ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
03-02-2025, 05:48
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ภาษา"แอ๊บแบ๊ว"ของ"ม๊อบสนามหลวง" พวกขบถก่อการจลาจล........ 0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ภาษา"แอ๊บแบ๊ว"ของ"ม๊อบสนามหลวง" พวกขบถก่อการจลาจล........  (อ่าน 1238 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 29-07-2007, 14:07 »

ภาษา"แอ๊บแบ๊ว"ของ"ม๊อบสนามหลวง" พวกขบถก่อการจลาจล........
สังคมและการเมือง

--------------------------------------------------------------------------------
โพสต์: ปุถุชน

(บุคคลนิรนาม)
ID#370797 | เมื่อ: 2550-07-29 14:02:28 | IP: 58.136.94.61 x


"ผมมองว่าภาษาสแลงไม่สลักสำคัญถึงกับทำให้ภาษาเปลี่ยน แต่คิดว่าความอับจนถ้อยคำทำให้พวกเขาสร้างสรรค์คำใหม่ขึ้นมา ตรงนี้เป็นสิ่งน่าชื่นชมความอับจนถ้อยคำเนื่องจากโลกสมัยใหม่ดึงคนออกไปจากหนังสือเยอะเหลือเกิน ทำให้คนไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือ สถิติคนไทยอ่านหนังสือปีละไม่ถึงสิบบรรทัด ทำให้เขาไม่มีถ้อยคำ ไม่มีคลังคำ แต่เขาสามารถคิดประดิษฐ์คำขึ้นมาใช้ได้ แต่พื้นฐานที่สำคัญคือการอ่านหนังสือ ถ้อยคำหรือคลังคำจะได้จากการอ่านวรรณคดี เป็นพื้นฐานของภาษา

มองว่าไม่น่าวิตก ภาษาสแลงมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คำเหล่านี้เป็นสักขีพยานว่าคนไทยได้สร้างคำใหม่ขึ้นมา ผมเป็นห่วงยิ่งกว่าคือภาษาเพลงที่ใช้วิธีระเบิดเสียง เพราะการระเบิดเสียงเข้ากับดนตรีฝรั่ง แต่มันระบาดมาเป็นภาษาไทย ตรงนี้น่ากลัวมาก เดี๋ยวนี้วัยรุ่นเขาโหยหาแบบอย่างจากดารานักร้อง อิทธิพลของสื่อจึงมีมาก ฉะนั้นถ้าช่วยกันดูแลมันก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดี"

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ จุดประกายวรรณกรรม กรุงเทพธุรกิจฉบับวันอาทิตย์....



ความอับจนถ้อยคำเนื่องจากโลกสมัยใหม่ดึงคนออกไปจากหนังสือเยอะเหลือเกิน ทำให้คนไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือ สถิติคนไทยอ่านหนังสือปีละไม่ถึงสิบบรรทัด ทำให้เขาไม่มีถ้อยคำ ไม่มีคลังคำ แต่เขาสามารถคิดประดิษฐ์คำขึ้นมาใช้ได้.....

ผมเห็นด้วยกับความคิดเห็นของคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ข้างบนนี้.......

ผมอยากจะเสริม ขยายความว่าบางคนก็มีความรอบรู้ภาษาไทยอย่างดี เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข ศิษย์คุณพิชัย วาสนาส่งหรือนายณัฐวุฒิ ใสเกื้ออดีตนักโต้วาที สภาโจ๊ก เป็นต้น.....

แต่พวกเขามี"มิจฉาทิฐิ" ต้องการบิดเบือนข้อเท็จและสถานการณ์การเมืองเวลานี้ จึงเรียกคณะรัฐประหาร คณะ คมช. เป็น กบถ./ขบถ.คมช. ทั้งที่ภาษาไทยได้กำหนดไว้ กลุ่มคนที่ใช้กำลังเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล ทำไม่สำเร็จ จะถูกตราหน้าว่า "ขบถ/กบถ".....
ผู้ที่ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลสำเร็จ เรียกว่า คณะรัฐประหาร คณะปฎิวัติ คณะปฎิรูปฯ และ จัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้ธรรมนูญการปกครองฯ เป็นที่ยอมรับให้บริหารบ้านเมืองต่อไป แม้จะมีการต่อต้าน คัดค้านภายหลัง เช่นการ"ปฎิรูปการปกครองฯ"ของคณะ รสช. ที่อดีตเผด็จการจากการเลือกตั้งอย่างทักษิณก็เคยคุ้นเคย เคยได้รับผลประโยชน์มหาศาล สัมปทานธุรกิจผูกขาดมาแล้ว เป็นต้น...


ว่าด้วยข้อเท็จจริง การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 สำเร็จโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่ทำลายทรัพย์สิน ไม่ทำร้ายชีวิตประชาชนแต่อย่างไร เป็นที่"มหัศจารย์"ของนานาประเทศ....

รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เช่นเดียวกับรัฐบาลอื่น ๆ ที่ในหลวงได้ทรงโปรดเกล้าฯ มาแล้วในอดีตรวมทั้งรัฐบาลของนักธุรกิจการเมือง ที่แปรเปลี่ยนเป็น"เผด็จการจากการเลือกตั้ง/เผด็จการรัฐสภา" ด้วย....

ดังนั้นวัยรุ่นไทย คนไทยที่มีอายุบรรลุนิติภาวะส่วนหนึ่งไม่ได้อับจนความคิดในการใช้คำภาษาไทย แต่เป็นเพราะ"มิจฉาทิฐิ" และ ต้องการรับใช้นักธุรกิจการเมือง "อดีตเผด็จการจากการเลือกตั้ง" ให้กลับมาปกป้องทรัพย์สินส่วนตัว/ครอบครัวให้หลุดพ้นจากการ"อายัดทรัพย์" ของคณะกรรมการ คตส.มากกว่า จึงเจตนาบิดเบือนคำภาษาไทยอย่างอุบาทว์ เพื่อรับใช้"ผู้บงการ" ให้กลับคืนประเทศไทย ใช้"อำนาจเป็นธรรม"ใหม่....

จึงควรที่คนไทยจะรู้เท่าทันภาษา"แอ๊บแบ๊ว"ของกลุ่มก่อการจลาจลสนามหลวง ไม่หลงงมงายว่ากำลังร่วมกับคนมีอุดมการณ์เดียวกันขับไล่คณะรัฐประหารที่ไม่เหมือนคณะรัฐประหารก่อนหน้านี้....




ผมรีบนำกระทู้นี้ของผม มาฝากไว้ในเวบเสรีไทย....
1. ก่อนที่จะ"ถูกลบ"ในห้อง"สังคมและการเมือง"ของเวบประชาไท
ด้วยความคิดอุบาทว์ในห้องสังคมและการเมืองไทย ภายหลังผู้ดูแลฯ จะกู้กลับมาใหม่ให้ไว้"ที่เดิม" ก็หลายวันผ่านไป ถูกกระทู้ใหม่ไล่กระทู้เก่าแล้ว.....
เป็น"ทุจริตทางนโยบาย" แบบหนึ่ง หรือ วิธีการแบบ"ศรีธนแม๊ว"อย่างหนึ่ง........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
2. คิดว่าเนื้อหาน่าจะเป็นสาระบ้างสำหรับที่นี่........




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2007, 14:14 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #1 เมื่อ: 29-07-2007, 16:05 »

สังคม"แอ๊บแบ๊ว"กับอาการ"แอ๊บแม้ว"
 
29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 00:08:00
 
สังคมไทยกำลังอยู่ในภาวะ "แอ๊บแบ๊ว" ระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง คือ เกิดอาการผิดปกติแบบแอ๊บๆ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : หรือ Abnormal ผสมกับทำท่าทางตาใส "บ้องแบ๊ว" ให้ดูเหมือนว่า บริสุทธิ์ไร้เดียงสาผสมกับคิขุอาโนเนะไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำของตัวเอง จนทำให้ต่างฝ่ายต่างยึดตั้งธง หลัก "กู" แล้วอ้าง "หลักการ" จนทำให้สังคมไทยไม่กลับสู่ภาวะปกติเสียที

บอกตามตรง ผมเริ่มเกิดอาการเบื่อมากๆ กับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล และการออกมาประกาศจุดยืนแย่งพื้นที่ข่าวจากกลุ่มองค์กรทั้งชื่อทางการ และ "ชื่อจัดตั้ง" ที่มีแค่ไม่กี่คนทำงานจริง แสดงจุดยืนหลังเหตุการณ์วันที่ 22 ก.ค.กลุ่มคนที่อ้างว่าเป็น "แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ" กับ กองกำลังผสมเจ้าหน้าที่ตำรวจกับทหาร เกิดปะทะกัน จนเลือดตกยางออกไปทั้งสองฝ่าย บาดเจ็บหัวร้างข้างแตกขาหักกันไปกว่า 200 คน

เริ่มจาก อาการแอ๊บแบ๊วของ "คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ" ที่เป็นองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ตกทอดเข้าไปภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2549 ที่จัดทำโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

เมื่อใดก็ตาม ที่องค์กรอิสระแห่งใดเกิดความแตกแยกภายในองค์กร ย่อมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามเจตนารมณ์เดิมที่ตั้งไว้สวยหรู กรณีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นตัวอย่างขององค์กรแตกแยก จนทำให้กรรมการสิทธิมนุษยชนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิออกอาการ "แอ๊บแบ๊ว" ทำตัวไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนกลายเป็นทำทองไม่รู้ร้อน

เมื่อ อาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัย กรรมการสิทธิฯ ได้กลายเป็น 1 ใน 9 แกนนำกลุ่ม นปก. จนกระทั่งตกเป็น 1 ใน 9 ผู้ต้องหาตัวการก่อเหตุจลาจล เมื่อคืนวันที่ 22 ก.ค.2550 แล้วขอประกันตัวออกมาจากการฝากขังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างภารกิจหน้าที่ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน 4 คณะ

ผมไม่ทราบตื้นลึกหนาบางความขัดแย้งภายในคณะกรรมการสิทธิฯ ชุดนี้ ที่มี อาจารย์เสน่ห์ จามริก เป็นประธาน และไม่เสียเวลาอ่านสงครามอีเมลจำนวนหลายต่อหลายครั้ง จากกรรมการสิทธิฯ บางคน และเจ้าหน้าที่ภายในคณะกรรมการสิทธิฯ ได้เพียรพยายามเป็นอันมากในการเขียนเล่าเรื่องราวเน่าๆ สารพัดของอาจารย์เสน่ห์เพื่อบอกกับสื่อ

เพราะหลายเรื่องเป็นความเห็นในเชิงปัจเจกบุคคล จนอีเมลเหล่านี้กลายเป็น "จังค์อีเมล" ที่ลบทิ้งอย่างเดียว ทำไมผู้เขียนเหล่านี้ไม่เลือกดำเนินการอย่างเปิดเผย และเป็นรูปธรรมในการกล่าวโทษหรือกล่าวหาความไม่ชอบมาพากลของอาจารย์เสน่ห์อย่างเป็นทางการ แล้วให้กระบวนการยุติธรรมไต่สวนพฤติกรรมของประธานคณะกรรมการสิทธิฯ

อาจารย์จรัลมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการคัดค้าน ไม่ยอมรับการรัฐประหาร เมื่อ 19 ก.ย.2549 แต่ในฐานะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่มีภารกิจหน้าที่ชัดเจน ดังเช่นที่อาจารย์จรัลได้ใช้เป็นเหตุผลในการขอประกันตัว หลังจากประกาศตัวเป็น 1 ใน 9 แกนนำกลุ่ม นปก.ขึ้นเวทีโจมตีรัฐบาลและคมช.ทุกคืน รวมทั้งเห็นคล้อยตามไปกับกลุ่ม นปก.ที่เชื่อว่าประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549

ทำไมอาจารย์จรัลไม่ใช้กระบวนการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ไต่สวนหรือแสวงหาหลักฐาน เพื่อกล่าวโทษประธานองคมนตรี พล.อ.เปรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

[color=red ในขณะที่อาจารย์มหาวิทยาลัยหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เช่น อาจารย์จอน อึ๊งภากรณ์ อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ใจลส์ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ฯลฯ ไม่ได้เลือกวิธีเดินสายปลุกระดมมวลชนกลางสนามหลวงแล้วกล่าวหาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองโดยปราศจากหลักฐานใดๆ [/color]

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงอยู่อาการ "แอ๊บแบ๊ว" ผิดปกติ-ทำท่าไร้เดียงสา บอกว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลของอาจารย์จรัล ที่กลายเป็นแกนนำปลุกระดมขับไล่ พล.อ.เปรมบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ทั้งๆ ที่โดยประสบการณ์ควบคุมฝูงชนของอาจารย์จรัลที่ผ่านมาหลายสถานการณ์ ย่อมมองเห็นความรุนแรงอยู่เบื้องหน้าในคืนวันนั้น

หากอาจารย์จรัลในฐานะกรรมการสิทธิมนุษยชน เชื่อมั่นในแนวทางการต่อสู้กับเผด็จการอย่างสันติวิธีด้วยความจริงใจใสๆ ย่อมจะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรงของทั้งฝ่ายประชาชนและฝ่ายรัฐ

แต่อาจารย์จรัลกลับไม่ได้ห้ามปราบฝูงชนของกลุ่มนปก.ที่อ้าง "ประชาธิปไตย" ไปยืนด่าพ่อล่อแม่คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ กับ ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม แล้วขว้างก้อนหินขวดน้ำใส่บ้านประธานองคมนตรี โดยอ้างว่า จำเป็นต้องทำไปตามสัญชาตญาณป้องกันตัว หลังจากถูกตำรวจฉีดก๊าซน้ำตาและใช้โล่กับกระบองไล่ดันไล่ตี


อีกองค์กรหนึ่ง ที่เริ่มมีอาการ "แอ๊บแบ๊ว" อยู่ระยะกลางคือคณะกรรมการรณรงค์ปฏิรูปสื่อ (คปส.) ที่เป็นขาประจำในการวิพากษ์สื่อ อาจจะเป็นเพราะช่วงก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย.ยืนอยู่คนละข้างกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เมื่อตั้งธงว่าคัดค้านรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ที่ผลลัพธ์เหมือนกันคือล้มอดีตนายกฯ ทักษิณได้ จุดยืนจึงค่อนข้างออกอาการ Abnormal เบลอๆ มักไม่เสนอทางออกของปัญหา แตกต่างจากสมัยก่อนที่ยังมีข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์มากกว่า เช่น

ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเป็นทีวีสาธารณะที่ได้ภาษีทางตรงที่รัฐยังแทรกแซงได้เช่นเดิม แต่กลับยกย่องการต่อสู้ของพนักงานไอทีวี ที่พยายามรักษาสถานะเดิมที่เป็นการรักษาผลประโยชน์ตัวเองมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม

ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมในทุกกรณี แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนักกับการละเมิดสิทธิผู้อื่นของกลุ่มผู้ชุมนุม นปก. แถลงการณ์จึงค่อนข้างกั๊กๆ ติงผู้ชุมนุมเล็กน้อยแต่พองามว่า การกระทำอาจจะเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรง แต่ประณามเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทำรุนแรงเกินไป จนละเมิดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน

แล้วทุกครั้งของแถลงการณ์มักลงท้ายสั่งสอน "สื่อโทรทัศน์" อีกเช่นเดิมว่า กำลังทำหน้าที่ในการรับใช้อำนาจรัฐ ขาดอิสระในการนำเสนอ ฯลฯ จนแทบกลายเป็นสูตรสำเร็จในแถลงการณ์ของคปส.

หากการจัดตั้งคปส.มีเจตนารมณ์ในการตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อโทรทัศน์ เพื่อให้เกิดการตอบสนองไปสู่การปฏิรูปสื่อในระยะยาว กรุณาอย่าตั้งธงไว้ก่อนว่า คนทำงานในสื่อโทรทัศน์ "แอ๊บแบ๊ว" ชอบอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ จนกลายเป็นกลัวหัวหดไม่กล้าทำหน้าที่เสนอความจริง คนทำงานสื่อโทรทัศน์ส่วนใหญ่ 99% ยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณวิชาชีพที่นำเสนอความจริงอยู่แล้ว แต่ในบางสถานการณ์มีข้อจำกัดจากสถานะการทำงาน

คปส.กลับละเว้นไม่กล้าวิพากษ์การทำหน้าที่ของสื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอกชน ASTV ที่พัฒนาไปสู่ "มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน" ที่ประกาศเป็น "สื่อเลือกข้าง" ไม่เป็นกลาง สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมนปก.ให้สิ้นซากเสียที ด้วยความเชื่อว่า ประเทศจะกลับสู่สันติสุขได้เมื่อกลุ่มนปก.และคนรักทักษิณถูกกำจัดให้หมดไปจากแผ่นดินไทย

คปส.คงจะกลัวการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันจาก ASTV ที่วิพากษ์ทุกคนที่มีจุดยืนและท่าทีต่อต้านคมช. แต่กรณีการวิพากษ์สื่อฟรีทีวีเป็นอาจิณ ที่ "คนทำงานฟรีทีวี" ไม่เคยตอบโต้คปส.สักครั้งเดียว

คปส.จึงควรจะช่วยสร้าง "เกราะ" จากสังคม เพื่อช่วยตรวจสอบและสะท้อนการทำหน้าที่ของสื่อโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโทรทัศน์ของรัฐ 2-3 ช่อง เพื่อช่วยทำให้ "คนทำงานสื่อโทรทัศน์" มีความมั่นใจและความกล้าในการทำหน้าที่ตามหลักวิชาชีพมากขึ้น แต่เมื่อทุกครั้งเริ่มต้นจากประณาม หรือเพียงเรียกร้องให้ทำหน้าที่อย่างอิสระ

"คนทำงานสื่อโทรทัศน์" จะชินชาไม่ยินดียินร้ายกับแถลงการณ์ของคปส.ที่ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบไม่เกิดผลใดๆ ในทางปฏิบัติ ทำไมบรรดาคณาจารย์ในคปส.ที่เก่งกาจสามารถในเชิงวิชาการแต่อ่อนด้อยกับโลกความเป็นจริง เดินเข้าหาพวกเขาด้วยท่าทีเป็นมิตร แล้ว "รณรงค์" ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปสื่อจริงๆ แทนการแถลงการณ์อย่างพร่ำเพรื่อ

เขียนถึงคปส.ครั้งนี้ ด้วยกัลยาณมิตรห่วงใยว่า กำลังเกิดอาการแอ๊บแบ๊วขั้นเริ่มต้น ถ้าไม่ระวังจะยกระดับกลายเป็น "แอ๊บแม้ว" ที่ไม่รู้ไม่เห็นกับพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นอย่างมโหฬารในรัฐบาลทักษิณ

ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชังทักษิณในอดีตที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มรักทักษิณก่อตัวขึ้นมา แล้วอ้างว่าเป็น "แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ" หรือนปก. ซึ่งนักวิชาการหลายคนที่เคยคัดค้านระบอบทักษิณแล้วไม่ยอมรับการรัฐประหาร แต่กลับไม่สนใจว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ มีพฤติกรรมฉ้อฉลในการใช้อำนาจรัฐอย่างไร มองการต่อสู้กับคมช.อย่างเถรตรงว่า กำลังสถาปนารัฐเผด็จการทหารและอำมาตยาธิปไตย

ขอถามว่า ทำไมพวกเขาจึงรังเกียจ "อำมาตยาธิปไตย" อย่างรุนแรง โดยไม่เคยมองย้อนกลับไปว่า "กลุ่มอำมาตยาธิปไตย" ในอดีตได้ทำหน้าที่ "ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" อย่างเต็มภาคภูมิในการวางพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมาตั้งแต่ยุคต้นๆ

แม้ว่าหลายแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ที่มองในระยะ 20 ปี อาจจะบิดเบี้ยวไปบ้าง เมื่อประเมินจากสภาพปัจจุบัน แต่โดยภาพรวมแล้วสภาพโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยไม่ได้พิกลพิการน่าทุเรศทุรัง จนตั้งแง่รังเกียจมองเป็นปิศาจร้ายมากกว่าอำนาจที่มาจาก "นายทุนนักการเมือง" ที่ใช้ "เงิน" เข้ามายึดอำนาจรัฐแล้วแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง

กลุ่มนปก.จึงอยู่ในอาการ "แอ๊บแบ๊ว" เข้าขั้นสูงสุด กลายสภาพเป็น "อาการแอ๊บแม้ว" ที่มักบอกว่า รักทักษิณเพราะทักษิณรักประชาธิปไตย ทักษิณรักคนจน ทักษิณโกงบ้าง แต่เสียสละทำงานเพื่อชาติ ฯลฯ

อาจารย์จักรภพ เพ็ญแข เป็นบุคคลที่ป่วยเข้าขั้น Abnormal ผสมกับบ้องแบ๊วจากอารมณ์รักแม้วสุดหัวใจขั้นสมบูรณ์แบบที่สุด จนพัฒนากลายเป็น "แอ๊บแม้ว"

ท่ายืนข้างรถตู้ก่อนนำไปฝากขัง ชูกำปั้น-ขบกรามฟันแน่น-ตะโกนสู้ๆ คงจะตึดตรึงตาแฟนพันธุ์แท้การเมืองไปอีกนานแสนนาน หลังจากวงการการเมืองห่างหายจากภาพความเด็ดเดี่ยวของนักต่อสู้ทางการเมือง แต่ครั้งนี้อาจารย์จักรภพมีอาการ "แอ๊บแบ๊ว" จนกลายเป็น "แอ๊บแม้ว" เข้าขั้นมากที่สุด


] ไม่ได้ห่วงคำว่า "แอ๊บแบ๊ว" ที่เป็นภาษาไทยของวัยรุ่น ที่ใช้เรียกขานเพื่อนๆ ที่ทำตัวเพี้ยนๆ บ๊องๆ คิขุอาโนเนะไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำของตัวเอง [color=navyแต่ห่วงอาการแอ๊บแบ๊วที่กำลังระบาดไปทั่วกับองค์กรภาคประชาชน,องค์กรอิสระ,กลุ่มนปก.,คมช., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ,รัฐบาล,สภานิติบัญญัติ ,สภาร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ที่มีความแตกต่างทางความคิด แล้วต่างฝ่ายต่างยึด "หลักกู" แบบแอ๊บๆ จนเกิด "แอ๊บแบ๊ว" กับ "แอ๊บแม้ว" ซึ่งต่างความหมายกับ "แอ๊บแบ๊ว" ของวัยรุ่น ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครมากนัก [/color]

(อ่านคอลัมน์ย้อนหลังและแสดงความเห็นทาง www.oknation.net/blog/adisak
 
 


นี่เป็นมุมมองหนึ่งของสื่อฯ ต่อพฤติกรรม"แอ๊บแบ๊ว"ของแกนนำม๊อบ"จลาจลไข่แม้ว" ที่พยายามชักชวนประชาชนเข้าร่วมกับม๊อบ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยบังหน้า ซ่อนเร้นความต้องการ"เปิดทาง"ให้อดีตเผด็จการจากการเลือกตั้ง กลับประเทศเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนเองและครอบครัวจากการ"อายัดทรัพย์"ของคณะกรรมการ คตส. ที่ดำเนินการสู่ขบวนการยุติธรรม......

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
หน้า: [1]
    กระโดดไป: