ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
26-04-2024, 04:01
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  วีระพงษ์ รามางกูร อย่าละเลงขนมเบื้องด้วยปาก 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
วีระพงษ์ รามางกูร อย่าละเลงขนมเบื้องด้วยปาก  (อ่าน 1286 ครั้ง)
Kittinunn
Aloha007
Global Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,127


ไปได้สวย...ด้วยเกียร์ต่ำ!!!


เว็บไซต์
« เมื่อ: 21-07-2007, 21:42 »

โกร่งเตือน"วิกฤติบาท"กลับด้านปี40

ดร.โกร่ง หรือ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสุทธิชัย หยุ่น ผ่านเวบบล็อก http://www.oknation.net/blog/black หลังออกมาเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ยาแรง เพื่อแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า ด้วยการลดดอกเบี้ยทันที 1-1.5% ก่อนที่จะเกิดวิกฤติ มีรายละเอียดดังนี้
สุทธิชัย : ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรืออาจารย์โกร่ง หายไปไหน 7-8 เดือน อยู่ดีๆ ออกมาที ก็โยนระเบิดตูมใส่รัฐบาลเลย

ไม่ได้โยนระเบิด เป็นความกังวลและเป็นห่วงบ้านเมือง ที่กำลังจะเลื่อนไหลไปสู่วิกฤติทางเศรษฐกิจในทางการเงิน ซึ่งเป็นเหตุต้องตัดสินใจออกมาพูด ทั้งๆ ที่เกรงใจพรรคพวก เพื่อนฝูงที่อยู่ในรัฐบาลเป็นอันมาก เรื่องบ้านเมืองก็ต้องพูด

สุทธิชัย : ถ้าอาจารย์คิดว่าไม่พูด รัฐบาลหรือนายกฯ หรือรมว.คลัง ผู้ว่าการแบงก์ชาติ จะไม่มีความรู้สึกว่า เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องทำอะไรบางอย่าง อ.คิดว่าจะต้องกระตุ้นมากขนาดนี้หรือครับ

เท่าที่ฟังทางการบอกว่า ทำดีที่สุดแล้ว ได้แค่นี้ ไม่มีอะไรที่จะทำได้มากกว่านี้แล้ว จนปัญญาแล้ว หรือบอกว่าทำให้เงินบาทอ่อนไม่ได้ แต่เงินบาทอาจจะแข็งต่อไปถึง 30 บาทเป็นไปได้ อย่างนี้ก็แย่

สุทธิชัย : รมว.คลัง คุณฉลองภพ บอกว่าอาจจะเห็นถึง 30 บาทเป็นไปได้ ทำไม คิดว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร

บ้านเมืองก็แย่ เพราะว่าการส่งออกของเราที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับเศรษฐกิจ มีสัดส่วนถึง 65-70% แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร การนำเข้าก็มีสัดส่วนเดียวกันกับจีดีพี การส่งออกน้อยกว่านำเข้านานๆ เข้า เราก็แย่ ที่จริงแล้ว ยังมีมาตรการอีกมากมายที่ทำได้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ ข้อสำคัญที่จะเป็นวิกฤติก็คือว่า การที่รัฐบาลพูดเช่นนั้น หรือทางการพูดเช่นนั้น ทำให้บรรยากาศหรือว่าความรู้สึกหรือการคาดการณ์ของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศมันไปในทิศทางเดียวกัน ทางการทำอะไรไม่ได้แล้ว จะต้องไป 32 หรือ 30 แล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นใครที่มีดอลลาร์ก็เทขายหมด ใครที่คาดว่าจะได้ดอลลาร์ก็ขายล่วงหน้าก่อนเลย คนนำเข้าก็เตรียมการชำระหนี้ไว้ เพราะว่าชำระช้าก็จะประหยัดอัตราแลกเปลี่ยนลงไป ก็เป็นอย่างนี้ ภาษาทฤษฎีเป็นการคาดการณ์ที่มีเหตุผล หากทุกส่วนคาดการณ์อย่างนี้ มันจะเป็นจริงตามที่คาดการณ์

สุทธิชัย : พอพูดมาก็จะออกไปทางทิศทางของมัน

เหมือนกับเมื่อตอนปี 39-40 ตลาดพังเพราะว่าเมื่อถึงจุดที่คนคาดว่า เงินบาทอยู่ไม่ได้ทั้งในและต่างประเทศ มันก็เลยอยู่ไม่ได้ ก็เหมือนกัน คาดว่าจะต้องแข็งทั้งหมด เพราะฉะนั้น การที่ทั้งตลาดในและต่างประเทศมีการคาดการณ์อย่างนี้ ผมถือว่าเป็นวิกฤติของค่าเงิน

สุทธิชัย : อาจารย์คิดว่านายกฯ ต้องลงมาทำเอง เพราะว่าไม่เชื่อฝีมือ รมว.การคลัง หรือผู้ว่าการแบงก์ชาติ

ไม่ถึงขนาดนั้น เพื่อให้มู้ดของตลาดพลิกกลับ ต้องทำหลายอย่าง ถ้ามู้ดของตลาดพลิกกลับเงินบาทอ่อนได้ อาจตีกลับมา 35-36 ได้ และมีมาตรการที่จะทำได้ด้วย คนสูงสุดในรัฐบาล เห็นว่าทำได้ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ซีเรียส เป็นเรื่องสำคัญลงมาเล่นเอง อาจพลิกการคาดการณ์หรือการคาดหวังของตลาดให้พลิกกลับได้ เพราะฉะนั้น ต้องทุ่มทั้งในแง่ตำแหน่งหน้าที่ และความสำคัญของตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ รวมทั้งทำให้ผู้ที่รับผิดชอบเปลี่ยนทัศนคติได้

สุทธิชัย : อาจารย์เสนอ 'ยา' แรงไปไหมครับ ที่จะให้ลดดอกเบี้ยทันที 1-1.5%

ภาวการณ์เรื้อรังมานาน เงินบาทแข็งมาตั้งแต่ 41 บาท เรื่อยๆ เสี่ยงต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ทั้งที่ประเทศอื่นในภูมิภาคเขาแข็งเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้แข็งขนาดนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อไม่ทำยาแรง มันเอาไว้ไม่อยู่

สุทธิชัย : ต้องผ่าตัดอย่างครั้งใหญ่ แทนที่จะให้ยาไปเรื่อยๆ เคยปรากฏไหมที่ใช้ยาแรงขนาดนี้ 1-1.5% ทันที

เคยครับ สมัยนายกฯ ชาติชาย ตอนหลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย ดอกเบี้ยในต่างประเทศขึ้นไปถึง 20% ดอกเบี้ยไทยถูกกฎหมายกำหนดว่า ไม่ให้เกินเพดาน 16% และมีการเปลี่ยน รมว.คลัง ผมเข้ามาเป็น รมว.คลัง ต้องขึ้นดอกเบี้ยถึงวันเดียว 3% จาก 16% เป็น 19% ผมก็ถูกด่าทั้งเมือง

สุทธิชัย : ได้ผลไหม

เมื่อเวลาผ่านไป 4-5 เดือน ก็ได้ผล ภาวะเงินตึงก็เริ่มไหลเข้า ดอกเบี้ยก็เริ่มลดลงและในที่สุด ก็เข้าสู่ภาวะปกติ หากไปขึ้นทีละ 0.25% ถ้าเผื่อจะขึ้นให้ได้ขึ้นได้ 3% ต้องใช้การขึ้นถึง 2 ครั้ง ถ้าเกิดขึ้นทีละนิด จะเกิดการคาดการณ์ทำให้ผลทางด้านจิตวิทยา ด้านความรู้สึกตลาดไม่ดี

สุทธิชัย : เสนอยาแรงได้ถึงขณะนั้น รมว.คลัง ฉลองภพ ลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่ใช่ยาวิเศษ ไม่ใช่ว่าจะแก้ได้

