั้งตารอเพื่อหวังกลับเข้าสู่อำนาจที่เคยมี ภาพของการจับขั้วระหว่างกลุ่มก๊วนต่างๆ จึงน่าจะเป็นภาพที่ชินตามากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเมืองที่ควรจับตามองอย่างยิ่งว่า พลังประชาชน จะงัดกลยุทธ์ใดเข้ามาสู้ในศึกการเลือกตั้งครั้งนี้ท่ามกลางคู่ต่อสู้ที่เตรียมรอรุมกินโต๊ะอย่างใจจดใจจ่อ..."