ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
30-11-2024, 19:05
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  เสรีชน....อย่าหลงประเด็น... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
เสรีชน....อย่าหลงประเด็น...  (อ่าน 2131 ครั้ง)
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« เมื่อ: 06-05-2006, 15:49 »

อย่าหลงประเด็น

3 มีนาคม 2549 16:09 น.

สุรพงษ์ ชัยนาม

เป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้วว่าไม่ว่าจะเป็น ปฏิกิริยาท่าทีต่อข้อเรียกร้องของขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้ทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและให้มีการปฏิรูปการเมือง โดยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือปฏิกิริยาที่มีต่อการประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ก็ดี ล้วนเป็นปฏิกิริยาท่าทีที่บ่งชี้ให้เห็นถึงอาการเข้าขั้นตรีทูตของทักษิณ เป็นอาการของคนที่รู้ว่าวันพิพากษาของประชาชนได้มาถึงแล้ว และไม่มีทางที่จะหลุดพ้นไปจากคำพิพากษาของประชาชนได้อย่างแน่นอน

แต่ก็ยังมีความพยายามฝืนดิ้นรนเหือกสุดท้าย เพื่อหวังหลอกลวงให้ประชาชนเกิดความรู้สึกสงสารยินยอมต่ออายุทางการเมืองให้กับตนและพวกพ้องในรัฐบาลไทยรักไทยด้วยวิธีการหันมาพึ่งพาหากินกับระบบประชาธิปไตยทั้งๆ ที่ตลอด 5 ปี ที่ผ่านมา ทักษิณและรัฐบาลไทยรักไทยไม่เคยแยแสกับคำว่าประชาธิปไตยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับเหยียบย่ำดูถูกดูแคลนและทำลายระบบประชาธิปไตยจนป่นปี้ยับเยินไม่เหลือแม้แต่ซากให้เห็น

พูดง่ายๆ ก็คือรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้อาศัยประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือการเมือง เพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่เป็นการรวบอำนาจมาโดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และคราวนี้ก็เช่นกันทักษิณและพวกพ้องได้หวนกลับมาพึ่งพาประชาธิปไตยเพื่อหวังยืดอายุการครองความเป็นใหญ่ของรัฐบาลรวบอำนาจประชานิยมไทยรักไทย ด้วยการมียุทธศาสตร์พึ่งประชาธิปไตยเพื่อการดำรงอยู่ของทักษิณและระบอบทักษิณ ตัวอย่าง เช่น การอ้างเรื่องการคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนเป็นเหตุผลของการยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งที่เหตุผลแท้จริงคือ เพื่อหนีปัญหาต่างๆ ที่ทักษิณและรัฐบาลไม่สามารถมีคำตอบให้กับประชาชนได้

และเพื่อเป็นการซักฟอกตัวเองจากคดีขายหุ้นชินคอร์ปให้กับสิงคโปร์ เนื่องจากรู้ดีว่าภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหากสามารถให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ในวันที่ 2 เมษายน 2549 พรรคไทยรักไทยก็ยังจะสามารถกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างสบาย ซึ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้ทักษิณอ้างการมีความชอบธรรมขึ้นมาได้อีกครั้ง เพราะได้รับความไว้วางใจจากเสียงข้างมากของประชาชนที่ได้เลือกพรรคไทยรักไทยให้เข้ามาบริหารประเทศ รวมทั้ง จะเป็นการเปิดทางให้ทักษิณใช้ประชาธิปไตยเป็นอาวุธ ประหัตประหารกำจัดกลุ่มประชาชนที่ตนถือว่าเป็นศัตรูของพรรคไทยรักไทยได้อย่างคล่องตัวและอย่างเมามัน

ทั้งหมดนี้ จะเป็นการกระทำในนามของประชาธิปไตย และเพื่อเสถียรภาพ ความมั่นคง ความสงบสุข ความก้าวหน้า และสันติสุขของประชาชนในระบบประชาธิปไตย ซึ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ก็จะเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีรัฐบาลเผด็จการฟาสซิสที่ขึ้นมามีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จด้วยการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งตามวิถีทางของการเมือง ในระบบประชาธิปไตย ทั้งนี้ หากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ออกมาร่วมแสดงพลังประชาชนเพื่อคัดค้าน ต่อต้านการรวบอำนาจของทักษิณ ซึ่งโอกาสที่ประเทศไทยจะมีเผด็จการพลเรือนฟาสซิสปกครองประเทศ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงมาก

ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญกล่าวคือ ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าทั้งตัวของทักษิณเอง และบุคคลหลายคนในรัฐบาลไทยรักไทยได้แสดงอาการและการมีพฤติกรรมต่างๆ ที่บ่งบอกให้เห็นชัดเจนว่า เชื้อแรกเริ่มของระบบฟาสซิสมีฝังตัวอยู่ในระบอบทักษิณอยู่แล้ว (Incipient Fascism) เช่น การไม่ยอมรับความขัดแย้งเป็นลักษณะสำคัญประการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย หรือการใช้ทุกหน่วยงานของรัฐตลอดจนการผูกขาดสื่อแขนงต่างๆ เป็นเครื่องมือเพื่อการครอบงำ และควบคุมความคิดและพฤติกรรมของประชาชน

เพื่อหวังให้ประชาชนชาวไทยทุกคนกลายสภาพเป็นสิ่งที่นักปราชญ์ และนักทฤษฎีการเมือง Herbert Marcuse เรียกว่า มนุษย์มิติเดียว (One Dimensional Man) คือ เป็นมนุษย์ที่ปราศจากความเป็นมนุษย์ เพราะตกเป็นเหยื่อของสังคมบริโภคนิยมของระบบทุนนิยมเสรี มีค่าเป็นเพียงสินค้าประเภทหนึ่งของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ไม่อยู่ในสภาพที่จะมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่มีความคิดที่เป็นอิสระ หรือมีความคิดที่สามารถวิพากษ์ วิจารณ์ แยกแยะความจริงจากความเท็จ ความดีจากความชั่วได้เนื่องจากความคิดถูกทำให้เป็นหมันไปหมดแล้ว ทำให้ตกเป็นทาสของคำโฆษณาชวนเชื่อของระบบประชานิยมของรัฐบาลไทยรักไทย 5 ปีที่ผ่านมา ประชาชนไทยส่วนใหญ่จึงต่างยินดีมอบให้ทักษิณและพวกพ้องเป็นฝ่ายคิดแทนให้ในทุกๆ เรื่อง


บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 06-05-2006, 15:50 »

วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง เป็นเพราะการหยุดคิดของสมาชิกในสังคมตลอดจนการที่สมาชิกของสังคมให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เฉพาะหน้าของกลุ่มตน โดยเข้าใจผิดว่าการได้มาซึ่งผลประโยชน์เฉพาะหน้าของกลุ่มตน คือความสำเร็จของส่วนรวม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ทักษิณและพวกพ้องใช้นโยบายสร้างความแตกแยกในสังคมเพื่อการครองความเป็นใหญ่ของรัฐบาลได้อย่างเป็นผลสำเร็จตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

กล่าวได้อย่างเต็มปากว่า การผนึกกำลังร่วมระหว่างขบวนการพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยกับนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศ เรียกร้องให้ทักษิณลาออกจากนายกรัฐมนตรีและให้มีการปฏิรูปการเมืองครั้งที่สอง แก้ไขรัฐธรรมนูญ ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญยิ่ง ด้วยเป็นการประกาศให้ทักษิณและระบอบทักษิณได้รู้ว่า ประชาชนทั่วประเทศที่ร่วมกันชุมนุมต่อต้านทักษิณและระบอบทักษิณ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่จะมาสนตะพายกันง่ายๆ เบื่อและหมดความอดทนที่จะฟังทักษิณโกหกมดเท็จ ขยายขี้เท่อของตนอีกต่อไป

สรุปได้ว่าประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกอาชีพทุกหมู่เหล่า ที่เข้ามาร่วมกันผนึกกำลังต่อต้านคัดค้านทักษิณและระบอบทักษิณ ได้ร่วมกันพิสูจน์ให้คนไทยทั่วประเทศและประชาคมโลกได้เห็นถึงประเด็นข้อเท็จจริงสำคัญๆ ดังต่อไปนี้

1) ทุกคนตระหนักดีแล้วว่าการเป็นเสรีชนในระบอบประชาธิปไตย หมายถึง การสามารถรู้จักใช้เสรีภาพในทางปฏิบัติด้วย ไม่ใช่แค่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพเพียงจำกัดอยู่ในความคิดหรือในสมองเท่านั้น (Freedom is there to be practiced)

2) นักเรียน นิสิต นักศึกษา มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่าการศึกษานั้น หมายถึง ทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ (theory and practice) เพราะการศึกษาที่ปราศจากการนำไปปฏิบัติ ย่อมไร้ความหมาย ไร้พลังและไร้ประโยชน์ การศึกษามิได้มีความหมาย เพียงเป็นเรื่องการบรรยาย การอ่าน การเขียน การอภิปรายและการถกเถียง ตลอดจนการแลกเปลี่ยนทัศนะ โดยจำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงของการศึกษา

หรืออยู่เพียงในรั้วของมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาทั้งหลายเท่านั้น แต่การศึกษาและเสรีภาพทางวิชาการจะสามารถเป็นประโยชน์แก่สังคมโดยส่วนรวมได้ ก็ต่อเมื่อสามารถพัฒนาจากความคิดไปสู่การปฏิบัติได้ จึงจะเกิดผล ซึ่งหมายถึงการทำให้การศึกษาและความคิดไม่ถูกกักขังอยู่เฉพาะในรั้วของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาต่างๆ การศึกษาก็คือส่วนหนึ่งของการเมือง

3) สำหรับประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง มีความขัดแย้ง ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย ระหว่างความจริงกับความเท็จ ระหว่างธรรมะและอธรรม ไม่มีคำว่าเป็นกลาง หากเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างใด เพราะการวางตัวเป็นกลาง คือ พฤติกรรมของนักฉวยโอกาสไม่ใช่นักประชาธิปไตย

4) การผนึกกำลังเพื่อต่อต้านคัดค้านระบอบทักษิณในครั้งนี้ พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า กลุ่มประชาชนต่อต้านทักษิณและระบอบทักษิณ ไม่ใช่เป็นพวกไร้เหตุผล หากแต่เป็นพวกที่ไม่ยอมรับเหตุผล (ที่ไร้เหตุผล) ของระบอบทักษิณ อีกทั้งไม่ยอมให้ทักษิณเป็นผู้ผูกขาดและกำหนดความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย แต่ผู้เดียว เพราะตระหนักดีว่า ทัศนะของทักษิณที่มีต่อประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ฆ่าประชาธิปไตย ไม่ช่วยประคับประคองประชาธิปไตย

5) ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังได้พิสูจน์ให้คนไทยทั้งประเทศ ได้เห็นอีกด้วยว่า สิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายอาจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ในทางจริยธรรม

6) การชุมนุมประท้วงระบอบทักษิณยังเป็นการพิสูจน์ให้คนไทยทั้งประเทศ ได้รู้อีกด้วย ว่าการคืนอำนาจให้กับประชาชนไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะอำนาจของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ยังหมายถึงการที่ประชาชนมีสิทธิที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกระดับ มีสิทธิที่จะท้าทายทักษิณและระบอบทักษิณ เพื่อให้ระบอบทักษิณ ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ไม่ใช่ประชาชนรับผิดชอบต่อทักษิณ

7) พิสูจน์ให้เห็นว่าประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่มีความหมายเป็นเพียงแค่เรื่องของการแสดงทัศนะว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและผู้นำ แต่ที่สำคัญกว่านี้คือ หมายถึง การมีสิทธิที่จะแสดงความข้องใจเกี่ยวกับความชอบธรรมของผู้นำและของรัฐบาล เรื่องของความเห็นชอบ (approval) กับเรื่องของความชอบธรรม (legitimacy) จึงแตกต่างกันมาก 19 ล้านเสียง ที่นายกฯ ทักษิณ อ้างเป็นสรณะนั้น ไม่ใช่ความชอบธรรม แต่เป็นเพียงความเห็นชอบในตอนนั้นเท่านั้น

Cool การผนึกกำลังของประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า การรวมตัวกัน ต่อต้านระบอบทักษิณเกิดขึ้นมาได้อย่างเป็นผลสำเร็จและอย่างเหนียวแน่น เป็นเพราะทุกฝ่ายเห็นถึงความจำเป็นต้องสละผลประโยชน์จำเพาะหรือผลประโยชน์เฉพาะหน้าของแต่ละกลุ่ม (particularity) เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของส่วนรวม (commonality) หรือที่ Ernesto Laclau เรียกว่า chain of equivalences

9) ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ยึดประเด็นเรื่องตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นประเด็นเดียวที่จะใช้พิจารณาตัดสินว่าทักษิณเป็นคนอย่างไร ตรงกันข้ามการชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณครั้งนี้ ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องการส่งสัญญาณให้ทักษิณและระบบทักษิณได้รู้อย่างแจ่มแจ้งว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศใช้ค่านิยมที่ไม่ใช่เป็นเรื่องของการตลาด (Non-market values) หรืออีกนัยหนึ่งคือเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรมมาเป็นเครื่องพิจารณา ว่า ทักษิณและระบอบทักษิณมีความชอบธรรมมากน้อยเพียงใด

10) การชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณ พิสูจน์อีกด้วยว่าบัดนี้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ได้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่าการสนับสนุนให้พ่อค้า ซีอีโอขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาล เป็นพิษภัยแก่ประเทศมากน้อยเพียงใด เพราะพ่อค้าระดับซีอีโอและที่เป็นเจ้าของบริษัทเอง ส่วนใหญ่มักไม่สามารถแยกแยะเห็นความแตกต่างระหว่างสมบัติสาธารณะกับสมบัติส่วนบุคคล (public-private in distinction) จึงมองว่าประเทศชาติเป็นของตนคนเดียว ส่วนข้าราชการและประชาชนทั่วไปนั้นเป็นเพียงลูกจ้างของตน นำมาซึ่งความฉิบหายและความเสื่อมถอยของบ้านเมืองอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้

ประเด็นข้อพิสูจน์ทั้ง 10 ข้างต้น เป็นการยืนยันให้เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่าหากขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยืนหยัด มุ่งมั่น อย่างแน่วแน่และอย่างสามัคคีเหนียวแน่นที่จะขับไล่ทักษิณและระบอบทักษิณให้สูญพันธุ์ พร้อมต้องให้มีการปฏิรูปการเมืองแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนมีการเลือกตั้งใหม่โดยไม่หวั่นไหว ไม่ยอมหลงประเด็น ก็มั่นใจได้ว่า ประชาธิปไตยและประชาชนจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน และด้วยเหตุผลสำคัญดังกล่าวจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องร่วมมือกันอย่างแข็งขันดำเนินการป้องกันไม่ให้ระบอบทักษิณใช้ประชาธิปไตยเพื่อทำลายประชาธิปไตย และ ต้องไม่ลืมอีกด้วยว่าการแก้ปัญหาทุกอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจต้องมองอย่างเป็นระบบ อย่าหลงเชื่อว่าทักษิณออกแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย เพราะทุกอย่างจะยังไม่เรียบร้อย จนกว่าจะมีการปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง

จริงอยู่ ทักษิณเป็นตัวปัญหาสำคัญประการหนึ่ง และจำเป็นต้องเอาออกก่อนเป็นอันดับแรก แต่หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนอย่างทักษิณหลายร้อยหลายพันคนกลับเข้ามาสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่บ้านเมืองอีก เพราะทักษิณเป็นผลผลิตโดยตรงของระบบรวบอำนาจประชานิยม ซึ่งกำเนิดขึ้นมาได้เพราะข้อบกพร่องต่างๆ ที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ภารกิจของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศจะยังไม่เสร็จสิ้นจนกว่าจะได้มีการปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เรียบร้อย และเป็นที่ยอมรับได้ของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ


บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 06-05-2006, 16:05 »

ผมนำเรื่องราว แนวคิด ที่เป็นที่มาของเหตุการณ์ปัจจุบันมาให้เราได้ทบทวนอย่างถ่องแท้

ว่าสิ่งที่เรากระทำมา และจะทำต่อไปในอนาคตนั้น เรายืนหยัดต่อสู้ในเรื่องใด หลักการใด

อาศัยอำนาจใด แนวคิดใด เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคลหนึ่ง คณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่

หรือเรากำลังดำเนินการเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติ...อย่าหลงประเด็นให้เป็นอื่น

จงแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด เหมือนดังเช่นบทเพลงพระราชนิพนธ์อันสูงส่ง....

"ความฝันอันสูงสุด"
บันทึกการเข้า

แม่นกฮูก
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 179


« ตอบ #3 เมื่อ: 06-05-2006, 16:27 »

มาถึงเวลานี้แล้ว ตัวเราเองไม่สนใจแล้วว่าประเทศนั้นจะปกครองโดยระบบใด แต่รู้สึกว่าหลักสำคัญมันอยูที่ผู้นำประเทศมากกว่า ถ้าผู้นำดีระบบใดก็ได้ เผด็จการก็ได้ ประเทศย่อมดีไปด้วย...

แต่ถ้าผู้นำไม่ดี ขายชาติ โกงประเทศแล้ว เราว่าประชาธิปไตยน่าจะเหมาะที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 44 ที่สามารถให้เราสามารถแสดงออกทางความคิดได้ ก็ไม่รูว่าเข้าใจถูก ผิดมากน้อยเพียงใดเพราะไม่ได้เรียนมาด้านนี้โดยเฉพาะ
บันทึกการเข้า
narong
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 06-05-2006, 16:33 »

ตอนนี้ฝ่ายพันธมิตรจำเป็นต้องหยุดเพื่อถวายแด่ในหลวง
แต่ไม่ใช่การหยุดถาวรเป็นการหยุดทางยุทธวิธีในการต่อสู้
เพื่อสะสมกำลังใหม่ที่ผ่านมาก็ล้ากันพอสมควร
เพราะไม่เคยเจอกระเบื้องตราหน้าเหลี่ยมที่มันหนามากๆแบบนี้

รอประมาณเดือน กรกฏาคม ค่อยเริ่มต้นลุยใหม่หลังจากมีการเดินสายไปให้ข้อมูลตามต่างจังหวัด
อาจจะได้เห็นการลุกขึ้นมาของประชาชนทั้งประเทศพร้อมๆกันก็เป็นได้ครับ Cool

พอดีผมแปลงริงโทนเพลง "ความฝันอันสูงสุด" ที่เป็น MIDI ให้ใช้กับโทรศัพท์
ที่สามารถเล่นเสียงแบบ POLYPHONIC ได้ ใครสนใจติดต่อทางหลังไมค์ (PM)นะครับ
บันทึกการเข้า

ผู้ที่ไม่สามารถจะใช้คนดี
ก็ย่อมจะใช้คนไม่ดีหรือคนเลว
ถ้าไม่เชื่อผู้ซื่อสัตย์หวังดีต่อตน
ก็จะต้องไปเชื่อคนประจบสอพลอ
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 06-05-2006, 16:46 »

กำลังลุ้นให้ถึงวันจันทร์เร็ว ๆ ครับ  Laughing Laughing

ใครว่างเชิญไปดูกระทู้นี้ครับ

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4343886/P4343886.html
บันทึกการเข้า

istyle
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 853



« ตอบ #6 เมื่อ: 06-05-2006, 18:33 »

มาถึงเวลานี้แล้ว ตัวเราเองไม่สนใจแล้วว่าประเทศนั้นจะปกครองโดยระบบใด แต่รู้สึกว่าหลักสำคัญมันอยูที่ผู้นำประเทศมากกว่า ถ้าผู้นำดีระบบใดก็ได้ เผด็จการก็ได้ ประเทศย่อมดีไปด้วย...

แต่ถ้าผู้นำไม่ดี ขายชาติ โกงประเทศแล้ว เราว่าประชาธิปไตยน่าจะเหมาะที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 44 ที่สามารถให้เราสามารถแสดงออกทางความคิดได้ ก็ไม่รูว่าเข้าใจถูก ผิดมากน้อยเพียงใดเพราะไม่ได้เรียนมาด้านนี้โดยเฉพาะ

เห็นด้วยครับ เพราะการปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นหน้ากากปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของคนชั่วได้ ในขณะเดียวกัน ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ถูกตะวันตกกล่าวอ้างว่าเป็นเผด็จการ(เพราะ King ของเค้าก็ไม่ได้ดีอะไร จนเจอไล่ ริบอำนาจอะนะ) ก็อยู่คู่กับสังคมไทยได้อย่างช้านานนับพันๆปี ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าคนดี ยังไงก็ได้ล่ะน้า ดังนั้นถ้าจะเอาระบบมาเพื่อสรรหาคนดีๆ ประชาชนต้องมีการศึกษาครับ!
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: