ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 04:32
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  น้ำพิพัฒน์สัตยา พิธีที่มีมาจากความเชื่อในเรื่อง ผี 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
น้ำพิพัฒน์สัตยา พิธีที่มีมาจากความเชื่อในเรื่อง ผี  (อ่าน 17110 ครั้ง)
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« เมื่อ: 21-08-2007, 09:07 »

พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือ พระพิพัฒน์สัจจา คือ พระราชพิธีศรีสัจปานกาล คำว่า "ปานะ" แปลว่า "เครื่องดื่ม" หรือ "น้ำสำหรับดื่ม"
พิธีศรีสัจปานกาล ก็หมายถึงพิธีดื่มน้ำกระทำสัตย์สาบานเพื่อความสวัสดิมงคลตามวาระ โดยมากเรียกกันสั้นๆ ว่า "ถือน้ำ" คือ ผู้ที่เข้าร่วมในพิธี
จะต้องดื่มน้ำล้างอาวุธของพระราชา เพื่อแสดงว่าจะจงรักภักดีต่อพระราชาธิบดีของตน หากผู้ใดมิได้รักษาคำสัตย์ปฏิญาณที่ได้กล่าวไว้ในพิธีนั้น ก็อาจจะต้องมีอันเป็นไปด้วยอาวุธหอกดาบอันใช้จุ่มในน้ำที่ตนดื่ม

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ว่า พระราชพิธีนี้เป็นพระราชพิธีใหญ่สำหรับแผ่นดิน เป็นพระราชพิธีสำคัญตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์โดยไม่มีเว้นว่างเพราะมีคำอ้างถึงว่าเป็นพิธีระงับยุคเข็ญของบ้านเมือง
ที่พระองค์กล่าวว่า โบราณ นั้นก็สันนิษฐานกันว่าตั้งแต่สมัยอยุธยาลงมา ด้วยไม่ทราบแน่ชัดว่าในสมัยพระมหากษัตริย์องค์ใด แต่ไม่ใช่สมัยสุโขทัยเพราะเหตุว่าการที่จะเน้นอำนาจกษัตริย์อย่างสูงสุดนั้นสุโขทัยไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้นน่าจะมีในสมัยอยุธยาจนถึงสมัย
เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 พิธีก็หมดสิ้นไป จนกระทั่งในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาตามแบบโบราณราชประเพณี ผนวกเป็นการเดียวกับพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ .๒๕๑๒
วัตถุประสงค์อันสำคัญของพิธีนี้เพื่อหวังจะหล่อหลอมกล่อมขวัญของบรรดาข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนให้ตั้งอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต
ตั้งหน้าปฏิบัติราชการแผ่นดินแต่ในทางที่ถูกที่ควร ไม่ว่าประเทศใดชาติใด หากผู้มีส่วนในการปฏิบัติราชการแผ่นดินปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
จงรักภักดีในชาติ ศาสนา และองค์พระประมุขอย่างแนบแน่นมั่นคงแล้วย่อมเป็นพลังขั้นมูลฐานที่สำคัญประการหนึ่งสำหรับสร้างความรุ่งเรืองและ
มั่นคงให้แก่ชาติ ดังนั้นจึงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นผู้นำในการการปฏิบัติราชการแผ่นดินในแขนงสำคัญต่างๆ

ประเพณีการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานั้นมาจากตามแนวคิดที่ว่ากษัตริย์เป็นสมมติเทพ ก็คือมาจากอินเดียโดยตรง เนื่องจากทั้งพระเจ้าแผ่นดิน
ผู้ปกครองประเทศแต่ก่อนก็ล้วนทรงเป็นนักรบ ดังนั้นจึงได้ยึดถือเอาการกระทำสัตย์ปฏิญาณตนด้วยวิธีดื่มน้ำชำระล้างอาวุธ หรืออีกนัยหนึ่งที่เรียกกันว่า
"พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา" เป็นพิธีสำคัญของบ้านเมืองมาแต่โบราณ แต่ไม่มีหลักฐานว่า ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ประเทศไทยได้รับเอาพิธีนี้มาเป็น
พิธีสำคัญของบ้านเมืองหรือยัง แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยามาตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระเจ้าอู่ทองเริ่ม
สร้างกรุงศรีอยุธยาทีเดียว และก็ถือว่าการถือน้ำเป็นพิธีสำคัญซึ่งบรรดาข้าราชการผู้มีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับความยุติธรรมแห่งบ้านเมืองจะขาดเสียไม่ได้ ถึงกับตราเป็นตัวบทไว้ในกฎมณเฑียรบาลไว้ว่า

1.ผู้ที่ขาดการถือน้ำพิพัฒน์สัตยามีโทษถึงตาย เว้นแต่ป่วยหนัก
2.ห้ามสวม "แหวนนากแหวนทอง" มาถือน้ำ
3.ห้ามบริโภคอาหารหรือน้ำก่อนดื่มน้ำพิพัฒน์
4.ดื่มน้ำแล้วห้ามยื่นน้ำที่เหลือให้แก่กัน
5.ดื่มแล้วต้องราดน้ำที่เหลือลงบนผมของตน

ข้อปฏิบัติดังกล่าว เป็นการระวางโทษไว้เหมือนหนึ่งว่า เป็นกบฎ คือโทษใกล้ความตาย และทั้งนี้เพื่อประสงค์จะให้น้ำพิพัฒน์สัตยาที่ทำขึ้นนั้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
และดื่มในโอกาสแรกของวันนั้น ต่อมาภายหลัง ปรากฏว่าวิธีการเช่นนั้น ทำความลำบากให้แก่ผู้เข้าร่วมพิธีโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ทนหิวไม่ได้จนอาจถึงกับมี อัน
เป็นไปก่อนได้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอนุญาตให้บริโภคอาหารมาก่อนได้และไม่ถือว่าเป็นกบฏ

สำหรับการถือน้ำที่มีอยู่ในกรุงเทพ ฯ มี ๕ อย่าง จำแนกเป็น ๒ ประเภท คือ การถือน้ำซึ่งจัดเป็นการพระราชพิธีประจำอย่างหนึ่ง และถือน้ำเป็นพระราชพิธีจร
อีกอย่างหนึ่ง

การถือน้ำประจำ ได้แก่ การถือน้ำปกติ ปีละ ๒ ครั้ง ในพิธีตรุษเดือน ๕ พิธีสารทเดือน ๑๐ เป็นการถือน้ำของพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและ
พลเรือนรวมทั้งภรรยา ตลอดจนบรรดาข้าในกรมของพระราชวงศ์ บรรดาที่มีศักดินาตั้งแต่ ๔๐๐ ขึ้นไป และการถือน้ำประจำเดือนของทหารที่ผลัดเปลี่ยนเวร
เข้าประจำการทุกวันขึ้น ๓ ค่ำ

การถือน้ำจร คือการถือนน้ำเป็นกรณีพิเศษ ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน ได้แก่ การถือน้ำเมื่อแรกพระเจ้าแผ่นดินได้รับราชสมบัติ การถือน้ำของผู้มาแต่เมือง
ปัจจามิตรเข้ามาสู่พระบรมโพธิสมภาร และการถือน้ำพิเศษของที่ปรึกษาราชการ เมื่อแรกเข้ารับตำแหน่ง

การถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่กรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ , ๒ และ ๓ ได้ทำตามแบบอย่างที่เป็นมาในตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ ข้าราชการทั้งหลายทั้งปวงมิได้ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดิน คงถือน้ำในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เสร็จแล้วไปถวายบังคมพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ล่วงลับไปแล้วที่เบื้องล่างหอพระธาตุมณเฑียรแทนการถวายบังคม
พระบรมรูปพระเชษฐบิดรในสมัยกรุงศรีอยุธยา จากนั้นจึงเข้าถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าถือน้ำเฉพาะพระพักตร์พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในถือน้ำที่
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

ต่อมาในปีแรกที่พระบาทสมเจพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราขสมบัตินั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนวิธีการเฝ้าฯ
ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาใหม่คือ ให้ทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าและข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวงถือน้ำเฉพาะพระพักตร์ภายในพระอุโบสถ
วัดพระศรีรัตนศาสดารามพร้อมกัน และพระองค์เองก็ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามและร่วมเสวยน้ำ พระพิพัฒน์สัตยาด้วยจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติกันสืบต่อมาทุกรัชกาล ต่อมาพระบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลง
กำหนดการถือน้ำประจำปีจากปีละ ๒ ครั้ง เป็นปีละ ๑ ครั้ง ในวันตรุษขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ หลังจากเปลี่ยนแปลงการใช้วันจากจันทรคติมาเป็นสุริยคติ จึงได้กำหนดให้จัดพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในวันที่ ๓ เมษายนของทุปปี หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เป็นระบอบประชาธิปไตย ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม่มีการจัดพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาอีก จนกระทั้ง พ.ศ. ๒๕๑๒

สำหรับการดื่มน้ำพระพัฒน์สัตยานั้น แต่ไหนแต่ไรมาพระมหากษัตริย์มิได้เสวยด้วย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า องค์พระมหากษัตริย์นั้นทรงมีมีพระราชภารกิจที่จะต้องปฏิบัติราชการแผ่นดิน เพื่อความเจริญของประเทศชาติและเพื่อความสุขแห่งปวงชนด้วย ก็ควรที่จะเสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสำแดงความสุจริตในพระราชหฤทัยด้วย จึงได้เสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยาร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละออง
ธุลีพระบาทมาตั้งแต่ ปีแรกที่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ แต่นั้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่อๆ มาก็ได้ทรงถือเป็นเยี่ยงอย่างการปฏิบัติสืบต่อมา
การพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยานี้เป็นงานพระราชพิธี ๒ วัน วันแรกเจริญพระพุทธมนต์ วันที่สองเป็นวันถือน้ำ

วันแรก ซึ่งเป็นวันสวดมนต์ เริ่มการพระราชพิธีในตอนเย็น เมื่อพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินสู่พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว อาลักษณ์อ่านประกาศการพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล เนื้อความเป็นการประกาศพรรณนาประวัติพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรตามที่ปรากฏในตำนานรัตน
พิมพ์วงศ์โดยย่อ ต่อไปก็สรรเสริญคุณและความศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ต่อจากสรรเสริญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแล้ว ก็ได้สรรเสริญพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชวงศ์จักรี ในตอนท้ายขอให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและบรรดาผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาทั้งปวง
ดำรงอยู่ในปฏิญาณเพื่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน สมณพราหมณาจารย์ในแผ่นดินกรุงสยามจะได้อยู่เย็นเป็นสุข แล้วพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ทวาทศปริตร เพื่อเสกน้ำที่จะทำเป็นน้ำพิพัฒน์สัตยานั้นให้เป็นน้ำพระพุทธมนต์จะได้เป็นสวัสดิมงคลแก่ผู้ดื่มที่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อชาติและพระศาสนา และสวดมนต์
สิบสองตำนาน จบแล้ว เสด็จพระราชดำเนินกลับ ต่อจากนั้น เจ้าพนักงานเวียนเทียนสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วพราหมณ์อ่านฉันท์สดุดี
พระพุทธปฏิมากร จบแล้ว เป็นเสร็จการสำหรับวันแรก

วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็น วันถือน้ำ พิธีเริ่มขึ้นในตอนบ่าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินสู่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่
พระอุโบสถ แล้วทรงจุดธูปเทียนนมัสการ ทรงศีล ต่อจากนั้นพระมหาราชครูอ่านโองการแช่งน้ำ และเชิญพระแสงศรปละยวาต พระแสงศรอัคนิวาต
พระแสงศรพรหมาศ ชุบลงในน้ำพระพิพัฒน์ในพระขันหยกตามลำดับ แล้วเชิญพระแสงราชศัสตราชุบลงในหม้อน้ำพระพิพัฒน์สัตยา บรรดาที่มีอยู่ทุกหม้อ

จนหมดจำนวนพระแสงสำคัญต่างๆ ในระหว่างเวลาที่พราหมณ์ชุบพระแสงราชศัสตรานั้น พระสงฆ์เจริญสัจจคาถา เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ดุริยางค์ จบแล้วพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทกล่าวคำสาบาน พระมหาราชครูเชิญน้ำพิพัฒน์ในพระขันหยกที่ชับพระแสงศรไปรินเจือลงในน้ำมนต์
ทุกๆ หม้อ แล้วรินน้ำพระพิพัฒน์จากพระขันหยกใส่ถ้วยโมรา นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสวยก่อน ต่อจากนั้น พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวงจึงดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเฉพาะพระพักตร์ แล้วเข้าไปถวายบังคมพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่
พระราชอาสน์โดยลำดับ

เสร็จแล้วพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนราบจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปยังเกยหน้าพระทวารเทเวศรรักษา เสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับบนพระที่นั่งสนามจันทรภายในกำแพงแก้วพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการถวายบังคมพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกและพระบรมอัฐิพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลก่อนๆ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนหอพระธาตุมณเฑียร แล้วเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในเฝ้าฯ รับพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ ที่นั้น ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายหน้าถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก็ทยอยกันไปถวายบังคมพระบรมอัฐิที่ชาลาหน้าพระที่นั่งสนามจันทร เสร็จการถวายบังคมแล้วเป็นเสร็จการ

โองการแช่งน้ำ : คำสั่งศักดิ์สิทธิ์หรือวรรณคดี?

