aiwen^mei
|
|
« ตอบ #100 เมื่อ: 10-09-2007, 16:18 » |
|
คุณป้าศิลาแลงยังตอบคำถามได้แซบสะใจลูก ๆ หลาน ๆ เหมือนเคย ฝีปากไม่มีตกเลยนะคะ คุณป้า และเพื่อเป็นการไถ่โทษที่นู๋ทำย่อความยังไม่เสร็จ (ซ้ากที ) เลยขอประทานโทษด้วยอาหารว่างสองจานนี้เจ้าค่ะ รสชาติเปรี้ยว เผ็ดจี๊ดจ๊าด ทั้งกรอบทั้งหวานทั้งหอม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #101 เมื่อ: 10-09-2007, 17:59 » |
|
คุณป้าศิลาแลงยังตอบคำถามได้แซบสะใจลูก ๆ หลาน ๆ เหมือนเคย ฝีปากไม่มีตกเลยนะคะ คุณป้า และเพื่อเป็นการไถ่โทษที่นู๋ทำย่อความยังไม่เสร็จ (ซ้ากที ) เลยขอประทานโทษด้วยอาหารว่างสองจานนี้เจ้าค่ะ รสชาติเปรี้ยว เผ็ดจี๊ดจ๊าด ทั้งกรอบทั้งหวานทั้งหอม หลานเม่ย ป้ามาเปิดดูกระทู้ตอนกำลังหิวพอดี เห็นอาหารแล้วน้ำลายสอ ยำแซ่บหลายนี่ป้าโปรดนัก มีทั้งกุ้ง ปลาหมึก เห็ดหูหนูขาว ท่าทางจะรื่นคอดีนัก ส่วถุงทองนั้นท่าจะล้ำค่าเหมือนชื่อ คงกรุบกรอบเคี้ยวมันยิ่งกว่ากระดูกหนุ่มๆ อิอิ แต่แถวบ้านป้าหารายการอาหารประเภทนี้ไม่ใคร่จะได้ มีแต่ร้านลาบส้มตำเจ้าเก่า คงต้องอาศัยพึ่งพิงไปก่อน ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Suraphan07
|
|
« ตอบ #102 เมื่อ: 14-09-2007, 09:53 » |
|
ป้าแลง ครับ... ช่วงนี้มีข่าวแผ่นดินไหว แถมยังมีฝนตกชุกอีก... เรื่องแผ่นดินไหว คงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย และเมืองไทยก็ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ คนโบราณเลยไม่ได้มีวิธีแก้ไข... แต่เรื่องฝนตกนี่ ผมเคยได้ยินว่าให้หา สาวบริสุทธิ์ มากลั้นหายใจปักตะไคร้ กลับหัว เอารากชี้ขึ้นฟ้า ผมเองก็ไม่ใคร่เชื่อนักว่ามันจะไล่ฝนได้สำเร็จ แต่ก็เห็นเขาทำกันอยู่... ป้าฯพอจะทราบไหมครับว่า การปักตะไคร้... เป็นกุศโลบายอย่างไร ? ทำไมต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ ? เป็นหนุ่มได้ไหม ? ตอนสาวๆ ป้าฯเคยปักหรือเปล่าครับ แล้วเห็นผลไหม ? ทำไมต้องปักกลับหัว ? ทำไมต้องเป็นตะไคร้ ? ทำไมต้องกลั้นใจ ? แล้วถ้าผมจะไล่ไม่ให้พวก "นักการเมือง ขี้ฉ้อ"ได้เข้าไปมีอำนาจ กอบโกยเงินภาษี เข้าพกเข้าห่อตัวเองและพวกพ้อง... ผมจะดัดแปลงวิธีการนี้ไปใช้ได้ไหมครับ หรือต้องใช้วิธีการใดดี เพราะตอนนี้ อ่านข่าวแล้ว เห็นพวกเขาวิ่งหาพรรค-ต่อรองกันชุลมุนวุ่นวาย เพื่อเตรียมการเลือกตั้งกัน... ถ้าป้าฯ มีวิธี โปรดกรุณาชี้แนะด้วยครับ... ผมกะว่าจะเอาวิธีที่ป้าฯแนะนำ ไปเผยแพร่ให้ชาวบ้านเขาช่วยๆกันทำด้วย ถ้าได้ผล ผมจะช่วยเป็นหัวคะแนนให้ป้าฯ ในการลงเลือกตั้งสมัยหน้า โดยลดค่าบริการ 50% เลย... ขอบพระคุณป้าฯล่วงหน้ามา ณ.ที่นี้ ขอแสดงความนับถือ Suraphan07
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #103 เมื่อ: 14-09-2007, 20:53 » |
|
ป้าแลง ครับ... ช่วงนี้มีข่าวแผ่นดินไหว แถมยังมีฝนตกชุกอีก... เรื่องแผ่นดินไหว คงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย และเมืองไทยก็ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ คนโบราณเลยไม่ได้มีวิธีแก้ไข... แต่เรื่องฝนตกนี่ ผมเคยได้ยินว่าให้หา สาวบริสุทธิ์ มากลั้นหายใจปักตะไคร้ กลับหัว เอารากชี้ขึ้นฟ้า ผมเองก็ไม่ใคร่เชื่อนักว่ามันจะไล่ฝนได้สำเร็จ แต่ก็เห็นเขาทำกันอยู่... ป้าฯพอจะทราบไหมครับว่า การปักตะไคร้... เป็นกุศโลบายอย่างไร ? ทำไมต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ ? เป็นหนุ่มได้ไหม ? ตอนสาวๆ ป้าฯเคยปักหรือเปล่าครับ แล้วเห็นผลไหม ? ทำไมต้องปักกลับหัว ? ทำไมต้องเป็นตะไคร้ ? ทำไมต้องกลั้นใจ ? แล้วถ้าผมจะไล่ไม่ให้พวก "นักการเมือง ขี้ฉ้อ"ได้เข้าไปมีอำนาจ กอบโกยเงินภาษี เข้าพกเข้าห่อตัวเองและพวกพ้อง... ผมจะดัดแปลงวิธีการนี้ไปใช้ได้ไหมครับ หรือต้องใช้วิธีการใดดี เพราะตอนนี้ อ่านข่าวแล้ว เห็นพวกเขาวิ่งหาพรรค-ต่อรองกันชุลมุนวุ่นวาย เพื่อเตรียมการเลือกตั้งกัน... ถ้าป้าฯ มีวิธี โปรดกรุณาชี้แนะด้วยครับ... ผมกะว่าจะเอาวิธีที่ป้าฯแนะนำ ไปเผยแพร่ให้ชาวบ้านเขาช่วยๆกันทำด้วย ถ้าได้ผล ผมจะช่วยเป็นหัวคะแนนให้ป้าฯ ในการลงเลือกตั้งสมัยหน้า โดยลดค่าบริการ 50% เลย... ขอบพระคุณป้าฯล่วงหน้ามา ณ.ที่นี้ ขอแสดงความนับถือ Suraphan07 หลาน Suraphan07 การปักตะใคร้ไล่ฝนนั้น เป็นความเชื่อที่มีกันมาแต่ครั้งไหนก็ไม่ทราบ อาจจะมาจากกระเหรี่ยงก็ได้ เพราะป้าได้ยินมาว่า แม้แต่การโล้ชิงช้าของพราหมณ์ ยังมีนักปาด (ปาด สะกดถูกแล้ว ไม่ใช่ ปราชญ์) ออกมาให้ความเห็นว่า เรารับพิธีโล้ชิงช้ามาจากกระเหรี่ยง นอกจากการปักตะใคร้แล้ว ยังมีพิธีกวนข้าวทิพย์ ที่ระบุให้สาวบริสุทธิ์เป็นผู้กระทำการ และระหว่างที่กวนขนมอันหอมหวานนั้น หากมดหรือแมลงวันไต่ตอมสาวผู้ใด ก็จะเป็นสัญญลักษณ์ให้ทราบว่า ยายนั่นไม่บริสุทธิ์ ซวยกะลุดม้อ เสียชื่อเสียงไปตลอดชาติ ดังนั้นการกวนข้าวทิพย์ เขาจึงมักจะให้เด็กๆชนิดยังไม้ได้โกนจุก เป็นผู้กระทำการ เพื่อกันขี้ปากคน เรื่องปักตะไคร้ไล่ฝนนั้น ป้าเคยผ่านประสบการณ์อันเกือบจะขมขื่นมาแล้วหนหนึ่ง เมื่อครั้งยังเป็นละอ่อนหน้าใสวัยรุ่น ในวันนั้นสถานที่ซึ่งเรียนอยู่จะต้องมีกิจกรรมกลางแจ้ง แต่บังเอิญให้ฟ้าฝนเเกิดทำท่าจะตกโปรยปรายลงมา ทันใดนั้นคู่กัดอมตะของป้า เพื่อนรักคิดจะหักเหลี่ยมโหด แกล้งเอะอะโวยวายขึ้นมาว่า เราจะต้องช่วยกันหาทางป้องกันมิให้ฝนตก ด้วยเธอเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับการปักตะใคร้ไล่ฝน และยืนยันว่าได้ผลหากให้สาวพรหมจรรย์เป็นผู้กระทำพิธีนี้ ทันใดนั้นเธอก็โยนภาระหนักมาให้ป้า โดยพูดเสียเสียงดังว่าให้ยายศิลาแลงนั่นแน่ะไปปักตะใคร้ ด้วยความจริงแล้วในตอนนั้น ป้าก็มีคุณสมบัติครบถ้วนดังว่า หากแต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่า เรื่องปักตะใคร้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์ หากพลาดพลังฝนดันตกลงมา ชื่อเสียงของป้าคงจะป่นปี้ ป้ายิ้มรับคำท้าของคู่กัดอมตะในทันที และตอบรับจะกระทำการให้ เชิดหน้าสวยใสใส่หน้าเห่ยๆของไอ้เพื่อนทรยศคนนั้น ดูรึ ผู้ชายนั่งฟังเป็นก่ายเป็นกอง คิดจะมาฉีกหน้ากันในวันนี้ เป็นต้องเห็นดีกันบ้างล่ะ ชั่วเวลาไม่นานอาสาสมัครที่ไปหาตะไคร้ก็ได้ตะไคร้มากำมือหนึ่ง ป้ายิ้มหวานก่อนจะยื่นมือไปเพื่อจะรับมันมา แล้วก็ชะงักหดมือในทันใด พลางร้องถามผู้ที่ไปนำตะใคร้มาว่า เธอมีรอบเดือนหรือเปล่า เพื่อนคนนั้นรีบปฎิเสธเป็นพัลวัน ป้าก็หันไปยิงคำถามเข้าใส่คู่กัดในทันใดว่า เธอมีรอบเดือนหรือเปล่า ฝ่ายนั้นก็รีบปฎิเสธด้วยคาดไม่ถึงว่าป้าถามทำไม แล้วป้าก็ทำหน้าเหรอหรา บอกด้วยเสียงอันไม่ค่อยนักว่า ฉันปักไม่ได้หรอกวันนี้เผอิญมีรอบเดือน การปักตะใคร้นั้นนอกจากจะต้องให้สาวพรหมจรรย์เป็นผู้กระทำการแล้ว สาวนั้นยังจะต้องอยู่ในภาวะบริสุทธิ์อีกด้วย การมีรอบเดือนถือว่าร่างกายไม่บริสุทธิ์ ทำพิธีไม่ได้ ป้ารีบแถลงกรรมวิธีฉอดๆ ก่อนจะโยนภาระกลับไปให้ไอ้เพื่อนตัวแสบทันทีว่า เธอแน่ะยังบริสุทธิ์และไม่มีรอบเดือน ออกไปเสียสละเพื่อมวลชนสักหน่อยเถิด หอกทมิฬแทงทมิฬ ป้านึกถึงท่านศรีปราชญ์ขึ้นมาในเวลานั้น "ธรณีนี่นี้, เป็นพยาน. เราก็ศิษย์มีอาจารย์, หนึ่งบ้าง. เราผิดท่านประหาร, เราชอบ. เราบ่ผิดท่านมล้าง, ดาบนี้ คืนสนอง" คู่กัดอมตะของป้าสุดปัญญาจะหลบเลี่ยงภาระ เพราะใครต่อใครก็หันมามองเธอกันเป็นตาเดียว จำใจต้องเดินขาสั่นออกไปปักตะใคร้ทำพิธี ป้าก็เอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ไม่อยากจะบอกเลยว่า วันนั้นเราต้องย้ายไปทำกิจกรรมกันในอาคาร และคู่กัดอมตะของป้าก็มีภาระที่จะต้องแก้ความเชื่อผิดๆเรื่องการปักตะใคร้ไล่ฝน นานจบจบการศึกษาที่นั่นเลย ส่วนการไล่นักการเมืองขี้ฉ้อนั้น หลาน Suraphan07 จะนำวิธีปักตะใคร้ไปใช้ก็น่าจะได้ผล แต่จะต้องทำตามที่ป้าบอกดังนี้ 1. ผู้กระทำการปักตะใคร้จะต้องเป็นชายหนุ่มบริสุทธิ์ มิเคยต้องมือชายด้วยกันมาก่อน แต่หากจะเคยมีอะไรกับสตรีมาแล้วไม่เป็นไร ขอให้ไม่เคยเสียท่าชายด้วยกันมาก็เป็นพอ 2. นำตะใคร้มาปักกลับหัว เช่นเดียวกับการไล่ฝน 3. ต้องกลั้นใจขณะปักตะใคร้ด้วย 4. ปักหนึ่งต้นไล่ได้หนึ่งคน ให้ออกชื่อคนที่ต้องการไล่ในขณะกลั้นใจปัก สี่ข้อเอง ไม่ยากเลยใช่ไหม หากทำดังนี้แล้วป้ารับรองว่า คนที่ถูกขับไล่นั้นจะไม่ได้เข้ามาในวงการเมืองอีกตลอดกาล เว้นเสียแต่ว่า คนปักนั้นจะผิดกติกาข้อที่ 1. หลาน Suraphan07 รีบกระทำการเลยนะจ๊ะ ป้าเองก็ฝากความหวังไว้ที่หลาน บ้านเมืองเราจะได้ปลอดคนชั่วเสียที ศิลาแลง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2007, 00:17 โดย ศิลาแลง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #104 เมื่อ: 14-09-2007, 21:42 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
วิหค อัสนี
|
|
« ตอบ #105 เมื่อ: 15-09-2007, 01:25 » |
|
ไล่นักการเมืองนี่ ใช้ตัดไม้ข่มนามน่าจะได้ผลกว่านาผมว่า... เรื่องแผ่นดินไหวก็พูดยาก มีหลายๆ คนว่ากันว่าธรรมชาติ พระแม่ธรณีกำลังปรับสมดุลอีกระลอกแล้ว เหมือนร่างกายคนเรามีพลังฟื้นตัว มีระบบภูมิต้านทานที่จะกำจัดเชื้อโรค ปรสิต หรือมะเร็งเนื้อร้ายที่เกาะกินอยู่นั่นแหละ ในบอร์ดโหราศาสตร์ของฝรั่งที่นึง ช่วงนี้ก็มีกระทู้เรื่องแผ่นดินไหว ซึ่งหลายๆ คนมีความเห็นว่าน่าจะสอดคล้องสัมพันธ์กับคราสที่เกิดขึ้น 3 ครั้งแล้วในปีนี้ (และในรอบเดือนที่ผ่านมาก็เพิ่งเกิดสุริยคราสไป 1 และจันทรคราสเต็มดวงไป 1 ครั้งติดๆ) และความเคลื่อนไหวอีกหลายๆ อย่างที่บ่งชี้ถึงความโกลาหลทั่วโลกเหมือนช่วงเวลาใกล้สิ้นยุคยังไงยังงั้น น่าคิดและน่ากลัวอยู่เหมือนกัน... ที่แน่ๆ ผมเห็นทางเว็บประชาๆ อะไรซักที่นึงนี่แหละ ที่ถกการเมืองกันดุเดือดเลือดพล่านฮาร์ดคอร์ทุกวัน มีคุยเรื่องแผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติเหมือนกันเลย หลายคนในนั้นดูจะลุ้นกันออกนอกหน้าเหลือเกิน ว่าเมื่อไหร่ "กทม. กับภาคใต้จะจมน้ำหรือโดนธรณีสูบไปซะที (โทษฐานเป็นฝ่ายมารต่อต้านท่านพ่อผู้มีบุญทักษิณ)" อะไรประมาณนั้นเลย คุณป้าครับ ถึงตรงนี้ผมมีคำถามอย่างนึง อะไรทำให้คนไทยเรามีทัศนคติมุ่งร้ายต่อเพื่อนมนุษย์และแผ่นดินเกิดกันได้มากขนาดนี้ครับ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
_______ดังนี้แล __เปลวไฟจักลุกโชน ___หามีวันดับลงได้ _ตราบที่ในมือพวกสูเจ้า ยังแต่น้ำมันเตาให้ราดรดไป
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #106 เมื่อ: 15-09-2007, 01:58 » |
|
สวัสดีค่ะ....คุณป้าศิลาแรงขา
ดอกฟ้าฯ ยังชื่นชอบและติดตามอ่านกระทู้นี้อยู่เรื่อยๆตลอดนะคะ
สืบเนื่องจากเรื่องที่คุณป้าบอกวิธีการ ปักตะไคร้ ไล่*****อะไรสักอย่างอ่ะค่ะ
ต้องหาซื้อตะไคร้ตั้งร้อยกว่าต้นได้ไงคะ อาจทำให้ตะไคร้ขาดตลาดได้เลยทีเดียวนะคะ
เหมือนกับตอนนี้ที่ยางอายขาดตลาดจากประเทศเราไปนานแล้ว
พยายามออเดอร์จากญี่ปุ่น แต่ทางเค้าปฎิเสธมาแบบน่าเจ็บหัวใจ
ว่ายางอายมีไว้ขายคนที่มีจิตสำนึกบ้าง แต่ลูกค้าของเราที่ส่วนใหญ่เป็นพวกนักเลือกตั้ง
ส่งมาให้มากแค่ไหน คงไม่พอใช้อ่ะค่ะ ขนาดเปิดแอลซีจากธนาคารให้ เพื่อยืนยันว่าไม่เบี้ยวเด็ดขาดแล้วนะคะ
เค้ายังไม่ยอมขายให้แบบนี้หมายความว่าไงคะ
อ้อ....ขอเรียนถามอีกเรื่องนึงนะคะ ที่ปักตะไคร้ไล่*****เนี่ย ต้องใช้ตะไคร้ในปริมาณที่มากพอสมควร
อันที่จริงดอกฟ้าฯก็เพิ่งเคยได้ยิน
ขอเรียนถามว่า....หลังจากเสร็จพิธีกรรมแล้ว เราจะเอาตะไคร้ไปทำน้ำตะไคร้ได้ป่าวค่ะ
เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นน้ำตะไคร่อ่ะค่ะ
แบบว่ามันไม่แน่ใจ จิงๆนะคะ
ขอรบกวนคุณป้าฯ อีกครั้งนะคะ
ดอกฟ้าฯหลานคุณป้าเองค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #107 เมื่อ: 15-09-2007, 09:34 » |
|
ไล่นักการเมืองนี่ ใช้ตัดไม้ข่มนามน่าจะได้ผลกว่านาผมว่า... เรื่องแผ่นดินไหวก็พูดยาก มีหลายๆ คนว่ากันว่าธรรมชาติ พระแม่ธรณีกำลังปรับสมดุลอีกระลอกแล้ว เหมือนร่างกายคนเรามีพลังฟื้นตัว มีระบบภูมิต้านทานที่จะกำจัดเชื้อโรค ปรสิต หรือมะเร็งเนื้อร้ายที่เกาะกินอยู่นั่นแหละ ในบอร์ดโหราศาสตร์ของฝรั่งที่นึง ช่วงนี้ก็มีกระทู้เรื่องแผ่นดินไหว ซึ่งหลายๆ คนมีความเห็นว่าน่าจะสอดคล้องสัมพันธ์กับคราสที่เกิดขึ้น 3 ครั้งแล้วในปีนี้ (และในรอบเดือนที่ผ่านมาก็เพิ่งเกิดสุริยคราสไป 1 และจันทรคราสเต็มดวงไป 1 ครั้งติดๆ) และความเคลื่อนไหวอีกหลายๆ อย่างที่บ่งชี้ถึงความโกลาหลทั่วโลกเหมือนช่วงเวลาใกล้สิ้นยุคยังไงยังงั้น น่าคิดและน่ากลัวอยู่เหมือนกัน... ที่แน่ๆ ผมเห็นทางเว็บประชาๆ อะไรซักที่นึงนี่แหละ ที่ถกการเมืองกันดุเดือดเลือดพล่านฮาร์ดคอร์ทุกวัน มีคุยเรื่องแผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติเหมือนกันเลย หลายคนในนั้นดูจะลุ้นกันออกนอกหน้าเหลือเกิน ว่าเมื่อไหร่ "กทม. กับภาคใต้จะจมน้ำหรือโดนธรณีสูบไปซะที (โทษฐานเป็นฝ่ายมารต่อต้านท่านพ่อผู้มีบุญทักษิณ)" อะไรประมาณนั้นเลย คุณป้าครับ ถึงตรงนี้ผมมีคำถามอย่างนึง อะไรทำให้คนไทยเรามีทัศนคติมุ่งร้ายต่อเพื่อนมนุษย์และแผ่นดินเกิดกันได้มากขนาดนี้ครับ? หลาน QuaOs การตัดไม้ข่มนาม ก็เป็นวิธีการทางพิชัยสงครามโบราณ ไทยเรานั้นใช้กันมาหลายยุคหลายสมัย ครั้งสุดท้ายก็เมื่อประกาศสงครามกับเยอรมัน ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 6 วันกระทำพิธีประกาศสงครามนั้น ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า ขณะประกาศสงคราม พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระบาทเหยียบใบฝรั่ง อันเป็นเคล็ดตามตำราพิชัยสงครามว่าด้วยการตัดไม้ข่มนาม ไม่ต้องถึงกับให้ทรงตัด เพียงทรงพระเหยียบ ครั้งนั้นเราก็ชนะสงครามแล้ว เรื่องแผ่นดินไหวนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ แผ่นโลกหลายแผ่นมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะแผ่นโลกนั้นลอยอยู่บนแมกมา เมื่อมาเกยกันเข้าต่างก็ดันกันด้วยกำลัง ประมาณว่าใครดีใครอยู่ สุดท้ายก็เจ๊ากันไป แต่คนที่อยู่บนแผ่นโลกสองแผ่นนั้นก็เจ๊งกันไป ความเห็นที่ว่าแผ่นดินไหวสัมพันธ์กับคราสนั้น ก็นับว่าเป็นข้อสังเกตุทางวิชาการโหราศาสตร์ มีผู้สังเกตุมามากมาย แต่ก็ทายไม่ใคร่จะถูกว่ามันจะไหวอีกเมื่อใด เคยอ่านพบมาว่าบ้างก็โทษดาวมฤตยู ว่าเป็นต้องรับผิดชอบต่อการเกิดแผ่นดินไหว แต่อย่างไรก็ตาม ตามตำราอภิไทยโพธิบาทว์ เหตุวิปริตผิดธรรมชาตินั้นอาจทำนายได้ในหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่จะเป็นการเตือนก่อนเกิดอาเภทภัย คงไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้านายของเวบบอร์ดจัuไรเหล่านั้น คำถามสุดท้ายของหลานนั้นแทงใจป้าเป็นอันมาก หลานเคยได้ยินข่าวหนุ่มรักคุดบุกฆ่าสาวคนรักที่คิดตีตัวออกห่างไหม หรือข่าวสาดน้ำกรดทำลายโฉมแฟนที่คิดตีจาก มันก็เช่นเดียวกันกับกลุ่มคนไทยเราบางกลุ่ม ที่มีทัศนคติมุ่งร้ายต่อเพื่อนมนุษย์และแผ่นดินเกิด เพราะเมื่อตนไม่ได้ดังประสงค์ ก็ทำลายสิ่งนั้นเสีย มิได้คำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรมความถูกต้อง นับเป็นกลุ่มคนหรือบุคคลที่มีสันดานนิสัยต่ำช้า ตามคำบอกเล่าของโบราณ ก็ต้องเหมารวมเอาว่าเป็นเปรตอสุรกายมาเกิด และยังไม่ละทิ้งนิสัยดั้งเดิมจ๊ะ ศิลาแลง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2007, 09:40 โดย ศิลาแลง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #108 เมื่อ: 15-09-2007, 09:54 » |
|
สวัสดีค่ะ....คุณป้าศิลาแรงขา
ดอกฟ้าฯ ยังชื่นชอบและติดตามอ่านกระทู้นี้อยู่เรื่อยๆตลอดนะคะ
สืบเนื่องจากเรื่องที่คุณป้าบอกวิธีการ ปักตะไคร้ ไล่*****อะไรสักอย่างอ่ะค่ะ
ต้องหาซื้อตะไคร้ตั้งร้อยกว่าต้นได้ไงคะ อาจทำให้ตะไคร้ขาดตลาดได้เลยทีเดียวนะคะ
เหมือนกับตอนนี้ที่ยางอายขาดตลาดจากประเทศเราไปนานแล้ว
พยายามออเดอร์จากญี่ปุ่น แต่ทางเค้าปฎิเสธมาแบบน่าเจ็บหัวใจ
ว่ายางอายมีไว้ขายคนที่มีจิตสำนึกบ้าง แต่ลูกค้าของเราที่ส่วนใหญ่เป็นพวกนักเลือกตั้ง
ส่งมาให้มากแค่ไหน คงไม่พอใช้อ่ะค่ะ ขนาดเปิดแอลซีจากธนาคารให้ เพื่อยืนยันว่าไม่เบี้ยวเด็ดขาดแล้วนะคะ
เค้ายังไม่ยอมขายให้แบบนี้หมายความว่าไงคะ
อ้อ....ขอเรียนถามอีกเรื่องนึงนะคะ ที่ปักตะไคร้ไล่*****เนี่ย ต้องใช้ตะไคร้ในปริมาณที่มากพอสมควร
อันที่จริงดอกฟ้าฯก็เพิ่งเคยได้ยิน
ขอเรียนถามว่า....หลังจากเสร็จพิธีกรรมแล้ว เราจะเอาตะไคร้ไปทำน้ำตะไคร้ได้ป่าวค่ะ
เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นน้ำตะไคร่อ่ะค่ะ
แบบว่ามันไม่แน่ใจ จิงๆนะคะ
ขอรบกวนคุณป้าฯ อีกครั้งนะคะ
ดอกฟ้าฯหลานคุณป้าเองค่ะ หลาน ดอกฟ้าฯ ตะไคร้นั้นเป็นพืชพื้นเมืองอย่างหนึ่งของไทยเราเอง หากประชาชนมีความต้องการดีมานด์สูง เหล่าเกษตรกรก็จะสนองตอบซัพพลายให้ได้โดยไม่ยาก เป็นการสนับสนุนสินค้าการเกษตรได้อย่างหนึ่งจ๊ะ หลานไม่ต้องห่วงว่าตะไคร้จะขาดตลาดหรอก มันอาจจะมีราคาแพงขึ้นบ้าง เดือดร้อนก็แต่ป้าอังแห่งร้านบารนีเท่านั้น เพราะป้าแกจะต้องซื้อตะไคร้ราคาแพงเพื่อเอาไปทำยำแซ่บๆ ยางอายนั้นอาจจะขาดตลาดไปบ้างในพักนี้ เพราะยางอายไม่อาจกรีดได้จากต้นยางธรรมชาติโดยทั่วไป ยางแยเป็นสารพิเศษที่หลั่งออกจากมโนสำนึกของคนดีเท่านั้น พักนี้คนดีหลบมุม ยางอายเลยดูเหมือนจะขาดหายไปด้วย แต่ยางอายนั้นเป็นปฎิภาคกลับกับยางหัว มนุษย์คนใดยางอายขาดหายไปจากใบหน้า ไม่ช้ายางหัวก็จะตก ดูอย่างคนหน้าเหลี่ยมๆสิจ๊ะ ยางอายหายไป กอบโกยโกงกินขนานใหญ่ ไม่ช้าไม่นานยางหัวก็ตกเหมือนยางคางคกไหล ตอนนี้เลยต้องไปนอนเลียยางหัวตัวเอง เลียดิ๊ เลียดิ๊ ไทยเราจะไปออเดอร์ยางอายจากญี่ปุ่นนั้น ถึงจะเปิดแอลซีหรือเองเงินสดไปกอง ก็คงไม่ได้มันมาหรอกจ๊ะ เพราะญี่ปุ่นเองนั้นก็ไม่ใคร่จะมียางอายเหลือ ถ้าหลานไม่เชื่อ ลองไปถามร้านซีดีใต้ดินดู จะเห็นว่าคิกขุอาโนเนะทั้งหลายนั้น ทิ้งยางอายไปตั้งแต่ยังใส่ชุดนักเรียนคอซองกันอยู่เลย ไทยเราก็กำลังตามรอยไปติดๆจ๊ะ การนำตะไคร้ที่ทำพิธีกรรมดังว่าไปทำเป็นน้ำตะไคร้ เพื่อเป็นการรีไซเคิลนั้น ป้าคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย หั่นๆตัดๆไอ้ตรงที่เปื้อนขี้ดินออกเสียบ้าง แล้วทุบๆบุบๆ เอาไปต้มใส่น้ำตาลกรวด หวานเช็งๆดื่มแล้วชุ่มคอชื่นใจ เสียแต่ว่าอาจมีคนตั้งข้อรังเกียจ เหมือนของเซ่นผี คนเราหาควรนำกลับมากินไม่ ได้แต่จะยกเป็นทานให้สุนัขต่อไป ดังนั้นเรื่องนี้ แล้วแต่ว่า จะถือหรือไม่จ๊ะ ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #109 เมื่อ: 25-09-2007, 22:37 » |
|
คุณป้าศิลาแลงเจ้าคะ ขออนุญาต(แอบ)นำคำปรารภของท่านประธานบอนนี่มาส่งมอบให้ถึงมือคุณป้านะคะ คำถาม เอ๊ย ขอประทานโทษค่ะ คำปรารภมีว่าดังนี้ค่ะ ... อนึ่ง.. เห็นมีกระทู้เชิญชวนให้ส่งบทความประชาธิปไตยไปร่วมจัดทำหนังสือของกลุ่มคนรักทักษิณ ฝ่ายเราก็มีนักเขียนดีๆ หลายคนน่าจะส่งไปร่วมนะครับเป็นการให้ความรู้ด้านประชาธิปไตยที่ถูกต้องแก่สังคม "ด้อยโอกาส" โดยเฉพาะป้าศิลาแลงน่าจะไปตอบข้อข้องใจหน่อย รบกวนขอทราบความเห็นของคุณป้าศิลาแลงด้วยนะเจ้าคะ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเจ้าค่ะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2007, 22:41 โดย aiwen^mei »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #110 เมื่อ: 26-09-2007, 09:06 » |
|
คุณป้าศิลาแลงเจ้าคะ ขออนุญาต(แอบ)นำคำปรารภของท่านประธานบอนนี่มาส่งมอบให้ถึงมือคุณป้านะคะ คำถาม เอ๊ย ขอประทานโทษค่ะ คำปรารภมีว่าดังนี้ค่ะ รบกวนขอทราบความเห็นของคุณป้าศิลาแลงด้วยนะเจ้าคะ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเจ้าค่ะ หลานเม่ย การจัดทำหนังสือนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการเผยแพร่ความรู้ คามเห็น ทัศนคติ ของผู้เขียนและผู้จัดทำ หรือเจ้าของนายทุนหนังสือ ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ แต่อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกบทความ หรือการคัดเลือกนักเขียนนั้น คงจะต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกับหนังสือนั้นๆ หากบทความหรือนักเขียน ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของหนังสือ ก็จะกลายเป็นอันตรายต่อหนังสือเล่มนั้นได้ หนังสือของกลุ่มคนรักทักษิณ ที่จะทำขึ้นเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ คงจะเป็นหนังสือในแนวเศร้าโศก วิปโยค หวนไห้ น่าจะมีบทความไปในแนววสรรเสริญผู้ที่จากไป ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า หนังสือประเภทนี้ จะไม่กล่าวให้ร้ายผู้ที่ถูกไว้อาลัย หากมหาโจรสักคนหนึ่งจากไป ลูกเมียคงจะทำหนังสือเยินยอแจกในวันสำคัญนั้น โดยกล่าวแต่สิ่งที่ดีๆ ทำนองที่ว่า ถึงจะเป็นโจรก็เป็นประเภทโรบินฮู๊ด และละเว้นจะกล่ววถึงความจริง เพราะถึงแม้ความจริงจะเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่หนังสือนั้นก็ทำสำหรับคนที่ตายแล้ว และคนที่ตายแล้วจะไม่รับรู้ ไม่ว่าความนั้นจะจริงหรือไม่ หากแต่คนอยู่นั่นสิ จะบากหน้ารับความจริงที่คนตายทำไว้ไม่ได้ ดังนั้นแนวทางของหนังสือเล่มดังกล่าว จึงน่าจะขัดแย้งกับนักเขียนของเสรีไทยทุกผู้ทุกนาม เพราะพวกเรานั้นประสงค์ที่จะพูดแต่ความจริง และลิ้นของพวกเราไม่มีขน ดังนั้นปากกาของพวกเราจึงคมเสมอๆ การจะให้นำบทความของพวกเรานั้นไปลงในหนังสือดังกล่าว ก็อาจบาดหนังสือของเขาให้ขาดกระจุยกระจายได้ ในส่วนตัวของป้าเองนั้น ป้าก็ยินดีที่จะส่งบทความไปลงในหนังสือนั้น ตามเงื่อนไขดังกล่าวมาแล้ว และด้วยศักดิ์ศรีของผู้ที่เขียนกอไก้ขอไข่ได้ ก็ย่อมไม่อยากให้ใครมาแก้ไขหรือดัดแปลงข้อเขียน แต่ก็เกรงว่าบรรณาธิการของหนังสือเล่มนั้น จะกระอักเลือดตายก่อนอ่านบทความจบ อย่าไปพูดถึงขั้นจะได้ตีพิมพ์เลย เพราะถ้าถึงขั้นนั้น แท่นพิมพ์จะลุกเป็นไฟไปเสียเปล่าๆปลี้ๆ ถ้าท่านประธานบอนนี่ จะนำบทความของชาวเสรีไทย ไปส่งให้กับบรรณาธิการของหนังสือเล่มนั้นเมื่อไหร่ ช่วยบอกป้าด้วย ป้าจะได้เฝ้าติดตามข่าว พักนี้เขาแทงกันทีละห้าสิบหกสิบแผล ท่านประธานบอนนี่อาจจะทำสถิติใหม่ก็ได้ ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #111 เมื่อ: 26-09-2007, 15:40 » |
|
ได้อ่านคำตอบของคุณป้าแล้ว จี๊ดค่ะจี๊ด ป่าวนะคะ ไม่ใช่นู๋เป็นอะไรหรอกค่ะ แม้ว่าหลายวันนี้ อากาศร้อนซะจนเริ่มมีอาการเวียนหัวเท้าฮิ้งรบกวนบ้างก็ตาม จนต้องอาศัยขบน้ำแข็งกร๊อบ ๆ แก้ร้อนค่ะ สมมติว่าตัวนู๋เองเป็นคนฝั่งคะโน้นอะนะคะ คำตอบที่เชือดเฉือนของคุณป้าคงทำให้รู้สึกหัวใจมันเจ็บจิ๊ด ๆ ถ้าวัดความดัน ตัวเลขคงพุ่งไปที่ 180 หน้าแดงก่ำ ตาเหลือกโปนแน่ ๆ เชียวค่ะ พออ่านคำตอบถึงตอนท้ายแล้วรู้สึกว่าสังคมบ้านเรามันน่ากลัวขึ้นทุกที เด็กมัธยมต้นอายุยังไม่ถึง 15 ฆ่ากันตายโดยใช้มีดจ้วงแทงพรุนถึงห้าสิบแผลไม่ต่างจากนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ถูกแทงตายหลายสิบแผลเพียงเพราะหวังดีไปห้ามนักศึกษารุ่นน้องต่างมหาวิทยาลัยที่ทะเลาะกับแฟนสาว นี่ยังไม่นับการรับน้องด้วยวิธีแปลกประหลาดพิเรนทร์พิสดาร จนบานปลายเกิดการบาดเจ็บโคม่าปางตายเสียชีวิต ขออนุญาตขอคำแนะนำจากคุณป้าผู้รอบรู้ค่ะว่า ในฐานะพ่อแม่ผู้ปกครองของเยาวชนทุกวันนี้ ควรจะอบรมสั่งสอนบุตรหลานเป็นพิเศษอย่างไรดีคะถึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อแห่งความรุนแรง ความไร้สติของเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2007, 15:50 โดย aiwen^mei »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #112 เมื่อ: 26-09-2007, 18:25 » |
|
ได้อ่านคำตอบของคุณป้าแล้ว จี๊ดค่ะจี๊ด ป่าวนะคะ ไม่ใช่นู๋เป็นอะไรหรอกค่ะ แม้ว่าหลายวันนี้ อากาศร้อนซะจนเริ่มมีอาการเวียนหัวเท้าฮิ้งรบกวนบ้างก็ตาม จนต้องอาศัยขบน้ำแข็งกร๊อบ ๆ แก้ร้อนค่ะ สมมติว่าตัวนู๋เองเป็นคนฝั่งคะโน้นอะนะคะ คำตอบที่เชือดเฉือนของคุณป้าคงทำให้รู้สึกหัวใจมันเจ็บจิ๊ด ๆ ถ้าวัดความดัน ตัวเลขคงพุ่งไปที่ 180 หน้าแดงก่ำ ตาเหลือกโปนแน่ ๆ เชียวค่ะ พออ่านคำตอบถึงตอนท้ายแล้วรู้สึกว่าสังคมบ้านเรามันน่ากลัวขึ้นทุกที เด็กมัธยมต้นอายุยังไม่ถึง 15 ฆ่ากันตายโดยใช้มีดจ้วงแทงพรุนถึงห้าสิบแผลไม่ต่างจากนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ถูกแทงตายหลายสิบแผลเพียงเพราะหวังดีไปห้ามนักศึกษารุ่นน้องต่างมหาวิทยาลัยที่ทะเลาะกับแฟนสาว นี่ยังไม่นับการรับน้องด้วยวิธีแปลกประหลาดพิเรนทร์พิสดาร จนบานปลายเกิดการบาดเจ็บโคม่าปางตายเสียชีวิต ขออนุญาตขอคำแนะนำจากคุณป้าผู้รอบรู้ค่ะว่า ในฐานะพ่อแม่ผู้ปกครองของเยาวชนทุกวันนี้ ควรจะอบรมสั่งสอนบุตรหลานเป็นพิเศษอย่างไรดีคะถึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อแห่งความรุนแรง ความไร้สติของเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน หลานเม่ย สังคมของไทยเรานั้น ก้าวเข้าสู่สังคมทุนนิยมสามนย์อย่างเต็มตัวแล้ว ตัวอย่างของสังคมแบบนี้ เราจะเห็นได้ทั่วไปในประเทศที่คิดว่าตัวเองเจริญแล้ว และเที่ยวแส่เรื่องของชาวบ้านเขาไปทั่วโลก อย่างเช่นสหรัฐอเมริกา ในประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกานั้น เด็กๆก็พกปืน ไปไล่ยิงเพื่อนยิงครูตายคาโรงเรียน จนเป็นข่าวให้เราได้รับทราบกัน ส่วนข่าวย่อยๆอย่างเช่นยกพวกตบกัน หรือยกพวกตีกันนั้น มันคงไม่สลักสำคัญอะไรจนกระทั่งนำมาเสนอข่าวถึงเมืองไทย แต่ถ้าใครอยากรู้ก็ลองส่งลูกไปเรียนในย่านเสื่อนโทรมของอเมริกันดู ศพของลูกที่ถูกส่งกลับมาจะรายงานสถานการณ์ให้ทราบได้เป็นอย่างดี ความจริงการเลี้ยงลูกของคนไทยตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีปัญหามากมายจนถึงกับกล่าวได้ว่าเป็นปัญหาสังคม จริงอยู่ปัญหานั้นย่อมมีเสมอ ในทุกครอบครัว แต่ระดับความรุนแรงและจำนวนของปัญหาที่เกิดขึ้น ในสมัยเรายังถูกกล่าวหาว่าด้อยพัฒนานั้น น้อยกว่าสมัยที่เราพัฒนาแล้วเป็นอันมาก อาจจะพูดได้เต็มปากว่า แต่เดิมมา คนไทยเลี้ยงลูกเป็น สุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เคยกล่าวสอนเอาไว้ว่า "ถ้ารักวัวกลัวทำไมท่านให้ผูก ถ้ารักลูกก็อย่าปล่อยคอยว่าขาน หากพ่อแม่พะนอลูกไม่ถูกกาล ก็เหมือนหว่านพืชฉิบหายในสกุล" แต่ทุกวันนี้พืชฉิบหายนั้น งอกงามเต็มสกุลต่างๆของไทย จนดาษดื่นแล้ว เป็นเพราะคนไทยเริ่มเลี้ยงลูกไม่เป็น และลูกที่เกิดมานั้น เกิดมาเพราะพ่อกับแม่ได้ทำกิจกรรมตามธรรมชาติ ลูกเป็นผลพลอยได้ หรือบางทีก็เป็นมารหัวขน ดังนั้นเมื่อลูกเกิดมาด้วยวิธีการอย่างนี้ การเลี้ยงดูและอบรมมันก็เลยวิปริตไปเช่นนี้ และมันยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เมื่อมีนักสังคม ผู้ใส่ใจในสังคม หรือจะเรียกให้ชัดเจนว่า พวกที่ไม่มีงานการอะไรที่จะทำให้เป็นประโยชน์ได้ พากันแห่เข้ามาสร้างกฎเกณฑ์ทางสังคม โดยเฉพาะวิธีการจัดการกับเด็กมีปัญหา ครูถูกสั้งห้ามไม่ให้ลงโทษนักเรียนด้วยการตี เด็กที่กระทำผิดกฎหมายถูกละเว้นโทษ พ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เด็กที่กระทำผิดต่อเด็กด้วยกัน จะถูกเห็นใจมากกว่าเด็กที่เป็นเหยื่อ ผลสรุปสุดท้ายคือเรามีอาชญากรที่ยังไม่หย่านมเต็มบ้านเต็มเมือง สังคมมันวิปริตไปแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรกับลูกหลานของเรา หากเรายังคงเลี้ยงลูกเป็น และไม่ได้มีลูกเพราะลืมกินยาคุม หรือลืมยืดอกพกถุง วิธีการนั้นก็คงไม่ยากเย็นอะไร และยังมีครอบครัวที่เลี้ยลูกเป็นเขาปฎิบัติกันอยู่ วิธีการขั้นแรกคือการเอาใจใส่ลูก การเอาใจใส่ลูกนั้นไม่ใช่การนั่งเฝ้ามองลูกทุกฝีก้าว นั่งจับผิด สั่งสอน พร่ำบ่น หรือบังคับขู่เข็ญลูกให้ไปเรียนเปียโน เรียนพิเศษ เต้นบัลเล่ต์ ประกวดร้องเพลง แต่เป็นการที่ต้องรู้ว่าลูกของเรากำลังทำอะไร สอนให้ลูกรู้จักระเบียบ วินัย การตรงต่อเวลา หน้าที่รับผิดชอบ เด็กต้องถูกฝึก ต้องถูกควบคุม ไม่ตามใจจนเกินควร ไม่ปล่อยให้เป็นอิสระจนเกินขอบเขต เลิกเรียนต้องกลับบ้าน ไม่ใช่แวะไปเที่ยวเตร่ที่ห้าง และเลิกสนใจคำร้องขอของเด็ก ที่ว่าเพื่อนเขาก็มี เพื่อนเขาก็ทำกัน อีกทั้งต้องละเว้นการให้สิ่งเกินจำเป็นแก่เด็ก เช่นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ เงินมากเกินอัตภาพของเด็ก เครื่องประดับราคาแพง เสื้อผ้าราคาแพง ขนมหรือาหารแพงๆแต่ไร้ค่า ไม่ควรสอนให้ลูกกินอาหารขยะ ไม่สร้างค่านิยมให้เด็กฟุ้งเฟ้อ และถ้ามีลูกสาว ก่อนจะให้ออกจากบ้าน อย่าลืมดูว่าแกนุ่งกางเกงในหรือเปล่าด้วย อันที่จริง หากพ่อแม่เป็นผู้ที่รู้กาลอันควร ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น หากพ่อแม่เป็นผู้มีมารยาทงาม ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น หากพ่อแม่มีสมอง ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น เพราะพ่อแม่คือแบบอย่างของลูก เป็นครูคนแรกของลูก เขาถึงได้มีภาษิตว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ จะให้แน่ๆต้องดูไปถึงยาย และลูกไม้นั้นย่อมหล่นไม่ไกลต้น มีบ้างหรอกที่มันเป็นลูกยาง ปลิวไปไกล แต่หากเราหมั่นดูแลลูก ทำตนให้ดีเป็นแบบอย่างแก่ลูก โดยมากมักไม่ค่อยผิดหวัง เอาใจใส่ลูก อย่าปล่อยลูก เด็กนั้นคือเด็ก หากรู้กาลอันควรไม่ควร เขาก็ไม่เรียกว่าเด็ก ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
phutorn connection
|
|
« ตอบ #113 เมื่อ: 27-09-2007, 09:34 » |
|
เรียนคุณป้าศิลาแรงที่เคารพ (จริงๆไม่อยากใช้คำว่าป้า เพราะค่อนข้างแสลงหูตัวเอง แต่ขออนุโลมใช้ตามท่านอื่นแล้วกันนะคะ) อันที่จริง หากพ่อแม่เป็นผู้ที่รู้กาลอันควร ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น หากพ่อแม่เป็นผู้มีมารยาทงาม ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น หากพ่อแม่มีสมอง ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น เพราะพ่อแม่คือแบบอย่างของลูก เป็นครูคนแรกของลูก เขาถึงได้มีภาษิตว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ จะให้แน่ๆต้องดูไปถึงยาย และลูกไม้นั้นย่อมหล่นไม่ไกลต้น มีบ้างหรอกที่มันเป็นลูกยาง ปลิวไปไกล แต่หากเราหมั่นดูแลลูก ทำตนให้ดีเป็นแบบอย่างแก่ลูก โดยมากมักไม่ค่อยผิดหวัง เอาใจใส่ลูก อย่าปล่อยลูก เด็กนั้นคือเด็ก หากรู้กาลอันควรไม่ควร เขาก็ไม่เรียกว่าเด็ก อย่างที่คุณป้าว่านั้น ทำให้คิดถึงครอบครัวหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในวงสังคม ว่าไฉน มีพ่อเป็นถึงด๊อกฯ ซุกโน่นซุกนี่เป็นพัลวัน ของชิ้นใหญ่ทำให้หายวับไปกับตาอย่างกับเดวิด คอบเปอร์ฟิลล์ก็ไม่ปาน ลูกกลับไม่เอาอ่าว ซุกโพยยังโดนจับได้ ทำคุณพ่อเสียชื่อเสียงหมด ยังดีที่มีคุณลูกอีกคนที่เชิดหน้าชูตา อาจจะเป็นเพราะได้เชื้อทางคุณยายมาแรง เพราะทางคุณยายก็มีชื่อเสียงด้านการคำณวณ(ถึงจะถูกจับได้ก็เหอะ) ทำให้คุณน้องผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ จากเด็กที่ไม่มีพื้นฐานวิชาการที่เรียนมาเลย กลับคว้าเกียรตินิยมได้อย่างง่ายดาย เข้าสู่คำถามเลยละกันค่ะ คุณป้า มีเกณฑ์อะไรวัดความเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่บ้างคะ เห็นบางคนอายุอานามปาเข้าไปเกือบสามสิบไปให้ปากคำ ชาวบ้านยังบอกอย่ารังแกเด็ก ทีตอน อ้าย คนเดียวกันไปโรดโชว์กับคุณพ่อ บอกเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเป็นตัวแทนพ่อได้แล้ว ทั้งๆที่ตอนนั้น อ้าย คนนั้นอายุน้อยกว่าตอนไปให้ปากคำอีกนะคะ เฮาล่ะ ง๊ง งง เพราะตอนนี้เฮาอายุอานามราวๆ อ้าย คนนั้น แต่เด็กสองขวบเรียกหนูป้าแล้ว หนูควรเป็น โคตรผู้ใหญ่ ใช่ค๊ะ เฮาจะได้ทำใจยอมรับมันได้ซะที หรือเฮาควรหนับหนุนแผนคุมกำหนัดคะ เพื่อจะได้กันพวก Half - Life ของเฮาผลิตสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าป้าได้อีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หลังจาก วาทะ"บกพร่องโดยสุจริต"ของอาชญากรหนีคดี ประชาชนได้ให้โอกาส แต่ไม่เคยได้ให้อภัยคนคนนี้
หลายคนบอกว่าสิ่งที่ทักษิณทำก็เหมือนนักธุรกิจคนอื่นๆนั่นแหละ ไม่ว่าหนีภาษี ซุกหุ้น ซื้อนักการเมืองเป็นพวก แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นลืมมองคือ ทักษิณมีอำนาจ นอกเหนือจากเงินทองในขณะที่นักธุรกิจคนอื่นไม่มี อำนาจที่สามารถชี้เป็นชี้ตายข้าราชการ อำนาจในการใช้กฏหมาย อำนาจในการตรากฏหมาย แต่สิ่งที่ทักษิณมีเหมือนนักธุรกิจคนอื่น คือ ความโลภ เมื่อความโลภรวมกับอำนาจ และสิ่งที่ทำร้ายทักษิณในปัจจุบันคือ ความโลภนี่เอง
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #114 เมื่อ: 27-09-2007, 10:28 » |
|
เรียนคุณป้าศิลาแรงที่เคารพ (จริงๆไม่อยากใช้คำว่าป้า เพราะค่อนข้างแสลงหูตัวเอง แต่ขออนุโลมใช้ตามท่านอื่นแล้วกันนะคะ) อันที่จริง หากพ่อแม่เป็นผู้ที่รู้กาลอันควร ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น หากพ่อแม่เป็นผู้มีมารยาทงาม ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น หากพ่อแม่มีสมอง ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น เพราะพ่อแม่คือแบบอย่างของลูก เป็นครูคนแรกของลูก เขาถึงได้มีภาษิตว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ จะให้แน่ๆต้องดูไปถึงยาย และลูกไม้นั้นย่อมหล่นไม่ไกลต้น มีบ้างหรอกที่มันเป็นลูกยาง ปลิวไปไกล แต่หากเราหมั่นดูแลลูก ทำตนให้ดีเป็นแบบอย่างแก่ลูก โดยมากมักไม่ค่อยผิดหวัง เอาใจใส่ลูก อย่าปล่อยลูก เด็กนั้นคือเด็ก หากรู้กาลอันควรไม่ควร เขาก็ไม่เรียกว่าเด็ก อย่างที่คุณป้าว่านั้น ทำให้คิดถึงครอบครัวหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในวงสังคม ว่าไฉน มีพ่อเป็นถึงด๊อกฯ ซุกโน่นซุกนี่เป็นพัลวัน ของชิ้นใหญ่ทำให้หายวับไปกับตาอย่างกับเดวิด คอบเปอร์ฟิลล์ก็ไม่ปาน ลูกกลับไม่เอาอ่าว ซุกโพยยังโดนจับได้ ทำคุณพ่อเสียชื่อเสียงหมด ยังดีที่มีคุณลูกอีกคนที่เชิดหน้าชูตา อาจจะเป็นเพราะได้เชื้อทางคุณยายมาแรง เพราะทางคุณยายก็มีชื่อเสียงด้านการคำณวณ(ถึงจะถูกจับได้ก็เหอะ) ทำให้คุณน้องผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ จากเด็กที่ไม่มีพื้นฐานวิชาการที่เรียนมาเลย กลับคว้าเกียรตินิยมได้อย่างง่ายดาย เข้าสู่คำถามเลยละกันค่ะ คุณป้า มีเกณฑ์อะไรวัดความเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่บ้างคะ เห็นบางคนอายุอานามปาเข้าไปเกือบสามสิบไปให้ปากคำ ชาวบ้านยังบอกอย่ารังแกเด็ก ทีตอน อ้าย คนเดียวกันไปโรดโชว์กับคุณพ่อ บอกเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเป็นตัวแทนพ่อได้แล้ว ทั้งๆที่ตอนนั้น อ้าย คนนั้นอายุน้อยกว่าตอนไปให้ปากคำอีกนะคะ เฮาล่ะ ง๊ง งง เพราะตอนนี้เฮาอายุอานามราวๆ อ้าย คนนั้น แต่เด็กสองขวบเรียกหนูป้าแล้ว หนูควรเป็น โคตรผู้ใหญ่ ใช่ค๊ะ เฮาจะได้ทำใจยอมรับมันได้ซะที หรือเฮาควรหนับหนุนแผนคุมกำหนัดคะ เพื่อจะได้กันพวก Half - Life ของเฮาผลิตสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าป้าได้อีก หนูต้นหอม การจะเรียกใครด้วยสรรพนาม หรือคำนำหน้านามที่บ่งบอกถึงการเป็นเครือญาตินั้น บางคนเขาก็รับไม่ได้ คนสูงอายุแคะขนมครกขาย บ้างก็นับญาติเรียกป้าเรียกยาย บ้างก็วางฐานะไว้เรียกแค่แม่ค้า อันนี้แล้วแต่ศรัทธาจ๊ะ การที่ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ที่พ่อมีดีกรีปริญญาเป็นถึงดอกเตอร์ แล้วปรากฎว่าลูกกลับไม่เอาไหน มันก็สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของพ่อนั่นเอง เพราะตามที่ป้าอธิบายไว้ว่า "หากพ่อแม่มีสมอง ลูกก็จักเป็นเช่นนั้น" สมองที่ว่าไม่ได้หมายความถึงปริญญา การวัดค่าความรู้ของคน โดยอาศัยกระดาษรับรองจากสถาบันใดสถาบันหนึ่งนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่เชื่อก็ลองไปคุยกับดอกเตอร์เฉลิมดู แล้วจะรู้ความจริง การที่ลูกซึ่งเป็นที่รู้กันว่า สมองไม่โปร่ง กลับคว้าปริญญาเกียรตินิยมมาได้อย่างง่ายดาย มันก็แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานและความจริงบางอย่าง มาตรฐานนั้นคือมาตรฐานของปริญญาที่รับมานั่นเอง และความจริงนั้นก็คือ มันสะท้อนให้เห็นได้ว่า พ่อได้ปริญญามาอย่างไร เกณฑ์ที่วัดความเป็นเด็กหรือผูใหญ่นั้น หากจะคิดเป็นเกณฑ์ก็คือเอาแนวคิดตะวันตกมาชี้วัด ฝรั่งเขาก็สอนมาให้คิดได้ง่ายๆ คือ อายุถึงกำหนดขั้นหนึ่งก็เรียกว่าผู้ใหญ่ หากเป็นวัวเป็นกระบือก็คงหมายถึงอายุล่วงเข้าวัยที่เขางอกแล้วนั่นเอง ดังนั้นตามระเบียบที่ใช้กันอยู่ เราก็กำหนดเอาที่ตัวเลขอายุ 20 ปี ถือว่าบรรลุนิติภาวะเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากอายุ 19 ปี 364 วัน 12 ชั่วโมง เราก็จะนับว่ายังเป็นเด็กอยู่ การวัดแบบนี้ง่ายดี เพราะใช้การนับเลขพื้นฐานรวมกับการอ่านปฎิทินออก เราก็รู้ได้ว่าใครเป็นเด็กหรือผูใหญ่ แต่การบรรลุนิติภาวะ แปลเอาความเข้าใจได้ว่า ว่าบรรลุถึงกำหนดที่โตเป็นผู้ใหญ่ตามกฎหมาย ดังนั้นทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง เด็กดาวน์ซินโดรม เมื่ออายุถึง 20 ปี ก็บรรลุนิติภาวะไปด้วย หากไม่อยากบรรลุ ต้องให้ผู้ปกครองไปร้องขอเอาเอง หากใครคิดจะเอาสภาพการบรรลุนิติภาวะ มาวัดความเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่นั้น ก็คงวัดได้ผิดพลาด เพราะที่จริงแล้ว เด็กคือสภาพบุคคลที่ไม่รู้ผิดรู้ถูก และผู้ใหญ่นั้นคือสภาพบุคคลที่รู้ผิดรู้ถูกแล้ว ในสังคมตะวันออก โดยเฉพาะในเมืองของเรา แต่ดั้งเดิมเราวัดความเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่กันที่ความรับผิดชอบ เมื่อยังเล็กพ่อแม่เลี้ยงดู ก็นับว่ายังเป็นเด็ก ต่อเมื่อปีกกล้าขาแข็งหากินเลี้ยงตัวเองได้แล้ว มีครอบครัวแล้ว เราจึงจะนับกันว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่ถึงกระนั้น พ่อแม่ยังคงต้องตามรับผิดชอบกับลูกไปตลอดชีวิตของท่าน เพราะหากลูกหลานตระกูลใด ทำความอัปยศเสื่อมเสีย ตระกูลนั้นก็จะถูกติฉินนินทาไปตลอดว่า มีลูกทรพี อวชาติบุตร ครอบครัวไทยแต่โบราณ จึงต้องดูแลอบรมลูกกันไปตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะเห็นได้ว่า ลูกนั้นเอาถ่าน ไม่เอาขี้เถ้าหรือขี้ดิน จึงจะวางมือได้ แต่ในปัจจุบัญ อารยธรรมตะวันตกครอบงำวิถีชีวิตของคนไทยจนวุ่นวาย เด็กหัวหงอกจึงเต็มบ้านเต็มเมือง อีกทั้งคนไทยก็เลี้ยงลูกไม่เป็น ประพฤติตนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน เมืองของเราจึงอุดมไปด้วยเด็กที่มีอายุมาก สืบพันธ์ได้แต่สืบสันดานดีไม่ได้ ป้าจึงขอเสนอเกณฑ์วัดความเป็นเด็กหรือผูใหญ่เอาไว้ ป้าคิดของป้าเองระหว่างนั่งแคะหู (ป้าไม่มีเต้าขนมครกจะแคะจ๊ะ) นั่นคือบุคคลที่หาทรัพย์เลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับสังคม รู้จักสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองดี เรานับได้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ส่วนบุคคลที่หาทรัพย์เลี้ยงดูตัวเองไม่ได้ ได้แต่แบมือขอพ่อแม่ หรือกินบุญเก่าเสพมรดกพกห่อ คอยสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม วันวันมุ่งแต่กินกามเกียรติ ไม่รู้จักสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองดี ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นและหลบหน้าที่ของตนเอง บุคคลเหล่านี้ก็คือเด็ก ถึงหัวจะหงอกขาวโพลนจนไม่เหลือความดำ ถึงพ่อจะหนีบไปโรดโชว์แล้วประกาศว่าลูกเป็นผูใหญ่แล้ว สุดท้ายพฤติกรรมมันก็จะฟ้องความเป็นเด็กออกมาให้สังคมได้เห็น สมควรส่งกลับไปโรงเรียนดัดสัuดาน ตลอดชีวิต ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #115 เมื่อ: 27-09-2007, 14:44 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นทร์
|
|
« ตอบ #116 เมื่อ: 27-09-2007, 16:41 » |
|
ที่ป้าศิลาแลงเขียน อ่านได้เพลินดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #117 เมื่อ: 04-10-2007, 19:55 » |
|
หลานเม่ย เห็นแลวป้าน้ำลายสอ ร้านแถบซอยทองหล่อ ก็ย่านคนมีกะตัง ดูอาหารในจานก็พอจะรู้ๆอยู่ สวยหรู สะอาด น่ารับประทาน แต่ย่านที่ป้าพักอาศัยอยู่นั้น เป็นย่านคนจนๆจ๊ะ ซอยบ้านป้านั้นอาจจะเรียกได้ว่าซอยเหล็กหล่อ ไม่มีทองจะไปหล่อกับเขาหรอก ส้มตำร้านโปรดของป้า ตำแบบชาวบ้านจ๊ะ ตำเสร็จกรอกใส่ถุงปลาสติก เอาหนังยางรัด ถ้ารับประทานที่ร้าน ก็จะใส่จานปลาสติกมาให้อีกนั่นแหละ ปูเค็มงี้ เค็มยิ่งกว่าเกลือ ดูดไปสองสามก้าม ริมฝีปากจะเริ่มชา ทำให้เคลิ้มๆไปได้ว่ากำลังหม่ำฟุกุ หรือปลาปักเป้าของญี่ปุ่น ที่แล่ด้วยพ่อครัวชั้นเลิศ พอมีพิษปลาติดมานิดๆ พวกญี่ปุ่นนี่คงไม่เคยกินเนื้อปลาปักเป้าของไทยเรา ที่แพร่หลายในร้านหมูกะทะ ที่แล่ชนิดไม่เกรงใจต่อมพิษของปลาปักเป้า ตาดีกินแล้วก็รอดตาย ตาร้ายชักคากะทะหมู ตายคาที่ แต่ป้ามองจานอาหารที่หนูเอามาให้ป้าดูจนน้ำลายไหลแล้วก็สงสัย คนรวยแถวซอยทองหล่อนี่ เขากินใบตองกันด้วยหรือจ๊ะหนู แถวบ้านป้าเค้าไม่กินกัน หรือป้าจะตกเทรนด์ ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #118 เมื่อ: 04-10-2007, 19:57 » |
|
ที่ป้าศิลาแลงเขียน อ่านได้เพลินดี
หลานนทร์ อย่ามัวแต่อ่านสิจ๊ะ ถามอะไรมาบ้าง ป้าล่ะเหงาปาก ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #119 เมื่อ: 04-10-2007, 20:10 » |
|
ขอเรียนถามคุณป้าศิลาแลงแบบด่วนที่สุดดดด ทั่นผู้เฒ่าเล่าเหลาอายุครบโป๊ยจั๊บเหลี่ยวหนา ที่มีฉายาว่า " ก่ำฮุงตั่งกุ้ย" (ผิดพลาดต้องขออภัย ) อีจ่อหนี่อยากเป็นนายกฯ ถ้าเป็นแล้ว เซี่ยมหล่อก่กของพวกเราจะเป็นฉันใด หรือว่า อาซี่ปังกุ้ยอีจะได้เจอกระบวนท่าพิฆาตทรชนถูกจับยัดเข้าซังเตชนิดทังอกทังใจ หรือคะคุณป้า ผู้หลานไม่เข้าจายเจง ๆ น้า เจ่ยเสี่ย กำเสี่ย คุณป้าศิลาแลง (หน้ากลม ฟันขาว ) หลานเซียวม่วยม่วย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2007, 20:12 โดย aiwen^mei »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #120 เมื่อ: 05-10-2007, 09:19 » |
|
ขอเรียนถามคุณป้าศิลาแลงแบบด่วนที่สุดดดด ทั่นผู้เฒ่าเล่าเหลาอายุครบโป๊ยจั๊บเหลี่ยวหนา ที่มีฉายาว่า " ก่ำฮุงตั่งกุ้ย" (ผิดพลาดต้องขออภัย ) อีจ่อหนี่อยากเป็นนายกฯ ถ้าเป็นแล้ว เซี่ยมหล่อก่กของพวกเราจะเป็นฉันใด หรือว่า อาซี่ปังกุ้ยอีจะได้เจอกระบวนท่าพิฆาตทรชนถูกจับยัดเข้าซังเตชนิดทังอกทังใจ หรือคะคุณป้า ผู้หลานไม่เข้าจายเจง ๆ น้า เจ่ยเสี่ย กำเสี่ย คุณป้าศิลาแลง (หน้ากลม ฟันขาว ) หลานเซียวม่วยม่วย หลานเซียวม่วยม่วย ไอ๊หย่า ป้าอ่านคำถามของหลานแล้ว ก็เป็นลมตกเก้าอี้ไปนอนดิ้นกระแด่วๆ ถึงในกายของป้าจะมีเชื้อสายของตึ่งนั่งเกี๊ยปนอยู๋บ้าง แต่ป้าก็ได้มาเฉพะโครโมโซมบางส่วนเท่านั้น และที่ได้มามันไม่มีโครโมโซมภาษาจีนปนอยู่ด้วย โดยมากได้มาเฉพาะโครโมโซมชอบกินโต๊ะจีน ป้าก็เลยต้องไปค้นหารหัสลับขรัวอินโข่ง ว่านักการเมืองคนไหนบ้างที่มีอายุครบ โป๊ยจั๊บ แล้ว (คำนี้พอจะแปลออก เพราะป้าเคยพลาดท่าเสียทีในการต่อราคาของมาหนหนึ่ง อาม่าบอกราคาของมา จับซา ป้ารีบต่อด้วยความชำนาญในการต่อรองราคาสินคัว่า จับซาแพงไป ซาจับได้ไหม อาม่าก็รีบขายให้ป้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นป้าก็เดินคิดไปตลอดทางว่า เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่าน๊า กว่าจะคิดออกก็แก่พอดี ) ผลจากการค้นหาแคนดิเดทนายกฯ ที่มีอายุเข้าใกล้โป๊ยจั๊บ ก็ได้รายละเอียดมาดังนี้ ปลาไหลสุพรรณ เกิดวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เลอเทอะนครพนม เกิดวันที่15 พฤษภาคม 2475 เพ้อเจ้อวังน้ำเย็น เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 หมูเน่ากรุงเทพ เกิดวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2478 หมูย่างตรัง เกิดวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ก็ปรากฎว่ามากที่สุดก็อายุเพียง ฉิกจับโหงว ป้าจึงเดาไม่ออกว่า " ก่ำฮุงตั่งกุ้ย" นั้นคือใคร นึกไปถึงนอกวงการเมือง พวกที่ถูกกล่าวหาว่าจะต่อท่อมาเป็นนายก ก็อายุอานามเพียงแค่แซยิดได้ นอกจากนี้ยังมีชื่อ "ซี่ปังกุ้ย" โผล่มาอีกคนหนึ่ง ซึ่งป้ารู้จักก็เพียง "ซิยิ่นกุ้ย" นั่งตอบถึงตรงนี้ ป้าก็ต้องยกส้มตำมาดม เอ๊ยไม่ใช่ ยกถ้ายาดมขึ้นมาดม เพราะวิงเวียนถึงขีดสุด " I Am Wind" ถ้าหลานเซียวม่วยม่วย ว่าง ช่วยกรุราแปลชื่อเหล่านี้มาให้ป้านะตจ๊ะ ป้าจะได้ตอบคำถามได้ เอิ้กกกก เป็นลมพอดี ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #121 เมื่อ: 05-10-2007, 20:17 » |
|
หลานเม่ย เห็นแลวป้าน้ำลายสอ ร้านแถบซอยทองหล่อ ก็ย่านคนมีกะตัง ดูอาหารในจานก็พอจะรู้ๆอยู่ สวยหรู สะอาด น่ารับประทาน แต่ย่านที่ป้าพักอาศัยอยู่นั้น เป็นย่านคนจนๆจ๊ะ ซอยบ้านป้านั้นอาจจะเรียกได้ว่าซอยเหล็กหล่อ ไม่มีทองจะไปหล่อกับเขาหรอก ส้มตำร้านโปรดของป้า ตำแบบชาวบ้านจ๊ะ ตำเสร็จกรอกใส่ถุงปลาสติก เอาหนังยางรัด ถ้ารับประทานที่ร้าน ก็จะใส่จานปลาสติกมาให้อีกนั่นแหละ ปูเค็มงี้ เค็มยิ่งกว่าเกลือ ดูดไปสองสามก้าม ริมฝีปากจะเริ่มชา ทำให้เคลิ้มๆไปได้ว่ากำลังหม่ำฟุกุ หรือปลาปักเป้าของญี่ปุ่น ที่แล่ด้วยพ่อครัวชั้นเลิศ พอมีพิษปลาติดมานิดๆ พวกญี่ปุ่นนี่คงไม่เคยกินเนื้อปลาปักเป้าของไทยเรา ที่แพร่หลายในร้านหมูกะทะ ที่แล่ชนิดไม่เกรงใจต่อมพิษของปลาปักเป้า ตาดีกินแล้วก็รอดตาย ตาร้ายชักคากะทะหมู ตายคาที่ แต่ป้ามองจานอาหารที่หนูเอามาให้ป้าดูจนน้ำลายไหลแล้วก็สงสัย คนรวยแถวซอยทองหล่อนี่ เขากินใบตองกันด้วยหรือจ๊ะหนู แถวบ้านป้าเค้าไม่กินกัน หรือป้าจะตกเทรนด์ ศิลาแลง โฮ ๆ ๆ แสดงว่าคุณป้ามีภูมิคุ้มกันดีมั่ก ๆ พิษร้ายนานามิอาจกรายกล้ำ อย่างนั้นทองลงทองหล่อ ไฮซงไฮซ้อ เรามิต้องไปสนใจอีกต่อไป นู๋มีเมนูอาหารเหนือยกมาเสิร์ฟคุณป้า 2 จานเชียวนะเจ๊า ๑. ขนมจีนน้ำเงี้ยว ๒. ข้าวซอยไก่ คุณป้าทานอิ่มแล้ว อาจจะต้องตรวจน้ำหนักตัวด้วยนะเจ้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #122 เมื่อ: 05-10-2007, 20:43 » |
|
หลานเซียวม่วยม่วย ไอ๊หย่า ป้าอ่านคำถามของหลานแล้ว ก็เป็นลมตกเก้าอี้ไปนอนดิ้นกระแด่วๆ ถึงในกายของป้าจะมีเชื้อสายของตึ่งนั่งเกี๊ยปนอยู๋บ้าง แต่ป้าก็ได้มาเฉพะโครโมโซมบางส่วนเท่านั้น และที่ได้มามันไม่มีโครโมโซมภาษาจีนปนอยู่ด้วย โดยมากได้มาเฉพาะโครโมโซมชอบกินโต๊ะจีน ป้าก็เลยต้องไปค้นหารหัสลับขรัวอินโข่ง ว่านักการเมืองคนไหนบ้างที่มีอายุครบ โป๊ยจั๊บ แล้ว (คำนี้พอจะแปลออก เพราะป้าเคยพลาดท่าเสียทีในการต่อราคาของมาหนหนึ่ง อาม่าบอกราคาของมา จับซา ป้ารีบต่อด้วยความชำนาญในการต่อรองราคาสินคัว่า จับซาแพงไป ซาจับได้ไหม อาม่าก็รีบขายให้ป้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นป้าก็เดินคิดไปตลอดทางว่า เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่าน๊า กว่าจะคิดออกก็แก่พอดี ) ผลจากการค้นหาแคนดิเดทนายกฯ ที่มีอายุเข้าใกล้โป๊ยจั๊บ ก็ได้รายละเอียดมาดังนี้ ปลาไหลสุพรรณ เกิดวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เลอเทอะนครพนม เกิดวันที่15 พฤษภาคม 2475 เพ้อเจ้อวังน้ำเย็น เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 หมูเน่ากรุงเทพ เกิดวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2478 หมูย่างตรัง เกิดวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ก็ปรากฎว่ามากที่สุดก็อายุเพียง ฉิกจับโหงว ป้าจึงเดาไม่ออกว่า " ก่ำฮุงตั่งกุ้ย" นั้นคือใคร นึกไปถึงนอกวงการเมือง พวกที่ถูกกล่าวหาว่าจะต่อท่อมาเป็นนายก ก็อายุอานามเพียงแค่แซยิดได้ นอกจากนี้ยังมีชื่อ "ซี่ปังกุ้ย" โผล่มาอีกคนหนึ่ง ซึ่งป้ารู้จักก็เพียง "ซิยิ่นกุ้ย" นั่งตอบถึงตรงนี้ ป้าก็ต้องยกส้มตำมาดม เอ๊ยไม่ใช่ ยกถ้ายาดมขึ้นมาดม เพราะวิงเวียนถึงขีดสุด " I Am Wind" ถ้าหลานเซียวม่วยม่วย ว่าง ช่วยกรุราแปลชื่อเหล่านี้มาให้ป้านะตจ๊ะ ป้าจะได้ตอบคำถามได้ เอิ้กกกก เป็นลมพอดี ศิลาแลง คำตอบของคุณป้าทำให้ต่อมหัวเราะของผู้หลานทำงานหนักอีกแว้ววว อาชิกซ่อ (ซ้อเจ็ด) อีคัมแบ็กแล้วหนา อาจจะทำคะแนนนำคุณป้าได้นะคะ มาตรว่า ตอนนี้คุณป้ากับอาชิกซ่ออยู่คนละสนามแข่งก็ตาม แต่เกิดจับพลัดจับผลูมาวิ่งอยู่บนลู่เดียวกันเมื่อไหร่...อั๊ยหย่า คิดมิออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้หลานนับนิ้วดูแล้ว อาเล่ากงกงปีนี้อายุครบโป๊ยจั๊บแปดสิบ ปีหน้าก็ครบโป๊ยจับอิก (81) แสดงว่า ก็ต้องเกิดปี 2470 แน่ ๆ รหัสลับขรัวอินโข่งมีไม่ครบถ้วนเสียได้ คุณป้าต้องเปิดรหัสลับ คั่งคั่งฉิก ( 007) แทนแล้วมั้งคะ รหัสลับของคุณป้า ทำผู้หลานเกิดอาการก่งก๊ง ต้องรีบเปิดตำราเป็นการด่วน เปิดผิด ๆ ถูก ๆ คุณป้าโปรดอย่าได้ถือสา ปลาไหลสุพรรณ >>> ซู่พังเสี่ยงฮื้อ อาป๋าเติ้ง เกิดวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เลอเทอะนครพนม >>> ลกคงหยื่อหยื่อฉังชั่ง อาจิ๋วตั่วปา เกิดวันที่15 พฤษภาคม 2475 เพ้อเจ้อวังน้ำเย็น >>> ชิ่งจุยเก็งทิวฮวง อาป๋าเหนาะ เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 หมูเน่ากรุงเทพ >>> หมั่งก๊กหมี่ตือบะ อาจาหมูกชงพู่ เกิดวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2478 หมูย่างตรัง >>> ตังฮู่เอี้ยงตือบะ อาทั่งชวง เกิดวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 "ก่ำฮุงตั่งกุ้ย" ( ก่ำ ปรับเสียงมาจาก ก๊ำ = อม แผลงเป็นคาบ , ฮุงตั่ง ปรับเสียงมาจาก ฮุงตั๊ง = ที่เขี่ย อุ๊ย ไม่ใช่ ที่สูบบุหรี่ และ กุ้ย คำนี้มิต้องถอดรหัส เพราะทราบกันดีว่า หมายถึง ผี, ปีศาจ ) และ "ซี่ปังกุ้ย" ( ซี่ปัง = สี่เหลี่ยม) ในที่สุด คุณป้าก็สามารถตอบคำถามให้ผู้หลานได้ชื่นอกชื่นใจได้แล้วนะคะ หลานคนเดิมเซียวม่วยม่วย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2007, 20:50 โดย aiwen^mei »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #123 เมื่อ: 06-10-2007, 10:25 » |
|
คำตอบของคุณป้าทำให้ต่อมหัวเราะของผู้หลานทำงานหนักอีกแว้ววว อาชิกซ่อ (ซ้อเจ็ด) อีคัมแบ็กแล้วหนา อาจจะทำคะแนนนำคุณป้าได้นะคะ มาตรว่า ตอนนี้คุณป้ากับอาชิกซ่ออยู่คนละสนามแข่งก็ตาม แต่เกิดจับพลัดจับผลูมาวิ่งอยู่บนลู่เดียวกันเมื่อไหร่...อั๊ยหย่า คิดมิออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้หลานนับนิ้วดูแล้ว อาเล่ากงกงปีนี้อายุครบโป๊ยจั๊บแปดสิบ ปีหน้าก็ครบโป๊ยจับอิก (81) แสดงว่า ก็ต้องเกิดปี 2470 แน่ ๆ รหัสลับขรัวอินโข่งมีไม่ครบถ้วนเสียได้ คุณป้าต้องเปิดรหัสลับ คั่งคั่งฉิก ( 007) แทนแล้วมั้งคะ รหัสลับของคุณป้า ทำผู้หลานเกิดอาการก่งก๊ง ต้องรีบเปิดตำราเป็นการด่วน เปิดผิด ๆ ถูก ๆ คุณป้าโปรดอย่าได้ถือสา ปลาไหลสุพรรณ >>> ซู่พังเสี่ยงฮื้อ อาป๋าเติ้ง เกิดวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เลอเทอะนครพนม >>> ลกคงหยื่อหยื่อฉังชั่ง อาจิ๋วตั่วปา เกิดวันที่15 พฤษภาคม 2475 เพ้อเจ้อวังน้ำเย็น >>> ชิ่งจุยเก็งทิวฮวง อาป๋าเหนาะ เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 หมูเน่ากรุงเทพ >>> หมั่งก๊กหมี่ตือบะ อาจาหมูกชงพู่ เกิดวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2478 หมูย่างตรัง >>> ตังฮู่เอี้ยงตือบะ อาทั่งชวง เกิดวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 "ก่ำฮุงตั่งกุ้ย" ( ก่ำ ปรับเสียงมาจาก ก๊ำ = อม แผลงเป็นคาบ , ฮุงตั่ง ปรับเสียงมาจาก ฮุงตั๊ง = ที่เขี่ย อุ๊ย ไม่ใช่ ที่สูบบุหรี่ และ กุ้ย คำนี้มิต้องถอดรหัส เพราะทราบกันดีว่า หมายถึง ผี, ปีศาจ ) และ "ซี่ปังกุ้ย" ( ซี่ปัง = สี่เหลี่ยม) ในที่สุด คุณป้าก็สามารถตอบคำถามให้ผู้หลานได้ชื่นอกชื่นใจได้แล้วนะคะ หลานคนเดิมเซียวม่วยม่วย หลานคนเดิมเซียวม่วยม่วย เมื่อหลานเฉลยรหัสลับ 007 มาแล้ว ปเก็เลยถึงบางอ้อ รีบไปค้นหาตัวการเจ้าปัญหาในทันที ก็พบว่า "ก่ำฮุงตั่งกุ้ย" นั้น เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2470 อายุอานามก็ครบโป๊ยจั๊บมาหลายเดือนแล้ว แต่ถ้านับอายุแบบเดือนชนเดือนจริงๆ ผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ.2483 ในเดือน มกราคม ถึง มีนาคม อายุจะหายไปสามเดือน เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนวิธีการนับพุทธศักราชของไทย แต่สำหรับรายนี้ โป๊ยจั๊บ ถ้วนๆแล้ว มีผู้คิดกันว่า ก่ำฮุงตั่งกุ้ย คิดจะเป็นนายกทางลัด ซึ่งก็เป็นคำครหาที่น่าสงสัยอยู่ ด้วยเรื่องประลองกำลังกันในสำนัก ดูท่าทางเหมือน ก่ำฮุงตั่งกุ้ย คิดจะไล่เจ้าสำนักออก แล้วเข้าสวมรอยแทน แต่สถานการณณืในสำนักเซี่ยมก๊กนั้น เจ้าสำนักประกาศล้างมือในอ่างทองคำ เมื่อมีการเลือกประมุขคนใหม่แล้ว กำหนดการนั้นแน่นอน เหลือเวลาอีกไม่มาก การจะโค่นเจ้าสำนักแล้วยืดเยื้อเวลาเลือกประมุขพรรคออกไปนั้น ดูจะเป็นหนทางยากลำบาก อีกทั้งเมื่อมองให้ดีๆแล้ว มันคล้ายๆการเล่นงิ้วตบตาผู้คน ทั้งในเหล่านักรบของพรรค และเหล่าผูคุ้มกฎ คล้ายๆสร้างความสับสนในความไม่มีอะไร ป้าจึงไม่คิดว่า ก่ำฮุงตั่งกุ้ย จะได้มาเป็นประมุขพรรคแต่อย่างใด ส่วน ซี่ปังกุ้ย นั้น อิทธิฤทธ์มากเหมือน ซิยิ่นกุ้ย เนื่องจากพลังเงินนั้นเหลือเฟือ ถ้าไม่ติดที่ว่าชอบใช้เงินไปในทางเสพสุขกับอิสตรีแล้ว จะมีเงินเหลือสร้างความวุ่นวายได้มากกว่านี้ แต่เมื่อมองหนทางที่ปูลาดไว้ด้วยขวากหนามแล้ว ก็ให้คิดถึงการแข่งขันกีฬา ที่กรรมการเข้มงวด เอาจริงเอาจังกับการละเมิดกติกา ซี่ปังกุ้ย นั้นเมื่อไม่ได้เล่นนอกกติกา แข่งขันกับผู้อื่นที่มีมือเท้าเท่ากัน ก็เป็นดั่งที่เคยเป็นมา นั่นคือเจ๊งไม่เป็นท่า จะค้าขายก็ต้องผูกขาด เอาเปรียบคนอื่น ไม่งั้นก็ต้องโกงจึงจะชนะ เมื่อมาพบการประลองยุทธ์ที่แอบใช้อาวุธลับยาก ซี่ปังกุ้ย จึงต้องพ่ายแพ้แน่นอน ภาพความวุ่นวายในบ้านเมืองคงจะอยู่ไปอีกนานหลายปี เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดย ซี่ปังกุ้ย ไม่มี นอมินี ของมันเข้าร่วม (คำนี้ภาษาจีนเขาว่ากระไรน่ะหนู) ลิ่วล้อก็อยากให้ซี่ปังกุ้ย กลับเข้ามาปั่นป่วนบ้านเมือง แต่ป้าก็คิดว่ามันไม่กล้ากลับ เพราะกลัวติดคุกกกก ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #124 เมื่อ: 06-10-2007, 17:39 » |
|
หลานคนเดิมเซียวม่วยม่วย เมื่อหลานเฉลยรหัสลับ 007 มาแล้ว ปเก็เลยถึงบางอ้อ รีบไปค้นหาตัวการเจ้าปัญหาในทันที ก็พบว่า "ก่ำฮุงตั่งกุ้ย" นั้น เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2470 อายุอานามก็ครบโป๊ยจั๊บมาหลายเดือนแล้ว แต่ถ้านับอายุแบบเดือนชนเดือนจริงๆ ผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ.2483 ในเดือน มกราคม ถึง มีนาคม อายุจะหายไปสามเดือน เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนวิธีการนับพุทธศักราชของไทย แต่สำหรับรายนี้ โป๊ยจั๊บ ถ้วนๆแล้ว มีผู้คิดกันว่า ก่ำฮุงตั่งกุ้ย คิดจะเป็นนายกทางลัด ซึ่งก็เป็นคำครหาที่น่าสงสัยอยู่ ด้วยเรื่องประลองกำลังกันในสำนัก ดูท่าทางเหมือน ก่ำฮุงตั่งกุ้ย คิดจะไล่เจ้าสำนักออก แล้วเข้าสวมรอยแทน แต่สถานการณณืในสำนักเซี่ยมก๊กนั้น เจ้าสำนักประกาศล้างมือในอ่างทองคำ เมื่อมีการเลือกประมุขคนใหม่แล้ว กำหนดการนั้นแน่นอน เหลือเวลาอีกไม่มาก การจะโค่นเจ้าสำนักแล้วยืดเยื้อเวลาเลือกประมุขพรรคออกไปนั้น ดูจะเป็นหนทางยากลำบาก อีกทั้งเมื่อมองให้ดีๆแล้ว มันคล้ายๆการเล่นงิ้วตบตาผู้คน ทั้งในเหล่านักรบของพรรค และเหล่าผูคุ้มกฎ คล้ายๆสร้างความสับสนในความไม่มีอะไร ป้าจึงไม่คิดว่า ก่ำฮุงตั่งกุ้ย จะได้มาเป็นประมุขพรรคแต่อย่างใด ส่วน ซี่ปังกุ้ย นั้น อิทธิฤทธ์มากเหมือน ซิยิ่นกุ้ย เนื่องจากพลังเงินนั้นเหลือเฟือ ถ้าไม่ติดที่ว่าชอบใช้เงินไปในทางเสพสุขกับอิสตรีแล้ว จะมีเงินเหลือสร้างความวุ่นวายได้มากกว่านี้ แต่เมื่อมองหนทางที่ปูลาดไว้ด้วยขวากหนามแล้ว ก็ให้คิดถึงการแข่งขันกีฬา ที่กรรมการเข้มงวด เอาจริงเอาจังกับการละเมิดกติกา ซี่ปังกุ้ย นั้นเมื่อไม่ได้เล่นนอกกติกา แข่งขันกับผู้อื่นที่มีมือเท้าเท่ากัน ก็เป็นดั่งที่เคยเป็นมา นั่นคือเจ๊งไม่เป็นท่า จะค้าขายก็ต้องผูกขาด เอาเปรียบคนอื่น ไม่งั้นก็ต้องโกงจึงจะชนะ เมื่อมาพบการประลองยุทธ์ที่แอบใช้อาวุธลับยาก ซี่ปังกุ้ย จึงต้องพ่ายแพ้แน่นอน ภาพความวุ่นวายในบ้านเมืองคงจะอยู่ไปอีกนานหลายปี เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดย ซี่ปังกุ้ย ไม่มี นอมินี ของมันเข้าร่วม (คำนี้ภาษาจีนเขาว่ากระไรน่ะหนู) ลิ่วล้อก็อยากให้ซี่ปังกุ้ย กลับเข้ามาปั่นป่วนบ้านเมือง แต่ป้าก็คิดว่ามันไม่กล้ากลับ เพราะกลัวติดคุกกกก ศิลาแลง สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ คุณป้าศิลาแลง ทราบคำตอบจากคุณป้าแล้ว ผู้หลานรู้สึกสบายใจ ไร้กังวล และเห็นว่า กระบวนท่า "ยืมหอกสนองคืนผู้ใช้" (ของม่อก้งกงจื้อแห่งตระกูลโกวโซว) กำลังย้อนกลับหันมาทิ่มแทงใส่ทั่นผู้เฒ่าเล่ากงกงเสียเอง อิอิอิ ผู้หลานรู้สึกสมใจสาหัสนัก สำหรับทั่นซี่ปังกุ้ย สักวัน อีคงกลายเป็น บ่อเถ่ากุ้ย (บ่อ (บ๊อ)= ไม่มี, เถ่า (เท้า) = หัว) นะคะคุณป้า เพราะไม่ยอมกลับใจ ดูท่าว่ากระทั่งถึงวันตายอาจจะยังไม่สำนึก และจริงหรือคะ คุณป้า ที่ฉายา "เจียมหมิ่ง โอวแง้" (หน้าแหลม ฟันดำ) เป็นคำที่ อาหมั่งก๊กหมี่ตือบะเป็นผู้ตั้งให้ คำว่า "นอมินี" นั้น ผู้หลานก็ไม่ทราบมาก่อนค่ะว่า ภาษาจีนเรียกว่า อะไร แต่เปิดตำราออนไลน์ไปหลายคลิก น่าจะใช้คำว่า "ปี่ที้เหมี่ยนั้ง" (被提名人) นะคะ แต่ผู้หลานก็มิแน่ใจนัก แต่ถึงไม่ใช่ก็น่าจะใกล้เคียงอยู่แปดเก้าส่วน ขอคารวะคุณป้ามาด้วยความเคารพ หลานเซียวม่วยม่วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Suraphan07
|
|
« ตอบ #125 เมื่อ: 20-10-2007, 23:11 » |
|
ป้าแลงฯ ที่เคารพรัก ...
ก่อนอื่นต้องขอโทษป้าด้วย ที่ห่างเหินไป ไม่ได้ตั้งคำถาม มาแยงสะดือป้าเหมือนก่อนๆ... ครั้งนี้ด้วยผมเกรงว่าป้าจะเหงาหงอย ด้วยไม่มี พี่ ป้า น้า อา ลูกๆ หลานๆ มาตั้งคำถาม ประกอบกับช่วงนี้ ผมเองก็รู้สึก ปวดเศียร เวียนเฮด เป็นอย่างมากกับสภาพพรรคการเมืองและนักการเมืองไทย...
ผมอ่านข่าวดู รู้สึกทึ่งและพิศวงงงงวย จนแทบจำไม่ได้ว่า...
พรรคไหนยุบไปรวมกับพรรคไหน ใครแตกกับใคร แตกกันยังไง สุดท้ายไปรวมกันที่ไหน อย่างไร... แถมยังสงสัยว่า มีลูกของใครเป็นสมาชิกพรรคไหน แล้วพ่อเขาเป็นนอมินี่ให้ใคร
ที่สำคัญ พรรคนอมินี่ใหญ่ๆ ทำไมไปเอาลูกเสือ ลูกจระเข้ มาเลี้ยง สนับสนุนให้ลง สส... แทนที่จะเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว (ที่อาจจะมีลูกที่ดูขี้ริ้วขี้เหล่ติดมาด้วย) ที่น่าจะเชื่องและใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
ป้าว่า ถ้าสภาพการณ์มันเป็นอย่างงี้ ผมจะเลือก และ/หรือ แน่ะนำให้ญาติๆผมให้เลือกผู้สมัคร สส.ยังไงดีครับ (แบบว่าเลือกพรรค เลือกคน หรือเลือกดูจากนิสัยผู้เป็นพ่อหรือเลือกที่หัวหน้าพรรคของผู้สมัคร ฯลฯ)
ช่วยตอบคำถามและให้คำแนะนำด้วยครับ เผื่อว่าผมจะได้เอาข้อมูลไปเผยแพร่บอกกล่าวกับเพื่อนๆญาติๆ ให้ได้รู้ไว้...
ว่าแต่ว่า ถ้าขายทีมฟุตบอลที่อังกฤษตอนนี้ เขาว่ากันว่า มีกำไรเห็นๆเป็นร้อยๆล้าน ป้าว่าจริงหรือมั่วนิ่มครับ...
ขอขอบพระคุณป้าล่วงหน้ามา ณ.ที่นี้ ขอแสดงความนับถือ Suraphan07
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #126 เมื่อ: 21-10-2007, 10:04 » |
|
ป้าแลงฯ ที่เคารพรัก ...
ก่อนอื่นต้องขอโทษป้าด้วย ที่ห่างเหินไป ไม่ได้ตั้งคำถาม มาแยงสะดือป้าเหมือนก่อนๆ... ครั้งนี้ด้วยผมเกรงว่าป้าจะเหงาหงอย ด้วยไม่มี พี่ ป้า น้า อา ลูกๆ หลานๆ มาตั้งคำถาม ประกอบกับช่วงนี้ ผมเองก็รู้สึก ปวดเศียร เวียนเฮด เป็นอย่างมากกับสภาพพรรคการเมืองและนักการเมืองไทย...
ผมอ่านข่าวดู รู้สึกทึ่งและพิศวงงงงวย จนแทบจำไม่ได้ว่า...
พรรคไหนยุบไปรวมกับพรรคไหน ใครแตกกับใคร แตกกันยังไง สุดท้ายไปรวมกันที่ไหน อย่างไร... แถมยังสงสัยว่า มีลูกของใครเป็นสมาชิกพรรคไหน แล้วพ่อเขาเป็นนอมินี่ให้ใคร
ที่สำคัญ พรรคนอมินี่ใหญ่ๆ ทำไมไปเอาลูกเสือ ลูกจระเข้ มาเลี้ยง สนับสนุนให้ลง สส... แทนที่จะเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว (ที่อาจจะมีลูกที่ดูขี้ริ้วขี้เหล่ติดมาด้วย) ที่น่าจะเชื่องและใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
ป้าว่า ถ้าสภาพการณ์มันเป็นอย่างงี้ ผมจะเลือก และ/หรือ แน่ะนำให้ญาติๆผมให้เลือกผู้สมัคร สส.ยังไงดีครับ (แบบว่าเลือกพรรค เลือกคน หรือเลือกดูจากนิสัยผู้เป็นพ่อหรือเลือกที่หัวหน้าพรรคของผู้สมัคร ฯลฯ)
ช่วยตอบคำถามและให้คำแนะนำด้วยครับ เผื่อว่าผมจะได้เอาข้อมูลไปเผยแพร่บอกกล่าวกับเพื่อนๆญาติๆ ให้ได้รู้ไว้...
ว่าแต่ว่า ถ้าขายทีมฟุตบอลที่อังกฤษตอนนี้ เขาว่ากันว่า มีกำไรเห็นๆเป็นร้อยๆล้าน ป้าว่าจริงหรือมั่วนิ่มครับ...
ขอขอบพระคุณป้าล่วงหน้ามา ณ.ที่นี้ ขอแสดงความนับถือ Suraphan07
หลาน Suraphan07 ในระยะหลายเดือนมานี้ หมอดูหลายสำนักเขาทำนายว่า พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกราหูแหวกตรงกลาง อีกทั้งมฤตยูเต้นระบำ อังคารก็เต้นแทงโก้ ทำให้เหตุการณ์ของโลกและบ้านเมืองเราปั่นป่วนวุ่นวาย พรรคการเมืองและนักการเมืองของไทย ก็คงจะถูกอิทธิพลของดวงดาว ทำให้เต้นกันเหมือนคุดทะราดเหยียบกรวด ต่างก็ร้อนรนตั้งพรรค ยุบพรรค ย้ายพรรค แอบหลังพรรค ข่มขู่พรรค กันไปต่างๆนาๆ ผลก็คือผู้ชมปวดเศียรเวียนเกล้าไปกันด้วย แต่ถ้าจะให้สรุปแล้ว เหตุการณ์ตอนนี้เหมือนกับเหตุการณ์หลังพฤษภาทมิฬ เนื่องจากนักการเมืองแยกเป็นสองขั้วชัดเจนเช่นกัน นั่นคือฝ่ายเทพและฝ่ายมาร ฝ่ายที่อาจจะอ้างตัวได้ว่าเป็นเทพนั้น ยังนั่งอมยิ้มรอเวลาถล่มอีกฝ่ายอยู่อย่างเงียบๆ แต่ฝ่ายมารนั้นรู้ตัวและมีประสบการณ์มาจากคราวหลังพฤษภาทมิฬ รูดีว่าความชั่วที่พวกตนได้ไปเป็นกำลังเป็นแขนเป็นขาให้ทรราชนั้น กำลังจะถูกกระชากลากใส้ออกมาในยามหาเสียง พวกนี้จึงพล่านพยายามตั้งพรรค สร้างพรรค โดยลากเอาหน้าม้าหรือนอมินีที่พอดูได้ เพื่อมาตบตาประชาชนว่าพรรคตนเป็นคนดี เหตุการณ์มันจึงยุ่งเหยิง เพราะคนดีจริงๆนั้น ย่อมรู้ตัวที่จะไม่ยอมไปเกลือกกลัวกับนักการเมืองโลโครกเหล่านั้น ตั้งพรรคกันไปตั้งพรรคกันมา จึงกลายเป็นการผสมพันธ์ของเอี๊ยหลายสาย ไม่ลงตัวได้สักที พรรคนอมินีหรือพรรคหน้าแรด (ไม่เรียกว่าหน้าม้ากันล่ะ เพราะม้าไม่มีนอ) ขณะนี้ยังหาจุดยืนไม่ได้ เพราะตั้งแต่เริ่มตั้งพรรคมา ไปเลือกหัวหน้าพรรคที่ห่วยได้สุดๆ คือไปขุดศพมาเป็น ด้งนั้นพรรคจึงมีแต่จุดสลบ จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะรับลูกพรรคมั่วไปหมด และลูกพรรคที่เข้าพรรคนั้น เป็นเพราะไม่มีทางจะไปทั้งครอก บางคนนั้นเน่าทั้งตระกูล เมื่อเข้าพรรคมาจึงต่อรอง กดดัน กันวุ่นวาย ให้เป็นที่ขบขัน กัดกันไปพอเพลินๆ อย่าไปเอาสาระอะไรกับพวกเอี๊ยไม่มีทางไปเหล่านี้ ดูจากการเมืองตอนนี้ การจะเลือกใครเข้าไปบริหารประเทศ ก็มีทางเลือกอยู่สองฝ่าย คือฝ่ายไม่เอาทรราช กับฝ่ายเอาทรราช ซึ่งฝ่ายหลังนี้รวมไปถึง เอาก็ได้ ไม่เอาก้ได้ ยังไงขอเป็นรัฐบาล พวกอีแอบนี้จะประกาศตนเป็นกลาง ประกาศตนจะมากู้ชาติ ทั้งๆที่ชาติวิกฤติไปคราวที่แล้ว ก็พวกมันนี่แหละเป็นตัวการ มันก็อย่างที่ป้าว่า เหมือนเหตุการณ์หลังพฤษภาทมิฬ เราไม่มีทางเลือกมากนัก เอา หรือ ไม่เอา ทรราช ก็เท่านั้น การขายหุ้นทีมฟุตบอลล์หางแถวในพรีเมียลีก จะได้กำไรหรือขาดทุนนั้น มันคงขึ้นอยู่กับความโง่หรือความฉลาดของคนที่จะซื้อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงานของทีมฟุตบอลล์ เพราะการสร้างทีมฟุตบอลล์ให้ได้ดีนั้น เสมือนการสร้างความดี ที่ต้องหมั่นกระทำดีเป็นนิจศีล ไม่ใช่ทำดีเอาหน้า ทำบุญเพื่อโฆษณา นักลงทุนตัวจริงนั้นก็มีนิสัยไม่แตกต่างไปจากเจ้าของทีมฟุตบอลล์ที่ว่า คือหวังผลประโยชน์สูงสุดเป็นเป้าหมายของการทำธุรกิจ ถ้าหลานSuraphan07จะซื้อกิจการอะไรสักอย่าง แล้วเห็นเจ้าของกิจการที่จะขายให้ เอี๊ยสุดๆ และกำลังจะพินาศในไม่ช้า หลานจะยอมซื้อกิจการนั้นด้วยราคาแพงๆหม หรือจะรอไปอีกหน่อยนึง พอเจ้าของเดิมมันพินาศไปตามกรรม ราคากิจการนั้นก็จะตกลงเอง เรื่องอย่างนี้ ศรีทนรอได้ พักนี้ถึงบ้านเมืองจะวุ่นวาย แต่จิตใจของชาวเสรีไทยคงสบายดี ป้าเลยไม่ต้องตอบปัญหาหัวใจมากมายนัก อีกทั้งได้ข่าวมาว่า ฟากขะโน้นเขาออกหนังสือเลียนแบบฝั่งของเรา ลางทีเขาอาจจะมีคนตอบปัญหาได้เก่งกาจ เลยมีผู้ย้ายไปถามปัญหาแถวโน้นกันหมด พูดถึงเรื่องออกหนังสือ ป้าล่ะน้อยอกน้อยใจ คราวเปิดตัวหนังสือของเรา ทีมงานก็ช่างกระไรเลย ไม่เป็นประสีประสา ดูฝั่งโน้นเขาสิ รับทุนมาเยอะแยะ เปิดตัวที่โรงแรมหรูๆ มีเอี๊ยมาร่วมงานตั้งเยอะ ข้างเรานั้น เปิดตัวกันเอ๊งกันเอง กินไปหัวเราะไป แถมยังจ่ายสตางค์กันเองดัว คราวหน้า หัดไปรับทุนมาจากต่างประเทศมั่งนะ ป้าจะได้แต่งชุดราตรีหรูๆ ไปเม้าท์กระจายในงาน เอาให้ซ้อเจ็ดลาป่วยไปเลยทีเดียว ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
อธิฏฐาน
|
|
« ตอบ #127 เมื่อ: 21-10-2007, 13:46 » |
|
แล้วอธิฏฐานจะใส่ชุดราตรียาวโจมกระอก มาแข่งกะคุณป้าศิลาแลงด้วยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #128 เมื่อ: 21-10-2007, 16:59 » |
|
แล้วอธิฏฐานจะใส่ชุดราตรียาวโจมกระอก มาแข่งกะคุณป้าศิลาแลงด้วยค่ะ
มายกมือเชียร์ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aoporadio
|
|
« ตอบ #129 เมื่อ: 21-10-2007, 20:45 » |
|
ป้าขรา................................. อ้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อีซ้อเจ็ด มันกลับมาแล้วค่า อ้า อ้า อ้า อ้า สำนวนของมันช่าง อ อี๋ๆๆๆๆๆๆๆ สกปรก ซกมกสิ้นดี (แต่ก็อ่านทุกเม็ด ) ป้าคิดว่า เมื่อนังซ้อรีเทริ์น ในวงเล็บว่าเพื่อชาติเนี่ย แฟนเหนียวแน่นในเรื่องใต้สะดือดารา ของอีนังซ้อ จะกลับลำมาสำรวจกลิ่น ตุๆ คาวๆจากใต้สะดือนักกินเมืองกับอีนังซ้อใหมคะ หรือมันก็บ้าดารากันเดิมนันแหละ ปล. หนูไม่ดูละครนี่เป็นอาชญกรรมใหมเคอะ จุ๊บๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #130 เมื่อ: 21-10-2007, 23:40 » |
|
^ ^ ขำค่ะ น้องอาโป ... พูดถึงเรื่องออกหนังสือ ป้าล่ะน้อยอกน้อยใจ คราวเปิดตัวหนังสือของเรา ทีมงานก็ช่างกระไรเลย ไม่เป็นประสีประสา ดูฝั่งโน้นเขาสิ รับทุนมาเยอะแยะ เปิดตัวที่โรงแรมหรูๆ มีเอี๊ยมาร่วมงานตั้งเยอะ ข้างเรานั้น เปิดตัวกันเอ๊งกันเอง กินไปหัวเราะไป แถมยังจ่ายสตางค์กันเองดัว คราวหน้า หัดไปรับทุนมาจากต่างประเทศมั่งนะ ป้าจะได้แต่งชุดราตรีหรูๆ ไปเม้าท์กระจายในงาน เอาให้ซ้อเจ็ดลาป่วยไปเลยทีเดียว ศิลาแลง ป้าขรา...(ขออนุญาตเลียนแบบ ) ความจริงก็คือ พวกเราหยิ่งค่ะ เจ้าบุญทุ่มฝั่งขะโน้นเค้าก็อยากออกกะตังก์ให้เรา กะว่า จะซื้อตัวไว้เป็นพวก แต่เราไม่ง้อค่ะ เชิดใส่ซะอีก เชอะ เอ๊ยย ม่ายช่าย พวกเราฝักใฝ่ในคุณภาพมากกว่าปริมาณเจ้าค่ะ พวกข้างนอกสุกใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง เอาเงินของคนอื่นมาถลุงเอาหน้า นี่...พวก เราทนไม่ด๊าย ทนไม่ได้ค่ะ อีกประการ เกรงว่า การไปรับทุนจากต่างประเทศ(แถบเมืองลันดั้น) จะก่อให้เกิดผลข้างเคียงชนิดร้ายแรง สมองจะได้รับความกระทบกระเทือน เห็นหน้าเหลี่ยม ๆ ของคนบางคน ดูน่าหลงใหลกราบไหว้บูชาหัวปักหัวปำแบบพวกประดาหลายคนนั้นที่มีอาการให้เห็นนะคะ คุณป้าเตรียมตัดชุดราตรีมาปรากฏตัวพร้อมเป็นพิธีกรตอบปัญหาให้กับลูก ๆ หลาน ๆ ของเสรีไทยแห่งนี้ ในงานมีตติ้งครั้งที่ 3 ดีกว่าเจ้าค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #131 เมื่อ: 22-10-2007, 09:43 » |
|
ป้าขรา................................. อ้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อีซ้อเจ็ด มันกลับมาแล้วค่า อ้า อ้า อ้า อ้า สำนวนของมันช่าง อ อี๋ๆๆๆๆๆๆๆ สกปรก ซกมกสิ้นดี (แต่ก็อ่านทุกเม็ด ) ป้าคิดว่า เมื่อนังซ้อรีเทริ์น ในวงเล็บว่าเพื่อชาติเนี่ย แฟนเหนียวแน่นในเรื่องใต้สะดือดารา ของอีนังซ้อ จะกลับลำมาสำรวจกลิ่น ตุๆ คาวๆจากใต้สะดือนักกินเมืองกับอีนังซ้อใหมคะ หรือมันก็บ้าดารากันเดิมนันแหละ ปล. หนูไม่ดูละครนี่เป็นอาชญกรรมใหมเคอะ จุ๊บๆ หลาน aoporadio ซ้อเจ็ดนั้นเธอก็เปรียบเสมือนส้มตำ เคล็ดลับของการกินส้มตำให้อร่อย ต้องเลือกเจ้าที่ดูสกปรกสักหน่อย ครกเก่าๆ สากเน่าๆ แม่ค้ามือดำๆ ตำไปด่าไป อย่างนี้จะได้ส้มตำรสแซ่บ กินแล้วถึงใจพระเดชพระคุณ อีกทั้งยังเป็นยาระบายอย่างดี ไม่ต้องไปหาโยเกิร์ตมากินให้วุ่นวาย ได้ทั้งอร่อยและถ่ายท้องไปในตัว ส่วนส้มตำอนามัย ที่แลดูสะอาดไปทั้งสำรับนั้น กินแล้วไม่ใคร่จะอร่อยจ๊ะ ว่าแต่งวดนี้ป้าว่าซ้อเจ็ดจะดูแปลกๆไป คือคงจะหันมาเล่นวงการดารามากกว่าวงการเมือง เพราะวงการเมืองนั้นยังไม่รูจะออกหัวหรือก้อย เล่นไปมากๆก็อาจเจ็บตัวได้ในภายหลัง ซ้อเจ็ดเองแกก็ต้องเลิกอาละวาดไปชั่วคราว เพราะอิทธิพลวงการเมืองนี่แหละจ๊ะ พอโจทย์ของแกไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แกก็เลยกลับมาซ่าได้ใหม่ ส่วนเรื่องแฟนนานุแฟนของซ้อเจ็ดแกนั้น หนูไม่ต้องห่วง เรื่องของชาวบ้านนั้น คนไทยไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว เดี๋ยวจะตกข่าว ตกเทรนด์ ว่าแต่ถ้าซ้อเจ็ดกล้าจริง น่าจะลองหันไปเล่นข่าวดีเจสาว ที่ออกมาโฆษณาครีมถนอมผิว แฟนของพระลอ ดูบ้างสักยก ว่าแต่จะกล้าไหม การไม่ติดตามละครนั้น หนูไม่ได้บอกมาว่าไม่ติดตามละครประเภทใด เพราะละครมีหลายประเภทนัก แต่ป้าเดาเอาว่าคงจะเป็นละครหลังข่าว ที่ประชาชนเขาชื่นชมกันนักกันหนา การไม่ดูละครนั้นไม่ถือเป็นอาชญากรรม แต่ถือเป็นการประหยัดไฟ เพราะช่วงเวลาละครหลังข่าวนั้น นอกจากละครแล้วก็ไม่ค่อยจะมีอะไรให้ดู ปิดโทรทัศน์เสียสองชั่วโมง ก็จะประหยัดไฟฟ้าได้เยอะอยู่จ๊ะ ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #132 เมื่อ: 22-10-2007, 09:50 » |
|
^ ^ ขำค่ะ น้องอาโป ป้าขรา...(ขออนุญาตเลียนแบบ ) ความจริงก็คือ พวกเราหยิ่งค่ะ เจ้าบุญทุ่มฝั่งขะโน้นเค้าก็อยากออกกะตังก์ให้เรา กะว่า จะซื้อตัวไว้เป็นพวก แต่เราไม่ง้อค่ะ เชิดใส่ซะอีก เชอะ เอ๊ยย ม่ายช่าย พวกเราฝักใฝ่ในคุณภาพมากกว่าปริมาณเจ้าค่ะ พวกข้างนอกสุกใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง เอาเงินของคนอื่นมาถลุงเอาหน้า นี่...พวก เราทนไม่ด๊าย ทนไม่ได้ค่ะ อีกประการ เกรงว่า การไปรับทุนจากต่างประเทศ(แถบเมืองลันดั้น) จะก่อให้เกิดผลข้างเคียงชนิดร้ายแรง สมองจะได้รับความกระทบกระเทือน เห็นหน้าเหลี่ยม ๆ ของคนบางคน ดูน่าหลงใหลกราบไหว้บูชาหัวปักหัวปำแบบพวกประดาหลายคนนั้นที่มีอาการให้เห็นนะคะ คุณป้าเตรียมตัดชุดราตรีมาปรากฏตัวพร้อมเป็นพิธีกรตอบปัญหาให้กับลูก ๆ หลาน ๆ ของเสรีไทยแห่งนี้ ในงานมีตติ้งครั้งที่ 3 ดีกว่าเจ้าค่ะ หลานเม่ย เรื่องงานเปิดหนังสือของเสรีไทยนั้น ป้าก็แซวเล่นไปอย่างนั้นเอง เพราะถ้าไปรับทุนมาจากลันดั้นจริงๆ ป้าก็ต้องสับคนไปรับทุนมาเหมือนซ้อเจ็ดสับเละ เพราะเรื่องมันน่าสงสัยว่าไปรับมาได้อย่างไร ทำอย่างไรถึงได้สตางค์มา อันที่จริงป้าทราบมาว่า ทีมงานจัดทำหนังสือของเสรีไทยนั้น สวยไม่แพ้หมวดเจี๊ยบ โดยเฉพาะหนูเม่ยเองนั้น ได้ข่าวนินทาจากสมาชิกว่า สวยระดับซุปเปอร์หมวย อมบ๊วยเพิ่มพลังเสน่ห์ ข่าวยังเล่าลืออีกว่า หากส่งหนูเม่ยไปสันดั๊น หมวยเจี๊ยบหมดสิทธิ์ออกหนังสือ ลิเดียจะตกกะะป๋อง ณหทัยจะไร้ที่พักพิง และทุนทำหนังสือของเสรีไทยอาจจะได้มากกว่าทุนซื้อทีมฟุตบอลล์ห่วยๆมากนัก ว่าแต่ป้าไปสำรวจข่าวการเปิดตัวหนังสือฟากขะโน้นมา เห็นมีมังกรตัวดำๆมาเป็นแม่งาน ฝั่งของเรามีอะไรประหลาดๆอย่างนั้นบ้างไหม อันนี้ป้าตกข่าว หรือเรามีแต่กิ้งกือ ใส้เดือน หามังกรไม่ได้จ๊ะ ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
อธิฏฐาน
|
|
« ตอบ #133 เมื่อ: 22-10-2007, 12:42 » |
|
คุณป้าศิลาแรงคะ เดี๋ยวหนุ่ม ๆ ที่นี่น้อยใจนะคะ ถึงที่นี่ไม่มีมังกรดำ ก็ใช่ว่าจะมีแต่กิ้งกือ ใส้เดือน แต่ที่นี่มีอะไรพิเศษกว่ามังกรดำ ตรงที่มีเครื่องบินขับไล่ของสวีเดนใหม่แกะกล่องเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
|
« ตอบ #134 เมื่อ: 27-10-2007, 01:16 » |
|
คุณศิลาแลงที่น่าสนเท่ห์.... ผมซื้อ Arena เล่มเดือนตุลาคมนี้ เพราะภาพปก Heidi Klum ยอดนางแบบเยอรมันที่ชื่นชอบ... พลิกเข้าไปข้างในมีเรื่องราวเกี่ยวกับทีมฟุตบอลอังกฤษที่ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนใหญ่ หนึงในทีมฟุตบอล ก็มี Manchester City ที่มีอดีตนายกฯไทย จำเลยคดีทุจริตต่าง ๆ ของคณะกรรมการ คตส. เป็นเจ้าของด้วย ขณะนี้คณะอนุกรรมการ คตส. หนึ่งชุดกำลังตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินที่ซื้อทีมฟุตบอลนี้ แม้ว่าประธานสโมสรฯ จะบอกว่าเงินที่ใช้ซื้อทีมฟุตบอลแมนฯนี้จะผ่านเข้าธนาคารอังกฤษถูกต้องตามระเบียบ แต่ไม่ได้บอกว่าก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะโอนจากสิงคโปร์หรือไทยไปธนาคารอังกฤษ จะถูกต้อง สะอาดหรือไม่.... ผมอยากจะถามคุณศิลาแลงว่ามีความเห็นอย่างไรกับข่าวคราวของสองพ่อลูก ประธานสโมสรฯและกรรมการสโมสรฯดังนี้ We are not kidding อะไร ๆ ที่น่าตื่นเต้นฮือฮ่าไม่น่าเชื่อสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าอดีตนายกฯคนดังแห่งประเทศไทย เจ้าของนโยบายคิดใหม่ทำใหม่ ยื่นมือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ฉะนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าสิ่งเหล่านี้ดันกลายเป็นจริงขึ้นมาในอนาคต... 1. แมนฯซิติกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจรุ่นใหม่แห่งพรีเมียร์ลีก ทักษิณถูกแต่งตั้งให้เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์แห่งเมืองแมนเชสเตอร์... 2. พานทองแท้ ลูกชายคนดังมีข่าวพัวพันกับดารานางแบบสาวไม่ซ้ำหน้า แต่คราวนี้เปลี่ยนมาควง เจสิก้า อัลบ้า, เคียร่า ไนท์ลีย์ และเคต มอสแทน 3. สเวน โกแรน อิริคสัน ตกเป็นข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงอีกแล้ว เมื่อเขาแต๊ะอั๋งนักข่าวสาวชาวไทยที่บินไปสัมภาษณ์ ดร.ทักษิณ จนกลายเป็นข่าวในแทบลอยด์อังกฤษและหนังสอกอสซิปบ้านเราอยู่หลายวัน... 4. คนขับรถและคนตัดหญ้าสนามของแมนฯวิตี้จู่ๆ ก็ร่ำรวยมาผิดปกติ โดยมีเงินหลายล้านปอนด์เข้ามาอยู่ในบัญชีพวกเขาได้อย่างลึกลับ ไร้เหตุผล.. 5. ดร.ทักษิณได้รับสัญชาติอังกฤษ ต่อมาได้รับเลือกเป็น สส. แมนเชสเตอร์ จากนั้นนำนโยบาย 30 ปอนด์รักษาทุกโรคมาใช้.. 6. เกิดกระแสม็อบต้านทักษิณในแมนเชสเตอร์ ภาพเก่าๆ ตามมาหลอนเขาอีกครั้ง เมื่อแฟนแมนฯซิตี้หลายหมื่นคนโพกหัวมาชุมนุนขับไล่ และตะโกนว่า 'Taksin ! Get out!'... ปล. ผมอยากจะเรียก'คุณป้า' ตามคนอื่น ๆ แต่กลัวจะทำให้คุณศิลาแลง'แก่'มากเกินไป...
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007, 01:20 โดย ปุถุชน »
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #135 เมื่อ: 27-10-2007, 09:43 » |
|
คุณศิลาแลงที่น่าสนเท่ห์.... ผมซื้อ Arena เล่มเดือนตุลาคมนี้ เพราะภาพปก Heidi Klum ยอดนางแบบเยอรมันที่ชื่นชอบ... พลิกเข้าไปข้างในมีเรื่องราวเกี่ยวกับทีมฟุตบอลอังกฤษที่ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนใหญ่ หนึงในทีมฟุตบอล ก็มี Manchester City ที่มีอดีตนายกฯไทย จำเลยคดีทุจริตต่าง ๆ ของคณะกรรมการ คตส. เป็นเจ้าของด้วย ขณะนี้คณะอนุกรรมการ คตส. หนึ่งชุดกำลังตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินที่ซื้อทีมฟุตบอลนี้ แม้ว่าประธานสโมสรฯ จะบอกว่าเงินที่ใช้ซื้อทีมฟุตบอลแมนฯนี้จะผ่านเข้าธนาคารอังกฤษถูกต้องตามระเบียบ แต่ไม่ได้บอกว่าก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะโอนจากสิงคโปร์หรือไทยไปธนาคารอังกฤษ จะถูกต้อง สะอาดหรือไม่.... ผมอยากจะถามคุณศิลาแลงว่ามีความเห็นอย่างไรกับข่าวคราวของสองพ่อลูก ประธานสโมสรฯและกรรมการสโมสรฯดังนี้ We are not kidding อะไร ๆ ที่น่าตื่นเต้นฮือฮ่าไม่น่าเชื่อสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าอดีตนายกฯคนดังแห่งประเทศไทย เจ้าของนโยบายคิดใหม่ทำใหม่ ยื่นมือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ฉะนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าสิ่งเหล่านี้ดันกลายเป็นจริงขึ้นมาในอนาคต... 1. แมนฯซิติกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจรุ่นใหม่แห่งพรีเมียร์ลีก ทักษิณถูกแต่งตั้งให้เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์แห่งเมืองแมนเชสเตอร์... 2. พานทองแท้ ลูกชายคนดังมีข่าวพัวพันกับดารานางแบบสาวไม่ซ้ำหน้า แต่คราวนี้เปลี่ยนมาควง เจสิก้า อัลบ้า, เคียร่า ไนท์ลีย์ และเคต มอสแทน 3. สเวน โกแรน อิริคสัน ตกเป็นข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงอีกแล้ว เมื่อเขาแต๊ะอั๋งนักข่าวสาวชาวไทยที่บินไปสัมภาษณ์ ดร.ทักษิณ จนกลายเป็นข่าวในแทบลอยด์อังกฤษและหนังสอกอสซิปบ้านเราอยู่หลายวัน... 4. คนขับรถและคนตัดหญ้าสนามของแมนฯวิตี้จู่ๆ ก็ร่ำรวยมาผิดปกติ โดยมีเงินหลายล้านปอนด์เข้ามาอยู่ในบัญชีพวกเขาได้อย่างลึกลับ ไร้เหตุผล.. 5. ดร.ทักษิณได้รับสัญชาติอังกฤษ ต่อมาได้รับเลือกเป็น สส. แมนเชสเตอร์ จากนั้นนำนโยบาย 30 ปอนด์รักษาทุกโรคมาใช้.. 6. เกิดกระแสม็อบต้านทักษิณในแมนเชสเตอร์ ภาพเก่าๆ ตามมาหลอนเขาอีกครั้ง เมื่อแฟนแมนฯซิตี้หลายหมื่นคนโพกหัวมาชุมนุนขับไล่ และตะโกนว่า 'Taksin ! Get out!'... ปล. ผมอยากจะเรียก'คุณป้า' ตามคนอื่น ๆ แต่กลัวจะทำให้คุณศิลาแลง'แก่'มากเกินไป... สวัสดีคุณปุถุชน นานๆจะได้ตอบคำถามคนรุ่นราวคราวเดียวกันซะที ทำเอาศิลาแลงดีใจมาก เขินสะเทิ้นอาย จนหนังเหี่ยวๆสะเทือน คุณปุถุชนคงชอบซื้อหนังสือโดยดูที่หน้าปก ถึงได้ข่าวคราวใครบางคนมาโดยบังเอิญ ทั้งๆที่ตั้งใจจะชื่อนชมนางแบบหน้าปกเท่านั้น นี่ถ้าปกหนังสือเล่มนั้นเป็นรูปดิฉัน คุณปุถุชนคงไม่ได้อ่านมันจนแล้วจนรอด อาจจะถึงขนาดมองหน้าปกหนังสือนั้นได้เพียงหนเดียว แล้วคงสาบานตนจะไม่มองหนังสือหัวนั้นไปตลอดชีวิตทีเดียว เงินนั้นเป็นสิ่งของประหลาดอย่างหนึ่งในโลกนี้ ที่ไม่อาจหาเจ้าของเดิม หรือความสะอาดสกปรกได้ง่ายๆ และเงินนั้นสามารถง้างได้ทุกสิ่ง แม้แต่เหล็กที่ว่าแข็งเงินก็ง้างออกมาได้ เรื่องนี้ประธานสโมสรฟุตบอลล์ในอังกฤษที่มีหน้าเป็นแคะ เข้าใจในอำนาจของเงินนี้ดี จึงได้ใช้เที่ยวง้างอะไรต่อมิอะไรจนแหกกระจุยไปหมด โดยเฉพาะสัตว์สองฝา ต่อไปก็ตอบคำถาม 1. การที่ทีมฟุตบอลล์หางแถวทีมหนึ่ง จะกลายเป็นมหาอำนาจลูกหนังในพระเมียร์ลีกนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ลองนึกภาพทีมฟุตบอลล์ชาติลาว แต่มีผู้เล่นเป็นทีมชาติบราซิลทั้งหมด ทีมลาวนั้นก็ได้ไปฟุตบอลล์โลกแน่นอน อาจได้แชมป์กลับบ้านด้วย เพราะการทำทีมฟุตบอลล์โดยใช้เงินซื้อตัวนักเล่นเก่งๆมาเข้าทีม ถ้าทุ่มเงินมากพอ ก็สามารถเนรมิตทีมนั้นให้เป็นมหาอำนาจได้ 2. คนที่มีข่าวดังเกี่ยวกับเรื่องคาวๆ ก็ย่อมจะมีข่าวแบบนั้นเรื่อยไป มีคนเขาบอกดิฉันว่า ผู้ชายถ้าไม่เจ้าชู้ก็ไม่ใช่ผู้ชาย แต่ในชีวิตจริงนั้นดิฉันเคยเห็นตุ๊ดที่ทำท่าเจ้าชู้เพื่อกลบเกลื่อนความเป็นตุ๊ดถทเถไป แต่ส่วนใหญ่ที่พบนั้น ก็ได้แต่ป้อไปป้อมาเพื่อสรางภาพ หาดูได้ยากที่จะมีพ่อคอยเก็บตกเอาภาพที่สร้างนั้นไปใช้งานเสียจริงๆ ส่วนรายที่ต้งคำถามมานั้น อาจะเป็นไปได้ว่าจะมีข่าวดังแบบนั้น 3. รายงานข่าวนี้ไม่ได้เสริมต่อว่า นักข่าวสาวที่ว่าคือใคร หรือสายไหน เป็นนักข่าวสายทหารหรือเปล่า ??? 4. คนขับรถและคนตัดหญ้าของสโมสรฟุตบอลล์ดังกล่าว คงจะพลาดโอกาศสำคัญเช่นนั้นแน่นอน เพราะได้ข่าวมาว่า ปัจจุบัญนี้ เฒ่าหัวงูบางคนนิยมนำเงินมาฝากไว้กับอีหนูที่เอาใจเก่งๆมากกว่า ข่าวว่าเงินทองไหลมาเทมา จนเสียงแหบๆคร่ำครวญ ดังกระดี้กระด้าลั่นสนามกอล์ฟ คงเป็นเสียงหัวเราะเยาะสนามกอล์ฟนั่นเอง ที่มีถึง 18 หลุม แต่ทำเงินได้ไม่เท่านักร้องสาว ทีมีหลุม 19 เพียงหลุมเดียว 5. การที่ผู้อพยพในประเทศใดประเทศหนึ่ง จะได้สัญชาติของประเทศนั้นๆ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และถ้ากฎหมายของประเทศนั้นๆ อนุญาตให้ผู้ได้รับสัญชาติโดยมิได้เกิดในประเทศ ลงสมัครเป็นนักการเมือง ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ที่ผู้นั้นจะประสบความสำเร็จ ดูอย่างพ่อบึ๊กอาร์โนลด์ ได้รับสัญชาติอเมริกันจากสถานภาพผู้ขออาศัยในประเทศ ยังได้เป็นถึงผู้ว่าการรัฐ และเมื่อผู้ได้รับสัญชาติได้เป็นนักการเมืองแล้ว การนำนโยบายดั้งเดิมของประเทศตนไปเผยแพร่ในประเทศใหม่ๆ ก็น่าจะเป็นไปได้ อย่างเช่นนโยบาย 30 ปอนด์รักษาได้ทุกโรคแต่ไม่หาย ก็น่าจะเป็นไปได้ 6. ไอ้เรื่องนี้ ก็เกิดแน่นอน สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก คนนิสัยไม่ดี ไปอยู่ที่ไหน ไม่นานก็โดนขับไล่ออกจากสังคมนั้น ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
|
« ตอบ #136 เมื่อ: 27-10-2007, 13:14 » |
|
นานๆจะได้ตอบคำถามคนรุ่นราวคราวเดียวกันซะที ทำเอาศิลาแลงดีใจมาก เขินสะเทิ้นอาย จนหนังเหี่ยวๆสะเทือน
คุณปุถุชนคงชอบซื้อหนังสือโดยดูที่หน้าปก ถึงได้ข่าวคราวใครบางคนมาโดยบังเอิญ ทั้งๆที่ตั้งใจจะชื่อนชมนางแบบหน้าปกเท่านั้น นี่ถ้าปกหนังสือเล่มนั้นเป็นรูปดิฉัน คุณปุถุชนคงไม่ได้อ่านมันจนแล้วจนรอด อาจจะถึงขนาดมองหน้าปกหนังสือนั้นได้เพียงหนเดียว แล้วคงสาบานตนจะไม่มองหนังสือหัวนั้นไปตลอดชีวิตทีเดียว....
ข้อความโดย: ศิลาแลง
'รูปสวย' เป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง... 'ชื่อเสียง' ก็เป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง...
ถ้าคุณศิลาแลงได้ขึ้นปกนิตยสารพร้อมชื่อ 'ศิลาแลง' กำกับไว้
ชื่อ'ศิลาแลง'จะเรียกร้องความสนใจให้ซื้อมาอ่าน อยากรับรู้ความคิดเห็น คำตอบคำถามของคนอื่น ๆ...
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007, 13:16 โดย ปุถุชน »
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #137 เมื่อ: 30-10-2007, 06:22 » |
|
หลานเม่ย เรื่องงานเปิดหนังสือของเสรีไทยนั้น ป้าก็แซวเล่นไปอย่างนั้นเอง เพราะถ้าไปรับทุนมาจากลันดั้นจริงๆ ป้าก็ต้องสับคนไปรับทุนมาเหมือนซ้อเจ็ดสับเละ เพราะเรื่องมันน่าสงสัยว่าไปรับมาได้อย่างไร ทำอย่างไรถึงได้สตางค์มา อันที่จริงป้าทราบมาว่า ทีมงานจัดทำหนังสือของเสรีไทยนั้น สวยไม่แพ้หมวดเจี๊ยบ โดยเฉพาะหนูเม่ยเองนั้น ได้ข่าวนินทาจากสมาชิกว่า สวยระดับซุปเปอร์หมวย อมบ๊วยเพิ่มพลังเสน่ห์ ข่าวยังเล่าลืออีกว่า หากส่งหนูเม่ยไปสันดั๊น หมวยเจี๊ยบหมดสิทธิ์ออกหนังสือ ลิเดียจะตกกะะป๋อง ณหทัยจะไร้ที่พักพิง และทุนทำหนังสือของเสรีไทยอาจจะได้มากกว่าทุนซื้อทีมฟุตบอลล์ห่วยๆมากนัก ว่าแต่ป้าไปสำรวจข่าวการเปิดตัวหนังสือฟากขะโน้นมา เห็นมีมังกรตัวดำๆมาเป็นแม่งาน ฝั่งของเรามีอะไรประหลาดๆอย่างนั้นบ้างไหม อันนี้ป้าตกข่าว หรือเรามีแต่กิ้งกือ ใส้เดือน หามังกรไม่ได้จ๊ะ ศิลาแลง อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้แต่องค์พระปฏิมายังราคิน มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา คุณป้ากรุณาฟังหูไว้หูนะคะ ช่างนินทากันไปด้ายยย มังกรดำ มังกือดำ กิ้งกือ ไส้เดือนนั้น ไม่มี้ ไม่มีค่ะ ของเรามีแต่เจ้าสัวกระเป๋าหนัก หน้าตาดี บุคลิกดี ราศีจับทั้งนั้นค่ะ ผู้หลานขอ(แอบ) นินทามั่งนะคะ คุณป้า 1. อาทิตย์ก่อน ยังมีคนบอกว่า ทั่นสเวนโกรันอะไรนั่น เป็นยอดกุนซือเก่งกาจไม่แพ้ใคร แล้วเหตุไฉนเรือใบสีฟ้าจึงถูกสิงห์โตขย้ำเสียจนใบเรือฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ ตั้ง 6 ริ้วได้ล่ะคะ คุณป้า หลานล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามนต์เงินมันเสื่อมแล้วหรือคะ แต่ก็มีคนนินทาให้ฟังอีกแหละค่ะว่า ฝีเท้ามันห่างไกลกันคนละชั้น แต่หลานว่า ห่างกันแค่ไม่กี่ขั้นบันไดของตารางไม่ใช่หรือคะ 2. มีสมาชิกบางท่าน เค้าวิตกกังวลด้วยความห่วงใยว่า เมืองไทยของเราจะมีสภาพเหมือนฟิลิปปินส์ 2 เข้าไปทุกที คุณป้าผู้มีวิสัยทัศน์เห็นด้วยหรือไม่อย่างไรคะ หลานว่านะคะ เวลาจะเปรียบเทียบกัน ก็ต้องยกข้อด้อยเปรียบเทียบกับข้อด้อย ไม่ใช่ยกเอาข้อดีของบ้านอื่นเมืองอื่นมาเปรียบเทียบกับข้อด้อยของบ้านเมืองตนเอง พื้นฐานประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศนั้นต่างกัน จีน เกาหลีใต้ เวียดนาม อดีตอันยาวนานของแต่ละประเทศที่ผ่านมาในอีกแง่มุมหนึ่ง เต็มไปด้วยคราบเลือดและน้ำตาของประชาราษฏร์ สิ่งเหล่านี้ย่อมมีผลต่อแรงผลักดันภายในจิตใจของผู้คนแน่นอน มาเลเซียเองก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีการกีดกันในแง่เชื้อชาติ แค่โควต้าของนักเรียนที่เข้ามหาวิทยาลัย คนมาเลย์เชื้อสายจีน กับคนมาเลย์เชื้อสายแขกเองก็มีการแบ่งสันปันส่วนต่างกัน เสมอภาคกันที่ไหน อินเดียก็ยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ถือเขาถือเรา คนจนจนยากแทบไม่มีจะกิน หรือแม้แต่จีนก็มีปัญหาเรื่องประชากรมากมายหลายประการ ส่วนบรรดาประเทศฝาหรั่งอั้งม้อผมแดง ถึงแม้จะได้ชื่อว่า พัฒนาแล้ว ก็มีปัญหาเน่า ๆ ไร้สาระภายในเยอะแยะ หลานว่า บ้านเรามันก็พัฒนาไปในแบบฉบับของตนเอง เรื่องล้าหลังไม่เอาไหนก็มี เรื่องดี ๆ ก็มาก ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีน้ำใจ เวลาทราบข่าวว่าใครเดือดร้อน ตกทุกข์ได้ยาก น้ำใจก็ไหลหลั่งกันมาทุกสารทิศ ส่วนพวกที่ชอบทำเลว ทำชั่ว สุดท้ายหลายคนที่เห็น ก็ไม่ได้ตายดีสักคน แถมยังทำให้ลูกหลานได้รับผลกรรมไปด้วย ได้ยินผู้ใหญ่อุปมาว่า เหมือนตาลยอดด้วน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #138 เมื่อ: 30-10-2007, 10:14 » |
|
อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้แต่องค์พระปฏิมายังราคิน มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา คุณป้ากรุณาฟังหูไว้หูนะคะ ช่างนินทากันไปด้ายยย มังกรดำ มังกือดำ กิ้งกือ ไส้เดือนนั้น ไม่มี้ ไม่มีค่ะ ของเรามีแต่เจ้าสัวกระเป๋าหนัก หน้าตาดี บุคลิกดี ราศีจับทั้งนั้นค่ะ ผู้หลานขอ(แอบ) นินทามั่งนะคะ คุณป้า 1. อาทิตย์ก่อน ยังมีคนบอกว่า ทั่นสเวนโกรันอะไรนั่น เป็นยอดกุนซือเก่งกาจไม่แพ้ใคร แล้วเหตุไฉนเรือใบสีฟ้าจึงถูกสิงห์โตขย้ำเสียจนใบเรือฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ ตั้ง 6 ริ้วได้ล่ะคะ คุณป้า หลานล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามนต์เงินมันเสื่อมแล้วหรือคะ แต่ก็มีคนนินทาให้ฟังอีกแหละค่ะว่า ฝีเท้ามันห่างไกลกันคนละชั้น แต่หลานว่า ห่างกันแค่ไม่กี่ขั้นบันไดของตารางไม่ใช่หรือคะ 2. มีสมาชิกบางท่าน เค้าวิตกกังวลด้วยความห่วงใยว่า เมืองไทยของเราจะมีสภาพเหมือนฟิลิปปินส์ 2 เข้าไปทุกที คุณป้าผู้มีวิสัยทัศน์เห็นด้วยหรือไม่อย่างไรคะ หลานว่านะคะ เวลาจะเปรียบเทียบกัน ก็ต้องยกข้อด้อยเปรียบเทียบกับข้อด้อย ไม่ใช่ยกเอาข้อดีของบ้านอื่นเมืองอื่นมาเปรียบเทียบกับข้อด้อยของบ้านเมืองตนเอง พื้นฐานประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศนั้นต่างกัน จีน เกาหลีใต้ เวียดนาม อดีตอันยาวนานของแต่ละประเทศที่ผ่านมาในอีกแง่มุมหนึ่ง เต็มไปด้วยคราบเลือดและน้ำตาของประชาราษฏร์ สิ่งเหล่านี้ย่อมมีผลต่อแรงผลักดันภายในจิตใจของผู้คนแน่นอน มาเลเซียเองก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีการกีดกันในแง่เชื้อชาติ แค่โควต้าของนักเรียนที่เข้ามหาวิทยาลัย คนมาเลย์เชื้อสายจีน กับคนมาเลย์เชื้อสายแขกเองก็มีการแบ่งสันปันส่วนต่างกัน เสมอภาคกันที่ไหน อินเดียก็ยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ถือเขาถือเรา คนจนจนยากแทบไม่มีจะกิน หรือแม้แต่จีนก็มีปัญหาเรื่องประชากรมากมายหลายประการ ส่วนบรรดาประเทศฝาหรั่งอั้งม้อผมแดง ถึงแม้จะได้ชื่อว่า พัฒนาแล้ว ก็มีปัญหาเน่า ๆ ไร้สาระภายในเยอะแยะ หลานว่า บ้านเรามันก็พัฒนาไปในแบบฉบับของตนเอง เรื่องล้าหลังไม่เอาไหนก็มี เรื่องดี ๆ ก็มาก ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีน้ำใจ เวลาทราบข่าวว่าใครเดือดร้อน ตกทุกข์ได้ยาก น้ำใจก็ไหลหลั่งกันมาทุกสารทิศ ส่วนพวกที่ชอบทำเลว ทำชั่ว สุดท้ายหลายคนที่เห็น ก็ไม่ได้ตายดีสักคน แถมยังทำให้ลูกหลานได้รับผลกรรมไปด้วย ได้ยินผู้ใหญ่อุปมาว่า เหมือนตาลยอดด้วน หลานเม่ย อันนินทากาเลเหมือนเทแกลบ มันปวดแสบเหมือนเอาตรูดไปครูดหิน ครูดแรงๆริดสีดวงร่วงลงดิน แทบแดดิ้นเจ็บในอกเหมือนตกตาล 1. โคชสเวนเสน (เอ๊ะ ชื่อนี้หรือเปล่านะ ป้าว่ามันเหมือนชื่อร้านไอติมยังไงก็ไม่รู้) ก็เป็นโคชที่เก่งกาจคนหนึ่งในวงการฟุตบอลล์ ฝีมือนั้นนับๆได้ว่าอยู่ในแถวหน้าๆ แต่โคชก็คือโคช คนที่เตะฟุตบอลล์ตูมๆอยู่ในสนามนั้นไม่ใช่โคช ถึงโคชจะสอนจนปากเปียกปากแฉะ แต่ผูเล่นนั้นไม่เอาไหน สอนหูซ้ายทะลุหูหมา ฟุตบอลล์มันก็แฟ้วันยันค่ำ องค์ประกอบของทีมฟุตบอลล์ที่จะไปได้ถึงดวงดาวนั้น จึงต้องประกอบด้วย ทีม ทั้ง ทีม ที่ดี ไม่ใช่โคชดีนักเตะห่วย โคชห่วยนักเตะดี โคชก็ดีนักเตะก็ดี แต่เจ้าของทีมมันห่วย ลองมีอะไรห่วยแตกสักอย่างหนึ่ง ทีมนั้นมันก็จะมีอาการแพ้มากชนะน้อย และไปได้ไม่ถึงไหนในตารางหรอกจ๊ะ วันไหนฟลุ๊กชนะขึ้นมา หัวปี๊บก็จะยิ้มกรามบาน ลิ่วล้อกระดี้กระด้า แต่พอแพ้ขึ้นมา ก็รีบโวยวายว่า ฟุตบอลล์ไม่เกี่ยวกับการเมือง 2. เมืองไทยของเรานั้น มีอะไรที่เหมือน และไม่เหมือน กับประเทศต่างๆ เมืองของเราประกอบขึ้นด้วยคน เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ และนิสัยของคนนั้น ก็คล้ายๆกัน นั่นคือคนชั่วมันก็ชั่ว คนดีนั้นก็ดี เป็นธรรมดาของโลก อันที่จริงแล้ว เมือง หรือ ประเทศ เป็นเพียงรูปธรรมที่สมมุติกันขึ้น ในที่สุดก็ต้องมีเกิดมีดับตามหลักไตรลักษณ์ โรมอันยิ่งใหญ่ เคยครองโลกใบนี้ในฐานะมหาอำนาจ บัดนี้เหลือเพียงโคลอสเซียมเอาไว้ให้สุนัขอุจจาระเล่น อียิปต์มหาอาณาจักรในตะวันออกกลาง เหลือเพียงปิรามิดกับชาวอีบิปต์ปัจจุบัญเดินจูงอูฐเล่น ใกล้บ้านเรา อาณาจักรขอมอันเกรียงไกร เหลือเพียงปราสาทหินไว้ให้ต้นไม้ปกคลุม ประเทศของเราก็เช่นกัน ที่สุดแล้วก็ต้องสูญสิ้นไปตามกรรม ดังนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ประชาชนกลุ่มหนึ่งก็ย่อมมีความต้องการให้ประเทศของตนดำเนินไปในแนวทางหนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเหมือนอดีต และไม่จำเป็นจะต้องเผื่อไปถึงอนาคต บรรพบุรุษจะปกครองกันมาอย่างไร ลูกหลานจะปกครองกันต่อไปอย่างไร ไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือเราทำวันนี้ ปกครองประเทศในวันนี้ให้ดีที่สุดหรือยัง หากเราไม่ได้ทำ ก็เหมือนเนรคุณบรรพบุรุษ อับอายรุ่นลูกรุ่นหลาน ประเทศไทยจะเหมือนฟิลิปินส์หรือไม่ หากมองในแง่การเมืองและประชาชนแล้ว คำตอบน่ารับทดใจว่า เหมือนแน่นอน ฟิลิปินส์ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีแม่แบบมาจากตะวันตกเช่นเดียวกับประเทศไทย มีการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้ระบบทุนนิยมสามานย์เช่นเดียวกัน สองประการที่สำคัญนี้ก่อให้เกิดความเหมือนอีกต่อไปมากมายหลายประการ นักการเมืองในทั้งสองประเทศนั้น เป็นนักเลือกตั้งเหมือนกัน ต่างก็พัฒนามาจากผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น นายทุนในท้องถิ่น หมาหลงนอกถิ่นที่มีเงินแล้วอ้างว่าไปสมัครเป็นเขยเป็นสะใภ้ของถิ่นนั้นๆ สรุปรวมได้ว่า นักการเมืองของทั้งสองประเทศนี้ ต่างก็แย่งชิงกันเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น ประชาชนของทั้งสองประเทศนั้น ก็ถูกอบรมหล่อหลอมและให้การศึกษามาในการรับใช้ทุนนิยมสามานย์ ส่วนประชาชนที่ไร้การศึกษา ก็ถูกมอมเมาด้วยอบายมุขต่างๆนาๆ ถูกครอบงำด้วยลัทธิอุบาทว์ เครื่องลางของขลัง ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ความฝันลมๆแล้งๆ เยาวชนของทั้งสองชาตินั้น ก็เละเทะไปด้วยอารยธรรมตะวันตก มองหาอนาคตอะไรไม่ค่อยจะได้ เกิดมาเพื่อจะโตเป็นทาสในระบบแรงงาน หรือเป็นเหยื่อในสังคม การศึกษาภายใต้ระบบทันนิยมสามานย์นั้น ไม่ได้ช่วยพัฒนาคนแต่อย่างไร มันมีลักษณะคล้ายๆการฝึกวัวฝึกควายไว้ใช้ไถนายามเมื่อยังมีแรง และฆ่าทิ้งเสียเทื่อหมดประโยชน์ การพัฒนาโลกนี้ให้อยู่รอดไปได้อย่างมี่คุณภาพ พึ่งจะมีการเริ่มต้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โลกใบนี้เกิดขึ้นมา ที่ประเทศไทยของเรานี่เอง ก่อนหน้านี้อาจจะมีทฤษฎีหรือการปฎิบัตที่ใกล้เคียงกันบ้าง แต่ไม่เป็นรูปธรรมที่สามารถถ่ายทอดนามธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้มากว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้วได้ เราเริ่มต้นรูจักความพอเพียงอย่างจริงจัง ไม่ใช่พอเพียงเฉพาะในจิตใจ แต่หมายรวมปถึงการกระทำด้วย หากประเทศไทยของเราเดินไปตามแนวทางนี้ได้อย่างจริงจัง ไม่มีนักการเมืองนักเลือกตั้งเข้ามาหาประโยชน์ โดยการอ้างระบบแต่กลับไปทำอย่างอื่น ประเทศของเราก็มีโอกาศที่จะไม่เหมือนฟิลิปินส์ และไม่เหมือนอีกหลายประเทศในโลก เป็นประเทศที่นายทุนคงจะต้องหลบลี้หนีหน้า หลายรายคงได้ย้ายไปเมืองจีนโน่นแหละ เมืองไทยของเรานั้นไม่เคยไร้น้ำใจ ป้าเห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์ แต่ไอ้ที่เรากำลังไร้อยู่มากมายในทุกวันนี้ คือการไร้ปัญญา หากเราพัฒนาปัญญา ให้คนไทยมีปัญญามากเท่าๆกับที่มีน้ำใจ ประเทศของเราจะสงบสุขจ๊ะ ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #139 เมื่อ: 03-11-2007, 12:52 » |
|
หลานเม่ย อันนินทากาเลเหมือนเทแกลบ มันปวดแสบเหมือนเอาตรูดไปครูดหิน ครูดแรงๆริดสีดวงร่วงลงดิน แทบแดดิ้นเจ็บในอกเหมือนตกตาล 1. โคชสเวนเสน (เอ๊ะ ชื่อนี้หรือเปล่านะ ป้าว่ามันเหมือนชื่อร้านไอติมยังไงก็ไม่รู้) ก็เป็นโคชที่เก่งกาจคนหนึ่งในวงการฟุตบอลล์ ฝีมือนั้นนับๆได้ว่าอยู่ในแถวหน้าๆ แต่โคชก็คือโคช คนที่เตะฟุตบอลล์ตูมๆอยู่ในสนามนั้นไม่ใช่โคช ถึงโคชจะสอนจนปากเปียกปากแฉะ แต่ผูเล่นนั้นไม่เอาไหน สอนหูซ้ายทะลุหูหมา ฟุตบอลล์มันก็แฟ้วันยันค่ำ องค์ประกอบของทีมฟุตบอลล์ที่จะไปได้ถึงดวงดาวนั้น จึงต้องประกอบด้วย ทีม ทั้ง ทีม ที่ดี ไม่ใช่โคชดีนักเตะห่วย โคชห่วยนักเตะดี โคชก็ดีนักเตะก็ดี แต่เจ้าของทีมมันห่วย ลองมีอะไรห่วยแตกสักอย่างหนึ่ง ทีมนั้นมันก็จะมีอาการแพ้มากชนะน้อย และไปได้ไม่ถึงไหนในตารางหรอกจ๊ะ วันไหนฟลุ๊กชนะขึ้นมา หัวปี๊บก็จะยิ้มกรามบาน ลิ่วล้อกระดี้กระด้า แต่พอแพ้ขึ้นมา ก็รีบโวยวายว่า ฟุตบอลล์ไม่เกี่ยวกับการเมือง 2. เมืองไทยของเรานั้น มีอะไรที่เหมือน และไม่เหมือน กับประเทศต่างๆ เมืองของเราประกอบขึ้นด้วยคน เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ และนิสัยของคนนั้น ก็คล้ายๆกัน นั่นคือคนชั่วมันก็ชั่ว คนดีนั้นก็ดี เป็นธรรมดาของโลก อันที่จริงแล้ว เมือง หรือ ประเทศ เป็นเพียงรูปธรรมที่สมมุติกันขึ้น ในที่สุดก็ต้องมีเกิดมีดับตามหลักไตรลักษณ์ โรมอันยิ่งใหญ่ เคยครองโลกใบนี้ในฐานะมหาอำนาจ บัดนี้เหลือเพียงโคลอสเซียมเอาไว้ให้สุนัขอุจจาระเล่น อียิปต์มหาอาณาจักรในตะวันออกกลาง เหลือเพียงปิรามิดกับชาวอีบิปต์ปัจจุบัญเดินจูงอูฐเล่น ใกล้บ้านเรา อาณาจักรขอมอันเกรียงไกร เหลือเพียงปราสาทหินไว้ให้ต้นไม้ปกคลุม ประเทศของเราก็เช่นกัน ที่สุดแล้วก็ต้องสูญสิ้นไปตามกรรม ดังนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ประชาชนกลุ่มหนึ่งก็ย่อมมีความต้องการให้ประเทศของตนดำเนินไปในแนวทางหนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเหมือนอดีต และไม่จำเป็นจะต้องเผื่อไปถึงอนาคต บรรพบุรุษจะปกครองกันมาอย่างไร ลูกหลานจะปกครองกันต่อไปอย่างไร ไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือเราทำวันนี้ ปกครองประเทศในวันนี้ให้ดีที่สุดหรือยัง หากเราไม่ได้ทำ ก็เหมือนเนรคุณบรรพบุรุษ อับอายรุ่นลูกรุ่นหลาน ประเทศไทยจะเหมือนฟิลิปินส์หรือไม่ หากมองในแง่การเมืองและประชาชนแล้ว คำตอบน่ารับทดใจว่า เหมือนแน่นอน ฟิลิปินส์ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีแม่แบบมาจากตะวันตกเช่นเดียวกับประเทศไทย มีการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้ระบบทุนนิยมสามานย์เช่นเดียวกัน สองประการที่สำคัญนี้ก่อให้เกิดความเหมือนอีกต่อไปมากมายหลายประการ นักการเมืองในทั้งสองประเทศนั้น เป็นนักเลือกตั้งเหมือนกัน ต่างก็พัฒนามาจากผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น นายทุนในท้องถิ่น หมาหลงนอกถิ่นที่มีเงินแล้วอ้างว่าไปสมัครเป็นเขยเป็นสะใภ้ของถิ่นนั้นๆ สรุปรวมได้ว่า นักการเมืองของทั้งสองประเทศนี้ ต่างก็แย่งชิงกันเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น ประชาชนของทั้งสองประเทศนั้น ก็ถูกอบรมหล่อหลอมและให้การศึกษามาในการรับใช้ทุนนิยมสามานย์ ส่วนประชาชนที่ไร้การศึกษา ก็ถูกมอมเมาด้วยอบายมุขต่างๆนาๆ ถูกครอบงำด้วยลัทธิอุบาทว์ เครื่องลางของขลัง ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ความฝันลมๆแล้งๆ เยาวชนของทั้งสองชาตินั้น ก็เละเทะไปด้วยอารยธรรมตะวันตก มองหาอนาคตอะไรไม่ค่อยจะได้ เกิดมาเพื่อจะโตเป็นทาสในระบบแรงงาน หรือเป็นเหยื่อในสังคม การศึกษาภายใต้ระบบทันนิยมสามานย์นั้น ไม่ได้ช่วยพัฒนาคนแต่อย่างไร มันมีลักษณะคล้ายๆการฝึกวัวฝึกควายไว้ใช้ไถนายามเมื่อยังมีแรง และฆ่าทิ้งเสียเทื่อหมดประโยชน์ การพัฒนาโลกนี้ให้อยู่รอดไปได้อย่างมี่คุณภาพ พึ่งจะมีการเริ่มต้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โลกใบนี้เกิดขึ้นมา ที่ประเทศไทยของเรานี่เอง ก่อนหน้านี้อาจจะมีทฤษฎีหรือการปฎิบัตที่ใกล้เคียงกันบ้าง แต่ไม่เป็นรูปธรรมที่สามารถถ่ายทอดนามธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้มากว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้วได้ เราเริ่มต้นรูจักความพอเพียงอย่างจริงจัง ไม่ใช่พอเพียงเฉพาะในจิตใจ แต่หมายรวมปถึงการกระทำด้วย หากประเทศไทยของเราเดินไปตามแนวทางนี้ได้อย่างจริงจัง ไม่มีนักการเมืองนักเลือกตั้งเข้ามาหาประโยชน์ โดยการอ้างระบบแต่กลับไปทำอย่างอื่น ประเทศของเราก็มีโอกาศที่จะไม่เหมือนฟิลิปินส์ และไม่เหมือนอีกหลายประเทศในโลก เป็นประเทศที่นายทุนคงจะต้องหลบลี้หนีหน้า หลายรายคงได้ย้ายไปเมืองจีนโน่นแหละ เมืองไทยของเรานั้นไม่เคยไร้น้ำใจ ป้าเห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์ แต่ไอ้ที่เรากำลังไร้อยู่มากมายในทุกวันนี้ คือการไร้ปัญญา หากเราพัฒนาปัญญา ให้คนไทยมีปัญญามากเท่าๆกับที่มีน้ำใจ ประเทศของเราจะสงบสุขจ๊ะ ศิลาแลง ผู้หลานขอคารวะท่านป้าด้วยเบียร์ไฮเนเก้น 3 จอก พร้อมกับ (แอบ) ฮาาา -- หลานมิแน่ใจว่า สมควรจะอุดหนุน "สิงห์" ต่อไปหรือไม่ ตามบางกระแสว่าด้วยเหตุที่ "สิงห์" ไปอุ้มชูเรือใบที่ใบเรือขาดเป็นริ้ว ๆ แล้ว คุณป้าเจ้าคะ สมัยหลานยังผูกคอซองไปโรงเรียน ข่าวว่าใครได้ไปเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์ ก็นับว่า โก้ไม่น้อย จะเป็นรองก็เพียงแค่ยุโรป อเมริกา เท่านั้น แต่พอสองสามีภริยาผู้สวมวิญญาณฉินไขว้เวอร์ชั่นฟิลิปปินโน ยึดครองทำเนียบมาลากันยัง บ้านเมืองของพวกเขาก็เริ่มถดถอยเข้าสู่ความล่มจมนับแต่บัดนั้น -- ถ้าคนในบ้านเมืองของเรา ปล่อยปละละเลยให้ประเทศของเราเป็นแบบฟิลิปปินโนล่ะก็ อาย "ผู้มีเล็บงาม" มันนะเจ้าคะ มิหนำซ้ำยังจะถูกรุ่นลูกหลานเหลนโหลนด่าจนฝาโลงสะเทือน เพราะแผ่นดินของเรายังเป็นขวานเพียงด้ามเดียว ในขณะที่ประเทศฟิลิปปินส์เต็มไปด้วยเกาะแก่งต่าง ๆ นับพันนับหมื่น จะให้รวมตัวสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวก็ยากเย็นแสนเข็ญ ขนาดของเราแค่เป็นขวานเล่มไม่ใหญ่ไม่โต พวกนักการเมืองรุ่นปู่รุ่นตา ยังทะเลาะขายตัวกันไม่เลิก วันนี้โผไปซบอกคนนี้ พรุ่งนี้โผไปซบอกคนโน้น ทำตัวหลายใจ ไม่มีกระดูก ไม่อายลูกอายหลานเสียบ้างเลย คำถามวันนี้ ขอคุณป้ากรุณา "ฟันธง" ให้หน่อยค่ะว่า ...เมื่อจอมโจรเอสตราด้าถูกปล่อยตัวออกมาจากคุก แล้วจอมโจรหน้าเหลี่ยมจะมีวาสนาได้เดินเข้าคุกหรือป่าวคะ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #140 เมื่อ: 03-11-2007, 17:56 » |
|
ผู้หลานขอคารวะท่านป้าด้วยเบียร์ไฮเนเก้น 3 จอก พร้อมกับ (แอบ) ฮาาา -- หลานมิแน่ใจว่า สมควรจะอุดหนุน "สิงห์" ต่อไปหรือไม่ ตามบางกระแสว่าด้วยเหตุที่ "สิงห์" ไปอุ้มชูเรือใบที่ใบเรือขาดเป็นริ้ว ๆ แล้ว คุณป้าเจ้าคะ สมัยหลานยังผูกคอซองไปโรงเรียน ข่าวว่าใครได้ไปเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์ ก็นับว่า โก้ไม่น้อย จะเป็นรองก็เพียงแค่ยุโรป อเมริกา เท่านั้น แต่พอสองสามีภริยาผู้สวมวิญญาณฉินไขว้เวอร์ชั่นฟิลิปปินโน ยึดครองทำเนียบมาลากันยัง บ้านเมืองของพวกเขาก็เริ่มถดถอยเข้าสู่ความล่มจมนับแต่บัดนั้น -- ถ้าคนในบ้านเมืองของเรา ปล่อยปละละเลยให้ประเทศของเราเป็นแบบฟิลิปปินโนล่ะก็ อาย "ผู้มีเล็บงาม" มันนะเจ้าคะ มิหนำซ้ำยังจะถูกรุ่นลูกหลานเหลนโหลนด่าจนฝาโลงสะเทือน เพราะแผ่นดินของเรายังเป็นขวานเพียงด้ามเดียว ในขณะที่ประเทศฟิลิปปินส์เต็มไปด้วยเกาะแก่งต่าง ๆ นับพันนับหมื่น จะให้รวมตัวสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวก็ยากเย็นแสนเข็ญ ขนาดของเราแค่เป็นขวานเล่มไม่ใหญ่ไม่โต พวกนักการเมืองรุ่นปู่รุ่นตา ยังทะเลาะขายตัวกันไม่เลิก วันนี้โผไปซบอกคนนี้ พรุ่งนี้โผไปซบอกคนโน้น ทำตัวหลายใจ ไม่มีกระดูก ไม่อายลูกอายหลานเสียบ้างเลย คำถามวันนี้ ขอคุณป้ากรุณา "ฟันธง" ให้หน่อยค่ะว่า ...เมื่อจอมโจรเอสตราด้าถูกปล่อยตัวออกมาจากคุก แล้วจอมโจรหน้าเหลี่ยมจะมีวาสนาได้เดินเข้าคุกหรือป่าวคะ? หลานเม่ย สมัยหลานใส่คอซอง ป้าคงจะเริ่มใส่คอกระเช้าแล้ว และกำลังหัดเคี้ยวหมากเพื่อให้สมวัย แหม รุ่นเดียวกันเลยนะจ๊ะ ป้าก็เคยได้ยินมาว่า ในยุคสมัยหนึ่งคนไทยนิยมไปชุบตัวกันที่ฟิลิปินส์ นอกจากฟิลิปินส์ก็ยังมีอินเดีย คือสรุปได้ว่า ขอให้ได้นั่งเครื่องบินไปจากบ้านเกิดสักพัก คว้าใบประกาศนียบัตรหรือปริญญามาสักใบหนึ่ง พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ ไทยคำอังกฤษคำ ก็พอจะสร้างตัวให้เป็นที่น่านับถือกับสังคมในยุคนั้นได้ อย่าว่าแต่ไปเรียนเป็นกิจลักษณะเลย เพียงไปเดินแถวๆปารีส กินกาแฟแถวชอมป์เอลิเซ่ เข้าไปเรียนเสริมสวยดัดผมสักหกเดือน กลับมาก็คุยฟุ้งทับถมพวกที่เรียนแถวๆประตูน้ำได้มากอยู่ อันที่จริงระบบการศึกษาของต่างประเทศที่ว่ามานี้ ก็ไม่ได้ดีเด่นไปกว่าระบบการศึกษาของบ้านเราในสมัยนั้น เพียงแต่คำว่านักเรียนนอก มันขลังมาตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ใครๆก็อยากเป็นนักเรียนนอกด้วยกันทั้งนั้น แต่เมือ่โลกเราเจริญขึ้น คนไทยก็เริ่มรู้ทันนักเรียนนอกชนิดกำมะลอมากขึ้น ความนิยมเดินทางไปศึกษาในประเทศใกล้ๆบ้านเราจึงเสื่อมลง ต้องหาทางไปเรียนกันให้ไกลขึ้น ข้ามทวีปไปถึงอังกฤษอเมริกาโน่น จึงจะทันสมัย มาจนถึงทุกวันนี้ ความเป็นนักเรียนนอกก็ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรมากไปกว่า จบนอกมาแล้วรู้ภาษาต่างประเทศเท่านั้นเอง และนักเรียนของไทยเรานี้ หากรู้ภาษาต่างประเทศเข้าจริงๆจังๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านักเรียนนอกเลย และทุกวันนี้ ประเทศของเราก็เป็นแหล่งศึกษาของนักเรียนต่างประเทศมากมาย มีหลายประเทศทีเดียวที่นิยมส่งเด็กมาเรียนในบ้านเรา โลกมันเปลี่ยนไปแล้วจ๊ะ คุณแอสตราด้านั้น แกไม่ได้ทำการศึกษาของฟิลิปินส์เสื่อมลงไปหรอก อย่าไปโทษแกเลย อันที่จริงแกไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากทำประโยชน์ให้ตัวเอง ดูไปก็คล้ายๆนักการเมืองที่ไร้แผ่นดินอยู่ในบ้านของเรา มันแต่สูบทรัพย์เสพกามเสียเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็กระเด็นไปจากประเทศแล้ว นักการเมืองรุ่นปู่รุ่นตา รวมมาถึงรุ่นป้าและรุ่นหลาน สืบเชื้อสายมาจากแหล่งเดียวกัน นั่นคือถือกำเนิดมาจากอวิชชา คือความไม่รู้ อุดมไปด้วย กิเลส ตัณหา ราคะ มุ่งหวังเข้ามาเพียงเพื่อ กิน กาม เกียรติ บ้างก็พอเอาตัวรอดลงไปจากหลังเสือได้ บ้างก็โดนเสือกัดขบไปตามแต่บุญกรรมที่สั่งสมมา คนพวกนี้จะต้องกัดกัน กอดกัน ไปตามแต่ภาวะการเมืองจะชักนำไป เหมือนไม้ที่ลอยไปตามกระแสน้ำพัด กระแสกรรมพัดไปทางไหน พวกนี้ก็ลอยไปทางนั้น ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เรื่องของนักการเมืองที่รอคิวถูกประหาร ด้วยเครื่องประหารหัวสุนัขของท่านเปานั้น ป้าหยิบธงมารอไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้ฟันลงไปเสียที เพราะเสียดายธง แต่ถ้าจะให้คาดการล่วงหน้า ก็เห็นจะต้องบอกว่า คดีที่ขึ้นไปสู่ศาลนั้น คงจะจบลงด้วยคำพิพากษาจำคุก และไม่มีการรอลงอาญา แต่ตัวจำเลยนั้นคงจะหนีสุดชีวิต และคงจะก่อกวนสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติ เพื่อเอาตัวรอดต่อไป แต่ป้าก็เชื่อในกฎแห่งกรรม และยังเชื่ออย่างที่มีคนพูดๆเอาไว้วว่า คงได้กลับมาแต่กระดูกเท่านั้น ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #141 เมื่อ: 15-11-2007, 21:48 » |
|
หลานเม่ย สมัยหลานใส่คอซอง ป้าคงจะเริ่มใส่คอกระเช้าแล้ว และกำลังหัดเคี้ยวหมากเพื่อให้สมวัย แหม รุ่นเดียวกันเลยนะจ๊ะ ป้าก็เคยได้ยินมาว่า ในยุคสมัยหนึ่งคนไทยนิยมไปชุบตัวกันที่ฟิลิปินส์ นอกจากฟิลิปินส์ก็ยังมีอินเดีย คือสรุปได้ว่า ขอให้ได้นั่งเครื่องบินไปจากบ้านเกิดสักพัก คว้าใบประกาศนียบัตรหรือปริญญามาสักใบหนึ่ง พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ ไทยคำอังกฤษคำ ก็พอจะสร้างตัวให้เป็นที่น่านับถือกับสังคมในยุคนั้นได้ อย่าว่าแต่ไปเรียนเป็นกิจลักษณะเลย เพียงไปเดินแถวๆปารีส กินกาแฟแถวชอมป์เอลิเซ่ เข้าไปเรียนเสริมสวยดัดผมสักหกเดือน กลับมาก็คุยฟุ้งทับถมพวกที่เรียนแถวๆประตูน้ำได้มากอยู่ อันที่จริงระบบการศึกษาของต่างประเทศที่ว่ามานี้ ก็ไม่ได้ดีเด่นไปกว่าระบบการศึกษาของบ้านเราในสมัยนั้น เพียงแต่คำว่านักเรียนนอก มันขลังมาตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ใครๆก็อยากเป็นนักเรียนนอกด้วยกันทั้งนั้น แต่เมือ่โลกเราเจริญขึ้น คนไทยก็เริ่มรู้ทันนักเรียนนอกชนิดกำมะลอมากขึ้น ความนิยมเดินทางไปศึกษาในประเทศใกล้ๆบ้านเราจึงเสื่อมลง ต้องหาทางไปเรียนกันให้ไกลขึ้น ข้ามทวีปไปถึงอังกฤษอเมริกาโน่น จึงจะทันสมัย มาจนถึงทุกวันนี้ ความเป็นนักเรียนนอกก็ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรมากไปกว่า จบนอกมาแล้วรู้ภาษาต่างประเทศเท่านั้นเอง และนักเรียนของไทยเรานี้ หากรู้ภาษาต่างประเทศเข้าจริงๆจังๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านักเรียนนอกเลย และทุกวันนี้ ประเทศของเราก็เป็นแหล่งศึกษาของนักเรียนต่างประเทศมากมาย มีหลายประเทศทีเดียวที่นิยมส่งเด็กมาเรียนในบ้านเรา โลกมันเปลี่ยนไปแล้วจ๊ะ คุณแอสตราด้านั้น แกไม่ได้ทำการศึกษาของฟิลิปินส์เสื่อมลงไปหรอก อย่าไปโทษแกเลย อันที่จริงแกไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากทำประโยชน์ให้ตัวเอง ดูไปก็คล้ายๆนักการเมืองที่ไร้แผ่นดินอยู่ในบ้านของเรา มันแต่สูบทรัพย์เสพกามเสียเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็กระเด็นไปจากประเทศแล้ว นักการเมืองรุ่นปู่รุ่นตา รวมมาถึงรุ่นป้าและรุ่นหลาน สืบเชื้อสายมาจากแหล่งเดียวกัน นั่นคือถือกำเนิดมาจากอวิชชา คือความไม่รู้ อุดมไปด้วย กิเลส ตัณหา ราคะ มุ่งหวังเข้ามาเพียงเพื่อ กิน กาม เกียรติ บ้างก็พอเอาตัวรอดลงไปจากหลังเสือได้ บ้างก็โดนเสือกัดขบไปตามแต่บุญกรรมที่สั่งสมมา คนพวกนี้จะต้องกัดกัน กอดกัน ไปตามแต่ภาวะการเมืองจะชักนำไป เหมือนไม้ที่ลอยไปตามกระแสน้ำพัด กระแสกรรมพัดไปทางไหน พวกนี้ก็ลอยไปทางนั้น ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เรื่องของนักการเมืองที่รอคิวถูกประหาร ด้วยเครื่องประหารหัวสุนัขของท่านเปานั้น ป้าหยิบธงมารอไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้ฟันลงไปเสียที เพราะเสียดายธง แต่ถ้าจะให้คาดการล่วงหน้า ก็เห็นจะต้องบอกว่า คดีที่ขึ้นไปสู่ศาลนั้น คงจะจบลงด้วยคำพิพากษาจำคุก และไม่มีการรอลงอาญา แต่ตัวจำเลยนั้นคงจะหนีสุดชีวิต และคงจะก่อกวนสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติ เพื่อเอาตัวรอดต่อไป แต่ป้าก็เชื่อในกฎแห่งกรรม และยังเชื่ออย่างที่มีคนพูดๆเอาไว้วว่า คงได้กลับมาแต่กระดูกเท่านั้น ศิลาแลง ขอบพระคุณคุณป้าศิลาแลงเจ้าเก่ามากค่ะ ไม่ได้คุยกับคุณป้ามาหลายวัน คิดถึงจังเลย มาจะกล่าวบทไป ทั้งนักเรียนนอกนักเรียนในก็มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองนะคะ ขอให้เป็นคนดี มีศีลธรรม อย่าหลงตัวเองจนเกินเหตุ เห็นหน้าสี่เหลี่ยมน่าบูชาหลงใหลได้ปลื้มแบบนั้นล่ะก็ อาจจะตกที่นั่งเดียวกับพวกเข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมด ว่าที่นายกฯ หน้าหยกของชาวเรา ก็นักเรียนนอกนะคะ คืนนี้ มารบกวนขอคำแนะนำจากคุณป้าก่อนอำลาไปนิทราค่ะว่า คุณป้าจะแนะนำลูก ๆ หลาน ๆ ให้จับไม้ติ้ว เอ๊ย เลือกกาเบอร์ไหนดีคะ ทั้งแบบสัดส่วน (ชื่อแปลก ๆ ) กับ สายเดี่ยว น่ะค่ะ ครั้งนี้ คุณป้าคงไม่เสียดายธงที่จะฟันแล้วนะคะ นอนหลับฝันดีนะคะ คุณป้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #142 เมื่อ: 16-11-2007, 10:00 » |
|
ขอบพระคุณคุณป้าศิลาแลงเจ้าเก่ามากค่ะ ไม่ได้คุยกับคุณป้ามาหลายวัน คิดถึงจังเลย มาจะกล่าวบทไป ทั้งนักเรียนนอกนักเรียนในก็มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองนะคะ ขอให้เป็นคนดี มีศีลธรรม อย่าหลงตัวเองจนเกินเหตุ เห็นหน้าสี่เหลี่ยมน่าบูชาหลงใหลได้ปลื้มแบบนั้นล่ะก็ อาจจะตกที่นั่งเดียวกับพวกเข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมด ว่าที่นายกฯ หน้าหยกของชาวเรา ก็นักเรียนนอกนะคะ คืนนี้ มารบกวนขอคำแนะนำจากคุณป้าก่อนอำลาไปนิทราค่ะว่า คุณป้าจะแนะนำลูก ๆ หลาน ๆ ให้จับไม้ติ้ว เอ๊ย เลือกกาเบอร์ไหนดีคะ ทั้งแบบสัดส่วน (ชื่อแปลก ๆ ) กับ สายเดี่ยว น่ะค่ะ ครั้งนี้ คุณป้าคงไม่เสียดายธงที่จะฟันแล้วนะคะ นอนหลับฝันดีนะคะ คุณป้า หลานเม่ย ป้าหลับฝันดีไปแล้ว ตื่นขึ้นมาถึงได้เห็นคำถามจ๊ะ พูดถึงนักเรียนนอก และพาดพิงไปถึงอดีตนักเรียนนอกที่ต้องกระเด็นจากแผ่นดินเกิด ไปเป็นสัมภเวสีอยู่เมืองนอก และพาดพิงไปถึงว่าที่นายกหน้าหยก ก็เห็นจะเอามาเปรัยบเทียบกันได้ ว่าด้วยเรื่องชนิดของนักเรียนนอก ว่าที่นายกหน้าหยกนั้น สถาบันที่เรียนมาเมื่อเอ่ยชื่อ คนก็ฮือฮา ไม่เฉพาะคนไทยแต่เป็นคนที่รู้เรื่องการศึกษาทั้งโลก เพราะสถาบันนั้นเป็นสถาบันเก่าแก่ มีคุณภาพชนิดไม่ต้องสงสัย ซึ่งก็เป็นการรับรองคุณภาพคนที่จบมาได้เป็นอย่างดี สมัครงานที่ไหนในโลกนี้ เขาก็อ้าแขนรับ ยกเว้นสมัครผูแทนในบ้านเรา ไม่รู้จะรับกันไหม อย่างว่าแหละ คนมีปัญญาย่อมเลือกคนมีปัญญาด้วยกัน แต่พวกกลัวผีปอบ ขูดต้นไม้หาหวย ใหว้กุมารควายสองหัว และบูชาเจลลดไข้บวมน้ำ พวกนี้จะเลือกอะไรเราก็รู้ๆกันอยู่ ส่วนอดีตนักเรียนนอก ที่ไร้แผ่นดินซุกหัว จบอะไรมานั้น คุณภาพเป็นอย่างไร ก็อยากให้ไปอ่านหนังสือชื่อ "ตำรวจปริญญาเอก" แปลโดย พล.ต.ท.อัมรินทร์ เนียมสกุล เขียนโดย george Kirkham ลองหาอ่านดูแล้วจะรู้ว่า สาขาวิชาที่อดีตนักเรียนนอกนั้นจบมาเป็นอย่างไร คุณภาพแค่ไหน ส่วนเรื่องการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง จะเลือกใครดีนั้น คงตอบไม่ยาก เพราะมีตัวเลือกเพียงสามฝ่ายเท่านั้น คือ 1. ฝ่ายไม่เอาทรราช 2.ฝ่ายทรราช 3.ฝ่ายโสโครก รอเข้าข้างไหนก็ได้ ชอบแบบไหนก็พอจะรู้ๆกันอยู่ว่าใครอยู่ฝ่ายไหน เลือกไปเถิดจ๊ะ เพราะไม่ว่าจะเลือกอย่างไร ความวุ่นวายในบ้านเมืองก็คงจะยังไม่จบ บ้านเมืองเราแตกแยกแล้ว การแก้ไขความแตกแยกนั้น ได้มีผู้พยายามสมานฉันท์กันมาพักหนึ่ง แต่ไม่สำเร็จ ยกหน้า คงต้องใช้วิธีฆ่าตัดตอน พวกทรราชจะได้สูญพันธ์ ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ริวเซย์
|
|
« ตอบ #143 เมื่อ: 28-11-2007, 12:33 » |
|
เรียนคุณป้าศิลาแรงที่นับถือ
ผมติดตามรายการของคุณป้ามาตลอด ผมมีปัญหาหนักอกหนักใจมานานแล้วใคร่ครวญถามคุณป้าครับ เรื่องมันเป็นแบบนี้
ผมแอบชอบผู้หญิงคนนึงมานานแล้วครับ เราคุยกันถูกคอทุกอย่างเหมือนไปกันได้ดี แต่ที่ไม่ถูกใจผมอย่างเดียวก็คือ เจ้าหล่อนเป็นแฟนพรรคไทยรักไทยตัวยง แม้จะโดนยุบไปแล้วก็ยังเชียร์พรรคพลังประชาชนต่ออีก เจ้าหล่อนยังสาธยายบ่อยๆว่าหลงไหลได้ปลื้มกับอดีตนายกทักษิณเหลือเกิน เธอบอกว่าถ้าได้แฟนแบบทักษิณนี่รักตายเลย ก็รู้นะครับว่าความเห็นต่าง เชียร์คนละพรรคไม่เป็นไร ผมก็อยากให้เธอรักและมาเป็นแฟนผมนะครับ ผมควรจะเลียนแบบพฤติกรรมของทักษิณดีหรือเปล่าครับ อย่างกินไก่โชว์ ทาครีมให้เจ้าหล่อนดู ไปศัลยกรรมหน้าให้เป็นสี่เหลี่ยม หรือเอาคำพูดยอดฮิตของทักษิณมาพูด เช่น
ถ้าผมมีกิ๊ก เธอจับได้ผมก็จะพูดว่า"ผมบกพร่องโดยสุจริต"
ถ้าเจ้าหล่อนทำผิดบ้างไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อย ผมก็จะพูดว่า"สมควรตาย"
ถ้าเธอจู้จี้ซักไซ้ผมมากๆ หรือพ่อแม่ของเธอจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็จะบอกเธอว่า"Unไม่ใช่พ่อ"
หรือคำพูดอื่นๆของพวกนักการเมืองที่เธอชื่นชอบอย่าง หลงห. หรือคำว่า "ปุ้ดโธ่" มาใช้บ้าง
ไม่ทราบว่าพฤติกรรมดังกล่าวของผมจะทำให้เธอหันมารักมาสนใจผมได้หรือเปล่า วานป้าศิลาแลงไขข้อข้องใจผมด้วยจักเป็นประคุณอย่างหามิได้ครับ
มะ ช่างอุตฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #144 เมื่อ: 28-11-2007, 18:08 » |
|
เรียนคุณป้าศิลาแรงที่นับถือ
ผมติดตามรายการของคุณป้ามาตลอด ผมมีปัญหาหนักอกหนักใจมานานแล้วใคร่ครวญถามคุณป้าครับ เรื่องมันเป็นแบบนี้
ผมแอบชอบผู้หญิงคนนึงมานานแล้วครับ เราคุยกันถูกคอทุกอย่างเหมือนไปกันได้ดี แต่ที่ไม่ถูกใจผมอย่างเดียวก็คือ เจ้าหล่อนเป็นแฟนพรรคไทยรักไทยตัวยง แม้จะโดนยุบไปแล้วก็ยังเชียร์พรรคพลังประชาชนต่ออีก เจ้าหล่อนยังสาธยายบ่อยๆว่าหลงไหลได้ปลื้มกับอดีตนายกทักษิณเหลือเกิน เธอบอกว่าถ้าได้แฟนแบบทักษิณนี่รักตายเลย ก็รู้นะครับว่าความเห็นต่าง เชียร์คนละพรรคไม่เป็นไร ผมก็อยากให้เธอรักและมาเป็นแฟนผมนะครับ ผมควรจะเลียนแบบพฤติกรรมของทักษิณดีหรือเปล่าครับ อย่างกินไก่โชว์ ทาครีมให้เจ้าหล่อนดู ไปศัลยกรรมหน้าให้เป็นสี่เหลี่ยม หรือเอาคำพูดยอดฮิตของทักษิณมาพูด เช่น
ถ้าผมมีกิ๊ก เธอจับได้ผมก็จะพูดว่า"ผมบกพร่องโดยสุจริต"
ถ้าเจ้าหล่อนทำผิดบ้างไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อย ผมก็จะพูดว่า"สมควรตาย"
ถ้าเธอจู้จี้ซักไซ้ผมมากๆ หรือพ่อแม่ของเธอจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็จะบอกเธอว่า"Unไม่ใช่พ่อ"
หรือคำพูดอื่นๆของพวกนักการเมืองที่เธอชื่นชอบอย่าง หลงห. หรือคำว่า "ปุ้ดโธ่" มาใช้บ้าง
ไม่ทราบว่าพฤติกรรมดังกล่าวของผมจะทำให้เธอหันมารักมาสนใจผมได้หรือเปล่า วานป้าศิลาแลงไขข้อข้องใจผมด้วยจักเป็นประคุณอย่างหามิได้ครับ
มะ ช่างอุตฯ
หลานมะ การแอบชอบผู้หญิงนั้น มักจะเป็นนิสัยปกติของผู้ชาย แต่ถ้าแอบชอบอยู่นานๆ โดยที่เจ้าตัวเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเราแอบชอบอยู่ มันก็ดูคล้ายๆรักคุด คุดหงิกๆงอๆไม่ยอมโผล่ออกมาดูโลกกับเขาเสียที รักคุดนั้นมันก็เจ็บไปแบบหนึ่ง เจ็บๆคันๆไม่แพ้ขนคุด จำเป็นจะต้องรักษาอาการด้วยการถอนขนเส้นนั้นออกเสีย แต่การถอนความรักนั้นมันคงยาก เพราะมันไม่ได้เกิดตามธรรมชาติปกติ แต่ผสมการปรุงแต่งของจิตเข้าไปด้วย ถอนยากถอนเย็นเหลือประมาณ ผู้ชายมักจะชอบคิดเข้าข้างตัวเอง เมื่อมีผู้หญิงให้ความสนิทสนม คุยกันถูกคอ ก็มักจะทึกทักเอาว่าผู้หญิงนั้นคงจะมีใจให้บ้าง แล้วก็พาลคิดเตลิดเรื่อยเปื่อยไปจนถึงไหนต่อไหน ทั้งๆที่ฝ่ายหญิงอาจจะคิดเพียงแค่ได้คนคุยถูกใจ และได้คนรับฟังที่ดี รสนิยมของสาวเจ้าที่ไม่ต้องกับรสนิยมของหลาน ในเรื่องการเมืองนั้นถือว่าเป้นเรื่องใหญ่ ต่างกับเรื่องอื่นๆมากนัก เพราะทัศนคติและรสนิยมทางการเมืองนั้น มันสะท้อนสติปัญญาของคนผู้นั้นออกมาด้วย ต่างกับรสนิยมทางอาหาร การแต่งตัว ซึ่งมันเป็นความชอบเฉพาะตน เมื่อหลานพบผู้หญิงที่มีทัศนคติทางการเมืองที่แตกต่างกัน ก็มีสองหนทางที่หลานจะทำได้ หนึ่งก็คือพยายามดึงทัศนคติทางการเมืองของหล่อนให้มาทางเรา หรือสอง ยินยอมคล้อยตามหล่อนไปเสียทุกเรื่อง ด้วยคิดว่าการตามใจคือการแสดงออกของความรักแบบหนึ่ง การตามใจผู้หญิงตะพึดตะพือ โดยไม่มีเหตุผลนั้น อาจจะใช้ได้ผลบ้างสำหรับผู้หญิงบางประเภท แต่สุดท้ายแล้วผู้ชายที่พยายามทำแบบนั้น มักจะระทมทุกข์และพยายามขัดใจต่อไปในภายหลัง เพราะที่ยินยอมตามใจก็ด้วยกลัวเขาจะไม่รัก เมื่อได้มาแล้วซึ่งรักนั้น หรืออาจจะพาลเลยไปถึงได้มาซึ่งตัวผู้หญิงคนนั้นแล้ว สุดท้ายผู้ชายก็จะเริ่มคิด และยิ่งเมื่อข้าวใหม่ปลามัน กลับกลายเป็นน้ำพริกถ้วยเก่าไปแล้ว นรกก็จะตามมา เพราะทั้งนี้ ผู้หญิงที่ถูกตามใจจากคนรัก มันจะคิดต่อไปเสมอว่า เธอสมควรจะได้รับการตามใจไปตลอดกาล ไม่ควรจะมีความเห็นใดๆจากชายอันเป็นที่รัก ที่จะขัดแย้งกับสิ่งที่เธอคิด และโดยมากก็จะรวมไปถึงการไม่อยากรับฟังสิ่งใดจากคนที่ตนรัก แต่อยากให้เขารับฟังเธอทุกเวลาและทุกเรื่อง สุดท้าย สงครามก็จะบังเกิด การที่หลานคิดแผนการจะสร้างสถานการณ์เลียนแบบคนบางคนที่ผู้หญิงคนที่หลานหมายปองอยู่ชมชอบ มันอาจจะได้ผลบ้างจ๊ะ ป้าไม่กล้ารับรองผลหรือขัดแย้ง เพราะไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นของหลาน การที่จะกินไก่โชว์นั้น ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ แต่ป้าแนะนำให้กินไก่สด และอย่าใช้มือในการช่วยกิน ควรใช้ปากคาบแล้วลากลงน้ำไปกินโชว์ให้ดูอย่างน่าระทึก อันนี้อาจช่วยได้มาก การทาครีมนั้นก็เป็นการบำรุงผิวพรรณที่ดีอีกประการหนึ่ง แต่หากการทาครีมนั้นเพียงเพื่อจะเอาไว้โชว์สาว สมควรใช้ครีมแก้ส้นเท้าแตก เพราะมันจะเหมาะกับผิวหน้าในยามนั้นได้ดี ส่วนการศัลยกรรมทำหน้าให้กลายเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมนั้น ป้าแนะนำให้ไปทำที่คลีนิคแถวๆดอนเมือง เพราะหากเขาทำแล้วมีปัญหา เขาจะตามมาจัดการให้ไม่ว่าหลานหลบไปอยู่ที่ไหน ส่วนการใช้คำพูดที่กินใจ ในยามที่แอบไปมีกิ๊ก โดยคิดจะแก้ตัวว่า "ผมบกพร่องโดยสุจริต" โปรดระวังกระสุนปืนจะลั่นโดยบังเอิญ ถ้าสาวเจ้าทำผิด แล้วหลายเอ่ยวจีว่า "สมควรตาย" โปรดระวังว่าคนที่ตายนั้นอาจจะเป็นตัวหลานเอง และถ้าเธอจู้จี้ หรือบุพการีของเธอน่ารำคาญ ประโยคที่ว่า "Unไม่ใช่พ่อ" อาจจะกลับกลายเป็นโดนพ่อตาตื๊บ ส่วนคำว่า หลงห. ป้าจำได้ว่านางคนที่พูด ผัวน้อยไปมีเมียน้อยใหม่ และตนเองนั้นต้องนั่งเกาห.โดยไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายนั้น คำว่า "ปุ้ดโธ่" ป้าว่าหลานไม่ต้องพยายามพูดหรอกจ๊ะ เพราะหลานจะได้พูดแน่ๆเมื่อทำทุกอย่างตามที่หลานคิดเอาไว้แล้ว ป้าอยากจะแนะนำอะไรหลานสักอย่างหนึ่ง ผู้หญิงเรานั้นก็เหมือนกับเงา หากผู้ชายวิ่งไล่ก็มักจะวิ่งหนี แต่เมื่อไหร่ที่ผู้ชายเริ่มวิ่งหนี เงานั้นก็จะวิ่งไล่ แต่ถ้าหลานทดลองวิ่งหนีแล้วเห็นว่าเงานั้นไม่ไล่ตาม โดยเฉพาะเงาหัว หลานควรทำบุญใหว้พระเจ็ดวัด และอย่าลืมว่า ป้าชอบข้าวต้มปลาจาละเม็ด หรือหูฉลามน้ำแดง ถ้าคืนแรกเลี้ยงก็จะดีมาก ส่วนกาแฟและเศษขนมเค็กใส่กล่อง ถ้าไม่เลี้ยงในงานทั้งเจ็ดวันได้ก็จะดีมาก ศิลาแลง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2007, 18:17 โดย ศิลาแลง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
|
|
« ตอบ #145 เมื่อ: 28-11-2007, 19:02 » |
|
เรียนป้าศิแรงที่นับถือ ผมมีปัญหาอยู่ว่าปกติผมเป็นคนที่แก้ปัญหาและหาทางออกให้ตัวเองได้เสมอ แต่ตอนนี้ผมคบกับผู้หญิงอยู่คนนึง เธอห่างกับผมประมาณ6ปีได้ครับ เค้าสั่งให้ผมฟังเพลงหวงของปาน ทุกวันวันละ2รอบ ขู่จะตบผมสารพัด ป้าว่าเค้าโรคจิตป่าวครับ ผมกลัวจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิลาแลง
|
|
« ตอบ #146 เมื่อ: 28-11-2007, 21:31 » |
|
เรียนป้าศิแรงที่นับถือ ผมมีปัญหาอยู่ว่าปกติผมเป็นคนที่แก้ปัญหาและหาทางออกให้ตัวเองได้เสมอ แต่ตอนนี้ผมคบกับผู้หญิงอยู่คนนึง เธอห่างกับผมประมาณ6ปีได้ครับ เค้าสั่งให้ผมฟังเพลงหวงของปาน ทุกวันวันละ2รอบ ขู่จะตบผมสารพัด ป้าว่าเค้าโรคจิตป่าวครับ ผมกลัวจริงๆ หลานแสงโสม ชื่อของหลานนี่ฟังแล้วท่าทางจะเมาดี และหลานก็ท่าทางจะได้ที่แล้ว ถึงได้เรียกชื่อป้าพิกลแบบนั้น คนเราส่วนมาก ก็มักจะ "แก้ปัญหาและหาทางออกให้ตัวเองได้เสมอ" แต่วิธีแก้ปัญหานั้นๆ บางทีก็แก้เหมือนลิงแก้แห คือยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง และการหาทางออกให้ตัวเองได้เสมอนั้น ทางออกที่ว่า บางครั้งก็ออกไปได้ครู่เดียว แล้วก็ต้องหงายหลังกลับมาบ่อยๆ หลานคบกับผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง จากที่ป้าอ่านจดหมายของหลานมา ก็พอเดาได้ว่าหลานเป็นผู้ชาย ดังนั้นป้าก็อนุโมทนาด้วย ที่หลานชอบได้ถูกเพศแล้ว แต่ตรงที่บอกมาว่า อายุห่างกัน 6 ปีนั้น หลานบอกมาไม่ชัดเจนว่า ใครแซงหน้าใครไป 6 ปี หากผู้หญิงนางนั้น อ่อนกว่าหลาน 6 ปี แล้วสั่งให้หลานฟังเพลงหวงของปาน ทุกวันวันละ2รอบ ขู่จะตบหลานสารพัด ป้าว่าหลานก็ไม่น่าวิตกกังวลอะไรมากนัก เด็กสาวๆก็เป็นแบบนี้แหละจ๊ะ รักใครก็ย่อมหวงเป็นธรรมดา หากแฟนทำท่าจะมีกิ๊ก ก็ต้องโกรธและมีลงไม้ลงมือกันนิดหน่อย เข้าทำนองพ่อแง่แม่งอน หนังไทยอย่างไรก็อย่างนั้น ง้อๆเสียหน่อยเดี๋ยวก็หายโกรธ แต่หากผู้หญิงนางนั้นแก่กว่าหลาน 6 ปี คราวนี้ป้าว่าท่าทางมันจะยุ่ง เพราะป้าลองเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้ง หากหญ้าอ่อนของป้าริไปมีกิ๊ก มรึงตายยยย ป้าสรุปว่า เค้าไม่เป็นโรคจิตหรอกจ๊ะ แต่สำหรับหลานนั้น อนาคตไม่แน่นัก ศิลาแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #147 เมื่อ: 28-11-2007, 22:22 » |
|
ขอ(แอบ) ฮา...ก่อนนะคะ ขอเรียนถามคุณป้าก่อนนอนค่ะว่า สมมติ นะคะ สมมติ ว่า ผลการเลือกตั้งออกมาโป๊ะแตก...ใกล้เคียงกับสันติบาลโพลอย่างมีนัยสำคัญ พวกเราที่รักความยุติธรรม เป็นปฏิปักษ์กับทั่นเหลี่ยม จะทำอย่างไรดีคะ ? 1. เปิดแฟรนไชส์ กระดานข่าว "ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด" = จำนวนสาขาของ ชิกจับอิก (7-11) 2. แจกหนังสือ "ยังไงก็ไม่ชิน" ให้กับทุกอบต. ทั่วประเทศ หรือคุณป้ามีทางเลือกอื่นอีกป่าวคะ ขอน้อมรับฟังคำแนะนำตักเตือนเจ้าค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ริวเซย์
|
|
« ตอบ #148 เมื่อ: 29-11-2007, 00:25 » |
|
ขอบคุณท่านป้าศิลาแลงมากครับที่ไขข้อข้องใจให้กระจ่าง ทำให้ตอนนี้ผมมีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้ผมกล้าไปสารภาพรักกับเจ้าหล่อนขึ้นมาครับ ซึ่งเธอก็ยินดีตอบตกลงเป็นแฟนผมแล้วครับ แต่ตอนนี้ผมพบปัญหาใหม่อีกแล้วครับ เป็นเรื่องที่ขัดใจผมมากจริงๆ คราวนี้ไม่ใช่ปัญหาหัวใจครับ แต่เป็นเรื่องอาหารการกิน คือเจ้าหล่อนชอบกินต้มฟักแม้วมากครับ ส่วนผลไม้ก็ชอบกินชมพู่แขกดำ เธออยากกินอะไรก็กินไปครับ ผมไม่เคยบังคับ แต่เจ้าหล่อนชอบบังคับให้ผมไปกินข้าวที่เจ้าหล่อนทำทุกมื้อ สำรับคาวหวานก็มีดังนี้ละครับ ต้มหวัด(นก)ไก่ใส่ฟักแม้ว กับผลไม้คือชมพู่แขกดำ กับเค้กรูปสี่เหลี่ยม แรกๆเพราะรักก็ยังพอทนได้ครับ ตอนนี้ชักจะไม่ไหวประสาทจะกิน ในสมองมันสั่งแต่ว่าคว่ำโต๊ะๆ แต่ร่างกายมันยังไม่สำแดงอาการออกมาเท่านั้นเองครับ อ้อ...คุณป้าครับ อาหารโปรดของผมก็คือ ผัดขิงแก่ครับ แต่เจ้าหล่อนเกลียดมากยืนยันให้ผมเลิกกินอาหารชนิดนี้ให้ได้ ถ้าทนไม่ไหวจริงๆให้เอาขิงเน่ามากินแทน ทุกวันนี้แทบกระอักอยู่แล้วครับ ผมควรทนคบเจ้าหล่อนต่อไปดีหรือเปล่าวานคุณป้าตอบด่วนเลยนะครับ จะไม่ลืมพระคุณครับ มะ ช่างอุตฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^
|
|
|
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
|
|
« ตอบ #149 เมื่อ: 29-11-2007, 01:40 » |
|
หลานแสงโสม ชื่อของหลานนี่ฟังแล้วท่าทางจะเมาดี และหลานก็ท่าทางจะได้ที่แล้ว ถึงได้เรียกชื่อป้าพิกลแบบนั้น คนเราส่วนมาก ก็มักจะ "แก้ปัญหาและหาทางออกให้ตัวเองได้เสมอ" แต่วิธีแก้ปัญหานั้นๆ บางทีก็แก้เหมือนลิงแก้แห คือยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง และการหาทางออกให้ตัวเองได้เสมอนั้น ทางออกที่ว่า บางครั้งก็ออกไปได้ครู่เดียว แล้วก็ต้องหงายหลังกลับมาบ่อยๆ หลานคบกับผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง จากที่ป้าอ่านจดหมายของหลานมา ก็พอเดาได้ว่าหลานเป็นผู้ชาย ดังนั้นป้าก็อนุโมทนาด้วย ที่หลานชอบได้ถูกเพศแล้ว แต่ตรงที่บอกมาว่า อายุห่างกัน 6 ปีนั้น หลานบอกมาไม่ชัดเจนว่า ใครแซงหน้าใครไป 6 ปี หากผู้หญิงนางนั้น อ่อนกว่าหลาน 6 ปี แล้วสั่งให้หลานฟังเพลงหวงของปาน ทุกวันวันละ2รอบ ขู่จะตบหลานสารพัด ป้าว่าหลานก็ไม่น่าวิตกกังวลอะไรมากนัก เด็กสาวๆก็เป็นแบบนี้แหละจ๊ะ รักใครก็ย่อมหวงเป็นธรรมดา หากแฟนทำท่าจะมีกิ๊ก ก็ต้องโกรธและมีลงไม้ลงมือกันนิดหน่อย เข้าทำนองพ่อแง่แม่งอน หนังไทยอย่างไรก็อย่างนั้น ง้อๆเสียหน่อยเดี๋ยวก็หายโกรธ แต่หากผู้หญิงนางนั้นแก่กว่าหลาน 6 ปี คราวนี้ป้าว่าท่าทางมันจะยุ่ง เพราะป้าลองเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้ง หากหญ้าอ่อนของป้าริไปมีกิ๊ก มรึงตายยยย ป้าสรุปว่า เค้าไม่เป็นโรคจิตหรอกจ๊ะ แต่สำหรับหลานนั้น อนาคตไม่แน่นัก ศิลาแลง ขอบคุณครับ ค่อยสบายใจหน่อย (แต่สำหรับหลานนั้น อนาคตไม่แน่นัก)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|