คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯ จัดเสวนา "อักษรศาสตร์กับระบอบทักษิณ" ฟันธงขายหุ้นชินคอร์ป "ทักษิณ" ไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดจริยธรรม ใช้ "กติกา" กำกวมโจมตีพันธมิตร-ฝ่ายตรงข้าม ใช้จิตวิทยาเบี่ยงเบนประเด็นแทนเหตุผล มุสาเป็นนิตย์ตลอด 5 ปี พร้อมมอบคาถาบาลีไล่ "ทักษิณ"
วันที่ 28 มี.ค.อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการเสวนา เรื่อง "อักษรศาสตร์กับระบอบทักษิณ" ณ. ห้อง 103 อาคารอักษรศาสตร์ 4 ประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ รศ.ดร.โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ อาจารย์ภาควิชาปรัชญา เสวนาหัวข้อ "จริยธรรมกับกฏหมาย" ว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีการพูดเกี่ยวกับจริยธรรมกับกฎหมายค่อนข้างมาก ที่รู้จักกันดีก็คือนักการเมืองบอกแก่คนทั่วไปว่า สิ่งที่ตัวเองทำไปถูกต้องแล้วเนื่องจากไม่ผิดกฏหมาย นั้นก็คือการที่คนในตระกูลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ขายหุ้นของชินคอร์ป ให้แก่เทมาเส็คของประเทศสิงคโปร์ไม่เสียภาษีแม้แต่สลึงเดียว
"แม้นจะอ้างว่าจะไม่น่าจะผิดอะไร เพราะเป็นเรื่องปกติในตลาดหุ้น สังคมทุนนิยมสมัยใหม่มีการซื้อขายหุ้นเป็นปกติธรรมดา" รศ.ดร.โสรัจจ์ กล่าวและว่า
ขายหุ้นไม่ผิดกม.แต่ผิดจริยธรรม
แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้มีอำนาจทางการเมือง ที่สามารถเปลี่ยนแปลงกฏกติกาของการซื้อขาย หรือ กติกาอื่นๆ ในการทำธุรกิจได้อย่างกว้างขวาง สิ่งที่ประชาชนสงสัยในพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่การที่มีหุ้นหรือคนในครอบครัวถือหุ้นแทน แต่ที่สงสัยก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณมีบทบาทในธุรกิจขนาดใหญ่ เท่ากับเป็นผู้เล่นและเป็นกรรมการในเวลาเดียวกัน ก็เท่ากับผิดจริยธรรมของการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ผิดฐานเป็นนักธุรกิจ
"กฏหมายออกมาอย่างถูกต้องตามกระบวนการ ไม่ได้แปลว่าเป็นกฏหมายที่ถูกหรือกฏหมายที่ดี จริยธรรมกับกฏหมายเป็นคนละเรื่อง เราต้องตัดสินได้ว่ากฏหมายแต่ละฉบับชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม และต้องไม่ยอมให้ตัวกฏหมายเองเป็นฝ่ายตัดสินเสียเองว่า ถ้าประกาศบังคับใช้โดยรัฐบาลแล้วต้องเป็นกฏหมายที่ชอบธรรม เพราะมิฉะนั้นแล้วรัฐบาลจะบังคับให้ประชาชนทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา ไม่ว่าจะผิดจริยธรรมเพียงใด" รศ.ดร.โสรัจจ์ กล่าว
แฉ"ทักษิณ"ใชัคำว่า"กติกา"2นัย
รศ. สมฤดี วิศทเวทย์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ กล่าวในหัวข้อ "ทักษิณกับการใช้เหตุผล" ว่ามีความบกพร่องในการใช้เหตุผลอยู่ 3 ข้อ คือ 1. ความบกพร่องที่เกิดจากภาษา 2. ความบกพร่องที่เกี่ยวกับความสมบูรณ์ถูกต้องด้านเนื้อหา 3. ความบกพร่องที่เกิดจากการทิ้งเหตุผล การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวเช่น
"ทำไมผมจะต้องลาออก ทำไมผมจะต้องไปยอมตามคนที่ไม่ยอมทำตามกฎ กติกา ไม่ยอมทำตามหลักการประชาธิปไตย"
หรือเช่น "ผมพร้อมที่จะถอย แต่ต้องเป็นแบบประชาธิปไตย วันนี้ทำไมเป็นประชาธิปไตยแล้วให้ผมถอย คิดว่าถ้าถอยแบบนี้จะเป็นการทำลายประชาธิปไตยของประเทศ ไม่ใช่ว่าอยากหรือต้องเป็นนายกฯให้ได้ อย่างนั้นไม่ใช่ผม แต่หากไม่รักษาประชาธิปไตยปล่อยให้ประชาธิปไตยพังคามือผมไม่ได้"
รศ.สมฤดี อธิบายต่อว่า จากข้อความข้างต้นนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความบกพร่องที่เกิดจากภาษา เช่น คำว่า "กติกา" มีสองความหมาย คือ กฎกติกาประชาธิปไตย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับการชุมนุมของพันธมิตรทำได้ไม่ผิดกติกา แต่ความหมายที่สองคือ กติกาการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นข้อกำหนดหนึ่งในกติกาประชาธิปไตยแบบตัวแทน
ตามความหมายหลังนี้ "ถูกกติกา" หมายถึงการเป็นหรือไม่เป็นนายกรัฐมนตรีตามวิถีทางและกระบวนการของการเลือกตั้ง ฉะนั้น สิ่งที่พันธมิตรเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกจึงผิดกติกา ทั้ง ๆ ที่ คำว่า "กติกา" มี 2 ความหมาย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เหมือนมีความหมายเดียว เพราะคิดว่ากติกาประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งอย่างเดียว และทำให้เกิดความสับสนว่า การชุมนุมเรียกร้องของพวกพันธมิตรผิดหรือไม่ผิดกติกา
ใช้จิตวิทยาโจมตีพันธมิตรแทนเหตุผล
รศ.สมฤดี กล่าวด้วยว่า ยังแสดงถึงความบกพร่องที่เกิดจากการทิ้งเหตุผล เป็นการใช้หลักจิตวิทยาเบี่ยงเบนประเด็นแทนการใช้เหตุผล เช่นโจมตีว่า คนจะมากู้ชาติ ไปกู้เงินเขามาแล้วไม่ใช้หนี้ ไปใช้หนี้เขาก่อนเถอะ หรือ คนที่มาประท้วงเป็นพวกพ่อค้าหวยเถื่อนที่ จ.อุดรธานี พวกที่เสียผลประโยชน์ หรือ พวกที่ไม่เข้าใจโลกาภิวัตน์ การอ้างลักษณะเหล่านี้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าคนที่ถูกกล่าวถึงเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรม หรือมีเรื่องไม่พอใจส่วนตัวเรื่องขัดผลประโยชน์ เป็นการใช้สิ่งเหล่านี้แทนเหตุผลแล้วสรุปว่าการเรียกร้องให้ลาออกไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ก็ยังมีการใช้คำย้อมสี (colored words) เช่น คนแซงคิว นักกรรโชกประชาธิปไตย อีกด้วย
ฟันธง5ปี"ทักษิณ"มุสาเป็นนิตย์
ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ กล่าวในหัวข้อ "ทักษิณกับภาษาเล่นลิ้นทางการเมือง" ว่า ภาษาไทยมีคำหลายคำมีความหมายพ้องกับคำว่า "โกหก" ซึ่งคนทั่วไปโกหกได้ง่ายๆ แต่ผู้ปกครองบ้านเมืองนั้นแม้เพียงพลั้งพูดโดยไม่ระวัง ก็ต้องรับผิดชอบ ดังสังคมจีนที่ถือว่า "กษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ" สังคมไทย ศีล ซึ่งหมายรวมถึงสัมมาวาจา เป็น 1 ในราชธรรม 10 ประการ ที่พระมหากษัตริย์ควรรักษา ดังนั้นนายกรัฐมนตรีผู้บริหารประเทศและเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการการใช้อำนาจบริหาร จะงดเว้นไม่รักษาสัตย์ดังที่พระมหากษัตริย์ทรงรักษาไม่ได้
"ตลอด 5 ปีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีหลักฐานชัดเจนว่า นายกฯผู้นี้มิได้แต่เพียงเจตนาโกหกซ้ำซาก แต่ยังได้อาศัยลิ้นลมคารมทางภาษาต่างๆ ในการบริหารประเทศและเอาตัวรอดทางการเมืองเสมอมา กลวิธีที่ใช้บ่อยได้แก่ 1. โกหกหน้าตาย 2. กล้าวท้าทายยั่วยุ 3. โพล่งประทุอารมณ์ 4. คำคมเจ้าเล่ห์ 5. คำเท่ห์หลอกลวง 6. จ้วงจวบสถาบัน 7. พูดอามันชาติบรรลัย " ดร.อนันต์ กล่าวและว่า
มอบคาถาพันธมิตรไล่"ทักษิณ"
ดังนั้นเมื่อ พิจารณาแต่เพียงคุณธรรมด้านรักษาสัตยวาจา ก็เห็นแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จึงหมดความชอบธรรมที่เป็นดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศไทยต่อไป จึงขอให้ผู้ชุมนุมใช้คาถาไล่พ.ต.ท.ทักษิณผู้ขาดความชอบธรรม คือ "ทักษิโณ สปริวาโร ทุสีโล อาสัจโจ โมฆปุริโส ทักษิโณ น ลัชโช โข ปนตโต ทักษิณ อเปหิ แปลว่า "ทักษิณรวมทั้งบริวารไร้ศีลสัตย์และเสียชาติเกิด ทักษิณไร้ยางอายอย่างที่สุด ดังนั้น ทักษิณ!...ออกไป!"
http://www.komchadluek.net/news/2006/03-28/p1--69078.html