อย่าให้ใครมาบงการ
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ได้ผ่านความเห็นชอบของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เรียบร้อยแล้ว เมื่อผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็จะนำไปสู่การลงประชามติในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยให้มีการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ท้ายที่สุด ประชาชนคนไทยที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งนั่นเองที่เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550
ความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มชัดเจน กลุ่มแรกคือ ส.ส.ร. ซึ่งเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญเองย่อมเห็นด้วยและสนับสนุนอย่างแน่นอน นอกจากนั้น รัฐบาลและ คมช.ต่างสนับสนุนให้มีการรับร่างดังกล่าวโดยอ้างข้อดีต่างๆ มากมาย ส่วนกลุ่มที่แสดงตัวออกมาคัดค้านเต็มที่คือ พรรคไทยรักไทยและเครือข่ายพันธมิตรเป็นแกนนำ โดยอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นผลิตผลของเผด็จการทหาร ซึ่งเป็นเหตุผลทางด้านการเมืองเป็นหลัก
ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งต้องใช้ดุลยพินิจและวิจารณญาณตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญด้วยตัวท่านเอง ท่านต้องมีอิสระในการตัดสินโดยการเคารพตนเอง ไม่ยอมให้ใครมาจูงจมูกชี้นำให้รับหรือไม่รับร่างดังกล่าว อย่าตกเป็นทาสการโฆษณาชวนเชื่อ ประชาสัมพันธ์ และทาสน้ำเงินจากกลุ่มคนที่สนับสนุนหรือต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญ แต่ท่านต้องวิเคราะห์ เพ่งพินิจและไตร่ตรองอย่างรอบคอบถึงข้อดีข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญ แล้วตัดสินใจด้วยตนเองในขั้นสุดท้าย
แน่นอน ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่ถูกใจคนทั้งหมด หรือไม่ถูกใจคนทั้งหมด และไม่มีใครที่พอใจร่างรัฐธรรมนูญในทุกมาตรา หรือไม่พอใจทุกมาตรา ต้องมีที่พอใจบ้างและไม่พอใจบ้าง ถ้าท่านเห็นว่าส่วนใหญ่ของร่างรัฐธรรมนูญใช้ได้ก็ควรรับ แต่ถ้าไม่เห็นด้วยกับส่วนใหญ่ของร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะหากไม่เห็นด้วยกับมาตราที่เป็นหัวใจของประชาธิปไตย ก็ไม่ควรรับ
ท่านอย่าไปเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อหรือประชาสัมพันธ์ว่าร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ดีที่สุด หรือดีกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และอย่าไปเชื่ออย่างงมงายว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ดีที่สุด หรือดีกว่าร่างปี 2550 เนื่องจากใครร่างรัฐธรรมนูญฉบับไหนก็มักบอกว่ารัฐธรรมนูญที่ตนมีส่วนร่างเป็นฉบับที่ดีที่สุด หรือดีกว่าคนอื่น เนื่องจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง หรือ อัตตา เพราะในข้อเท็จจริง ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใดดีที่สุดตลอดไป แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2518 หรือปี 2540 ที่ว่าดีที่สุดนั้น หากดีที่สุดคงไม่มีการปรับปรุงแก้ไข ที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม ที่ว่าดีที่สุดอาจดีที่สุดในระยะหนึ่ง เมื่อสภาพแวดล้อมทางการเมืองและทางสังคมเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป ก็ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมเป็นธรรมดา
รัฐธรรมนูญถูกร่างโดย คน เพื่อให้ คน เป็นผู้ใช้ คนที่ใช้มีสมองทั้งส่วนที่เป็นเทพและเป็นมาร ดังนั้น จึงปรากฏนักการเมืองและนักตีความรัฐธรรมนูญแบบ ศรีธนญชัย มากมายเพื่อประโยชน์ของตนหรือของกลุ่ม จนทำให้เจตนารมณ์ของแต่ละภาคส่วนในรัฐธรรมนูญถูกบิดเบือน เราควรยอมรับความจริงประการหนึ่งคือ รัฐธรรมนูญเมืองไทยได้ลองผิดลองถูกมาโดยตลอด และจะลองผิดลองถูกไปอีกนาน รัฐธรรมนูญอาจเหมาะสม หรือดีสำหรับสถานการณ์หนึ่ง แต่อาจไม่เหมาะสมเมื่อสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป
นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญจะร่างให้ดีขึ้นมาอย่างไร หากยังมีนักการเมืองศรีธนญชัยที่มักหาวิธีการใหม่ๆ ตีความรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ของตน โดยไม่คำนึงถึงชาติบ้านเมืองจะเสียหายอย่างไร รัฐธรรมนูญก็จะมีปัญหา คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 จึงพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดที่ผ่านมา และหาทางป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำรอย พร้อมกับมองไปข้างหน้าว่าบ้านเมืองไทยจะพัฒนาไปในรูปแบบใด รัฐธรรมนูญจะกำหนดทิศทางการเดินของประเทศและพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนได้อย่างไร
คณะผู้ร่างมองอนาคตเท่าที่พอมองเห็นได้ แต่สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไปเสมอโดยอิทธิพลจากภายนอกและภายในประเทศ ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงต้องมีการแก้ไข เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคม ฯลฯ ที่เปลี่ยนแปลงไป
รัฐธรรมนูญต้องไม่ แข็ง เกินไปจนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ต้องมี ความยืดหยุ่น บ้าง และต้องหา ทางออก ไว้ด้วย ในกรณีที่เกิดภาวะชะงักงันทางการเมือง มิฉะนั้นจะเปิดโอกาสให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงผ่านการยึดอำนาจแทน
ท่านต้องดูว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2550 ร่างขึ้นบนสภาพแวดล้อมของประเทศไทย ให้สอดคล้องกับความเป็นไปและความเป็นจริงของสังคมไทยและคนไทยหรือไม่ เพราะนี่คือรัฐธรรมนูญที่ใช้กับคนไทย ไม่ใช่ไปลอกเลียนเอารัฐธรรมนูญของประเทศอื่นซึ่งใช้กับคนประเทศนั้นมาเขียนโดยไม่มีการดัดแปลงให้เข้ากับสังคมไทย
บ่อยครั้งที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญไทยบางคนอวดภูมิความรู้หรือรู้สึกภูมิใจมากที่ตนเองสามารถลอกเลียนรัฐธรรมนูญจากต่างประเทศ เช่น อังกฤษ โดยอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญจากประเทศต้นแบบของประชาธิปไตยและอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในโลกมาใช้ ทั้งที่คนอังกฤษบอกย้ำเสมอว่า รัฐธรรมนูญอังกฤษเหมาะกับคนอังกฤษเท่านั้น เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้กับคนอังกฤษภายใต้สภาพแวดล้อมของสังคมอังกฤษ ถ้าคุณจะนำมาใช้ในเมืองไทยก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในสังคมไทย
การจะตัดสินใจว่า ควรรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ข้อพิจารณาประการหนึ่งคือ ให้ดูสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่า มีความเป็น ประชาธิปไตย มากน้อยเพียงใด ที่สอดคล้องกับสภาพความเป็น ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือไม่อย่างไร นักปราชญ์ทางรัฐศาสตร์ท่านหนึ่งกล่าวว่า หัวใจของประชาธิปไตย มีเพียง 3 ประการ คือ (1) การตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) (2) สิทธิเสรีภาพของประชาชน และ (3) การมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนที่เหลือเป็นเพียงส่วนประกอบ และอย่าไปเชื่อนักการเมืองให้มากนัก เพราะ นักการเมืองมักจะพูดและวิจารณ์ถึง วิธีการเข้าสู่อำนาจ ของพวกเขาเป็นสำคัญ ส่วนการเลือกตั้งซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน ต้อง เสรี บริสุทธิ์ และยุติธรรม เท่านั้น ไม่ใช่ใช้ เงินซื้อ ซึ่งจะทำให้เจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ของประชาชนถูกบิดเบือน
ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ คือ มีคนไทยสักกี่คนที่สนใจศึกษาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 มีคนไทยสักกี่คนที่อ่านร่างทั้งหมด อย่างเก่งก็อ่านเฉพาะในส่วนที่ตนสนใจหรือที่จะกระทบต่อวิชาชีพของตนเท่านั้น จากการสำรวจโดยวิธีสุ่มตัวอย่างของสถาบันต่างๆ ผลออกมาตรงกันว่า แม้แต่คน กทม.และปริมณฑลซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งข้อมูลข่าวสารมากที่สุด มีจิตสำนึกทางการเมืองมากที่สุด ยังมีคนไม่เท่าไรที่สนใจร่างรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง และคงมีคนไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่อ่านและศึกษาร่างในทุกมาตรา ดังนั้น จึงไม่ต้องพูดถึงคนต่างจังหวัดที่มีปัญหาเฉพาะหน้าในการทำมาหากิน โอกาสที่จะออกเสียงรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีโอกาสเป็นไปตามคำชักชวน หรืออำนาจการเงิน มากกว่าการใช้ดุลยพินิจและวิจารณญาณของตนเอง
สิ่งที่อยากร้องขอมา ณ โอกาสนี้คือ ฝ่ายที่ไม่สนับสนุนให้รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ควรยุแหย่ไม่ให้ประชาชนไปลงประชามติ หากท่านไม่ต้องการให้ประชาชนรับร่าง ก็ต้องอธิบายด้วยเหตุและผลว่าทำไมท่านไม่อาจรับร่างฉบับนี้ได้ โดยชี้แจงในประเด็นสำคัญว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างไร หากรับไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างไร การที่ยุแหย่ไม่ให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญโดยอ้างว่าเป็นผลผลิตของเผด็จการนั้น เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยังรับไม่ได้ และอาจโดนโต้กลับว่า ใครคือเผด็จการตัวจริงกันแน่ โดยเฉพาะเผด็จการประชาธิปไตยน่ากลัวกว่าเผด็จการทหารเสียอีก
รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องไกลตัวประชาชนอีกต่อไป ดังนั้น คนไทยต้องเริ่มศึกษาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้แล้ว อย่างน้อยก็ศึกษาเฉพาะสาระสำคัญ 3 ประการที่เป็นหัวใจของประชาธิปไตย ถ้าท่านเห็นว่าส่วนใหญ่ของร่างรับได้ก็รับไป แต่ถ้าเห็นว่าส่วนใหญ่ของร่างรับไม่ได้ก็อย่าไปรับ แต่ต้องเคารพในตัวท่านเอง อย่าให้ใครมาบงการการตัดสินใจของท่านได้ (อาทิตย์ 15 กรกฎาคม 2550)
http://www.the-thainews.com/analized/domestic/dom180750_1.htm