เสรีเพื่อใครโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์กรณี "หมวดเจี๊ยบ" สะท้อนความน่าห่วงของ "สื่อเสรี" ในประเทศไทยเวลานี้อย่าง
มาก นอกจากประเด็นที่อาจารย์สมเกียรติ อ่อนวิมล ได้เขียนไว้อย่างดีแล้วในบทความ
ของท่าน ผมยังคิดว่ามีความ
น่าห่วงในวงกว้างกว่านั้นอีกมากธอมัส เจฟเฟอร์สัน กล่าวว่า ระหว่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับสื่อเสรี เขาสมัคร
ใจจะเลือกสื่อเสรีมากกว่า เพราะ
ปราศจากสื่อเสรี รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็อาจ
เป็นทรราชได้เราทุกคนยอมรับความสำคัญของ "สื่อเสรี" ในระบอบประชาธิปไตย แท้จริงแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนไทยซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสื่อได้ร่วมรณรงค์ปลดปล่อยสื่อ
(โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์) จากการผูกมัดของรัฐและกฎหมายมาอย่างเข้มแข็ง และ
ในสองทศวรรษที่ผ่านมา สื่อหนังสือพิมพ์ก็มีเสรีภาพมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่หนังสือพิมพ์เสรีเฉยๆ อาจไม่ได้ช่วยสังคมในการกำกับควบคุมทรราชได้ ถ้าหนังสือ-
พิมพ์ไม่ได้ใช้เสรีภาพนั้นอย่าง
ซื่อตรงต่อผู้อ่าน และซื่อตรงต่อผู้อ่านคือ ความพยายาม
รายงานข่าวจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะที่ขัดแย้งกัน ยังไม่พูดถึงความพยายามที่จะนำ
เอาข้อเท็จจริงแวดล้อมมาบอกกล่าว เพื่อเพิ่มความสามารถของผู้อ่านในการใช้วิจารณ-
ญาณ
ในฐานะสื่อ ผมไม่เข้าใจว่า "หมวดเจี๊ยบ" ผิดตรงไหน การค้นหาข้อมูลโดยตรงจาก
แหล่งข่าวที่ถูกกล่าวอ้างอยู่เสมอโดยศัตรูของเขา เป็นหน้าที่ของนักข่าวไม่ใช่หรือ
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าแหล่งข่าวตั้งใจจะให้ความจริงอันควรเชื่อถือ แต่
ผู้อ่านควร
มีโอกาสใช้วิจารณญาณของตนเองว่า ควรเชื่อถือข้อมูลจากฝ่ายใดมากกว่ากัน
สื่อไม่มีหน้าที่ตัดสินแทนผู้อ่านว่าฝ่ายใดพูดจริงฝ่ายใดพูดเท็จ และที่เป็นอนันตริยกรรม
ของสื่อ คือช่วยโหมโฆษณาคำกล่าวของอีกฝ่ายหนึ่ง ประหนึ่งว่าเป็นข้อเท็จจริงที่
ได้พิสูจน์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท่อน้ำเลี้ยง, การซื้อตัวนักการเมือง, การซื้อคะแนนเสียง
ในการลงประชามติ, ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่อต้านรัฐประหารกับคุณทักษิณ ฯลฯ
ผมไม่เห็นสื่อฉบับใดออกมาช่วยค้นหาข้อเท็จจริงแวดล้อมกรณี "หมวดเจี๊ยบ" ใน
ฐานะที่เธอทำหน้าที่ของสื่อ หรือกรณีเช่นนี้ไม่ใช่การคุกคามเสรีภาพของสื่อ?
แม้ว่า "หมวดเจี๊ยบ" เป็นข้าราชการ ซึ่งมีระเบียบว่าการขาดราชการโดยไม่มีเหตุ
อันควร ถึง 15 วัน ต้องมีโทษอยู่เพียงไล่ออกหรือให้ออกก็ตาม แต่เรื่องนี้
ไม่เกี่ยวกับผลงานที่เธอทำในฐานะสื่อ
ผมไม่เคยเรียนกฎหมาย และไม่รู้ว่าในเมืองไทยเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ไหนบ้าง
หรือไม่ ที่ถือว่ากฎระเบียบใดก็ตามที่ไม่มีการบังคับใช้ทั่วไป จะยกเป็นเหตุฟ้องร้อง
ลงโทษบุคคลไม่ได้ มิฉะนั้นก็เท่ากับปล่อยให้รัฐเลือกปฏิบัติแก่ประชาชนตามใจชอบ
ถ้ากฎหมายเลือกปฏิบัติได้ จะเหลือความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้อย่างไรแต่ผมแน่ใจว่า มีคำพิพากษาเช่นนี้ในสหรัฐอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับที่กรมการขนส่งทางบกยกระเบียบว่า แท็กซี่ซึ่งติดป้าย
"รับผู้โดยสาร
แต่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ" ทำผิดระเบียบ เพราะเป็นป้ายโฆษณา ซึ่งต้องขออนุญาต
ก่อนจึงติดได้ ข้อความนี้ต่างอย่างไรกับ "น้องเมียข้าใครอย่าแตะ" เหตุใดข้อความ
แรก จึงถือเป็นโฆษณา และข้อความหลังไม่ใช่ แม้แต่แท็กซี่รับเงินค่าจ้างในการติด
ป้าย คำถามก็คือที่เขาติดโฆษณาขายเครื่องดื่มชูกำลัง หรือน้ำมันเครื่องนั้น เขาได้ขอ
อนุญาตกรมการขนส่งทางบกทุกคันจริงหรือ หากไม่จริง คันไหนต้องขอ และคันไหน
ไม่ต้องขอ ใช้เกณฑ์อะไรในการแยกแยะ
กรณี "หมวดเจี๊ยบ" ก็เช่นกัน สื่อได้เข้าไปสอบสวนแล้วหรือยังว่า ในหน่วยงานของ
"หมวดเจี๊ยบ" นักข่าวอื่นลาราชการถูกต้องตามระเบียบทุกครั้งไปหรือไม่ หรือหน่วย-
งานนั้นได้ลดหย่อนระเบียบนี้ลงให้สอดคล้องกับลักษณะงานของหน่วยมานานแล้ว
หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงเลือกจะใช้ระเบียบกับ "หมวดเจี๊ยบ" และงดใช้กับคนอื่น
นี่คือความเป็นธรรมง่ายๆ ที่สื่อสามารถให้แก่ใครก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพื่อนร่วม
อาชีพเท่านั้น คือสืบสวนให้ได้ว่าโทษที่บุคคลได้รับนั้นมีความเป็นธรรมหรือไม่ โดย
ไม่ใช่ยกระเบียบขึ้นดูเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสืบให้รู้การปฏิบัติจริง และเงื่อนไขแวด-
ล้อมของการปฏิบัติงานหรือการกระทำของบุคคลผู้นั้นด้วย
สังคมอาจจำเป็นต้องลงโทษ "หมวดเจี๊ยบ"
เพื่อผดุงกฎระเบียบซึ่งคนอื่นๆ ก็ต้อง
เคารพอยู่แล้ว
และไม่ลงโทษเกินไปกว่านั้นเช่นไม่ลงโทษเธอด้วยการส่อนัยยะว่าเธอมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคุณทักษิณ
หรือคนใกล้ชิดคุณทักษิณก็ตาม ยิ่งส่อนัยยะด้วยภาษาอังกฤษว่าเธอ "ง่าย" กับ
เพศตรงข้าม ก็เท่ากับว่าได้พิพากษาประหารบุคลิกภาพของเธอในที่สาธารณะ กับ
การทำหน้าที่สื่อของเธอผมยังไม่ได้เห็นองค์กรสิทธิสตรีใดๆ ลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีของผู้หญิงกรณีนี้เลย
ลองคิดกลับกันสิครับว่า ถ้าผู้สื่อข่าวที่หนีราชการไปสัมภาษณ์คุณทักษิณเป็นผู้ชาย
เขาจะโดนประหารเช่นนี้หรือไม่ หรือนักสตรีนิยมเมืองไทยยอมรับว่า งานใดที่ผู้หญิง
ทำ ไม่มีค่าพอแก่การพิจารณาอย่างจริงจังจากใคร บุคลิกภาพของผู้ทำต่างหากที่มี
ความสำคัญกว่า ผิดจากผู้ชาย งานที่ผู้ชายทำเท่านั้นจึงมีคุณค่าพอจะนำมาพินิจ
พิจารณาอย่างจริงจังได้ แต่บุคลิกภาพของผู้ชายไม่ต้องมีระเบียบกฎเกณฑ์ใดๆ
ผมยังไม่มีโอกาสได้อ่านงานสัมภาษณ์ทักษิณของเธอ ฉะนั้นจึงไม่อาจประกันคุณภาพ
ของงานได้ แต่ผมเชื่อว่า สื่อไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเป็นตัวกลางให้เสียงของคุณทักษิณ
ได้ดังในสังคมที่ผู้มีอำนาจคอยปิดกั้นเท่านั้น ทำแค่นี้ก็ถือว่าดี แต่ยังดีไม่พอ เพราะสื่อ
ที่มีโอกาสสัมภาษณ์คุณทักษิณ ควรทำการบ้านมาอย่างหนัก สิ่งที่คุณทักษิณพูดนั้น
น่าจะมีคำถามแย้งได้แยะว่าไม่ตรงกับข้อเท็จจริงบ้าง ไม่ตรงกับสิ่งที่คุณทักษิณเคย
ทำหรือเคยพูดไว้เองบ้าง ไม่ตรงกับการประเมินของฝ่ายที่เป็นกลางบ้าง ฯลฯ
ผมไม่ได้หมายความว่าสื่อควรมีจุดมุ่งหมายไปไล่ต้อนคุณทักษิณ แต่อากัปกิริยาจาก
ภายนอกอาจดูคล้ายกัน หากทว่ากลับเป็นโอกาสอันดีที่คุณทักษิณจะได้แก้ตัวอย่าง
หมดจดมากขึ้น (ถ้าคุณทักษิณมีความสามารถจะแก้ตัว) แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ ผู้อ่าน
จะได้สามารถมองเห็นคำพูดของคุณทักษิณในบริบทที่เป็นจริง ไม่ใช่ฟังฝ่ายนั้นพูดที
ฝ่ายนี้พูดที เหมือนเขาทะเลาะกันกลางตลาด และด้วยเหตุดังนั้นก็จะใช้วิจารณญาณ
ของตัวได้อย่างลุ่มลึกและเที่ยงธรรมมากขึ้น
ผมสงสัยว่า แม้แต่สื่อที่ทำการบ้านมาอย่างหนักเช่นนั้นแล้ว กลับเมืองไทยยังต้องใช้
เวลาอีกเป็นเดือนหรือหลายสัปดาห์ เพื่อตรวจสอบข้อมูล และเติมเชิงอรรถให้ผู้อ่าน
เข้าใจบริบทของคำถามและคำตอบมากขึ้น
และนี่คือบทสัมภาษณ์ที่มีคุณภาพ ซึ่ง "หมวดเจี๊ยบ" ควรทำ (แต่ได้ทำแล้วหรือไม่
ผมไม่ทราบ)
ผมยังไม่เคยเห็นสื่อฉบับใดนำความจากหนังสือขึ้นมาถามแย้งคุณทักษิณอย่างเป็น
เรื่องเป็นราว รวมทั้งวิจารณ์ผลงานของผู้สื่อข่าวในเชิงคุณภาพของการทำข่าวเจาะ
การกระทำเช่นนี้ นอกจากเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อ "หมวด
เจี๊ยบ" เองด้วย เพราะเธอจะได้มีโอกาสเรียนรู้การงานในอาชีพของเธอได้มากขึ้น
ถึงเวลาที่สังคมไทยควรถามตัวเองแล้วว่า
เราควรปกป้องเสรีภาพของสื่ออย่าง
เข้มแข็งอย่างที่เคยทำมาหรือไม่ หากเขาใช้เสรีภาพของเขาเพียงเพื่อทำให้เรามีมิตร
และศัตรูคนเดียวกับเขาเท่านั้น ในกรณีเช่นนั้น เสรีภาพของสื่อจะทำให้ประชาชนมี
เสรีภาพในการใช้สติปัญญาของตนเองได้อย่างไร
มติชน วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10754http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01200850&day=2007-08-20§ionid=0130สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้เป็นสื่อ
แค่อาศัย "ความเป็นสื่อ" เป็นเกราะคุ้มกันและอภิสิทธิ์
ในการดำเนินการทางการเมืองเท่านั้น
ขอจงสูญพันธุ์ไปโดยไว