โองการแช่งน้ำที่แต่งขึ้นนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาโดยเฉพาะ มิได้มุ่งหมายเหมือนวรรณคดีทั่วไป ที่มุ่งหมายให้ประชาชนอ่านกันมาก ๆ แต่ใช้ในพระราชพิธี ด้วยมีความไพเราะ จึงจัดว่าเป็นวรรณคดีอีกชิ้นหนึ่ง

โองการแช่งน้ำ คือ คำสั่งศักดิ์สิทธิ์ที่สาปแช่งลงไปในน้ำที่ใช้ในการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเพื่อให้ผู้ดื่มที่มีใจไม่สุจริตต้องมีอันเป็นไป ตามคำสาปแช่งนั้น การแช่งน้ำนี้ พราหมณ์เป็นผู้อ่าน เมื่ออ่านจบแต่ละตอนจะนำพระแสงราชศัสตรา "แทง" ลงในน้ำนั้น เป็นพิธีที่ใช้สร้างความจงรักภักดีและสถาปนาความมั่นคงของแผ่นดิน สำหรับบทอ่าน "โองการ" นั้น เป็นคำร้อยกรองแบบโคลงห้า มีมาแต่สมัยตั้งกรุงศรีอยุธยา เนื้อความเป็นภาษาไทย ถ้อยคำที่ใช้ลึกซึ้งกินใจ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐานว่า น่าจะแต่งขึ้นในสมัยก่อนแผ่นดินพระนารายณ์มหาราช แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อใด อาจจะสมัยพระเจ้าอู่ทองก็ได้ แต่ที่แน่ ๆ น่าจะแต่งขึ้นก่อนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์อย่างแน่นอน เพราะถ้อยคำในโองการแช่งน้ำนี้ไม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับถ้อยคำ ในพระราชนิพนธ์ในสมัยนั้น

ด้วยเหตุนี้พระบาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสันนิษฐานว่า ลิลิตโองการแช่งน้ำนี้น่าจะเป็นวรรณคดีเก่าแก่มาก และของเราเอามาโดยที่ไม่มีการปรับปรุงเลย เราเอามาทั้งหมดเลย และคนที่แต่งนั้นน่าจะเป็นพราหมณ์ ตัวพระมหากษัตริย์โปรดให้แต่งขึ้น หรือไม่ก็พราหมณ์เอามาจากอินเดียก็อาจจะเป็นไปได้ มีสองทางคือพราหมณ์ที่ประกอบพิธีในมัยกรุงเก่าเอามาจากอินเดียทั้งหมด เอาคำเหล่านี้มาหรือเอาต้นฉบับมาเลย หรือมิฉะนั้นก็พระรามาธิบดีองค์ใดองค์หนึ่ง (ถ้าไม่หนึ่งก็สอง) โปรดให้พราหมณ์ที่ประกอบพิธีนั้นแต่งขึ้น ก็จะมีอยู่สองประเด็นนี้

เนื้อความที่ว่านั้นเริ่มด้วยการสรรเสริญพระนารายณ์ก่อน แล้วสรรเสริญพระอิศวร แล้วสรรเสริญพระพรหม ความต่อไปจึงเดินเรื่องสร้างโลก แล้วสรรเสริญพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดิน แช่งผู้ซึ่งทรยศคิดร้าย ให้พรผู้ซึ่งตั้งอยู่ในความสัตย์สุจริตจงรักภักดีเป็นจบความกัน พิเคราะห์ดูในคำโคลงแช่งน้ำนี้ ไม่มีเจือปนพระพุทธศาสนาเลยเป็นของไสยศาสตร์โดยแท้ จึงคาดว่าโองการแช่งน้ำนี้จะมิใช่เกิดขึ้นในครั้ง พระรามาธิบดีที่หนึ่ง แต่น่ากลัวจะแปลคัดลอกต่อๆ กันมาจากเมืองที่ถือไสยศาสตร์ไม่ได้ถือพุทธศาสนาแต่โบราณ แต่สำหรับการจะชุบพระแสงศรศัสตราสามองค์นี้ เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลักจริยธรรมที่ปรากฏในลิลิตโองการแช่งน้ำ ไม่ได้มีหลักจริยธรรมเป็นข้อ ๆ แต่สรุปประเด็นก็คือ เป็นการปรามผู้ที่คิดคดทรยศต่อพระมหากษัตริย์ โดยขอให้ตายด้วยภัยพิบัตินานาประการ ด้วยคมหอกคมดาบ ภายในสามวันเจ็ดวัน อย่าให้เกิดสามเดือน อย่าให้เคลื่อนสามปี และนอกจากนี้เตือนข้าราชการให้ปฏิบัติงานด้วยความมีศีลธรรม จริยธรรม ให้ปฏิบัติงานด้วยหลักจริยธรรม แล้วใครที่ทำดีก็จะมีการปูนบำเน็จรางวัลให้ มีการอวยพรโดยเทพยดาให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองทั้งเกียรติยศบารมีด้วยทรัพย์สินเงินทองต่าง ๆ

คำถวายสัตย์สาบานตน : ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
สำหรับการอ่านคำสาบานก่อนที่จะดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ข้าราชการจะต้องมีการอ่านคำสาบานกันถ้วนหน้าไม่มียกเว้น และคำสาบานนี้ก็ได้ใช้กันต่อ ๆ มาโดยที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใด ๆ คำปฏิญาณสาบานตนในสมัยโบราณจะเป็นอย่างไร ยังค้นไม่พบ คำสาบานที่เก่าที่สุดปรากฏครั้งรัชกาลที่ ๕

ในรัชกาลที ๖ และที่ ๗ ก็ใช้คำสาบานทำนองเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าชีวิต ทรงครองแผ่นดินในระบบราชาธิปไตย ก็จำเป็นอยู่เองที่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทจะต้องปฏิญาณว่าจะไม่คิดกบฏประทุษร้ายต่อองค์ผู้ทรงอำนาจอธิปไตย เป็นคำสาบานที่เป็นไปและเหมาะสมตามกาลเวลา ครั้นมาในปัจจุบันนี้กาลสมัยได้เปลี่ยนไป พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกร่างคำสาบานขึ้นใหม่ ให้ผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์ปฏิญาณว่า จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่ จะเสียสละเพื่อความไพบูลย์ของชาติเท่านั้น ไม่โปรดให้ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ด้วย
ดังนั้น คำปฏิญาณของผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในสมัยปัจจุบันจึงมีความดังนี้

" ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อผู้ถวายสัตย์สาบาน) ขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณตัวต่อประเทศชาติ และประชาชนชาวไทย เฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ท่ามกลางมหาสันนิบาตนี้ว่า
ข้าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นสมาชิกแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่ จะปฏิบัติการทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญ ความสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศชาติไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่
หากข้าพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติฝืนคำสัตย์ปฏิญาณนี้เมื่อใด ขอความวิบัติจงบังเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อนั้นโดยฉับพลันทันที อย่าให้มีความสุขความสวัสดีด้วยประการใดๆ หากข้าพระพุทธเจ้าดำรงมั่นในสัตย์ปฏิญาณนี้ยั่งยืนไป ขออานุภาพพระรัตนตรัยและเทพยดาอารักษ์ พระสยามเทวาธิราช เป็นต้น จงบันดาลความสุขสวัสดีแก่ข้าพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีความเจริญในหน้าที่ราชการ เป็นกำลังทะนุบำรุงประเทศชาติสืบไป ได้สมตามปณิธานปรารถนาจงทุกประการ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"

ในปัจจุบันนี้คำสาบานต่างๆ เลือนความขลังไป จึงใช้แต่เพียงกล่าวคำปฏิญาณว่าจะทำการด้วยความสุจริต โดยตัดตอนที่กล่าวสาปแช่งออกเสียทั้งหมดเหลือเพียง "การให้สัญญา" ต่อกันอย่างที่นิยมกันทั่วโลก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่ทุกคนต้องมีความเสมอภาค เท่าเทียมกัน พระมหากษัตริย์มิได้มีอำนาจสูงสุดอย่างเช่นเดิม แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติแล้วพระมหากษัตริย์ยังคงอยู่ในฐานะสมมติเทพอยู่ จะเห็นได้ชัดเจนจากพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้

พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในมุมมองมานุษยวิทยาศาสนา
ตามกรอบทฤษฎีวิวัฒนาการทางศาสนาของเบลล่าห์ (Robert N. Bellah) อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม สามารถวิเคราะห์ผ่านองค์ประกอบในสถาบันศาสนาของแต่ละสังคมได้ โดยดูจากระบบสัญลักษณ์ พิธีกรรม องค์กรทางศาสนา และอิทธิพลที่ศาสนามีต่อสังคม ขณะเดียวกันเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไปสถาบันต่างๆ ทางศาสนาก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ เบลล่าห์ก็มิได้สรุปว่า กระบวนการวิวัฒนาการจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หันกลับไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือจำต้องผ่านกระบวนการสายตรงสายเดียว (เป็นไปตามลำดับขั้นตอนพัฒนาการ) แต่เบลล่าห์คิดว่า รูปแบบหรือโครงสร้างที่เรียบง่ายกว่าจะยังสามารถอยู่รอดและพัฒนาการอย่างควบคู่ไปกับรูปแบบที่ซับซ้อนกว่าได้ด้วย นอกจากนี้ เบลล่าห์ยังมิได้ระบุว่าระบบศาสนาที่ซับซ้อนกว่าจะดีกว่า มีความจริงมากกว่า หรือยิ่งใหญ่กว่าระบบสัญลักษณ์ของศาสนาที่มีความซับซ้อนน้อยกว่า
นอกจากนี้เบลล่าห์ ยังได้แบ่งขั้นตอนวิวัฒนาการของศาสนาออกเป็น ๕ ระดับ คือ ศาสนาดั้งเดิม (Primitive) ศาสนาโบราณ (Archaic ) ศาสนายุคประวัติศาสตร์ (Historic) ศาสนาต้นสมัยใหม่ ( Early Modern ) และศาสนาสมัยใหม่ (Modern ) ระดับต่างๆ เหล่านี้เป็นรูปแบบตามอุดมคติ เป็นเพียงการสร้างทฤษฎีจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์เท่านั้น อาจมีรูปแบบที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ เช่นในยุคต้นๆ อาจมีร่องรอยของพัฒนาการขั้นต่อไปก็ได้ และขั้นตอนที่พัฒนาไปกว่าก็อาจถอยกลับไปสู่ขั้นตอนที่พัฒนาน้อยกว่าได้

และแน่นอนที่ไม่มีขั้นตอนใดของวิวัฒนาการทางศาสนานี้ ที่ถูกละทิ้งไปโดยสิ้นเชิง ขั้นตอนของศาสนาในยุคแรกจะยังคงสืบเนื่องอยู่ร่วมหรืออยู่ภายในขั้นตอนที่พัฒนาต่อมาเสมอ
สำหรับพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา อาจกล่าวได้ว่าเป็นพิธีที่มีการผสมผสานความเชื่อในเรื่องวิญญาณ (ผี) ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ อย่างชัดเจน แต่ในระยะแรกของการเกิดพิธีถือน้ำ คงจะมีความเกี่ยวข้องกับระบบความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาและเทพเจ้า(Animism) มาก่อนเป็นแน่ เพราะเป็นพิธีที่กระทำกันมาแต่สมัยโบราณของอินเดีย และสังเกตได้จากเนื้อหาในโองการแช่งน้ำ ที่กล่าวอ้างถึงเทพยดาทั้งหลายของอินเดีย เช่น พระนารายณ์ พระพรหม พระอิศวร พระอินทร์ ท้าวจตุโลกบาล พญาครุฑ พญายม ผีสางต่าง ๆ เช่น เจ้าป่าเจ้าเขา ผีพราย ภูตผีปีศาจ เป็นต้น รวมถึงอำนาจธรรมชาติ เช่น ลม ฝน ไฟ น้ำ ด้วย ผู้ทำพิธีถือน้ำคือพราหมณ์ ผู้มีความรู้ความสามารถในด้านไสยศาสตร์ ซึ่งสามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติได้ เป็นผู้รู้ระเบียบพิธีการต่างๆ เพื่อทำให้พิธีถือน้ำพระพัฒน์สัตยามีความศักดิ์สิทธ์มากขึ้น ซึ่งจัดว่าเป็นศาสนาในขั้น Archaic ตามแนวคิดของเบลล่าห์ เมื่อมีการติดต่อกับประเทศอินเดียจึงได้รับเอาประเพณีนี้มาด้วย พร้อมกับระบบการปกครองแบบเทวราชาในสมัยอยุธยา ต่อมาเมื่อมีการรับศาสนาพุทธเข้ามาในประเทศไทย จึงได้เกิดการผสมผสานระหว่างความเชื่อเดิมที่มีอยู่กับความเชื่อใหม่ ส่งผลให้พระมหากษัตริย์ได้รับการยกย่องให้เป็นสมมุติเทพ และเปลี่ยนการปกครองแบบพ่อปกครองลูกมาเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราย์ ที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ทำให้พระสงฆ์ผู้ทำพิธีกรรมทางศาสนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบพิธีถือน้ำ เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้กับพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาอีกด้วย เราอาจจัดระดับความเชื่อนี้อยู่ในระดับ Historic

การผสมผสานหรือการทับซ้อนกันอยู่ระหว่างความเชื่อผี พรหมณ์และพุทธนี้ ยังคงดำเนินมาอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ด้วยดี ตามคำกล่าวของเบลล่าห์ จะเห็นได้ว่าพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาซึ่งเป็นพิธีมีมาแต่โบราณก็ยังได้รับการสืบทอดมาจนทุกวันนี้ ไม่ได้ถูกละทิ้งไป แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปก็ตาม
ด้วยความสัมพันธ์ของความเชื่อระหว่างพรหมณ์ พุทธ และผี สังคมผสมผสาน ไม่ใช่คนไทยแท้ มีการติดต่อ ยกย่องกษัตริย์ หรือผู้นำ ....
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันเป็นเวลา 700 ปีเศษ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว เรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรือ อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคล คณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้คือ
1. พระมหากษัตริย์
2. สภาผู้แทนราษฎร
3. คณะกรรมการราษฏร
4. ศาล

ลักษณะการปกครอง มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎร ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎร
จึงใช้ได้ สภาผู้แทนราษฎร กลายเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร มีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิ ได้เปลี่ยนระบบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรีให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัย หรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
เมื่อการปกครองเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจทางการเมืองได้อย่างจำกัด ต้องเป็นระเบียบพิธีมากขึ้น ทำให้มีการยกเลิกพิธีถือน้ำในปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง อาจเพื่อเป็นการทำลายสัญลักษณ์ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เป็นได้ หลักการของระบอบประชาธิปไตยคือการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน เน้นความเสมอภาคเท่าเทียมกัน

ดังนั้นการจะทำให้ข้าราชการมีความรู้สึกจงรักภักดี ไม่ก่อการปฏิวัติ หรือทำรัฐประหารตามอำเภอใจ คงจะอาศัยกฎหมายไม่เพียงพอ จึงได้เกิดการรื้อฟื้นพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๒ ในรัชกาลปัจจุบัน แต่ได้ปรับเปลี่ยนพิธีการบางอย่าง และตัดทอนคำกล่าวสาปแช่งให้น้อยลง กลายเป็นเพียงการกล่าวคำปฏิญาณทั่วไป ทั้งนี้อาจเป็นเพราะต้องการสื่อให้เห็นว่าอำนาจของพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว และเป็นการยืนยันการปกครองแบบประชาธิปไตยด้วย ที่ให้ข้าราชการกล่าวคำสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และบ้านเมืองแทนองค์พระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่รู้กันว่า พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานั้น เป็นพิธีที่แสดงให้เห็นถึงการสวามิภักดิ์ และความจงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์อย่างชัดเจนอยู่แล้ว และยังสอดคล้องกับบัญญัติในกฏรัฐธรรมนูญว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ก็มันัยในความหมายที่ยกย่ององค์พระมหากษัตรย์ให้อยู่สูงสุดตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วย

อาจกล่าวได้ว่าไม่ว่าประเทศไทยของเราจะมีการพัฒนาไปสักเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเก่าๆ เดิมๆ จะต้องสูญหายไปตามกาลเวลาเสมอไป แต่ยังคงสืบเนื่องต่อมาได้อีกยาวนาน หากพิจารณาตามแนวคิดโครงสร้างหน้าที่ก็คงจะเห็นได้ชัดเจนว่า พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นการเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเมืองการปกครองกับสถาบันศาสนา และมีหน้าที่ในการปลุกจิตสำนึกให้ผู้เข้าร่วมพิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุจริต และเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งในการควบคุมข้าราชบริพารทั้งหลายมิให้กล้ากระทำผิดคำสัตย์สาบาน และตั้งใจกระทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเพื่อความสวัสดิมงคลของชีวิตตน

เพราะฉะนั้น แม้ปัจจุบันจะเป็นโลกแห่งโลกาภิวัฒน์ แต่เรื่องสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือต่อสิ่งอันเป็นที่เคารพสักการะนั้นมีอยู่เกือบทุกประเทศ แม้ประเทศที่กำลังเจริญทางวิทยาศาสตร์อย่างสุดขีด เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งคนไปถึงดวงจันทร์แล้ว แต่ก็ยังถือเอาคำสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นความจำเป็นที่จะต้องพึงปฏิบัติอยู่ เช่น ในพิธีที่สำคัญที่สุดของเขา คือพิธีเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็ยังมีการสาบานตนต่อพระคัมภีร์ หรือในอังกฤษเองก็ยังมีการสาบานตนในพิธีการต่างๆ อยู่หลายพิธี อาจเนื่องมาจากคำสาบานนั้นมีประโยชน์ เพราะจะคอยเตือนใจของผู้สาบานให้ระลึกถึงคำสาบานอยู่เสมอ จึงอาจทำให้มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดียิ่งขึ้นกว่าผู้ที่มิได้สาบานตน และยิ่งถ้าได้ดื่มน้ำสาบานร่วมกันกับพระมหากษัตริย์ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งจิตใจมิให้เราสลัดคำสานนั้นยิ่งขึ้น ดังนั้นคงไม่ต้องแปลกใจหากเรายังพบสัญลักษณ์หรือร่องรอยความเก่าแก่ของอดีต ปรากฏอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ในทุก
http://www.archae.su.ac.th/Anthropology/act/p5.htm
บันทึกการเข้า
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #1 เมื่อ: 21-08-2007, 09:42 »

สาบานแบบพุทธเป็นคำมั่นที่ให้ไว้กับตัวเอง ใช้ใจของตัวเองเป็นข้อบังคับ
สาบานแบบพราหมณ์ใช้ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งบังคับให้คนกลัว
หากจะไม่กลัวเกรง ใจคดเชื่อมั่นคำพูดตัวเองไม่ได้ สาบานไปก็ไม่มีผล
ที่แน่่ไอ้คนที่มันโยงเรื่องนี้เข้ากับรัฐประหารได้เนี่ย บ้าดีแท้ๆ
ทำเป็นอ้างมาเยอะแยะ สุดท้ายจบประเด็นด้วยการโยงเข้าเรื่องแบบไม่เอาไหน...เฮ้อ อนาคตของชาติมันแค่นี้เอง
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #2 เมื่อ: 21-08-2007, 10:32 »

"พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา"  นับเป็นพระราชพิธีที่มีเกียรติยิ่ง ข้าราชบริพารผู้ใด ได้เคยผ่านพระราชพิธีนี้ ถือเป็นสิริมงคลกับตนเองและครอบครัว ผู้ที่เคยเข้าร่วมพระราชพิธีนี้ จะมีชื่อบันทึกไว้เป็นเกียรติยศ

เคยมีคนชั่วที่อยากเป็นใหญ่เป็นโตในทางการเมือง ไปแอบอ้างว่าตนเคยเข้าร่วมพระราชพิธีนี้ แต่เมื่อค้นหาหลักฐานก็พบว่า โกหกหน้าด้านๆ เพราะไม่เคยเข้าร่วมในพระราชพิธีนี้แต่อย่างไร  เป็นที่เย้ยหยันแก่ประชาชนที่ทราบความจริงเป็นอันมาก

การที่ประสบหายนะทั้งตระกูล ก็อาจเนื่องด้วยการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงในกาลครั้งนั้นก็เป็นได้ 
บันทึกการเข้า
สมปอง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,128



« ตอบ #3 เมื่อ: 21-08-2007, 10:50 »

"พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา"  นับเป็นพระราชพิธีที่มีเกียรติยิ่ง ข้าราชบริพารผู้ใด ได้เคยผ่านพระราชพิธีนี้ ถือเป็นสิริมงคลกับตนเองและครอบครัว ผู้ที่เคยเข้าร่วมพระราชพิธีนี้ จะมีชื่อบันทึกไว้เป็นเกียรติยศ

เคยมีคนชั่วที่อยากเป็นใหญ่เป็นโตในทางการเมือง ไปแอบอ้างว่าตนเคยเข้าร่วมพระราชพิธีนี้ แต่เมื่อค้นหาหลักฐานก็พบว่า โกหกหน้าด้านๆ เพราะไม่เคยเข้าร่วมในพระราชพิธีนี้แต่อย่างไร  เป็นที่เย้ยหยันแก่ประชาชนที่ทราบความจริงเป็นอันมาก

การที่ประสบหายนะทั้งตระกูล ก็อาจเนื่องด้วยการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงในกาลครั้งนั้นก็เป็นได้ 
บันทึกการเข้า



ไม่มีดินผืนใดให้ไออุ่น เท่ากับดินที่คุณถือกำเนิด
ไม่มีดินผืนใดดูมั่นคง เท่ากับดินที่ลงสำมะโนครัว
ไม่มีดินผืนใดให้คุณเดิน เท่ากับดินที่คุณเดินตอนตั้งไข่
ไม่มีดินผืนใดมีความหมาย เท่าแผ่นดินสุดท้ายของเผ่าพันธุ์

ไม่มีเงินไม่มีทองยังไม่หมองเศร้า
มีแผ่นดินปลูกข้าวเราอยู่ได้
ไม่มีเงินไม่มีทองค่อยหาใหม่ บนแผ่นดินสุดท้ายของไทยทุกคน
samepong(ยุ่งแฮะ)
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,402



« ตอบ #4 เมื่อ: 21-08-2007, 12:00 »

"พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา"  นับเป็นพระราชพิธีที่มีเกียรติยิ่ง ข้าราชบริพารผู้ใด ได้เคยผ่านพระราชพิธีนี้ ถือเป็นสิริมงคลกับตนเองและครอบครัว ผู้ที่เคยเข้าร่วมพระราชพิธีนี้ จะมีชื่อบันทึกไว้เป็นเกียรติยศ

เคยมีคนชั่วที่อยากเป็นใหญ่เป็นโตในทางการเมือง ไปแอบอ้างว่าตนเคยเข้าร่วมพระราชพิธีนี้ แต่เมื่อค้นหาหลักฐานก็พบว่า โกหกหน้าด้านๆ เพราะไม่เคยเข้าร่วมในพระราชพิธีนี้แต่อย่างไร  เป็นที่เย้ยหยันแก่ประชาชนที่ทราบความจริงเป็นอันมาก

การที่ประสบหายนะทั้งตระกูล ก็อาจเนื่องด้วยการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงในกาลครั้งนั้นก็เป็นได้ 

เอาละซิ ทำไงดี แก๊ซ จุดติดยัง ถ้าติดแล้วก็แก้ตัวให้คนแอบอ้างพระราชพิธีหน่อยจิ

แล้วถามหน่อยเหอะ โยงไปเพื่ออะไร เค้าไม่ได้รัฐประหารษัตริย์ เค้ารัฐประหาร นายกโกงชาติ โกหกแผ่นดิน บ้าอะปะแก๊ซ โยงมั่วแล้วเนี่ย
บันทึกการเข้า

เวลาจะพิสูจน์ความเชื่อ สักวัน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะถูกหรือผิด ผมขอรับไว้ด้วยตัวเอง คิเสียว่าทำแล้วเสียใจดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #5 เมื่อ: 21-08-2007, 12:11 »

เป็นความพยายามอีกครั้งของลิ่วล้อปลายแถว เพื่อที่จะเชื่อมโยงทำให้เกิดความเสื่อมต่อสถาบันที่พวกมันเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังความล่มสลายของไอ้เหลี่ยมผู้เป็นนายเหนือหัว แต่บังเอิ๊ญๆ จะเป็นด้วยความซวยหรือความโง่ก็ไม่ทราบได้ ดันตกข้อมูลที่ว่าครั้งนึง ไอ้เหลี่ยมเคยยกเอาเรื่องพิธีผีสางที่ว่ามาแอบอ้างเพื่อเอาหน้ากับชาวประชาแบบหน้าด้านๆ แถมยังโดนเค้าจับได้ว่าโกหกตามสันดานอีกตะหาก

Mr. Green
บันทึกการเข้า
samepong(ยุ่งแฮะ)
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,402



« ตอบ #6 เมื่อ: 21-08-2007, 14:53 »

เป็นความพยายามอีกครั้งของลิ่วล้อปลายแถว เพื่อที่จะเชื่อมโยงทำให้เกิดความเสื่อมต่อสถาบันที่พวกมันเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังความล่มสลายของไอ้เหลี่ยมผู้เป็นนายเหนือหัว แต่บังเอิ๊ญๆ จะเป็นด้วยความซวยหรือความโง่ก็ไม่ทราบได้ ดันตกข้อมูลที่ว่าครั้งนึง ไอ้เหลี่ยมเคยยกเอาเรื่องพิธีผีสางที่ว่ามาแอบอ้างเพื่อเอาหน้ากับชาวประชาแบบหน้าด้านๆ แถมยังโดนเค้าจับได้ว่าโกหกตามสันดานอีกตะหาก

Mr. Green

เปลี่ยนคำว่า ความพยายาม เป้น ควาย พยายามได้ปะ
บันทึกการเข้า

เวลาจะพิสูจน์ความเชื่อ สักวัน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะถูกหรือผิด ผมขอรับไว้ด้วยตัวเอง คิเสียว่าทำแล้วเสียใจดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
Eakle
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 132



« ตอบ #7 เมื่อ: 21-08-2007, 15:18 »

 
บันทึกการเข้า

ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด NO.423
ชัย คุรุ เทวา โอม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,846


สมัครรักแมว แต่ผมรัก Cat


« ตอบ #8 เมื่อ: 21-08-2007, 18:00 »

ท่องบทโองการแช่งน้ำได้รึเปล่าคนพูดนะ
บันทึกการเข้า

"...สิ่งที่มนุษย์เราหวงแหนที่สุดก็คือชีวิต และก็เป็นสิ่งที่ให้แก่เขาเพื่อดำรงอยู่ได้แต่เพียงครั้งเดียว เขาจักต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องทรมานใจด้วยความโทมนัสว่าวันเดือนปีที่ผ่านไปนั้นปราศจากจุดหมาย จักต้องไม่มีความรู้สึกอับอายว่าตนมีอดีตอันต่ำต้อยด้อยคุณค่า ชีวิตเช่นนี้ เมื่อตายลงก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตของฉัน และพลังกายพลังใจทั้งหมดของฉันได้อุทิศให้แก่อุดมการณ์ที่ดีงามที่สุดแล้วในโลกนี้ นั่นคือการต่อสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพของมนุษย์..."

คำรำพัน ณ สุสานสหายผู้เสียสละในการต่อสู้ปฏิวัติ จากนวนิยายโซเวียตยอดนิยมเรื่อง เบ้าหลอมวีรชน

(How the Steel Was Tempered)

นิโคไล ออสตร๊อฟสกี้ เขียน ค.ศ.1933


*******************************

เชิญเยี่ยมชมบล็อคครับ
http://www.oknation.net/blog/amalit1990
Limmy
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,346


« ตอบ #9 เมื่อ: 21-08-2007, 19:26 »

3-4 อาทิตย์ก่อนก็เพิ่งเห็นพรรคไทยรักไทยดื่มน้ำสาบานร่วมกันนี่ครับ

หมอเลี๊ยบนำดื่มซะด้วย แพทยศาสตร์บัณฑิตนะนั่น 
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #10 เมื่อ: 21-08-2007, 19:37 »

3-4 อาทิตย์ก่อนก็เพิ่งเห็นพรรคไทยรักไทยดื่มน้ำสาบานร่วมกันนี่ครับ

หมอเลี๊ยบนำดื่มซะด้วย แพทยศาสตร์บัณฑิตนะนั่น 

  

ถ้าหมอเลี๊ยบเป็นผู้จัดน้ำมา น่าจะมั่นใจได้ว่า ผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้ว   

...

บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #11 เมื่อ: 21-08-2007, 20:27 »

 

ถ้าหมอเลี๊ยบเป็นผู้จัดน้ำมา น่าจะมั่นใจได้ว่า ผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้ว   

...



สภาวิทยาศาสตร์ไทย ขอประณามหมอเลี๊ยบครับ
ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์ไทยถอยหลังลงคลอง 5 55
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #12 เมื่อ: 21-08-2007, 20:50 »

ท่าทาง จขกท จะรู้จักแต่ ผี อย่างเดียว เทวดา ไม่รู้จัก
ตายไปคงเป็นได้แค่ สัมภเวสี

บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #13 เมื่อ: 21-08-2007, 20:50 »

คิดไรมากมาย ความงมงาย มันก็อยู่คู่กะสังคมไทย
ชนชั้นหรูก็งมงายอย่าง ชนชั้นหมอก็งมงายอย่าง
ชนชั้นรากหญ้าก็งมงายอีกอย่าง ไหนๆ ก็อยู่ประเทศ
ที่สนับสนุนความงมงายแล้ว ก็อย่าได้แบ่งชนชั้น
ความงมงายด่าแต่รากหญ้าเลยนะ แบ่งๆ กันงมงาย
มั่ง  
บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #14 เมื่อ: 21-08-2007, 20:52 »

คิดไรมากมาย ความงมงาย มันก็อยู่คู่กะสังคมไทย
ชนชั้นหรูก็งมงายอย่าง ชนชั้นหมอก็งมงายอย่าง
ชนชั้นรากหญ้าก็งมงายอีกอย่าง ไหนๆ ก็อยู่ประเทศ
ที่สนับสนุนความงมงายแล้ว ก็อย่าได้แบ่งชนชั้น
ความงมงายด่าแต่รากหญ้าเลยนะ แบ่งๆ กันงมงาย
มั่ง  

งมงายเรื่องผี ไม่เป็นไร
งมงายหมอดูนี่สิ ต้องเป็น
 
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #15 เมื่อ: 21-08-2007, 20:57 »

งมงายเรื่องผี ไม่เป็นไร
งมงายหมอดูนี่สิ ต้องเป็น
 

อ้าว มีแบ่งระดับของความงมงายด้วย ว่าผีไม่เป็นไร แต่หมอดูเป็น
เอาหลักการมั่วอะไรมาเหรอ ขอเหตุผลหน่อยสิ
บันทึกการเข้า
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #16 เมื่อ: 21-08-2007, 21:01 »

อ้าว มีแบ่งระดับของความงมงายด้วย ว่าผีไม่เป็นไร แต่หมอดูเป็น
เอาหลักการมั่วอะไรมาเหรอ ขอเหตุผลหน่อยสิ

ก็เห็นบ้านเมืองมันบรรลัยก็เพราะหมอดูพม่าเนี่ยท่านเอ๊ย....
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #17 เมื่อ: 21-08-2007, 21:12 »

ก็เห็นบ้านเมืองมันบรรลัยก็เพราะหมอดูพม่าเนี่ยท่านเอ๊ย....

โถ แค่ขี้ปากเค้า เชื่อง่ายแบบนี้เป็น ญ ก็พรุนแล้ว
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #18 เมื่อ: 21-08-2007, 21:12 »

ถ้าเชื่อเรื่องวิญญาณ เทวดา หรือพระเจ้า
เชื่อแล้วทำให้จิตใจเจริญ สังคมสงบสุข มีการพัฒนา ก็ดีแล้ว


แต่ถ้าเชื่อแล้วทำให้เสื่อม ก็ควรเลิกเชื่อ

บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #19 เมื่อ: 21-08-2007, 21:18 »

ถ้าเชื่อเรื่องวิญญาณ เทวดา หรือพระเจ้า
เชื่อแล้วทำให้จิตใจเจริญ สังคมสงบสุข มีการพัฒนา ก็ดีแล้ว


แต่ถ้าเชื่อแล้วทำให้เสื่อม ก็ควรเลิกเชื่อ


โห นามธรรม ล้วนๆ เลิกฝันเฟื่องได้แล้วหนู เค้าจะมีเหตุจำเป็นที่ยิ่งใหญ่กันแล้ว เหอ เหอ 
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #20 เมื่อ: 21-08-2007, 21:29 »

โห นามธรรม ล้วนๆ เลิกฝันเฟื่องได้แล้วหนู เค้าจะมีเหตุจำเป็นที่ยิ่งใหญ่กันแล้ว เหอ เหอ 

พูดเรื่องผีเรื่องวิญญาณกัน แล้วมันจะเป็นรูปธรรมได้ยังไง
โง่นี่หว่า
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #21 เมื่อ: 21-08-2007, 21:32 »

พูดเรื่องผีเรื่องวิญญาณกัน แล้วมันจะเป็นรูปธรรมได้ยังไง
โง่นี่หว่า


โถ ไร้เดียงสาจริง ไม่รู้เรอะว่าเทพเมืองไทยเดินได้จับต้องได้ 
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #22 เมื่อ: 21-08-2007, 21:38 »

โถ ไร้เดียงสาจริง ไม่รู้เรอะว่าเทพเมืองไทยเดินได้จับต้องได้ 

ไม่เคยเห็นครับ เพ้อหรือเปล่า ถ้าไข้สูงก็ไปหาหมอซะนะ
เคยเห็นแต่เท้าหมาเทพ กับเทพโพธฺิ์งาม
เล่นตลกทั้งคู่
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
ปรมาจารย์เจได
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,771


รักแท้ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ


« ตอบ #23 เมื่อ: 21-08-2007, 21:41 »

โถ แค่ขี้ปากเค้า เชื่อง่ายแบบนี้เป็น ญ ก็พรุนแล้ว

มิน่าล่ะ มันถึงได้พรุนอยู่อังกฤษโน่น
บันทึกการเข้า

http://www.oknation.net/blog/jedimaster



"เมืองดอกบัวงาม  แม่น้ำสองสี  มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน  ถิ่นไทยนักปราชญ์  ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามลำเทียนพรรษา  ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"

ไม่มีใครเน่าบริสุทธิ์ดุจดั่งมูล ประชาชินสมบูรณ์ซะที่ไหน เมื่อยืนหยัดโชว์จู๋และปาขี้ ประชาชินย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีขี้ผ่องอำไพ เหลี่ยมจันไsย่อมเป็นใหญ่อยู่ใต้ดิน ...

ขอเชิญร่วมกลุ่มต้านทักษิณใน hi5 ครับ

THAKSIN get out !!
http://www.hi5.com/friend/group/1123605--THAKSIN%2Bget%2Bout%2521%2521--front-html

say no to thaksin !
http://www.hi5.com/friend/group/1186900--say%2Bno%2Bto%2Bthaksin%2B%2521--front-html
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #24 เมื่อ: 21-08-2007, 21:47 »

ไม่เคยเห็นครับ เพ้อหรือเปล่า ถ้าไข้สูงก็ไปหาหมอซะนะ
เคยเห็นแต่เท้าหมาเทพ กับเทพโพธฺิ์งาม
เล่นตลกทั้งคู่

อิอิ ประเภทไปด่าแล้วตกนรกอ่ะ 
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #25 เมื่อ: 21-08-2007, 22:19 »

อิอิ ประเภทไปด่าแล้วตกนรกอ่ะ 

ชาวพุทธเชื่อว่าทำชั่วแล้วตกนรกน่ะครับ


ถ้าคุณไม่ใช่ชาวพุทธจะบอกให้อีกอย่างว่า
ด่าพ่อแม่เชื่อกันว่าตายไปจะเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม ทุกข์ทรมาณแสนสาหัส
ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด น่าเวทนาเป็นที่สุด


บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #26 เมื่อ: 21-08-2007, 22:31 »

ชาวพุทธเชื่อว่าทำชั่วแล้วตกนรกน่ะครับ


ถ้าคุณไม่ใช่ชาวพุทธจะบอกให้อีกอย่างว่า
ด่าพ่อแม่เชื่อกันว่าตายไปจะเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม ทุกข์ทรมาณแสนสาหัส
ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด น่าเวทนาเป็นที่สุด

ผิดแล้วน้องหนู พุทธ ต้องบอกนิกายบอกสายด้วย
ถ้าของพุทธทาสจะไม่มีนรกสวรรค์ สายอื่นมี แต่ถ้า
นิกายไทยๆ เสาชิงช้าก็มาเป็นพระได้ ด่าองคมนตรี
เผลอๆ ยังต้องเข้าคิวตกนรก

ทรมาน [ทอระมาน] ก. ทําให้ลําบาก, ทําทารุณ เช่น ทรมานตัว ทรมานสัตว์, 
 ทําให้ละพยศหรือลดทิฐิมานะลง. น. ชื่อปางพระพุทธรูปที่ขึ้นต้น
 ด้วยคํานี้ เช่นว่า ปางทรมานช้างนาฬาคิรี ปางทรมานพญานาค. 
 (ป., ส. ทมน)
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #27 เมื่อ: 21-08-2007, 22:48 »

ลืมไปมีคนบางจำพวกชอบอ้างท่านพุทธทาส เพื่อให้ตัวเองดูดี มีภูมิ
แต่แค่ศีล 5 ยังไม่รู้จักรักษา
ตถตา...


ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน ทรมาน
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
หน้า: [1]
    กระโดดไป: