ฝากให้เท้า สงสัยต่างชาติไม่ชอบเผด็จการเนอะ

“โมริ” ชมเปาะ “สุรยุทธ์” นักยุทธศาสตร์ระบอบประชาธิปไตย

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 2 สิงหาคม 2550 16:07 น.

“อดีตนายกฯญี่ปุ่น” กระชับสัมพันธไมตรีรัฐบาลไทย พร้อมสนใจการเมือง สอบถามกระบวนการคืนอำนาจประชาธิปไตยให้ ปชช.ยินดีที่จะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ชม “สุรยุทธ์” เป็นนักยุทธศาสตร์ที่มีความรอบคอบ

วันนี้ (2 ส.ค.) ร.อ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงการพบปะกันระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กับ นายโยชิโรโมริ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น โดยนายโมริ เดินทางมาเป็นตัวแทนของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมเปิดสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ป่น ที่จะมีพิธิเปิดในวันนี้ (2 ส.ค.) และนายโมริ ก็มีกำหนดการที่เข้าเยี่ยมนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีไทย โดย นายโมริ ได้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และหลังจากที่พ้นตำแหน่งก็เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นอีกหลายคน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การพบปะกันวันนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ ได้แสดงความยินดีที่ได้พบ และยังเป็นการเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ครบ 120 ปี พล.อ.สุรยุทธ์ได้กล่าวว่า ได้มีโอกาสไปเยือนญี่ปุ่นมาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีการลงนามความร่วมทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินี ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ทาง นายโมริ ได้กล่าวว่า ขอถวายพระพรเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา และปีนี้เป็นปีครบรอบ 120 ไทย-ญี่ปุ่น รวมทั้งจะมีการจัดคอนเสิร์ตในเดือนกันยายน ซึ่งจะเป็นเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่อประชาชน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินทางมาเยือนของนายโมริในครั้งนี้ ได้สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งที่จะมารับหน้าที่ต่อไป จะมาสานความสัมพันธ์ตรงนี้ต่อไป โดย พล.อ.สุรยุทธ์ ได้กล่าวแสดงความเชื่อมั่นต่อนายโมริ ว่า จะมีการเลือกตั้งภายในปลายปี 2550 และจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งภายในต้นปีหน้า ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อเนื่องระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล และประชาชนต่อประชาชน และที่สำคัญที่สุด คือ ความสัมพันธ์ระดับราชวงศ์ที่มีความสัมพันธ์ที่ดี มิตรภาพที่ยืนยาว

ร.อ.ยงยุทธ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องของเกาหลีเหนือที่ได้ยินยอมปิดเตาปฏิกรณ์ปรมาณู ทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ลดความร้อนแรงลงไปมาก โดยนายกฯกล่าวว่า อาเซียนเองก็มีความเป็นห่วง ต่อสถานการณ์เกาหลีด้วย นายโมริ ได้แสดงความยินดีที่ประเทศไทยกำลังมีความก้าวหน้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย ภายใต้การนำของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีการร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงมีการสอบถามนายกฯด้วยว่า การลงประชามติจะมีขึ้นเมื่อไรอย่างไร ซึ่งนายกฯได้ชี้แจงว่า จะมีในวันที่ 19 ส.ค.ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ช่วงก้าวที่สำคัญที่ประชาชนจะตัดสินใจว่า รัฐธรรมนูญที่มีการร่างมานั้น เป็นที่ยอมรับของประชาชนหรือไม่ โดย นายโมริ กล่าวว่า ประชาชนชาวญี่ป่นได้มองว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนักยุทธศาสตร์ที่ดี ได้ใช้เวลาอย่างเหมาะสม ในการแก้ปัญหาต่างๆ นายโมริ มองว่า สิ่งสำคัญในกระบวนการประชาธิปไตย คือ ใช้ความรอบคอบไม่เร่งรัดเกินไป ให้ประชาชนมีความเข้าใจ มีความไว้วางใจต่อรัฐบาล นายโมริ ยินดีที่อาเซียนมีความมั่นคง และมองว่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างจีนกับอาเซียน หรือญี่ปุ่นกับอาเซียนจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับภูมิภาคและต่อโลกด้วย

ร.อ.ยุงยุทธ กล่าวต่อว่า จุดประสงค์ที่มาเยือนไทยนั้น คือ มาร่วมพิธีเปิดสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งตรงนี้เป็นการสนับสนุนจากนักเรียนไทยที่เคยเรียนในญี่ป่น และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสถาบันนี้ขึ้นมา และในไทย ก็มีบริษัทญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก และนักเรียนที่จบจากสถาบันนี้ จะได้ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นเหล่านี้ และยังจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของไทย นอกจากนี้ นายโมริ ยังได้กล่าวถึงความหวังว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันนี้หวังว่า จะพัฒนาความสัมพันธ์ของสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น กับสถาบันต่างๆ ในญี่ปุ่นได้ดี และหวังว่าในอนาคตจะมีนักเรียนญี่ปุ่นมาเรียนในสถาบันนี้ด้วย รวมถึงได้มีการพูดถึงเรื่อง องศักยภาพของอินเดีย ที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูง ซึ่งนายกฯกล่าวว่า ในอนาคตก็เป็นไปได้ที่วิศวกรไทยจะไปทำงานในอินเดียมากขึ้น หวังว่ารัฐบาลไทยจะให้การสนับสนุนสถาบันนี้ต่อไป ซึ่งนายกฯกล่าวว่า ทางรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะการศึกษาเป็นการยกระดับความรู้ความสามารถของคนในประเทศ และเป็นการพัฒนาความรู้ ทางด้านเทคโนโลยีให้ก้าวทันโลกด้วย อินเดียเป็นประเทศใหญ่ที่ความเจริญก้าวหน้า และก่อนที่จะลา นายกฯได้กล่าวขอบคุณที่มาเยือนและรับปากว่าจะทำตามแนวทางที่กำหนด ไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่จะนำประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด