"เงิน" ล้มรัฐธรรมนูญไม่ได้คอลัมน์ เดินหน้าชน
โดย จุฬาลักษณ์ ภู่เกิดคงจะเป็นเช่นที่
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. เชื่อ ว่า
"เงินล้มร่างรัฐธรรมนูญ
ไม่ได้ เพราะประชาชนเข้าใจแล้ว"
เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่ายังไงรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ผ่านฉลุย
แต่ในอีกแง่ หากผลประชามติรัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิด "พลิกล็อค" ขึ้นมา ก็เป็นไปได้ว่า
ไม่ใช่เพราะอิทธิพลของ "เงิน" แต่เป็นอย่างอื่น
ถามหลายคนที่รู้อยู่ว่ายังไงก็จะไป "โหวต โน" ว่า คิดว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ
ไหม?
ร้อยทั้งร้อยตอบว่า ยังไงก็ผ่าน เพราะมิฉะนั้นแล้วความหมายและความชอบธรรมของ
สิ่งที่ คมช. ลงทุนลงแรงมาทั้งหมด ก็เท่ากับศูนย์
แต่ที่จะต้องไปกาไม่รับ ก็เพราะนับจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
จนใกล้จะครบ 1 ปีเต็ม นี่เป็นโอกาสแรกที่จะได้ใช้สิทธิทางการเมืองได้อย่างเต็มที่
เพื่อยืนยันว่า ไม่เห็นชอบกับการกระทำ คมช. และผลพวงจำได้ว่าวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา มีโพลของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ซึ่งสำรวจประชากร 3,470 คน ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 2 สิงหาคม แล้วได้ผล
สรุปออกมาว่า ในจำนวน 61.2% ที่จะไปลงประชามติ มี 55.9% ที่จะการับร่าง
รัฐธรรมนูญ
แต่ปรากฏว่า ให้หลังไม่กี่วัน คุณสดศรี สัตยธรรม ที่เป็นทั้งกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ
และ กกต. ก็ออกมาป่าวประกาศเสียเองว่า ผลโพลของกระทรวงมหาดไทย (ที่สำรวจ
ในช่วงเดียวกัน) ระบุว่า ประชาชนจะรับร่างรัฐธรรมนูญถึง 53%
น่าแปลกที่ผลสำรวจที่กระทำโดยกระทรวงมหาดไทยที่มีเครือข่ายในระบบครบถ้วน
บริบูรณ์ กลับมีเปอร์เซ็นต์การเห็นชอบต่ำกว่าผลสำรวจของรามคำแหง
และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ตัวเลข 55.9% และ 53% ดังกล่าว แม้ในทางหลักการ
จะถือว่าสอบผ่าน หายห่วง
แต่มองอีกด้าน การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับภายใต้อำนาจรัฐทหารและ
องค์กรเครือข่าย และภายใต้กระแสสังคมที่ยังเต็มไปด้วยความหวาดระแวงเกลียดชัง
ต่อระบบอำนาจเดิมของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
จำนวนเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวดูเฉียดฉิวอย่างไม่ควรจะเป็น สะท้อนได้ว่ายังมีสัดส่วนของ
คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมรับในกติกาสูงสุดนี้ ซึ่งอาจโยงใยถึงประเด็นความชอบ-
ธรรมในอนาคตกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 ได้
แม้จะอ้างว่า นี่ไง ประชาชนส่วนใหญ่เห็นชอบแล้ว แต่อีกกว่า 40% ที่เหลือ คมช.
จะกล้ามองข้ามเชียวหรือ?
ช่างเป็นความบังเอิญที่ในวันที่มีการเปิดเผยผลโพลแรกออกมา น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
ประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญก็เปิดประเด็นระหว่างปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ
"เจตนารมณ์และความสำคัญของรัฐธรรมนูญ 2550 กับการพัฒนาการเมืองไทย" ใน
งาน "มหกรรมประชาธิปไตย" ที่รัฐบาลจัดอย่างยิ่งใหญ่โอฬารว่า "ขณะนี้หลายพื้นที่
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเงินลงไปในหมู่บ้านในวันลงประชามติคนละ 200 บาท
เพื่อให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปลงประชามติ ซึ่งได้ฝากเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะ กกต. ให้ไปดู
เรื่องนี้ หากเกิดขึ้นจริงๆ ก็มีส่วนหนึ่งที่จะทำให้มีปัญหาในการลงประชามติ แต่อย่างไร
ก็ตาม จากที่ตรวจสอบดู ทุกภาคในขณะนี้พอจะกล่าวได้ว่าการลงประชามติจะผ่านไป
ด้วยดี แม้จะมีอุปสรรคบางสิ่ง คงไม่สามารถทัดทาน ไม่ให้ผ่านได้ยาก"
วันถัดมา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ก็พูดกลางวงสัมมนาของ สนช. ว่า
มีพรรคการเมืองจ่ายเงินล็อคตัว ส.ส. กัน ถึงหัวละ 30 ล้านบาท พร้อมจี้ให้ กกต.
ตรวจสอบอีกเช่นกัน
ขณะที่ นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ออกมายืนยันประเด็น
การแจกเงิน ถึงขั้นว่าพร้อมนำข้อมูลที่พบในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ
ไปรายงานใน ครม.
การออกมาเปิดประเด็นอำนาจ "เงิน" ทั้งจ้างโหวตล้มรัฐธรรมนูญและซื้อตัว ส.ส.
ด้วยอารมณ์เดียวกับประโคมเรื่อง "ท่อน้ำเลี้ยง" ม็อบ นปก. ช่วงก่อนหน้า ดูเหมือน
จงใจมองข้ามข้อเท็จจริงอะไรบางอย่างไปโดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่ว่าม็อบ นปก. หรือกลุ่มคนที่พร้อมจะไปกาไม่รับร่าง
รัฐธรรมนูญตามสิทธิที่เปิดให้ในกระบวนการทำประชามติ มีไม่น้อยที่ได้ประกาศ
เจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า ที่ต้านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะรับไม่ได้ทั้งในหลักการ ที่มา
และเนื้อหาหลักๆ ที่ถอยหลังเข้าคลอง การออกมาตีปลาหน้าไซ ตั้งใจประโคมเรื่องอำนาจเงิน ทั้งที่ กกต. (ซึ่งได้กลายเป็น
จำเลยร่วมไปแล้ว เพราะถูกมองว่าไม่มีน้ำยาจัดการเอาผิด) ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้มีแต่
"ข่าว" แต่ยังไม่มีหลักฐานข้อมูลเพียงพอ
จึงเหมือน
จงใจทำลายคุณค่าและความชอบธรรมของเสียง "โหวต โน" โดยเฉพาะ
หากคะแนน "รับ" กับ "ไม่รับ" ออกมาเฉียดฉิวกว่าผลโพลที่ออกมา คนจำนวนมหา-
ศาล ที่กาไม่รับก็จะกลายเป็นว่า เพราะถูกจ้าง หาควรแก่การให้ น้ำหนักไม่เป็นเรื่องน่าขำที่ในท่ามกลางการประโคมโหมเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน การ
ยืนยันในความเป็นกลางของภาครัฐ ยังคงมีเสียงขู่ฟอดๆ ให้ได้ยิน แม้เมื่อไม่นานมานี้
กับแท็กซี่ที่ติดสติ๊กเกอร์รณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ รัฐมนตรีมหาดไทยก็ยังไม่วาย
ส่งสัญญาณให้ตำรวจจัดการ อ้างว่าผิดกฎหมาย
ขณะที่กลุ่มองค์กรที่รณรงค์โหวตไม่รับผ่านสื่อต่างๆ กกต. ชี้ชัดแล้วว่า ไม่ถือว่า
เข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ. ความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติ 2550
และขณะที่ป้ายคัทเอ๊าต์ขนาดยักษ์แถวๆ โรงแรมรามาการ์เดนส์ ริมถนนวิภาวดีรังสิต
ของ นายเสรี สุวรรณภานนท์ สสร. ที่รั้งตำแหน่งรองประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ
อยู่ด้วยนำเสนอข้อความ "ขอเชิญพี่น้องประชาชนพิจารณาลงประชามติ
เห็นชอบ ร่าง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" ก็ไม่เห็นมีใครสนใจว่า
เข้าข่ายชี้นำหรือมีความผิด
หรือไม่ บรรทัดฐานว่าอะไรผิด-ถูก, เหมาะสม-ไม่เหมาะสม อยู่ตรงไหน ใครช่วยตอบหน่อย
มติชน วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10745http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act03110850&day=2007-08-11§ionid=0130ถูกขอทั่นนะคะ "เงิน" ล้มรัฐธรรมนูญไม่ได้
ต้องใช้ "รถถัง" ต่างหาก
ส่วนเรื่อง ผิด-ถูก, เหมาะสม-ไม่เหมาะสม นั้น บรรทัดฐาน อย่าไปถามหา
มันขึ้นกับว่าอำนาจอยู่ในมือใคร
ที่นี่ประเทศไทย "ประชาธิปไตยแบบไทยๆ" ก็คือ เผด็จการ
อำนาจ มิใช่ ของประชาชนคนธรรมดา แต่เป็นของคนกลุ่มเดียว