http://cddweb.cdd.go.th/saiburi/word%20by%20word.htm8 กพ. 49
คำต่อคำ ของ รัฐบุรุษ กับ 14 แนวทางพระราชดำริบริหารบ้านเมือง ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จัดสัมมนาทางวิชาการ การบริหารจัดการภาครัฐตามแนวทางพระราชดำริเพื่อประเทศไทยในอนาคต
โดย ฯพณฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เป็นองค์ปาฐกแสดงปาฐกถาเรื่อง
แนวทางพระราชดำริสู่การบริหารจัดการภาครัฐ โดยมีคณาจารย์และนักศึกษาปริญญาเอกเข้าร่วมงานสัมมนากันอย่างคับคั่ง และฯพณฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กล่าวว่า พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานให้แก่พสกนิกรของพระองค์ทรงคุณค่ามหาศาล และตัว ฯพณฯ พล.อ.เปรม รู้สึกดีใจที่ขณะนี้พวกเราคนไทยทุกระดับพูดกันถึงเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมกันมาก คำกล่าวของฯพณฯ พลเอก เปรม เป็นอย่างไร
ไลฟ์ ออน แคมปัส ออนไลน์ ขอนำมาเผยแพร่แบบ คำต่อคำ ให้ได้ศึกษากัน .....
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
... เรียนอธิการบดี และผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมขอขอบคุณ ที่ระลึกถึงกัน และชวนผมมาพูดกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยในวันนี้ นักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้ ไม่ว่าจะระดับปริญญาตรี โท หรือเอก ถือว่าเป็นปัญญาชน เป็นกำลังสำคัญของชาติ และมีบทบาทสำคัญในการกำหนด อนาคตของบ้านเมืองของเรา เป็นพลังประชาธิปไตยที่ชาติกำลังเฝ้ามองด้วยความหวัง ผมหวังว่านักศึกษาทั้งหลายจะสำนึกรู้ถึงความสำคัญของตนเอง และจะไม่ทำให้คนที่เขาเฝ้ามองผิดหวัง
หัวข้อปาฐกถาที่อธิการบดีกรุณากำหนดให้ เป็นหัวข้อที่มีความสำคัญและลึกซึ้งมาก พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานให้แก่พสกนิกรของพระองค์ นับตั้งแต่เสวยราชย์จนจะครบ 60 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ มีเป็นจำนวนมาก พวกเราทั้งหลาย คณะบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระ สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ นักธุรกิจสาขาต่างๆ บัณฑิตทั้งหลายที่จบจากสถาบันต่างๆ ต่างก็ได้ฟัง ได้ยิน มาโดยต่อเนื่อง
มีคนเป็นจำนวนมากที่รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไปปฏิบัติ มีคนจำนวนมากที่เข้าใจชัดเจน มีจำนวนน้อยที่เข้าใจไม่ชัดเจน และบางคนก็ไม่เข้าใจเลย แต่ถ้าพวกเราทั้งหลายจะพิจารณาให้ลึกซึ้งถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหล่านั้น ล้วนทรงคุณค่ามหาศาล มีประโยชน์อย่างยิ่ง และมีลักษณะสำคัญยิ่งประการหนึ่ง
ลักษณะสำคัญยิ่งประการนั้นก็คือ ทรงยึดหลักการที่สอดคล้องกันมาโดยตลอด หลักการที่ผมพูดถึงก็คือ ทรงย้ำเตือนให้ผู้รับผิดชอบ ในการบริหารชาติบ้านเมืองทุกระดับ นำไปตรึกตรอง พิจารณา และปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชน เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ และเพื่อความมั่นคงของชาติ
แนวพระราชดำริที่ผมเชิญมาเล่าให้พวกเราทั้งหลายฟังในวันนี้ ผมได้พยายามรวบรวมเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการบริหาร ได้พยายามรวบรวมให้ครบถ้วนมากที่สุด แต่อย่างไรก็ย่อมขาดไปบ้าง ผมมีความภูมิใจจริงๆ ที่ท่านทั้งหลายสนใจในการนำเอาพระราชดำริมาพูดกัน เพราะว่าพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นสิ่งบริสุทธิ์ สะอาด และศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดรับไปปฏิบัติย่อมเป็นมงคลแก่ชีวิต เป็นเกราะป้องกันความเสื่อมเสีย
ขอเรียนว่า การปฏิบัติตามแนวพระราชดำริที่พระราชทานลงมาทั้งหมด ยากมาก ผู้ใดสามารถปฏิบัติได้ครบถ้วน ต้องได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะผู้ที่จะปฏิบัติได้ครบถ้วน จะต้องเป็นคนที่สะอาด มีความเพียร เพียบด้วยคุณธรรมและจริยธรรมสมบูรณ์ แต่พวกเราไม่ต้องท้อถอย เพราะแม้แต่จะยากลำบากสักเพียงใด พวกเราก็สามารถปฏิบัติได้
ผมดีใจที่ขณะนี้พวกเราคนไทยทุกระดับพูดกันถึงเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมกันมาก ซึ่งเราไม่ค่อยพูดถึงกันมามากนักในสมัยก่อนๆ นี้ ความเก่ง ความฉลาด เป็นเรื่องที่ดี แต่ความเก่ง ความฉลาดที่ไม่มีคุณธรรม ไม่มีจริยธรรม ไม่น่าจะดี
พวกเราทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ ล้วนเป็นนักการศึกษา เป็นนักศึกษา พวกเราทั้งหลายรู้ดีอยู่แก่ใจว่าการศึกษานี้คือการสอนวิธีทำคนให้เป็นคนดี สอนให้เป็นคนที่รู้จักเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน การศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบ นอกระบบ นอกตำรา หรือจากประสบการณ์ชีวิต ย่อมเป็นประโยชน์ทั้งนั้น การนำแนวพระราชดำริมาศึกษาก็เช่นเดียวกัน ผู้ปฏิบัติตามย่อมต้องเป็นคนดี เป็นคนมีประโยชน์ เป็นคนที่ชาติต้องการ
การเชิญแนวพระราชดำริมาเล่าสู่ให้พวกเราฟังในวันนี้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐนั้น ย่อมกระทบต่อการบริหารของภาครัฐระดับต่างๆ บ้าง ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้มีเจตนาจะตำหนิใคร ไม่มีเจตนาจะตำหนิองค์กร องค์การใด ถ้ามีใคร คณะใด ฟังแล้วไม่ชอบใจก็ต้องขออภัย
แนวพระราชดำริ เท่าที่ผมเรียนให้ทราบแล้วว่ารวบรวมมามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อจะนำมาใช้กับหัวข้อที่ท่านอธิการกรุณากำหนดให้มาพูดในวันนี้ คือเกี่ยวกับการบริหารจัดการภาครัฐนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ผมรวบรวมได้ มีอยู่ 14 ประการ
ข้อที่ 1 มีพระราชดำริว่า การบริหารจะต้องเป็นการบริหารเพื่อความมั่นคงของชาติ เพื่อความเจริญของประเทศ และเพื่อความผาสุกของประชาชน การบริหารจะต้องไม่นำเอาประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ของญาติพี่น้อง ประโยชน์ของบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง
พวกเราทั้งหลายคงจะจำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ว่า ทรงมีรับสั่งว่า เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม เป็นพระราชปณิธานที่ทรงดำรงไว้ได้อย่างมั่นคง ผมเข้าใจว่า ธรรมที่ทรงรับสั่งนั้น ย่อมหมายถึงทั้งธรรม คือคุณความดี และความยุติธรรม
ข้อ 2 ท่านรับสั่งว่า จะต้องบริหารด้วยความสามัคคี ทรงเน้นและทรงเห็นว่า ความสามัคคีปรองดอง จะนำไปสู่ความร่วมมือและความเข้มแข็ง ทำให้งานบรรลุผลสำเร็จ
ผมมีความเห็น ผมขอเน้นว่า ผมมีความเห็นว่า ผู้บริหารทุกระดับจะต้องรู้จักรักษาความสามัคคีในหน่วยงาน ในชาติของเรา ผู้บริหารจะต้องรู้จักกำหนดนโยบาย ซึ่งสมัยนี้เรียกกันว่า ยุทธศาสตร์ ผู้บริหารจะต้องรู้จักกำหนดมาตรการเพื่อให้บรรลุนโยบายหรือยุทธศาสตร์นั้นๆ จะต้องเข้าใจว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ใช่ความขัดแย้ง ไม่ใช่ความขัดขืน
ผู้บริหารที่ดีต้องยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น ให้โอกาสผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วม เพราะพวกเราทุกคน หรือส่วนใหญ่ของพวกเรา ต่างก็มีความปราถนาดีต่อหน่วยงานและต่อชาติบ้านเมืองด้วยกัน
ข้อ 3 จะต้องบริหารด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ท่านรับสั่งว่า ต้องซื่อสัตย์สุจริต ทั้งในความคิด การพูด และการกระทำ ยังทรงเน้นในเรื่องนี้อยู่เสมอๆ
ผมขอให้ความเห็นเป็นส่วนตัว เป็นการขยายความว่า ผู้บริหารนอกจากจะต้องซื่อสัตย์สุจริตแล้ว จำต้องดูแลคนรอบข้างตัวเราให้ซื่อสัตย์สุจริตด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริหารจำต้องเพิ่มเติมคำว่า เสียสละ และ จงรักภักดี เข้าไปด้วย
ในบ้านเมืองของเราปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในการบริหารภาครัฐ ถ้าจะมาพูดกันก็พูดได้ยาวมาก พูดได้นานมาก พูดกันได้เหมือนเรื่องสนุกสนาน แต่เรื่องที่เราไม่ค่อยจะพูดถึงกันบ่อยนัก ก็คือเราไม่ค่อยพูดว่า การทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นการบั่นทอนประสิทธิภาพในการบริหาร และลดความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อผู้บริหารและหน่วยงานของรัฐ
ข้อ 4 จะต้องเป็นการบริหารที่ถูกต้อง คือถูกต้องตามกฎหมาย ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ มีความเที่ยงธรรม เที่ยงตรง มีประสิทธิภาพ และให้ประสิทธิผลสูง
ความเห็นส่วนตัวของผม ผมเห็นว่า ผู้บริหารต้องมีมาตรฐานเดียว เสมอหน้ากัน ทั่วถึงกัน ต้องไม่มีหลายมาตรฐาน หรือไม่มีมาตรฐานเลย หรือใช้มาตรฐานตามอารมณ์ มาตรฐานตามกิเลส พระเจ้าอยู่หัว ทรงย้ำเตือนอยู่เสมอว่า ความสุจริตและความถูกต้องเป็นของคู่กัน
ข้อ 5 จะต้องเป็นการบริหารที่มีเอกภาพ มีการประสานงาน มีการประสานประโยชน์ระหว่างหน่วยงาน
พระราชดำรินี้ชัดเจน และเข้าใจง่าย แต่โดยข้อเท็จจริง หน่วยงานภาครัฐค่อนข้างละเลยจนกลายเป็นอุปสรรคที่ไม่มีในตำรา บางทีก็กลายเป็นการแข่งขันหรือกลายเป็นการแก่งแย่งกันเองระหว่างหน่วยงานต่างๆ
ข้อ 6 จะต้องบริหารด้วยความเพียร อย่างต่อเนื่อง ดุจเช่นพระมหาชนก ผู้บริหารต้องไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวเหนื่อย ดำรงความมุ่งหมายอย่างกล้าหาญ กล้าเผชิญอุปสรรค และอดทนต่อความยากลำบาก
ผมเองเห็นว่า ผู้บริหารต้องมีความเพียรพยายาม โดยไม่คำนึงว่าตนจะได้รับประโยชน์ตอบแทนหรือไม่ อย่างไร มุ่งแต่ความสำเร็จของการบริหาร และผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
ข้อ 7 ผู้บริหารจะต้องไม่หวาดกลัวต่ออิทธิพลใดๆ และต้องอยู่คนละฝ่ายกับความไม่ถูกต้อง
ผมเห็นว่า ผู้บริหารต้องหนักแน่น สงบนิ่ง และสง่างาม ในบ้านเมืองของเรา ผู้บริหารมักจะเผชิญกับการเรียกร้องและความกดดันของกลุ่มอิทธิพล หรือผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม หรือเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และความต้องการของกลุ่ม กรณีเช่นนี้ ผู้บริหารจะต้องเลือกเอาเองว่าจะยืนหยัด หนักแน่น รับใช้ประชาชน หรือจะรับใช้กลุ่มอิทธิพล
ข้อ 8 ผู้บริหารจะต้องศึกษาหาความรู้อย่างจริงจัง อย่างลึกซึ้ง อย่างกว้างขวาง ทั้งทางลึกและทางกว้าง พระเจ้าอยู่หัวทรงย้ำเตือนให้ทุกคนตื่นตัว สนใจการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาวิชาการอยู่ตลอดเวลา
ผมมีความเห็นว่า ผู้บริหารต้องเปิดใจกว้าง มีความบริสุทธิ์ ซื่อตรงต่อวิชาชีพ วิชาการ ที่กล่าวเช่นนั้นมิได้หมายความว่าให้ผู้บริหารยึดติดกับตำรา ยึดติดกับทฤษฎี แต่ผู้บริหารจะต้องสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารจะต้องเป็นมืออาชีพ รู้จริง ทำได้จริง และแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ รู้จักหน้าที่ชัดเจน รู้จักใช้คน รู้จักวางคนให้เหมาะสมกับงาน โดยไม่ลำเอียง
พวกเราทั้งหลายคงจะทราบอยู่แก่ใจว่า ผู้บริหารของเราเรียนจบจากต่างประเทศมาเป็นจำนวนมาก แต่ละประเทศสอนไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ในบางอาชีพ เช่น นักเศรษฐศาสตร์ ผู้บริหารต่างเรียนกันมาคนละตำรา คนละระบบ ทำให้เกิดความเห็นขัดแย้งกัน กรณีเช่นนี้ ผู้บริหารจึงจำต้องปรึกษาหารือกัน หาแนวทางที่หน่วยงานจะได้รับประโยชน์สูงสุด เหมาะสม และมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์กับประเทศเรามากที่สุด
ข้อ 9 ผู้บริหารจะต้องมีความสำนึกในความรับผิดชอบ และเห็นความสำคัญของงาน ความรับผิดชอบหมายรวมถึงความตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุตามผลที่กำหนด
ผมขอแสดงความเห็นส่วนตัวว่า ถ้าผู้บริหารไม่ตั้งใจจริง แสดงว่าไม่ต้องการรับผิดชอบ ในทางกลับกัน เมื่อผู้บริหารเห็นความสำคัญของงาน ก็ย่อมนำไปสู่ความรับผิดชอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งว่า การเห็นความสำคัญของงาน ความสำนึกในความรับผิดชอบ และความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นสิ่งที่ต้องทำพร้อมและควบคู่กันไป
ข้อ 10 ผู้บริหารจะต้องรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและฉลาด มีความถูกต้องเหมาะสม ทรงย้ำเตือนให้ทุกคน ทุกระดับ ทุกสาขาอาชีพ เข้าใจชัดเจนถึงความสำคัญยิ่งของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานทฤษฎีใหม่ที่เราได้ยินชินหูว่า เศรษฐกิจพอเพียง เป็นการชี้แนวทางดำเนินชีวิตใหม่ที่ให้พวกเราสามารถพออยู่พอกิน ทำให้เกิดความสมดุลในการดำรงชีพอย่างประหยัดและฉลาด
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนี้ มีหลายภาคส่วนที่ไม่เข้าใจชัดเจน ผมขอแนะนำว่า พวกเราจะต้องศึกษา ทำความเข้าใจเศรษฐกิจพอเพียงให้ถ่องแท้ แน่นอน และจริงจัง จะได้นำไปสอน ไปใช้ ไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ และจะเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยว่า ทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน มีค่ามหาศาลยิ่ง และสามารถนำไปใช้ ไปปรับใช้ได้ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปัจเจกชน จนถึงระดับชาติ นำไปใช้ได้ทุกสาขา ทุกเรื่อง ไม่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ แต่สามารถนำไปใช้กับเรื่องการศึกษา เรื่องวัฒนธรรม และเรื่องอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกเรื่อง
ข้อ 11 ผู้บริหารต้องมีสติ มีปัญญา สามารถพิจารณาปัญหาต่างๆ ได้กว้างไกล รอบคอบ ทุกแง่ทุกมุม
ส่วนตัวผม ผมเห็นว่าผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ มีความทันสมัย ทันเหตุการณ์ทั่วโลก โดยเฉพาะในสาขาอาชีพของตน ยิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงมาก สูงแค่ไหนก็ตาม จำเป็นต้องรอบรู้ ต้องตามทันเหตุการณ์ ต้องสามารถแยกแยะความเปลี่ยนแปลงที่ดีและไม่ดีออกจากกันได้โดยชัดเจน
ข้อ 12 ผู้บริหารจะต้องแน่วแน่ที่จะแก้ไขในสิ่งผิด
อันนี้ทุกคนคงได้ยิน ผมเชิญมาจากเพลงพระราชนิพนธ์ ผมเห็นว่า ผู้บริหารต้องกล้าที่จะรับผิด กล้าที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ผิด และมีความแน่วแน่ที่จะแก้ไข การบริหารย่อมผิดพลาดได้ แม้จะรอบคอบและระมัดระวังแล้ว เพราะฉะนั้นการแก้ไขสิ่งที่ผิดจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย การทำชั่ว ประพฤติชั่ว ต่างหากที่น่าละอาย
ข้อ 13 ผู้บริหารจะต้องบริหารแบบปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ข้อนี้ก็มาจากเพลงพระราชนิพนธ์เช่นเดียวกัน ผมเดาว่า ทรงหมายถึงการไม่โอ้อวด มุ่งแต่ผลงาน ไม่หวังคำชมเชย ภูมิใจจากความสำเร็จ
ข้อ 14 ผู้บริหารทุกระดับที่มีผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บริหารต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
ข้อนี้ ผมยืนยันกับพวกเราได้ เพราะผมถือปฏิบัติมาโดยตลอดชีวิต และได้ผลน่าชื่นใจมาก
ผู้มีเกียรติครับ โปรดสังเกตให้ดีว่า พระราชดำริที่ผมเชิญมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ส่วนใดที่เป็นความเห็นของผม ผมจะบอกไว้ชัดเจน เพราะฉะนั้นโปรดอย่าได้นำไปปะปนกัน
การพูดของผมก็ควรจะจบลงแค่นี้ เพราะได้นำเชิญพระราชดำริมาบอกกับพวกเราแล้ว แต่เห็นว่าวันนี้ผมได้มาพูดกับนักการศึกษา นักศึกษา ของสถาบันที่มีความเกี่ยวข้อง ก็ขอต่อไปอีกนิดหน่อยคือ เมื่อวันที่ 16 มกราคม ศกนี้เอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุณาเชิญผมไปพูดเรื่องสร้างอนาคตของประเทศด้วยการศึกษา จากฐานรากปรัชญาพอเพียง โปรดสังเกตคำว่า ปรัชญาพอเพียง ซึ่งทาง มศว ได้นำไปใช้ และก็เชิญผมไป เขาชวนผมไปพูด ผมจะเว้น ไม่ลงไปในรายละเอียดเรื่องปรัชญาพอเพียง
แต่เพียงจะชี้ให้เห็นคำว่า ที่ผมกล่าวถึงเมื่อกี้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนั้น มันไม่ได้ใช้อยู่ในเฉพาะวงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ทางกระทรวงศึกษาธิการได้นำไปใช้ในเรื่องของการศึกษา เรียกว่าปรัชญาพอเพียง
ในวันนั้น ที่ มศว ผู้ฟังก็คือผู้แทนผู้บริหารมหาวิทยาลัย 50 แห่ง พวกท่านทั้งหลายคงทราบดี มหาวิทยาลัย 50 แห่งนี้ ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้ไปสรรหา หรือว่าจะเรียกคำอย่างอื่นก็ได้ ให้ไปพิจารณาหลักสูตร 5 ปี สำหรับผลิตครูให้แก่ชาติบ้านเมืองของเรา 50 มหาวิทยาลัย ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยสวนดุสิตก็คงเป็น 1 ใน 50 นั้น
มีเรื่องสำคัญประการหนึ่ง มีภารกิจสำคัญประการหนึ่งที่ 50 มหาวิทยาลัยนั้น จะต้องตอบคำถาม หรือว่าจะต้องสร้างขึ้นมาให้ได้ คือการผลิตครูต้นแบบ ผมได้ยินและผมก็ไม่เข้าใจว่าครูต้นแบบคืออย่างไร ก็ได้ขอความรู้จากบรรดาท่านทั้งหลายที่พบกัน ว่าครูต้นแบบนั้นมีบรรทัดฐานอย่างไร ตั้งแต่ก่อนนี้ เราไม่มีครูต้นแบบหรืออย่างไร ถ้าไม่มีครูต้นแบบ แล้วจะเรียกครูแต่ก่อนโน้นว่าอย่างไร จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าครูต้นแบบ ที่จะผลิตกันนั้นหน้าตาอย่างไร
ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็เพราะว่า ผมสนใจเรื่องครูมาก นานหลายปีมาแล้วครับ ผมได้เคยคุยกับผู้ใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ สมัยโครงสร้างเดิม ไม่ใช่สมัยโครงสร้างเดี๋ยวนี้ ขณะนั้นคุณหญิงกษมา ยังเป็นอธิบดีกรมสามัญศึกษา ดร.ประพัฒน์พงษ์ ยังเป็นอธิบดีกรมวิชาการ คุยกันในเรื่องครู ผมก็เรียนท่านผู้ใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการที่นั่งคุยด้วยกัน ว่า ครู ตามความรู้สึกนึกคิดของผม มี 2 ประเภท คือ ครูอาชีพ
ประเภทที่ 1 ผมเรียกว่าครูอาชีพ ผมหมายถึงว่าครูที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครู มีความรักการเป็นครูอยู่ในสายเลือด รักและห่วงใยศิษย์ประดุจลูกหลานทุกลมหายใน รักสถาบัน เสียสละเวลาส่วนตัวให้แก่ศิษย์ ให้แก่สถาบันด้วยความเต็มใจ เข้าใจ และภูมิใจ ครูอาชีพจะมีความเป็นมืออาชีพอยู่ในตัวของครูอาชีพ คือ รอบรู้จริง รู้ครบถ้วน ในสาขาวิชาที่รับผิดชอบ และใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
ส่วนครูอีกประเภทหนึ่ง ผมใช้ว่า อาชีพครู คือครูที่รับราชการเพื่อรับเงินเดือนอย่างเดียว สอนไปตามหน้าที่ ไม่สนใจเด็ก ไม่สนใจผลสัมฤทธิ์ นอกเวลาราชการก็ไปทำอย่างอื่น หรือแม้แต่ในเวลาราชการก็ไปทำอย่างอื่น บางทีก็ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี แล้วส่วนใหญ่ก็จะไม่มีความเป็นมืออาชีพ
ที่ผมนำมาเล่าให้ฟังนี้เป็นของแถม ถ้าเห็นว่าไม่มีประโยชน์ เสียเวลา ผมก็ขอโทษด้วย
ก่อนจะจบนะครับ ท่านอธิการครับ ผู้มีเกียรติทั้งหลายครับ มีเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับการพูดในวันนี้ของผม แต่ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ก็อยากมาเล่าให้ฟัง เพราะว่าผมมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครได้ยินมาก่อน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ที่เดี๋ยวนี้อยู่ที่มูลนิธิชัยพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้คุณสุเมธไปจดลิขสิทธิ์กังหันชัยพัฒนา ในพระนาม ในแบบขอลิขสิทธิ์ มีอยู่ช่องหนึ่ง ต้องกรอกอาชีพของผู้ขอ ดร.สุเมธ ก็ไม่สามารถจะกรอกได้ เพราะไม่ทราบว่าจะเขียนอย่างไร เมื่อกลับไป จึงไปกราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระกระแสว่า อาชีพของพระองค์ท่าน คือ ทำราชการ ผมคิดว่าคงไม่ค่อยมีใครได้ยินมาก่อน ก็มาเล่าให้ฟังเป็นความรู้ เพื่อจะได้อะไรก็ตาม แล้วแต่ครับ
อธิการบดีครับ ผมขออนุญาตยุติการบรรยายแต่เพียงแค่นี้ ผมหวังว่าการบรรยายของผมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีเกียรติทั้งหลายบ้าง ขอขอบคุณอธิการบดีอีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณมากครับ...