เอกสารทางวิชาการ
ว่าด้วย การตรวจสอบผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ในรอบ 5 ปีของการเป็นนายกรัฐมนตรีข้าพระพุทธเจ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วย ความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษา ไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในทุกครั้งที่มีการตั้งและปรับคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลทักษิณ 1 และ 2 แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ปฏิบัติตามคำปฏิญาณครบถ้วน สมบูรณ์ ตรงกันข้าม ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงปีแรกของรัฐบาลทักษิณ 2 พ.ต.ท.ทักษิณได้กระทำการหลายประการ ที่ตรงกันข้ามกับคำปฏิญาณโดยสิ้นเชิง ดังจะจำแนกให้เห็นโดยสรุป ดังนี้
1. พ.ต.ท.ทักษิณ มิได้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ดังเช่นที่คนไทยควรกระทำ
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แสดงออกในหลายโอกาสทั้งต่อบุคคลใกล้ชิดและที่เปิดเผยในที่สาธารณะ ทั้งการกระทำและคำพูด อันเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อพระมหากษัตริย์
(1) พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อผู้ใกล้ชิดในโอกาสหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้ เราได้ในหลวงรัชกาลที่ 10 แล้ว เพราะฉะนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่มีความหมาย
(2) อีกโอกาสหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า ไม่ต้องห่วงข้างบน เราเพียงแต่ทำให้ 702 และ 704 พอใจแค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจ 701
(3) ในการเข้าเฝ้าหลายครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ไปสายกว่ากำหนด ปล่อยให้พระเจ้าอยู่หัว ต้องรอ เท่ากับเป็นการไม่ให้ความเคารพยำเกรงต่อพระมหากษัตริย์ ไม่เคยมีคนไทยคนใดกล้ากระทำเช่นนี้ (ต่อหน้า 2)
(4) พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สนใจและนำพาต่อพระกระแสพระราชาดำรัสทั้งสองครั้งของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับสถานการณ์ภาคใต้ และห้ามไม่ให้ผู้รับผิดชอบ ลส.ชบ. ทส.ปช. อพปร. และองค์กรมวลชน ออกมาตอบสนอง ถ้าหากเป็นรัฐบาลสมัยก่อน รัฐบาลจะสนองตอบทันที แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากไม่ให้ความสำคัญต่อพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังไม่ให้ความสำคัญต่อพระนางเจ้าสมเด็จพระบรมราชินีนาถด้วย ในการสนทนาเป็นการภายในกลุ่มวงใน ของพรรค พ.ต.ท.ทักษิณ บ่อยครั้งที่ให้สรรพนามแทนพระบรมราชินีนาถว่า แก ถือว่าเป็นการจาบจ้วงเหิมเกริม
(5) พ.ต.ท.ทักษิณ กลั่นแกล้งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑากา ผู้ว่า สตง. ให้พ้นจากตำแหน่งเพราะคุณหญิงไม่ยอมเป็นพวก โดยใช้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภาส่วนหนึ่ง และศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการ โดยไม่คำนึงถึงพระบรมราชโองการแต่งตั้งที่ยังไม่มีอะไรมาลบล้าง ต่อมาแม้จะได้รับสัญญาณ อีกทั้งท่านราชเลขาธิการแจ้งให้ทราบว่าต้องทำอย่างไร ก็ยังไม่ทำ
จนกระทั่งถูกวิจารณ์อย่างมากและไม่มีทางเลือกจึงจำใจต้องทำเมื่อปลายเดือนมกราคม 2549 ทั้งที่ปล่อยให้เรื่องค้างคามากกว่า 1 ปี 7 เดือน
(6) พ.ต.ท.ทักษิณ จาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีในหลายโอกาสระหว่างการพูดคุยในวงในของพรรค ที่สำคัญคือ การที่นายสมัคร สุนทรเวช กล่าวโจมตี พล.อ.เปรม ครั้งสุดท้าย ข่าววงในยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ส่งสัญญาณให้นายสมัคร เพราะไม่พอใจคำปาฐกถาของ พล.อ.เปรม โดยกล่าวหาว่ามุ่งโจมตีตน
(7) พ.ต.ท.ทักษิณ เหิมเกริม จาบจ้างพระมหากษัตริย์ เพราะคำปาฐกถานั้น เป็นกระแสพระราชดำรัสที่ พล.อ.เปรม ได้อัญเชิญมากล่าวให้นักศึกษาฟัง
(
คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ชินวัตร ซึ่งใช้ชั้นบนสุดของอาคาร ชินวัตร 3 ถนนรัชดาภิเษก เป็นกองอำนวยการ ได้ใช้ให้นายดุสิต ศิริวรรณ กล่าวโจมตี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อทำลายความเชื่อถือเพราะระแวงว่า ดร.สุเมธ จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีพระราชทาน
(9) เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี ถูกเอ่ยชื่อถึงว่าอาจเป็นตัวเลือกของการเป็นนายกรัฐมนตรีพระราชทาน คุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ ได้สั่งให้นายดุสิต หาทางทำลายชื่อเสียงของ พล.อ.สุรยุทธ และสั่งให้หน่วยเกสตาโปของนายบรรณพจน์ คอยติดตามความเคลื่อนไหวของ พล.อ.สุรยุทธ ทุกระยะ
(10) มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณหญิงพจมาน กล่าวจาบจ้างสมเด็จพระบรมราชินีนาถ หาว่าไปว่าสามีตน ผ่านบุคคลที่สาม เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้วาจาอันไม่เหมาะสมต่อพระมหากษัตริย์ อาทิ ถ้าผมไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี และ ถ้าพระเจ้าอยู่หัว กระซิบที่หูผมสักนิดว่า ทักษิณ ลาออกเถอะ ผมจะลาออกทันที เป็นวาจาที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตีตนเสมอ
(11) พ.ต.ท.ทักษิณ มองพระมหากษัตริย์เป็นเพียง ยุทธวิธี เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองของตนเท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตีวงล้อมพระมหากษัตริย์แคบเข้ามา โดยดึงเป็นพวกได้แล้ว เป็นการโดดเดี่ยวพระมหากษัตริย์
(12) น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และนายภูมิธรรม เวชชชัย อดีตแกนนำเข้าป่า ได้กล่าวกับอดีตคนเดือนตุลาที่เข้าป่าด้วยกัน ยืนยันอุดมการณ์เดิมที่มีอยู่ โดยบอกว่า เราจะใช้ประโยชน์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
(13) ที่ร้ายที่สุด มีการส่งเงินไปสนับสนุนเว็บไซต์ มนุษยะ ซึ่งเป็นเว็บของขบวนการแบ่งแยกดินแดน พูโล ซึ่งโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมา จากการแกะรอยเส้นทางเดินของเงิน พบว่าเงินนี้ถูกส่งโดยภรรยาของนายภูมิธรรม เวชชชัย เมื่อแกะรอยต่อไปปรากฏว่าเงินจำนวนนี้มาจากบ้านจันทร์ส่องหล้า เรื่องนี้ทำให้นายภูมิธรรม ร้อนตัวมาก
(14) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกของพรรคไทยรักไทย ได้ออกมาวิจารณ์ทำนองว่า พระราชดำริว่าด้วย เศรษฐกิจพอเพียง ไม่น่าจะนำประเทศไปรอดได้ สิ่งที่จะนำประเทศไปรอด คือ ระบบทุนนิยม เท่านั้น
(15) ไม่เพียงแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แสดงท่าทีไม่เคารพยำเกรงต่อพระมหากษัตริย์ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ยังเคยต่อว่าสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถผ่านบุคคลที่ 3 และนาง
เยาวเรศ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นประธานสภาสตรีแห่งชาติในปัจจุบัน ยังแสดงพฤติกรรมไม่บังควร กล่าวคือ วันหนึ่งนางขึ้นเครื่องบินจาก กทม.-เชียงใหม่ ได้ที่นั่งแถวหน้าสุด นั่งเอาเท้ายันผนังด้านหน้าที่ใส่หนังสือสำหรับผู้โดยสาร และเท้านั้นไปอยู่บนหนังสือที่หน้าปกเป็นรูปในหลวงพอดี มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นจึงบอกให้เอาลง เยาวเรศไม่พอใจ สั่งให้แอร์โฮสเตสไปตามชายคนนั้นมาแล้วถามว่า รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ชายคนนั้นตอบว่า รู้ เป็นน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรี เยาวเรศถามต่อว่า แล้วเราเป็นใคร ชายคนนั้นบอกว่าเป็นใครไม่สำคัญ เรื่องนี้ได้รับการบอกเล่าแพร่สะพัดจนพวกการบินไทยรู้เรื่องดี
(16) ตั้งสังฆราช 2 องค์ ทั้งที่อำนาจในการแต่งตั้งเป็นของพระมหากษัตริย์
(17) ไปแก้เคล็ดเสริมดวงชะตาในโบสถ์วัดพระแก้ว เพราะหมอดูบอกว่าต้องทำในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของประเทศ วัดพระแก้วเปรียบเสมือนสถานที่ที่พระมหากษัตริย์ใช้ติดต่อกับพระอินทร์บนสวรรค์ ตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ และเปรียบเสมือนเป็นวัดส่วนพระองค์ ไม่เคยมีใครกล้าหาญชาญชัยไปทำอย่างนี้ ที่เคยเป็นมา และกระทำอย่างลุกลี้ลุกลน หากทำบุญประเทศจริงๆ อื่นได้ แม้จะให้นายวิษณุ เครืองาม และนายธงทอง จันทรางศุ ออกมาชี้แจง ประชาชนไม่เชื่อ
(18) ล่าสุด เมื่อ ปธน.ฝศ.จ๊าก ชีรัค มาเยือนไทย และพระเจ้าอยู่หัวไปรับที่สนามบิน ทรงแนะนำให้จ๊าก ชีรัค รู้จักคนสำคัญฝ่ายไทย พอถึง พ.ต.ท.ทักษิณๆ พูดทักทายกับจ๊ากหลายนาทีโดยไม่สนใจในหลวงซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเลย แสดงความสนิทสนมกับจ๊าก ชีรัค ซึ่งคนดูทีวีเห็นแล้วขัดลูกนัยน์ตา เพราะถ้ารู้จักที่ต่ำที่สูง ควรทักทายจ๊าก ชีรัคสั้นๆ เพราะวันรุ่งขึ้นก็ต้องพบปะเจรจากันอยู่แล้ว แต่นี่กล้าทำต่อหน้าพระพักตร์โดยไม่สนใจพระจ้าอยู่หัวเลย
ยังมีเหตุการณ์ละเอียดอ่อนอย่างยิ่งอีกหลายกรณีที่ไม่อาจนำมากล่าวไว้ในที่นี้ได้
กล่าวโดยสรุป พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกมิได้มีความจงรักภักดีอย่างจริงใจและจริงใจต่อพระมหากษัตริย์ดังที่ได้กล่าวปฏิญาณต่อพระพักตร์พระเจ้าอยู่หัว ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกด้วยวาจาและพฤติการณ์ ทั้งการใช้วาจาและพฤติการณ์จาบจ้วงโดยตรงและโดยอ้อมด้วยการโจมตีบุคคลสำคัญที่ใกล้ชิดต่อพระมหากษัตริย์ เหมือนกับการตีวัวกระทบคราด อีกทั้งคนในครอบครัวบางคนและคนในพรรคไทยรักไทยบางคนยังแสดงกิริยาวาจาไม่เคารพต่อสถาบันสูงสุดของชาติ
2. พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อย่างแท้จริง แต่มีผลประโยชน์แอบแฝง
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการออกกฎหมาย แก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวและพรรคพวก ที่เรียกว่า การคอรัปชั้นเชิงนโยบาย ซึ่งเป็นการกระทำที่แนบเนียนมาก และหลีกเลี่ยงกฎหมายไม่อาจเอาผิดได้โดยตรง คดีคอรัปชั่นที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลแต่ละราย มีมูลค่านับเป็นพันๆ ล้านบาท เป็นการคอรัปชั่นแบบปล้นชาติเพื่อตัวเอง คนในครอบครัวและพวกพ้อง กล่าวคือ
การคอรัปชั่นเชิงนโยบาย
ด้วยการใช้กฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตนเองและพรรคพวก
(1) ปี 2548 ใช้อำนาจกดดันให้ ทศท. ยอมต่อสัญญาระหว่าง ทศท. กับ บริษัทอินโฟมีเดีย ชื่อเดิมคือ ชินวัตร ไดเร็คทอรี่ย์ ซึ่งรับทำสมุดหน้าเหลืองโทรทัศพ์ กับ ทศท. ใหม่เป็นเวลา 10 ปี
ระหว่างปี 2539-2548 ในสัญญาใหม่ที่ทำนี้ บริษัท อินโฟมีเดีย ขอลดส่วนแบ่งรายได้ที่จ่ายให้ ทศท. และเปลี่ยนการแจกสมุดหน้าเหลืองแก่ผู้ใช้เป็นแจก ซีดี แทนทำให้บริษัทได้ประโยชน์ด้านการเงิน ในขณะที่ ทศท. เสียประโยชน์
(2) ใช้ประโยชน์จากกฎหมายด้วยการแปรสภาพคู่สัญญากับองค์การโทรศัพท์เมื่อแปรสภาพเป็นบริษัท ทศท.(มหาชน) จำกัด ซึ่งทำให้รายได้ของบริษัท ทศท. น้อยลง คู่แข่งของ เอ.ไอ.เอส อ่อนแอ แต่ทำให้บริษัท เอ.ไอ.เอส. ของตนได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น คิดเป็นมูลค่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นหมื่นล้านบาท
(3) ใช้อำนาจกดดันให้ กสท. ยกเลิกการประมูลสัมปทาน CDMA เฟส 2 ที่นายลีกาชิง เจ้าของ HUTCH ชนะประมูลแล้วให้ กสท. ลงทุนเอง เพราะหากให้นายลีกาชิงทำ จะเป็นคู่แข่งของ เอ.ไอ.เอส. โดยตรง เมื่อรัฐกำกับดูแล กสท. จะทำให้ กสท. อ่อนเอ รายได้ลดลง ประโยชน์จะตกอยู่กับ เอ.ไอ.เอส โดยตรง เพราะถ้าปล่อยให้โทรศัพท์มือถือ CDMA เกิดขึ้นเร็ว บริษัท เอ.ไอ.เอส จะได้รับผลกระทบ จึงไม่น่าประหลาดใจที่โทรศัพท์มือถือระบบ CDMA กว่าจะเกิดขึ้นได้นับสิบปี
(4) ในการเดินทางไปจีน พ.ต.ท ทักษิณ ได้แอบไปตกลงกับจีนผ่านนายเหยียนปิน ให้บริษัท หัวเหว่ย มาประมูลการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของ CDMA ในต่างจังหวัดทั้งหมด และ พ.ต.ท. ทักษิณ มานั่งคุมโดยตรง โดยอ้างว่าเป็นการประมูล E-Auction ครั้งแรก เพื่อเป็นประกันว่า หัวเหว่ยต้องได้ เพราะรู้ราคากลางมาก่อน เมื่อประมูลได้แล้ว ได้ให้น้องสาว นางเยาวภา แดงสวัสดิ์ รับงานต่อจากหัวเหว่ย ในขณะที่บริษัท TRUE ของ ซี.พี. ให้หัวเหว่ยสร้างกล่อง ASDL ซึ่งมีคุณภาพต่ำมากให้ประชาชนผู้ใช้บริการของ TRUE
(5) ใช้อำนาจผ่านสภาที่ตนคุมได้ ตรา พรก . ภาษีสรรพาสามิตบริการโทรคมนาคม ให้กระทรวงการคลังเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ โดยไม่ให้กระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการรายเดิม ที่มี เอ.ไอ.เอส เป็นหลัก เท่ากับเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่จนไม่มีผู้มาแข่งขัน ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับ เอ.ไอ.เอส. ขัดกับหลักการที่ว่า ภาษีเป็นสิ่งที่จัดเก็บจากผู้ประกอบการทุกรายในอัตราเดียวกัน
(6) ใช้อำนาจกดดันต่อ ทศท. ให้ เอ.ไอ.เอส. แก้สัญญาร่วมงานกับ ทศท. ในการจ่ายเงินชดเชยของโทรศัพท์เตลื่อนที่ระบบพรีเพด วันทูคอล ลดลงจาก 25% เหลือเพียง 20% รัฐบาลเสียรายได้ 1,000 ล้านบาทต่อปี แต่ เอ.ไอ.เอส ได้ประโยชน์
(7) ใช้อำนาจผ่านรัฐมนตรีคลัง กดดันให้กระทรวงการคลังยกเลิกภาษีนำเข้าโทรศัพท์มือถือจาก 10% เหลือ 0% และยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่ได้ทำไป เมื่อปี 2544 ทำให้ เอ.ไอ.เอส. ได้กำไร 20,258 ล้านบาท หรือเพิ่ม 420% เฉพาะในปี 2544
(
ปี 2545 พ.ต.ท. ทักษิณ ใช้อำนาจกดดัน ทศท. ปรับการแบ่งรายได้ระหว่าง เอ.ไอ.เอส. กับ ทศท. ใหม่ โดย เอ.ไอ.เอส. ทำสัญญาโรมมิ่งกับ ดีทีซี. ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ เอ.ไอ.เอส. ภายในกรอบข้อตกลงระหว่าง ทศท. กับ เอ.ไอ.เอส. ซึ่งเท่ากับเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักการวิธีการคิดสัดส่วนแบ่งรายได้ ทำให้ เอ.ไอ.เอส. ได้ประโยชน์ เพราะภาระการจ่ายค่าตอบแทน ให้ ทศท. น้อยลง โดย เอ.ไอ. เอส. ได้ประโยชน์ 52 สตางค์ในทุกนาที
(9) ปี 2546 ใช้อำนาจกดดันให้ คณะกรรมส่งเสริมการลงทุน หรือ บี.โอ.ไอ. มีมติส่งเสริมการลงทุน ไอ.พี.สตาร์ ของครอบครัวนายกรัฐมนตรี ยกเว้นภาษี ไอ.พี. สตาร์ มูลค่าเม็ดเงินที่ชินแซต ได้รับการยกเว้นภาษีสูงถึง 16,459 ล้านบาท
(10) ใช้อำนาจกดดันให้กรมประชาสัมพันธ์แก้สัญญา ลดค่าสัมปาน ไอ.ทีวี .ซึ่งครอบครัวชินวัตร ถือหุ้นใหญ่เหลือเพียง 150 ล้านบาทต่อปี ทำให้ ไอ.ทีวี. ลดเงินที่จะต้องจ่ายให้รัฐถึง 17,430 ล้านบาท ในช่วง 20 ปีทีเหลือ และเปลี่ยนเงื่อนไขให้ ไอ.ทีวี. มีรายการบันเทิงได้มากขึ้น ทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นจากที่ประมาณการ 40,000 ล้านบาทในช่วง 20 ปีเป็น 57,000 ล้านบาท
(11) ใช้อำนาจปกป้องอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยการไม่เปิดเสรีในความตกลงด้านการค้า พ.ต.ท. ทักษิณ พยายามขัดขวางและชะลอการเปิดเสรีบริการโทรคมนาคม โดยเฉพาะบริการโทรศัพท์มือถือ ตลอดมา ดังจะเห็นได้ว่า ข้อตกลงเปิดการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ไม่มีการเปิดเสรีบริการโทรศัพท์แต่อย่างใด เพื่อไม่ให้มีคู่แข่งมากกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบัน เอ.ไอ.เอส. ได้เปรียบคนอื่นอยู่แล้ว
(12) ใช้อำนาจให้มีการละเว้นไม่ออกกฎระเบียบประกอบกฎหมายแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ด้วยการพยายามชะลอให้นานที่สุด ไม่ให้มีการออกกฎหมายประกอบ เพราะไม่ต้องการให้มีการบังคับใช้ต่อธุรกิจโทรทัศพ์มือถือและดาวเทียมของตน ซึ่งเข้าข่าย ผู้มีอำนาจเหนือตลาด ตามม.25 เพราะ เอ.ไอ.เอส. มีส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์มือถือเกินร้อยละ 60 ส่วนชินแซตมีส่วนแบ่งตลาดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ในการบริการดาวเทียมและการให้บริการอินเตอร์เน็ต
(13) กดดันให้ ครม. เสนอทำสายการบินราคาถูก หรือโลวคอส แอร์ไลน์ ในภาคเหนือ และครม. อนุมัติภายใน 60 วัน ซึ่งเร็วเป็นพิเศษ โดย บี.โอ.ไอ สนับสนุนการลงทุนโดยงดเว้นภาษี 16,000 ล้านบาท และกดดันให้การท่าอากาศยานอนุญาตให้ใช้สนามบินดอนเมือง บริษัท ชินคอร์ปลงทุนในสายการบินแอร์เอเชียกับมาเลเซีย เป็นคู่แข่งขันการการบินไทย และการบินไทยถูกกดดันให้สายการบินแอร์เอเชียบินทัยเส้นทางได้ ทำให้รายได้สายการบินไทยลดลง ที่สำคัญคือ พ.ต.ท. ทักษิณ ใช้อำนาจกดดันให้การบินไทยซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติต้องยอมแบ่งเส้นทางที่ทำกำไรได้ดี เพราะมีผู้โดยสารมากให้กับแอร์เอเชีย จนทำให้พนักงานการบินไทยไม่พอใจ แต่ไม่ทราบจะทำอย่างไรเพราะ พ.ต.ท. ทักษิณ ส่งคนของตนมาคุมการบินไทย
(14) ให้กระทรวงการคลังออกระเบียบให้ข้าราชการเบิกค่าเดินทางถ้าใช้บริการของ แอร์เอเชีย ได้ เท่ากับเป็นการแก้ระเบียบเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตนเอง และสายการบินของต่างชาติ มาล้วงงบประมาณของไทยเท่ากับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของตนเอง
(15) เมื่อครอบครัวชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ป ให้บริษัท เทมาเส็ก แห่งสิงคโปร์ มีการโอนหุ้นแอร์เอเชียจากของคนไทย 49% ไปให้สิงคโปร์ เท่ากับต่างชาติถือหุ้นบริษัท ไทยแอร์เอเชียเต็ม 100% ซึ่งชัดกับกฎหมายต่างด้าวของไทย พอเรื่องถูกเปิดโปงสู่สาธารณะครอบครัวชินวัตร รีบให้นายบุญคลี ปลั่งศิริ จัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อซื้อหุ้นคืนจากสิงคโปร์ทันที ไม่เช่นนั้น สายการบินแอร์เอเซียจะไม่ได้สิทธิการบินในไทย
(16) กดดัน ทอท.ให้พัฒนาสนามบินเชียงใหม่เพื่อเป็น ฮับ สำหรับสายการบินแอร์เอเชีย และเตรียมปรับปรุงสนามบินดอนเมือง หลังจากที่ย้ายไปอยู่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ให้เป็น
สนามบินภายในประเทศและสายการบินโลว์คอส ซึ่งแอร์เอเซียเป็นสายการบินโลว์คอสใหญ่ที่สุด ทำให้ครอบครัวชินวัตรได้ประโยชน์จากทรัพย์สินของชาติอีก
(17) พ.ต.ท.ทักษิณ นำผลประโยชน์ของชาติไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว เมื่อเดินทางไปเยือนประเทศจีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น โดยยอมเสียเปรียบยกผลประโยชน์ให้กับประเทศเหล่านี้ในการทำเขตการค้าเสรี หรือ เอฟ.ที.เอ. เพื่อแลกกับการเช่า Transponder ดาวเทียม ไอ.พี.สตาร์ เฉพาะรายได้เรื่องนี้จากอินเดียประเทศเดียว จะทำให้ชินแซตมีรายได้ปีละ 5,000 ล้านบาท คณะผู้แทนไทยที่เจรจาเขตการค้าเสรีอึดอัดใจมากบางแห่ง เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย มีตนไปเจรจาให้เสร็จ หรือในกรณีญี่ปุ่น หัวหน้าคณะผู้แทนถูกเรียกไปพบและบังคับให้ยอมญี่ปุ่นในหลายประเด็นที่กำลังต่อรองกันอยู่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรไทย แต่ถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ยอมเพราะตนแอบไปตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของครอบครัวตนไว้แล้ว
(18) การเจรจา เอฟ.ที.เอ. ที่พ.ค.ท. ทักษิณ พยายามผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็วนั้น คนที่ได้ประโยชน์ คือ ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ กับรัฐมนตรีและแกนนำพรรคไทยรักไทยบางคนเท่านั้น เช่น อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและดาวเทียม อุตสาหกรรมรถยนต์ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อุตสาหกรรมอัญมณี อุตสาหกรรมส่งออกไก่ของซี .พี . อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของนายประยุทธ มหากิจศิริ เป็นต้น แต่ผู้ที่เสียประโยชน์ คือ เกษตรกร ดังนั้น ภาคประชาชนจึงต้องออกมาคัดค้าน
(19) นายสุริยะ เป็นคนที่โกงกินมากที่สุดคนหนึ่งในรัฐบาลชุดนี้เมื่อได้เงินมาแล้ว ส่วนหนึ่งส่งให้คุณหญิงพจมาน เป็นเงินสนับสนุนพรรค อีกส่วนเก็บไว้สำหรับใช้ในกลุ่มวังน้ำยม ที่เห็นได้ชัดสำหรับการคอรัปชั่นเชิงนโยบายสำหรับนายสุริยะ กล่าวคือ สมัยที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรม นายสุริยะให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่มาลงทุนในไทยในเขตพิเศษ แต่มีเงื่อนไขลับกับญี่ปุ่นว่า บริษัท รถยนต์ ดังกล่าวต้องซื้ออะไหล่จากบริษัทของครอบครัวนายสุริยะเท่านั้น เอาผลประโยชน์ของชาติแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว
(20) จากการที่รัฐบาลไทยมีโครงการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้าน คือ พม่า ลาว กัมพูชา ปรากฏว่าในกรณีของลาวนั้น นายสุรเกียรติ เสถียรไทยเป็นคนรับผิดชอบและหาประโยชน์ ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ เป็นผู้หาประโยชน์ให้กับบริษัทสามีของตน สุดารัตน์เคยไปวิ่งเต้นกับรัฐมนตรีเขมรขอโครงการที่รัฐบาล
ไทยช่วยเหลือสร้างถนนจากเกาะกงไปกำปงโสมให้กับบริษัทก่อสร้างของสามีจนประสบผลสำเร็จ
(21) ในกรณีของพม่า พ.ต.ท. ทักษิณสั่งการให้ธนาคารนำเข้าและส่งออกหรือ เอ็กซิมแบงค์ปล่อยเงินกู้ให้ทางการพม่า 4,000 ล้านบาท โดยเอ็กซิมแลงค์แลกดอกเบี้ยเงินกู้ 700 ล้านบาท ทั้งที่ควงเป็นรัฐบาลพม่าควรรับผิดชอบส่วนนี้ ต้นทุนของธนาคาร ดอกเบี้ยควรเป็น 4.3% แต่ถูกลังคับให้คิดดอกเบี้ยเพียง 3% แบบผ่อนปรน เป็นเงินกู้ระยะยาว 12 ปี กับธนาคารเมียนมาร์ ฟอร์เรนจ์ เทรด แบงค์ 14 บริษัท ที่เป็นคู่สัญญากับพม่า หนึ่งในนั้นคือ ชินแซต ธนาคารไทยเป็นผู้รับความเสี่ยงตามใบสั่งของ พ.ต.ท. ทักษิณ บริษัทในเครือชินวัตรและพรรคพวกได้สัมปทานธุรกิจโทรคมนาคมและก่อสร้างในพม่าเท่ากับเป็นการโอนเงินจากเอ็กซิมแบงค์ไปเข้าบริษัทชินวัตรซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน
(22) หลังจากกลับจากพม่า พ.ต.ท. ทักษิณ สั่งการให้การบินไทเปิดสายการบิน ไทย-จิตตะกอง ซึ่งการบินไทยรู้ดีว่าสายการบินนี้ชาดทุนแน่ๆแต่ต้องทำตามใบสั่งและรู้กันดีว่า พ.ต.ท.
ทักษิณคงไปตกลงธุรกิจของครอบครัวกับรัฐบาลพม่ามาแล้ว และทางการพม่าคงอยากให้ไทยเปิดเส้นทางบินดังกล่าว จึงมาบังคับให้การบินไทยดำเนินการ
(23) เรื่องกรณีการซื้อเครื่องบิน เอสยู-30 นั้น เป็นที่ตกลงกันมาก่อนแล้วว่ารายการนี้จะได้เงินส่วนต่าง 3,500 ล้านบาท โดยคุณหญิงพจมานจะเอา 3,000 ล้านบาท และให้คุณลูกน้ำ ภรรยาของ พล.อ.อ. คงศักดิ์ วันทะนา 500 ล้านบาท ดังนั้น พล.อ.อ. คงศักดิ์จึงต้องการเอาคนของตนเป็น ผบ.ทอ. ต่อไปเพื่อคำโครงการนี้ต่อ แต่บังเอิญเกิดข้อผิดพลาดทางเทคนิคที่คนของตนไม่ได้เป็น ผบ.ทอ.และเรื่องดังกล่าวถูกสื่อมวลชนขุดคุ้ยเปิดโปง และกินไม่สะดวก
(24) นายภูมิธรรม เวชชชัย รัฐมนตรีช่วยคมนาคม ได้รับมอบให้จัดตั้งบริษัทเดินเรือไทย เพื่อเป็นกองเรือส่งออกสินค้าของไทยไปต่างประเทศ นายภูมิธรรม ได้นำเอาพรรคพวก ญาติพี่น้องมาดำเนินการเพื่อหากินกับโครงการนี้ จนถูกสื่อมวลชนขุดคุ้ยเปิดโปง เลยไม่กล้าเปิดเผยนัก
(25) โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์-900 เป็นที่รู้กันดีและสังคมก็รับรู้ว่ามีการโกงกินอย่างแน่นอน เพราะมีส่วนต่างของเงินค่อนข้างมาก มีการจ่ายไปเรียบร้อยแล้วทั้งที่เครื่องยังไม่มา แต่รัฐบาลยังไม่นำพากระแสของสังคมที่กดดันให้เปิดเผยเรื่องดังกล่าว เพราะอาจพัวพันไปถึงครอบครัวของนายกรัฐมนตรี นอกจากนั้นรัฐบาลยังไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อบุคคล 8 คนที่ศาลสหรัฐส่งมาให้ จนเป็นที่กังขาของสังคมจนถึงขณะนี้
(26) การคอรัปชั่นในโครงการ แอร์พอร์ตลิงค์ระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิกับมักกะสัน มูลค่า 25,000 ล้านบาท นายชูวิทย์ โกมลวิศิษฐ์ เปิดเผยว่าพบพิรุธ เพราะการรถไฟแห่งประเทศไทย ยอมเสียค่าโง่จ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม 1,666 ล้านบาท ให้กับ 4 ธนาคารที่ปล่อยกู้ทั้งที่โดยปกติแล้ว ผู้รับจ้างควรรับผิดขอบในส่วนนี้ นอกจากนั้นยังมีการสร้างทางระบายน้ำในสนามบินของกรมชลประทาน ปรากฏว่ามีข่าวเจ้าแม่ 12.5%ในรายการนี้ด้วย
(27) ร.ต.อ. นิติภูมิ นวรัตน์เปิดเผยว่า พ.ต.ท. ทักษิณ เดินทางไปร่วมประชุมเอเปคที่เม็กซิโก สถานที่ประชุมคือเมืองลอสคาบอส แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลังไปลงที่เมืองเม็กซิโกซิตี้ เพื่ออ้อนวอนเข้าพบนายวินเซนเต้ ฟอกซ์ ประธานาธิปดีเม็กซิโกและของขึ้นเครื่องบินไปด้วยกัน นายฟอกซ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า การเดินทางครั้งนั้นไม่มีความสุขเลย เพราะ พ.ต.ท. ทักษิณ พยามพูดคุยเพื่อหาช่องทางทำมาหากินด้านโทรคมนาคมในเม็กซิโก แต่ตนได้ตอบปฏิเสธไป ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแทนที่นายกรัฐมนตรีไทยจะไปประชุมเพื่อผลประโยชน์ของชาติ แต่กลับใช้การไปประชุมระหว่างประเทศเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง เช่นเดียวกับการไปเยือน อินเดีย พม่า จีน ออสเตรเลีย ที่มีการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี โดยเอาผลประโยชน์ประเทศชาติไปแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เฉพาะตนใช้กฎหมายและนโยบายเอื้อประโยชน์ต่อหุ้นของครอบครัว
(1) พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในเรื่องหุ้น และรายได้เข้าตนและครอบครัวมาจากการปั่นหุ้นเป็นอันดับหนึ่งในข่วงเวลาทั้งก่อนและระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรี มีการตั้งบริษัทนอมินีในเกาะบริติช เวอร์จิ้นและในต่างประเทศเช่นที่สิงคโปร์ ทำทีเป็นต่างประเทศเข้ามาซื้อหุ้นของตน อันเป็นวีการหนึ่งในการปั่นหุ้นทำรายได้ให้กับตระกูลชินวัตร และตระกูลดามาพงศ์ ของคุณหญิงพจมาน สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น พ.ต.ท. ทักษิณ จึงต้องส่งคนที่ไว้ใจได้ไปคุมตลาดหุ้น และเข้าแทรกแซงตลาดหุ้นทั้งทางตรงและอ้อม เพื่อให้หุ้นของตนขึ้นหรือไม่ให้ตก เช่นในกรณีเหตุการณ์ 9-11 พ.ต.ท. สั่งไม่ให้ตลาดหุ้นทำการเป็นเวลา 2-3 วันเพราะรู้ว่า หากเปิดทำการหุ้นจะตกลงอย่างมาก การที่ราคาหุ้นของครอบครัวขึ้นหรือลงเพียง 1-2 บาท ก่อให้เกิดประโยชน์หรือเสียประโยชน์นับหลายพันและหมื่นล้านบาท พ.ต.ท. คงไม่ต้องการให้หุ้นของครอบครัวตกเป็นแน่
(2) ในต่างประเทศ หากผู้นำเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง จะให้กองทุนบริหารหุ้นของตนเอง เมื่อพ้นตำแหน่ง จึงโอนหุ้นทั้งหมดจากกองทุนมาเป็นของตนต่อไป แต่ พ.ต.ท. ทักษิณ อาศัยช่องโหว่ของกฎหมายไทยโอนหุ้นของตนให้กับภรรยา บุตร ญาติพี่น้อง คนใช้ คนสวน แม้จะถูกกฎหมายแต่ขาดจริยธรรมตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกแล้ว
(3) มูลค่าหุ้นของตระกูลชินวัตร ก่อนที่ พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีมีมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านบาท เพียง 5 ปีผ่านไปถึงปลายปี 2548 มลค่าหุ้นเพิ่มเป็น 134,000 ล้านบาท หนังสือพิมพ์ financial Times ปี 2548 จัดลำดับให้ พ.ต.ท. ทักษิณ รวยที่สุดในโลกอันดับที่ 14 เลื่อนจากลำดับที่ 21 ในปี 2547 ทั้งนี้ยังไม่รวมที่เพิ่งขายหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัทเทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ ได้อีก 73,000 ล้านบาท ถ้ารวมรายได้ส่วนนี้เข้าไปด้วย พ.ต.ท. ทักษิณ น่าจะติดอันดับเลขตัวเดียวในปี 2549
(4) ตระกูลชินวัตร-ดามาพงษ์ มีรายได้จากตลาดหุ้นครองแชมป์ติดต่อกันหลายปี และมีมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากวารสารการเงินการธนาคาร และตลาดหุ้น ซึ่งเป็นข้อมูลเปิด พ.ต.ท. ทักษิณ ใช้นโยบายและกฎหมายในการนำรัฐวิสาหกิจดีๆเข้าตลาดหุ้นเพื่อสร้าง มาร์เก็ต แคป ให้สูงขึ้นโดยอ้างว่าเพื่อให้ต่างชาติเข้ามาซื้อ จะได้ดึงทุนต่างประเทศเข้ามาและทำให้ จีดีพี. ของประเทศสูงขึ้น แต่ พ.ต.ท. ทักษิณ รู้ดีว่า เมื่อทุนต่างประเทศเข้ามาหุ้นก็ขึ้นยกแผง ไม่ใช่เพียงหุ้นของรัฐวิสาหกิจดีๆ เท่านั้น แต่หุ้นของตระกูลชินวัตร และดามาพงษ์ ด้วย เช่น ตระกูลมาลีนนท์ จึงรุ่งเรืองกิจ มหากิจศิริ เป็นต้น รัฐมนตรีหลายคนร่ำรวยจากการปั่นหุ้น พ.ต.ท. ทักษิณ เอาทรัพย์สินของชาติไปขายเพื่อผลประโยชน์ของตนและพรรคพวก โดยเฉพาะกดดันให้ กฟผ.เข้าตลาดหุ้น เป็นการดำเนินการอย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนซึ่งประชาชนทั่วไปตามไม่ทัน
(5) พ.ต.ท. ทักษิณ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนเองในการเรียกร้องผลประโยชน์จากกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่พรรคพวกของตน กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในไทยขณะนี้คือ กลุ่มชินวัตร กลุ่ม ซี.พี ของตระกูลเจียรวนนท์ และกลุ่มศิริวัตนภักดีของนายเจริญ ซี.พี เข้ามาอยู่ในอาณัติ แต่กลุ่มศิริวัฒนภักดี ยังไม่ยอมอยู่ได้อาณัติแต่ไม่ได้คัดด้านเมื่อกลุ่มศิริวัฒนภักดี ต้องการเอาธุรกิจเครื่องดื่มที่รู้จักกันในนาม ไทย เบเวอเรจ หรือเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น พ.ต.ท. ทักษิณ รู้ดีว่า จะทำให้มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงส่งคนไปขอหุ้นฟรี 20% แต่นายเจริญไม่ให้ เมื่อไม่ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ จึงหลอกให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ออกมาคัดค้านการเข้าตลาดหุ้นของไทย เบเวอเรจ ซึ่งเป็นแนวทางของกลุ่มสันติอโศกอยู่แล้ว ด้านหนึ่งกดดัน อีกด้านหนึ่งต่อรองของส่งคนในครอบครัวมาอยู่ในบอร์ดบริหารของกลุ่มไทยเบเวอเรจ นายเจริญไม่ยอมอีก ล่าสุดต่อรองขอส่งคนในครอบครัวมาอยู่ในบอร์ดบริหารโรงแรมในเครือ นายเจริญจึงยอมให้เมื่อนายเจริญจะเอาหุ้นไปเข้าตลาดที่สิงคโปร์ พ.ต.ท. ทักษิณ จึงมีท่าทีอ่อนลง
(6) แก้กฎหมายให้ต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อหุ้นในกิจการโทรคมนาคม เพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 49% เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจครอบครัว ในการขายหุ้นจำนวนมากให้กับบริษัทต่างชาติสิงคโปร์ เทมาเส็ก ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงษ์ ได้ประโยชน์จากการขายหุ้นดังกล่าวถึง 73,000 ล้าน
บาท จากมูลค่าเดิมปี 2544 ซึ่งมีเพียง 15,000 ล้านบาท โดยใช้วิธีหลีกเลี่ยงการเสียภาษีซึ่งไม่ใช่วิสัยของผู้นำประเทศที่จะทำเช่นนั้น เป็นการตัดสินใจบนวิธีคิดของพ่อค้า มากกว่าผู้นำประเทศ แม้จะอ้างว่าเป็นเรื่องของบุตรชายบุตรสาว แต่เป็นที่รู้กันดีว่า การโอนหุ้นให้บุตรเป็นเพียงวิธีการเลี่ยงกฎหมายเท่านั้น แต่ พ.ต.ท. ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ้นเป็นคนบริหารจัดการหุ้นทั้งหมดของครอบครัว
(7) การขายหุ้นครั้งนี้ เปรียบประหนึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ขายทรัพย์สมบัติของชาติและทรัพย์สินของประชาชน ให้กับต่างชาติ เพราะสัญญาณดาวเทียว คลื่นโทรทัศน์ คลื่นโทรศัพท์มือถือ เป็นทรัพย์สินของชาติตามกฎหมาย ซึ่งรัฐต้องเป็นผู้ดำเนินกิจกรรม แต่รัฐอาจให้สัมปทานแก่เอกชนไปทำการบนเงื่อนไขที่รัฐตั้งขึ้นได้ ชินคอร์ป เป็นคู่สัญญากับรัฐ แต่กลับเอาสัมปทานของรัฐไปขายให้ต่างชาติ การขายหุ้นของครอบครัวชินวัตรไม่เหมือนกับการขายหุ้นทั่วไปซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินของชาติ ครอบครัวชินวัตรเอาสัมปทานของรัฐไปขายให้ต่างชาติไม่ได้ มีการตั้งบริษัทไทยเทียมเพื่อให้ดูเหมือนว่ายงมีหุ้นอยู่ 49% แต่ในความเป็นจริง ต่างชาติถือหุ้นมากกว่า 51%
(
มีการดำเนินธุรกิจแบบไม่ตรงไปตรงมา ซิกแซ็ก ซับซ้อนซ่อนเงื่อนโดยเฉพาะการตั้งบริษัทของตนในต่างประเทศ เช่นที่เกาะบริติชเวอร์จิ้น และที่สิงคโปร์ เพื่อนำมาปั่นหุ้นของตนในประเทศ มีวิธีหลบเลี่ยงภาษีอย่างแยบยล
(9) นอกจากมีการโอนลูกค้าของ เอ.ไอ.เอส. 18 ล้านหมายเลขไปให้สิงคโปร์แล้ว ครอบครัวชินวัตรยังเปิดโอกาสให้สิงคโปร์เข้ามาเจาะทะลวงข้อมูลเศรษฐกิจการเงินของประเทศ เนื่องจากบริษัท Advanced Data Network Communication (ANDC) ซึ่งได้รับสัมปทานจาก ทศท. บริการสื่อสารออนไลน์ เชื่อมข้อมูล เอทีเอ็ม.ธุรกิจการคลัง คลังน้ำมัน สายการบิน ธุรกิจด้านการค้าและขนส่งทั่วประเทศ ข้อมูลความมั่นคงทางเศรษฐกิจเหล่านี้จะตกไปอยู่ในมือสิงคโปร์
(10) พ.ต.ท.ทักษิณ ยังรังแกภาคเอกชนเพื่อประโยชน์ของตนเอง จากการที่นายประชัย เลียวไพรัตน์ อดีกเจ้าของบริษัท ทีพีไอ. ซึ่งมีศักยภาพสูงแต่เป็นหนี้ เอ็นพีแอล. นายประชัย สามารถติดต่อกับนักลงทุนจีนให้เข้ามาซื้อหุ้น ทีพีไอ. ได้ในราคาหุ้นละ 13.50 บาท นับเป็นแสนล้านบาท เท่ากับจะปลดหนี้ ทีพีไอ. ได้ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระหว่างการเยือนจีนได้บอกผู้นำจีนว่าอย่าเอาเงินเข้ามา เพราะตนเองต้องการเอา ทีพีไอ. ทำให้ผู้นำจีนไม่สบายใจเพราะการเมืองเข้ามายุ่งกับธุรกิจ แต่เพื่อเห็นกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน จีนจึงไม่เอาเงินมาซื้อ ทีพีไอ. ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งให้ ปตท. ไปซื้อหุ้น ทีพีไอ. ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท เพื่อตนเองจะได้เข้าไปซื้อในภายหลังโดยใช้เงินที่ขายชินคอร์ป
คนใกล้ชิดและเครือญาติคอรัปชั่น
(1) คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ใช้ความได้เปรียบจากการเข้าถึงข้อมูลภายในของรัฐบาล กว้านซื้อที่ดินในใจกลางเมือง และเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน เหนือดิน ที่เป็นทำเลทองไว้หมด เช่น ซื้อที่ดินตรงกันข้ามหอวัฒนธรรมไทย-ญี่ปุ่น เพราะรู้ว่าตรงนี้ต่อไปจะเป็นฮับของรถไฟฟ้าใต้ดิน พอสามีประกาศชักชวนต่างชาติมาลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ที่ประกาศไว้ คุณหญิงพจมานก็สามารถขายที่ดินเหล่านี้ได้กำไรอย่างมาก
(2) ทิ่ดินรอบๆ สนามบินสุวรรณภูมิ ปรากฏว่า คุณหญิงพจมาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายประยุทธ มหากิจศิริ ไปซื้อไว้หมดแล้ว แต่คุณหญิงพจมานซื้อมากที่สุด จากนั้น ได้ร่วมมือกับสามี โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศว่าจะพัฒนาที่ดินบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิเป็นเมืองคู่แฝดกับ กทม.
และเป็นแหล่งลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวชินวัตร ที่สำคัญคือ รัฐบาลปล่อยข่าวลวงว่าจะสร้าง Entertainment Complex ซึ่งเป็นแหล่งกาสิโนที่ชลบุรีบ้าง ตามเกาะต่างๆ บ้าง แต่ของจริงคือ มีแผนจะสร้างที่สนามบินสุวรรณภูมินี่เอง โดยจะนำบริษัท เอ็มจีเอ็ม. จากลาสเวกัสมาลงทุน โดยคุณหญิงพจมานจะได้ถึงสองต่อ คือขายที่ดินในราคาสูงมากเพราะต่างชาติพร้อมจะซื้อและได้เงินใต้โต๊ะกับตั้งนอมินีถือหุ้นบริษัทกาสิโนด้วย
(3) คุณหญิงพจมาน ใช้บริษัท เอสซี.แอสเส็ต เป็นธุรกิจเรื่องอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว ขณะนี้ปั่นหุ้นจาก 10 บาทขึ้นไปกว่า 20 บาท โดยตลาดหลักทรัพย์ไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อบริษัท เอสซี.แอสเส็ต
(4) นางเยาวเรศ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกรับเงิน 300 ล้านบาทเป็นค่าวิ่งเต้นประมูลเฟอร์นิเจอร์สนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ระยะเวลา 25 ปี พ่อค้าจ่ายเงินมัดจำไปแล้ว 25 ล้านบาท แบ่งเป็นจ่ายงวดแรกเมื่อวันทำสัญญา 1 สิงหาคม 2546 เป็นเงิน 5 ล้านบาท โดยมีคนใกล้ชิด นรม. และ ส.ส.รัฐบาล รวม 4 คนเดินทางมารับเงินที่ธนาคารกรุงไทย สาขาบางขุนพรหม ต่อมาทีมงานชุดเดียวกันมารับอีก 20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2546 ส่วนอีก 275 ล้านบาทจะจ่ายหลังลงนามสัญญาได้งานก่อสร้างแล้ว แต่ปรากฏว่าพ่อค้าไม่ได้งาน เลยเอามาเปิดโปงต่อพรรคฝ่ายค้าน
(5) โครงการย้ายโรงงานยาสูบไปที่ จ.เชียงมใหม่ เพื่อให้ใกล้แหล่งวัตถุดิบ ปรากฏว่าน้องสาวสองคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทะเลาะกันจะเอาโครงการนี้ซึ่งมีมูลค่า 18,000 ล้านบาท ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องตัดสินเองให้น้องสาวคนหนึ่งได้เรื่องการก่อสร้างโดรงงาน โดยเอาบริษัท CYC จากจีนมาก่อสร้างทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ น้องสาวอีกคนเอาเครื่องจักรจากสหรัฐมา โครงการนี้มีการตั้งงบส่วนเกินถึง 6,000 ล้านบาท
(6) นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวคนหนึ่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนที่เอาทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าโครงการจะใหญ่หรือเล็ก เช่น จักรยายเอื้ออาทร การสร้างโครงสร้างพื้นฐานของหัวเหว่ย CDMA กรณีลำไยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้งน้องสาว นรม. และภรรยาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รถบริการสนามบินสุวรรณภูมิ ฯลฯ (15) เมื่อสายการบินไทยเปิดเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก(รัสเซีย) ปรากฏว่านางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ไปตั้งบริษัทที่ฮ่องกง แล้วไปผูกขาดการจองตั๋ว ซื้อตั๋วที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก
นำทรัพย์สินของชาติเข้าตลาดหุ้น เพื่อช่วยหุ้นให้ของตนขยับขึ้น
(1) พ.ต.ท.ทักษิณ มักอ้างว่าต้องแปรรูปรัฐวิสาหิจเพื่อให้ไประดมทุนในตลาดหุ้น รัฐจะได้ไม่ต้องกู้เงินจากต่างประเทศมาสนับสนุน และเพื่อให้การบริหารเป็นไปอย่างโปร่งใส โดยที่หน่วยงานของรัฐยังถือหุ้นในสัดส่วน 70: 30 แต่ปรากฏว่า มีตัวอย่างสำหรับรัฐวิสาหกิจที่แปรรูป เริ่มต้นจากสัดส่วนดังกล่าวเพียงไม่กี่ปี สัดส่วนเปลี่ยนไป ของรัฐเหลือเพียง 20% กว่า
(2) กรณีของ ปตท. เป็นตัวอย่งสำคัญ หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์เพียง 2 ปี สัดส่วนหุ้นเปลี่ยนแปลงจากรัฐเคยถือครอง 70% เหลือเพียง 52% เท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีการซิกแซ็กของนักธุรกิจ ผู้ที่ได้ประโยชน์คือญาติพี่น้องของรัฐมนตรีและคนใกล้ชิด กับคนในพรรคไทยรักไทย และคน ปตท. เท่านั้น ประชาชนได้ประโยชน์น้อยมาก
(3) กรณีของ กฟผ. ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามผลักดันให้เข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนจากต่างชาตินั้น ในที่สุดสัดส่วนเริ่มแรก 70:30 จะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน และในที่สุด ภาคเอกชนและต่างชาติจะเข้ามาฮุบทรัพย์สมบัติของชาติเช่น กฟผ.
จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้น สรุปได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ขาดคุณสมบัติของรัฐมนตรีที่ห้ามมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทเอกชน ตาม ม. 209 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่เมื่อ ส.ว. 27 คนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ศาลรัฐธรรมนูญกลับไม่ยอมรับวินิจฉัย ทำให้มีการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนนอกสภาเพื่อการตรวจสอบแทน
ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนมากขึ้น
(1) ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว คนใกล้ชิดและพรรคพวกในรัฐบาลและวงการธุรกิจ ร่ำรวยขึ้น แต่คนจนกลับมีหนี้สินมากขึ้น สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. รายงานว่า ความมั่งคั่งของชาติทุก 100 บาทที่เกิดขึ้น คนรวยซึ่งมีจำนวนคนน้อยที่สุดอยู่ตรงยอดปิระมิด เอาไปแล้ว 57 บาท คนจนซึ่งเป็นคนจำนวนมากที่สุดในประเทศอยู่นรงฐานปิระมิดได้ 4 บาท ชนชั้นกลางซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนรวยกับคนจนได้ 19 บาท
(2) ในภาพรวมเปรียบเทียบการสำรวจปี 2543 กับปี 2547 พบว่า เกษตรกรมีรายได้ลดลงจากร้อยละ 5.7 เหลือ 4.5 ส่วนคนรวยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 52.4 เป็น 55.4 หนี้ต่อครัวเรือนสูงขึ้นจาก 5.63 เท่าเป็น 6.99 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
(3) ดังนั้น ที่รัฐบาลคุยว่า รายได้ต่อหัวของคนไทยสูงขึ้นนั้น เกิดจากรายได้ของคนรวยที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเป็นสำคัญ เมื่อเอารายได้คนทั้งหมดมารวมกันแล้วหารด้วยจำนวนประชากร 63 ล้านคน ทำให้รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริง คนจนอาจมีรายได้เพิ่มขี้นเล็กน้อย แต่มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นมาก มีหนี้สินเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น หากคนจนล้วงกระเป๋าตัวเอง แทนที่จะพบว่ามีเงินเพิ่มขึ้น กลับพบว่า เงินในกระเป๋าหายไปเกือบหมด คนขับแท็กซี่ใน กทม. รายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นคน จ.หนองคาย สมัยรัฐบาลชวน ชาวบ้านยากจน สมัยทักษิณ ชาวบ้านก็ยากจนเช่นเดิม แต่สมัยชวนไม่มีหนี้ สมัยทักษิณ ชาวบ้านเป็นหนี้กันถ้วนหน้า เพราะต่างคนต่างไปกู้เงินกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน ทุนนอกระบบมาซื้อโทรศัพท์มือถือ ซื้อเครื่องเสียง ดาวน์รถจักรยานยนต์
(4) พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการเอาเงินจากธุรกิจผิดกฎหมายใต้ดินขึ้นมาบนดินในรูปของหวยบนดิน สถานคาสิโน ฯลฯ ซึ่งดูเหมือนว่าชาติจะได้ประโยชน์ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ฉกฉวยประโยชน์เหล่านี้จากชาติมาเพื่อตนและพรรคพวกด้วย
(5) รัฐบาลเอาเงินคนจนมาใช้ เงินหวยบนดินเป็นเงินของคนจน รัฐส่งกลับคืนไปเพียงส่วนน้อยในรูปของเงินรางวัล และทุนการศึกษา แต่ส่วนใหญ่ให้นักการเมืองพรรคไทยรักไทยใช้หาเสียง นี่คือเหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องส่งตำรวจ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ลังขพงศ์ ไปคุมสำนักงานสลากกินแบ่งเพื่อนำเงินมาใช้เพื่อผลทางการเมือง ด้วยเหตุนี้ สำนักงานสลากกินแบ่งจึงไม่กล้าแถลงชี้แจงการใช้จ่ายเงินของสำนักต่อประชาชน
(6) เงินกองทุนหมู่บ้านที่รัฐบาลจัดสรรไปให้นั้น ปรากฏว่า บริษัทของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประโยชน์ เนื่องจากประชาชนที่กู้ยืมเงินไปเอาไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ส่วนใหญ่เป็นของ เอ.
ไอ.เอส. ดังนั้นโครงการนี้แม้มีวัตถุประสงค์ที่ดี แต่คนที่ได้จริงๆ คือ เอ.ไอ.เอส. และกลุ่มยานยนต์ ส่วนชาวบ้านมีหนี้เพิ่มขึ้น เพราะนำเงินที่กู้ยืมไปบริโภคมากกว่าลงทุน ในที่สุด ชาวบ้านต้องกลับไปสู่หนี้นอกระบบเช่นเดิม
(7) ข้าราชการกระทรวงการคลังทำงานด้วยความอึดอัดใจ เพราะถูกฝ่ายการเมืองกดดันให้จ่ายงบในโครงการประชานิยม ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2549 งบกลางของปีงบประมาณ 2549 เกือบหมดแล้ว ขณะนี้ต้องเอาเงินคงคลังออกมาใช้แล้ว หากรับบาลยังพยายามโยกย้ายงบ บ้านเมืองจะเสียหายมาก
นโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นทุนนิยมสุดขั้ว ปฏิเสธปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว ซ้ำยังดูหมิ่นว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ทำให้ประเทศชาติอยู่รอด ตรงกันข้ามรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามกระตุ้นให้คนใช้จ่ายมากที่สุด โดยไม่คำนึงว่าชาวบ้านจะมีหนี้สินมากน้อยเพียงไร และเอาเงินของรัฐออกมาหมุนให้มากที่สุด คล้ายกับแชร์แม่ชม้อย แต่ปัจจุบัน เงินที่หมุนไม่ครบรอบของมัน เพราะรัฐบาลคิดว่าจะได้เงินอีกแสนล้านบาทจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ กฟผ. แต่เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ กฟผ. ถูกชะลอเข้าตลาดหุ้น เงินจึงหมุนไม่ครบรอบ รัฐบาลต้องกู้เงินมามใช้ นี้คือความจริง
(9) โครงการประชานิยม คือการเอาเงินภาษีอากรของคนทั่วประเทศไปใช้เพื่อหาเสียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าประชาชนระดับรากหญ้าจะไม่รู้จักพึ่งตนเอง แต่หวังรอคอยความช่วยเหลือของรัฐบาลตลอดเวลา พ.ต.ท. ทักษิณ คือ ซาตานในคราบนักบุญ ดังที่องค์กรนักเรียนได้ให้สมญาไว้ ภาพลักษณ์ที่ปรากฏในภายนอกคือนักบุญของคนจน แต่ตัวตนที่แท้จริงที่ซ่อนไว้ภายใต้เสื้อคลุมของนักบุญคือ ซาตาน
ในขณะที่ ครอบครัวและญาติพี่น้องของ พ.ต.ท. ทักษิณ รัฐมนตรีและนักธุรกิจในกลุ่มไทยรักไทยรวยเอารวยเอา แต่ประเทศชาติและชาวบ้านจนลงจนลง ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่ได้บริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระพักตร์ของพระเจ้าอยู่หัว เพียงแต่ใช้นโยบายประชานิยมเป็นฉากบังหน้าให้ชาวบ้านหลงเชื่อ แต่ความมั่งคั่ง ที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งถูกฉกฉวยโดย พ.ต.ท. ทักษิณ เอาภาษีประชาชนไปแจกชาวบ้าน ได้คะแนนนิยมจากชาวบ้าน ชาวบ้านชอบทักษิณมาก แต่ชาวบ้านไม่รู้ว่าขณะที่ชาวบ้านเป็นหนี้ พ.ต.ท. ทักษิณ รวยเอา ๆ
ทำลายความมั่นคงของชาติทางภาคใต้
สถานการณ์ในภาคใต้ไม่เคยรุนแรงเช่นนี้มาก่อน แต่เพิ่งเกิดในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ นี่เอง เป็นเพราะการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด โดยไปเชื่อตำรวจ อตีต ผบช.ภ.9 และอดีต ผบ.ตร. มากเกินไป จนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ทหาร พลเรือน ตำรวจ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งไทย พุทธ และมุสลิม ผู้นำทางชุมชน ผู้นำทางศาสนา ทั้งพุทธและอิสลาม ตกเป็นเหยื่อการก่อการร้ายล้มตายและบาดเจ็บเป็นพันคน เหตุการณ์ใน3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาหลักด้านความมั่นคงของประเทศในวันนี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพียงเล่นบทการตลาดไปวันหนึ่ง แต่ทำท่าจะทิ้งปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปเสียแล้ว โดยไม่ส่งเงินงบประมาณลงไปตามที่คุยไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ประสบปัญหาไปตามๆกัน มีเงินปฏิบัติการจำกัด เงินเบี้ยเลี้ยงได้รับเมื่อ 3 เดือนผ่านไป งบเสี่ยงภัยของครูถูกตัด ฯลฯ
พ.ต.ท. ทักษิณ ทำลายระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ
หัวใจของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2540 มี 3 ประการ คือ (1) เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน (2) การมีส่วนร่วมของประชาชน และ (3) ระบบตรวจสอบโดยมี ปปช. เป็นองค์กรหลัก
พ.ต.ท. ทักษิณ มองรัฐธรรมนูญเป็นเพียงวิธีการ เป็นเครื่องมือ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองของตนเท่านั้น ไม่เคยปรากฏมาในประวัติศาสตร์เลยว่าเสรีภาพของสื่อมวลชนจะถูกจำกัดมากมายภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับรัฐบาลของ พ.ต.ท. ทักษิณ จนเป็นที่ทราบกันทั่วไปในวงการสื่อระหว่างประเทศ
(1) พ.ต.ท. ทักษิณ เห็นถึงบทความและความสำคัญของสื่อที่มีมากขึ้น ดังนั้น จึงต้องหาทางควบคุมสื่อไว้ให้ได้ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ เริ่มแรกด้วยการเข้าซื้อไอทีวี ส่วนช่อง 3 นั้น ตระกูลมาลีนนท์ ซึ่งร่วมรัฐบาล ได้สัมปทานจากรัฐ เช่นเดียวกับช่อง 7 ที่แม้เอกชนได้รับสัมปทาน แต่ยังอยู่ในการควบคุมดูแลของกองทัพบก ซึ่งเป็นเจ้าของคลื่น ที่เหลือคือ ช่อง 5, 9,11 เป็นของรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ สำหรับทีวีเสรี เช่น ของเครือ เดอะ เนชั่น นั้นยังไม่กล้าไปยุ่ง ส่วน เอเอสทีวี ของเครือผู้จัดการ รัฐใช้วิธีการแทรกแซงส่งคลื่นรบกวน สกัดกั้นการถ่ายทอดของเคเบิลทีวีในรายการที่รัฐบาลไม่ต้องการให้เผยแพร่
รัฐบาลคุมสื่อวิทยุกระจายเสียงได้ทั้งหมดเพราะเป็นคลื่นของรัฐ และพยายามคืบคลานเข้าสู่การควบคุมสื่อหนังสือพิมพ์ โดยให้พรรคพวกใกล้ชิดเช่น เครือแกรมมี่ พยายามเข้าซื้อหุ้นของเครือมติชน บางกอกโพสต์ และพยายามเข้าคุมสื่ออิเลคโทรนิค แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
รัฐบาลใดก็ตามที่พยายามควบคุมสื่อ ซึ่งเป็นตัวกลางในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เป็นการทำลายหัวใจหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับปัจุจบัน
(2) พ.ต.ท. ทักษิณ ทำลายหัวใจของระบอบประชาธิปไตยว่าด้วยการตรวจสอบและถ่วงดุล หรือ Check and Balance นั่นคือ การถ่วงดุลในระบอบประชาธิปไตยในขณะนี้ ตาชั่งเอียงไปทางด้าน พ.ต.ท. ทักษิณ เพราะสามารถคุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างเด็ดขาด และใฃ้ระบบพวกมากลากไปในการออกกฎหมาย
พ.ต.ท. ทักษิณไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินการของรัฐสภาเท่าที่ควร โดยไม่นำพาในการมาชี้แจงต่อรัฐสภา การชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภา เพราะเชื่อว่าตนคุมเสียงทั้งสองสภาได้หมดแล้ว มาชี้แจงหรือไม่มาชี้แจงไม่มีความหมาย
พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ทำลายระบบการตรวจสอบภายใต้รัฐธรรมนูญนี้โดยสิ้นเชิง โดยเข้าแทรกแซงการทำงานของวุฒิสภา ดังที่ ส.ว.บางคนเปิดโปงว่า มีส.ว.จำนวนไม่น้อยรับเงินประจำจากรัฐบาล และรับใบสั่งในการเลือกคณะกรรมการองค์กรอิสระ โดยรัฐบาลได้เข้าไปแทรกแซงและมีอิทธิพลเหนือเสียงส่วนใหญ่ในองค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ยกเว้นศาลปกครองบที่ยังไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ พ.ต.ท. ทักษิณ สามารถเข้าไปควบคุมกระบวนการตรวจสอบได้ทุกจุด รวมทั้งประธานวุฒิสภา และประธานรัฐสภา ซึ่งจะเป็นคนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ และใช้กรมสอบ
สนคดีพิเศษ หรือ DSI และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ทำลายหลักการและหัวใจของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยสิ้นเชิง และสร้างระบบ เผด็จการประชาธิปไตย หรือ ธนาธิปไตย ที่ใช้เงินซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า เป็นการปกครองที่มีเงินเป็นใหญ่ พ.ต.ท. ทักษิณ เชื่อว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่ไม่ใช่เงินของตนและครอบครัว เป็นเงินที่คอรัปชั่นมา พ.ต.ท. ทักษิณ ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเพียงเพื่อใช้กระบวนการตามรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ และวิธีการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองของตนเท่านั้น
นายกรัฐมนตรีที่ขาดคุณธรรมและจริยธรรม
(1) พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นคนฉลาด เป็นคนเก่ง แต่เป็นคนฉลาดที่ไม่เฉลียวเป็น คนเก่งที่ขาดจริยธรรมและคุณธรรม ซึ่งระบาดไปถึงครอบครัวด้วย ทั้งบุตรชายติดยา โกงการสอบ ใช้วิธีการทุกอย่างที่ทั้งผิดกฎระเบียบ ขาดความชอบธรรม ขาดจริยธรรม ในการที่จะให้บุตรสาวสอบเอ็นเข้ามหาวิทยาลัยได้ ด้วยการให้ข้าราชการขโมยข้อสอบขโมยคำตอบ เปลี่ยนคณะให้บุตรสาวโดยแหกกฎมหาวิทยาลัย น้องสาวใช้วูฒิบัตรปลอมมในการสมัครเรียน มสธ. ทั้งหมดอาจได้สายเลือดมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นคนเก่งแต่ขาดคุณธรรม ขาดจริยธรรม
(2) พ.ต.ท. ทักษิณ พยายามอ้างกฎหมายมาโดยตลอด เพราะมีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีมาช่วยคิดว่าจะเลี่ยงกฎหมายอย่างไรดี แม้ไม่ผิดกฎหมายอาญา แต่ก็ผิดกฎหมายมหาชนหรือแม้จะถูกกฎหมาย แต่ไม่ถูกตามทำนองคลองธรรม ขัดต่อจริยธรรม คุณธรรม ที่คนเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องมีพฤติกรรมของผู้นำประเทศไม่ใช่เพียงถูกกำกับโดยกฎหมายเท่านั้น แต่ถูกกำกับโดยจริยธรรมและคุณธรรมด้วย การกระทำใดๆนอกจากถูกกฎหมาย ต้องชอบธรรมด้วย
(3) พ.ต.ท. ทักษิน พยายามถ่ายทอดในงานวันเด็ก 5 ปีที่ผ่านมา เน้นแต่ความฉลาด ความรู้อย่างเดียว แต่ไม่เคยพูดถึงคุณธรรมและจริยธรรมเลย จึงไม่น่าแปลกใจหาก พ.ต.ท. ทักษิณ จะเลือกใช้วิธีเลี่ยงภาษีในการขายหุ้นให้เทมาเส็กและใช้วิธีไม่ตรงไปตรงมาในการบริหารราชการแผ่นดินและธุรกิจของตนเอง
(4) การขายหุ้นเทมาเส็กเป็นจุดระเบิดหลังจากที่คนไทยกลุ่มหนึ่งได้ล่วงรู้และสะสมความไม่พอใจ จากพฤติกรรมบริหารประเทศของ พ.ต.ท. ทักษิณ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เหมือนกับเป็นเชื้อเพลิงที่สะสมจนมีคนมาจุดไฟด้วยกรณีเทมาเส็ก
บทสรุป
พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่ได้ปฏิบัติตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ที่ว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ แต่อย่างใด
ในความเป็นนายกรัฐมนตรี หรือผู้นำของประเทศ พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่มีมิทธิที่จะกระทำการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับครอบครัว คนใกล้ชิด พรรคพวก พ.ต.ท. ทักษิณ ยังแยกตัวเองไม่ออกระหว่างความเป็นนักธุรกิจที่มุ่งหากำไรให้มากที่สุด โดยไม่คำนึงว่า จะได้มาด้วยวิธีใด ถูกกฎหมาย ถูก
คุณธรรม จริยธรรมหรือไม่ กับการเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งมุ่งประโยชน์สุขของประเทศและของประชาชนเป็นสำคัญ เรื่องนี้ตัดสินใจได้ เมื่อมีการขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของชาติกับผลประโยชน์ของตระกูล พ.ต.ท. ทักษิณ เลือกเอาผลประโยชน์ของตระกูลมาเป็นอันดับแรก ดังเช่น กรณีขายหุ้นให้กับเทมาเซค เป็นต้น ที่ พ.ต.ท. ทักษิณ เลือกเอกวิธีการไม่เสียภาษีให้รัฐ
ด้วยเหตุนี้ ประชาชนททุกหมู่เหล่า หลากหลายอาชีพและองค์กรภาคประชาชนจากทุกส่วนภาค จึงไม่อาจไว้วางใจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ บริหารประเทศนี้อีกต่อไปแม้แต่วันเดียว พ.ต.ท.ทักษิณหมดความชอบธรรม และล้มละลายด้านความเชื่อถือโดยสิ้นเชิง ประชาชนไม่ตต้องการผู้นำที่มีแต่ความกลับกลอก พูดอย่างทำอย่าง คำพูดเชื่อถือไม่ได้ พันธมิตรขอเรียกร้องให้พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนับแต่วันนี้เป็นต้นไป
ข้อเสนอแนะ
พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่ นอกจากลาออกจากตำแหน่งโดยเร็วที่สุด เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ คือปัญหาของชาติ การยุบสภาเป็นเพียงกลยุทธการฟอกตัวเพื่อซื้อเวลาเท่านั้น แต่ปัญหายังอยู่ หาก พ.ต.ท.ทักษิณยังดึงดันที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภาคประชาชนทุกหมู่เหล่า ถือเป็นภาระหน้าที่และความชอบธรรมที่จะขับไล่ท่านให้พ้นจากตำแหน่งโดยทันทีเพื่อไม่ให้ท่านหลอกลวงประชาชน และไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหายอีกต่อไป
ข้อยุติ
พ.ต.ท.ทักษิณ ควรลาออก เพื่ออยู่ในเมืองไทยได้ต่อไป และอาจไม่ถูกยึดทรัพย์ แต่ถ้าถูกขับออก นอกจากไม่มีแผ่นดินไทยอยู่อาศัยแล้ว ยังจะถูกยึดทรัพย์ด้วย
http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=27029คุณ 100600 ไปโพสต์ที่ห้องสังคมและการเมืองของเวบประชาไท
จึงนำมาให้พวกเราอ่านที่นี่ด้วย.........