ผมไม่ได้บอกว่า ลดดอกเบี้ยอย่างเดียว ต้องทำหลายอย่าง ลดดอกเบี้ยต้องลด เพราะเป็นหัวใจ ขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าแทรกแซงตลาด เอาเงินออกมาซื้อดอลลาร์ไปเก็บเป็นทุนสำรอง ทุนสำรองไม่ใช่ไม่ได้ผลประโยชน์ ทุนสำรองไปซื้อพันธบัตรในต่างประเทศ ไปฝากในต่างประเทศ ก็ได้ผลประโยชน์กลับคืนมา ขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทจะท่วมตลาด ต้องดูดซับเงินบาทกลับคืนไป โดยการออกพันธบัตร ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "เอาไปตอน ออกมาตอนเงิน" ถ้าเผื่อจะไม่ให้ขาดทุนอย่างที่ทำๆ มา ต้องลดดอกเบี้ย ให้ดอกบาทถูกกว่าดอกดอลลาร์ แบงก์ชาติก็จะได้กำไร อย่างที่สอง ต้องทำให้มากพอ ทำครึ่งๆ กลางๆ เอาไว้ไม่อยู่ เงินบาทแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ แบงก์ชาติก็ขาดทุน อย่างที่ทำมาแล้ว แต่ถ้าทำจาก 33 ให้ขึ้นไป 35 นอกจากไม่ขาดทุนแล้ว ยังกำไรด้วยซ้ำไป ถ้าทำถูก ถ้าใจถึง

สุทธิชัย : คุณฉลองภพบอกว่า เงินไหลเข้าจากต่างประเทศตอนนี้มากมาย ไม่ได้เข้ามาเพื่อซื้อพันธบัตรอย่างเดียว เข้ามาในตลาดหุ้นซะมาก ฉะนั้นอาการนี้ไม่ได้ผล ถ้าลดดอกเบี้ย

ลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่ได้ผล ต้องทำอย่างอื่นผสม คือแทรกแซง ดูดซับไปด้วย ทางการออกมาแทรกแซงตลาดดอลลาร์ด้วย ต้องทำให้มากพอจนกระทั่งเงินบาทอ่อน ไม่ใช่ทำให้แค่หยุดแข็ง ดังนั้นต้องทำให้อ่อน คือเปลี่ยนความรู้สึกของตลาด ต่อไปนี้ เงินบาทจะอ่อนแล้วน่ะ มันจะอ่อนได้เอง

นอกจากนั้น ขณะนี้ เอกชนยังมีหนี้ถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ มีหนี้ต่างประเทศ ถึงหมื่นกว่าล้านดอลลาร์ ต้องรีไฟแนนซ์ทำให้ได้เร็ว โครงการต่างๆ ก็เร่งรัด กู้เงินบาทให้มากขึ้น กู้เงินดอลลาร์ที่จะมาใช้ในโครงการให้น้อยลง คือ สร้างการคาดการณ์ว่า บาทจะต้องอ่อนลง แต่จะเปลี่ยนการคาดการณ์จากตลาดที่ว่าเงินจะแข็งขึ้น มาเป็นการคาดการณ์ว่า บาทจะอ่อนลง ต้องทำเยอะ ต้องทำให้ช็อกตลาด ทำทีละนิดทีละหน่อยดันจะขาดทุน และไม่ได้ผล

สุทธิชัย : อ.คิดว่าแบงก์ชาติไม่กล้าพอที่จะใช้มาตรการแรงอย่างนี้

ผมก็ไม่ทราบ

สุทธิชัย : อาจารย์ บอกเมื่อวานนี้ แบงก์ชาติต้องกล้าๆ อย่าออกมาตรการที่เอาใจตลาดเท่านั้น ต้องกล้าทำอะไรถึงแม้จะฝืนความรู้สึกคนบางกลุ่มในประเทศก็ต้องทำ

ผมพูดตรงๆ นัยก็คงเป็นอย่างนั้น นายกฯ ต้องลงมาช่วยด้วย ต้องให้กำลังใจ รมว.คลัง ให้กำลังใจผู้ว่าการแบงก์ชาติ กล้าทำเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ได้ หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกว่า เป็นธรรมดา ทำงานใหญ่ ก็ต้องโดนทุกคนเป็นอย่างงั้น

สุทธิชัย : แบงก์ชาติดูประวัติศาสตร์ก็คงเข็ด เพราะมีแต่เสีย เรื่องแทรกแซงมีแต่จะเสีย และเคยถูกฟ้องร้อง เป็นจำเลยมาแล้ว แบงก์อาจจะกล้าก็ได้ เอาเงินสำรองระหว่างประเทศมาใช้เพื่อการนี้ และอาจโชคร้ายที่จะต้องเป็นคนรับผิดชอบ เช่น ผู้ว่าการแบงก์และเจ้าหน้าที่ก็ได้

ถ้าทำเที่ยวนี้มันกลับกัน เที่ยวก่อนเอาเงินตราต่างประเทศที่มีอยู่จำกัดเอาไปใช้ในการแทรกแซงตลาด แต่เที่ยวนี้เอาเงินบาทที่เรามีไม่จำกัด มาซื้อดอลลาร์เข้าประเทศ และออกพันธบัตรกลับคืนไปไม่ให้เงินบาทล้นตลาด เดี๋ยวจะกลายเป็นเงินเฟ้อขึ้นมาอีก และการที่จะขาดทุน ก็ขาดทุนส่วนต่างดอกเบี้ยบาทกับกับดอลลาร์เท่านั้นเอง ไอ้นี่เรื่องเล็ก แต่ที่ขาดทุนหนักคือทำไม่เต็มที่และเงินบาทแข็งต่อ ถ้าเงินบาทแข็งต่อ ซื้อ 33 อีกเดือนเป็น 30 ขาดทุน 3 บาท ถ้าซื้อ 33 ทำให้มากพอ กลายเป็น 36 ก็จะกำไร ไม่น่าห่วงเหมือนสมัยโน้น ปัญหากลับกัน 10 ปีก่อน

สุทธิชัย : 10 ปีกับวันนี้เหมือนด้านซ้ายด้านขวา หน้ามือหลังมือ

ปัญหากลับกัน

สุทธิชัย : แต่ร้ายแรงพอกัน ถ้าจัดการไม่ดี

อาจร้ายแรงพอๆ กัน ถ้าเผื่อผู้ส่งออกไปหมด ลุกลามไปถึงผู้ผลิต ไม่ใช่ผู้ส่งออก แต่ผลิตให้ผู้ส่งออก เช่น ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวนยาง ผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ในที่สุด ก็จบลงที่ธนาคาร

สุทธิชัย : อาจารย์คิดว่าอัตราแลกเปลี่ยนกี่บาทต่อดอลาร์เหมาะสมที่สุดในจังหวะนี้

คิดว่า ถ้าเราสามารถทำให้อ่อนกลับคืนไปอยู่ในระดับที่เท่ากับประเทศจีน หยวนของจีนจากเดือนม.ค. ปี 49 มาถึงเดี๋ยวนี้ 6% เราแข็งขึ้น 23% ห่างกันมาก แต่ทำได้เท่าไรก็เท่านั้น แต่ว่าต้องทำ

สุทธิชัย : เมื่อวานนี้อาจารย์พูดถึง 35-36 บาท

ผมอยากให้อ่อน 36 ด้วยซ้ำ มันจะทารุณท่านผู้ว่าการแบงก์ชาติ

สุทธิชัย : เพราะอะไร เมื่อเงินต่างประเทศก็ไหลเข้ามาในแถบนี้เหมือนกัน ไม่ใช่ในไทยอย่างเดียว ทำไมของเราจึงแข็งกว่าของคนอื่น

เพราะการบริหารจัดการไม่เหมือนกัน ถ้าเผื่อบริหารจัดการได้ดีอย่างคนอื่น อย่างเช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ประเทศอื่นๆ ซึ่งเขาก็แข็งเหมือนกัน แต่ไม่แข็งมากขนาดนี้

สุทธิชัย : แปลว่าทางการเขาแทรกแซงมากกว่าไทย

ผมคิดว่าอย่างนั้น ฮ่องกงตรึงไว้เลยกับดอลลาร์

สุทธิชัย : อาจารย์ว่าเราควรตรึงหรือเปล่า

ทางรัฐมนตรีของเราบอกว่า ไม่เอา มันย้อนยุค ไม่มีอะไรย้อนยุค เรื่องเศรษฐศาสตร์มันเวียนไปวนมา 30 ปีที่ผมเกี่ยวข้อง ไม่เห็นมีปัญหาอะไรใหม่ ไม่เห็นเครื่องมืออะไรที่ล้าสมัย

สุทธิชัย : เมื่อ 10 ปีก่อน ก็เสนอให้แลกเปลี่ยนอัตราตายตัว มาเลเซีย ทำ ทุกคนก็บอกอาจารย์จะเพี้ยนไปหรือเปล่า

ทุกคนว่าผมสติไม่ดี

สุทธิชัย : วันนี้ อ.คิดว่า ถึงจุดหนึ่ง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ควรจะไปฟิกซ์อัตราแลกเปลี่ยนบาทกับดอลลาร์ เลยไหม

ถ้าฟิกซ์ ก็ไม่ได้แปลว่า จะฟิกซ์ชั่วกัลปาวสาน ทางที่ดีเมื่อใจไม่กล้าพอ ก็ฟิกซ์ในใจ ไม่ต้องประกาศ แล้วทำให้ถึงเป้าหมาย

สุทธิชัย : แต่การบริหารอย่างนี้ ต้องใช้เงินทองเยอะ เรามีไหม หน้าตักเราพอไหม

ไม่เยอะครับ เซ็นเช็คซื้อดอลลาร์เข้าไปเก็บไว้ แล้วออกพันธบัตรดูดกลับ เพราะฉะนั้น ส่วนที่จะขาดทุนหรือกำไร ก็คือส่วนต่างของดอกเบี้ยกับส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนตอนซื้อในปัจจุบัน

สุทธิชัย : ถ้ามันง่ายอย่างที่ว่า ทำไมแบงก์ชาติไม่กล้าทำ กลัวอะไร

นั่นนะซิ ไม่ทราบเหมือนกัน

สุทธิชัย : เขาก็มีเหตุผลนะ

ผมก็อยากให้ชี้แจงประชาชน มีข้อมูลทีเด็ดอะไรที่เราไม่รู้

สุทธิชัย : เพราะถ้าฟังอาจารย์คือว่ามันน่าจะง่าย เพราะเราใช้เงินบาทคราวนี้ซื้อดอลลาร์

ต้องใช้ดอลลาร์ซื้อเงินบาท ถึงไม่แนะนำให้ทำ

สุทธิชัย : แต่เมื่อเงินบาทเรามีพอซื้อดอลลาร์เข้าไป เพื่อให้มีความมั่นใจว่า ธนาคารของไทยต้องการให้อยู่ 35-36 นี่แหละ

ทำได้ด้วย

สุทธิชัย : อาจจะมีคนบอกว่าอาจารย์โกร่งก็มาทำเองซิ

ผมมันเกินแล้ว อายุเกิน

สุทธิชัย : อาจารย์ได้พูดคุยกับใครในรัฐบาล เกรงใจท่าน เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น

ไม่เคย

สุทธิชัย : อาจารย์รู้จักกับนายกฯ รองนายกฯ โฆสิต, อาจารย์ฉลองภพ ที่เคยทำทีดีอาร์ไอ มาด้วยกัน ก็เคยอยู่ด้วยกัน ทำไมไม่ปิดประตูคุยกัน มาคุยกับผม

ไม่กล้า เราประชาชนคนเล็กๆ คนหนึ่ง เพื่อนฝูงกัน

สุทธิชัย : 10 ปีต้มยำกุ้งพอดี และ 10 ปีที่ผ่านมา ได้เรียนรู้อะไร ต้มยำกุ้ง 10 ปีวันนี้มีสิทธิจะเกิดขึ้นอีกไหม

มี แต่ปัญหาจะกลับกัน ตอนนั้นมีดอลลาร์ไม่พอ แต่ตอนนี้มีดอลลาร์มากเกินไป และไม่ได้ทำอะไร จัดการให้ดี ผลคล้ายๆ กันในตอนจบ

สุทธิชัย : แปลว่าถ้าเงินบาทแข็งระยะหนึ่งวิกฤติจะเกิดขึ้น

คือธุรกิจล้มระเนระนาดต้องปิดกิจการ คนงานถูกลอยแพ ในที่สุด เอ็นพีแอลก็จะพุ่งขึ้น ก็จะไปเกิดปัญหาที่สถาบันการเงิน ซึ่งเราไม่อยากให้เกิด

สุทธิชัย : การที่เงินบาทแข็งไม่ใช่มีแต่ผลไม่ดี มีผลดีด้านอื่น

คนใช้น้ำมันราคาถูก คนได้ไปเที่ยวเมืองนอกในราคาถูก คนได้ใช้ของมีแบรนด์มากขึ้น มีข้อดี

สุทธิชัย : ไม่ถ่วงดุลกันเองหรือ

ข้อเสียคือเราอยู่ไม่ได้ ข้อดีไม่ช่วยให้เราอยู่ได้ เพียงสั้นๆ เท่านั้นเอง

สุทธิชัย : หมายความว่าพิษภัยที่เกิดจากบาทแข็ง ที่มีต่อการส่งออกมีผลดีมากกว่ามีการนำเข้าหลายเท่า

ครับ

สุทธิชัย : เพราะดูท่าทีของรัฐบาล ตั้งแต่ อ.โกร่งพูดออกมา คิดว่ามีการกระทำใดๆ ไปในทางทิศทางใดที่ อ.คิดไหม

สงสัยไม่มี พอพูดไปก็รับไม่ได้ เหมือนทุกครั้งที่พูด ตอนมีปัญหาหนักๆ แต่ผมก็พูด

สุทธิชัย : ที่ตัดสินใจพูดเพราะจำเป็นต้องพูด

ครับ

สุทธิชัย : แล้วหายไปไหนมาตั้ง 7-8 เดือน ไม่มีเสียงของอาจารย์โกร่ง

ก็อยู่นี่ครับ เห็นภาวะบ้านเมืองไม่ปกติ ไม่รู้จะพูดกับใคร จนกระทั่งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ เลยตัดสินใจมาพูด ถ้าไม่พูดแล้วเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าจะตายก็ตายตาไม่หลับ

http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/19/news_24197314.php?news_id=24197314
บันทึกการเข้า

“ผมเขียนไปในบล็อกนั้น แบบข้างบนนี้เหมือนกัน นึกว่า จะโพสต์ ปรากฏว่า เขาบอกว่า ต้อง สมัครสมาชิกก่อน ผมขี้เกียจ เลยมาโพสต์ที่นี่แทน อ้อ ตอนเขียน ผมใส่คำว่า ทุเรศ และ น่าสมเพช ไปด้วย” (อ.สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล-เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน - ข้อความในเสรีไทย โดย Snowflake)

Kittinunn
Aloha007
Global Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,127


ไปได้สวย...ด้วยเกียร์ต่ำ!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 21-07-2007, 21:44 »

กรมประกันพบบัญชี"สัมพันธ์"ส่อพิรุธ

- ลุยสอบต่อทุจริตจริงสั่งดำเนินคดีฉ้อโกง - ร้องปปง.เพิ่มฐานความผิดขออายัดทรัพย์

กรมการประกันภัยสอบฐานะการเงิน"สัมพันธ์ประกันภัย" เจอพิรุธเงินเข้าบริษัทน้อยทั้งที่มีฐานลูกค้าสูงเป็นอันดับ 4 ตามสอบทุจริตต่อหากเป็นจริงส่งดำเนินคดีฐานฉ้อโกง ปปง.รับลูกเพิ่มฐานความผิดธุรกิจประกันไว้ใน กม. ต่อไปบริษัททำซิกแซ็กสั่งอายัดทรัพย์ได้ ลูกค้าสัมพันธ์ฯแห่ฟ้องสายด่วน 1186 บริษัทไม่ยอมรับสายให้บริการ

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าสั่งบริษัทสัมพันธ์ประกันภัยหยุดรับประกันภัยชั่วคราวจนกว่าจะแก้ไขการขาดสภาพคล่องทางการเงินว่า จากการตรวจสอบฐานะการเงินของสัมพันธ์ประกันภัย เกิดจากการบริหารภายในมีปัญหาและเงินจากการขายประกันไม่เข้าบริษัทเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่มีฐานลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งกรมจะตรวจสอบด้านทุจริตและดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประชาชนหากพบว่ามีการทุจริตจริง ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้เสนอให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพิ่มฐานความผิดการทุจริตของการประกันวินาศภัยและประกันชีวิตเป็นหนึ่งในความผิดกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งทาง ปปง.เห็นชอบแล้วและอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมข้อกฎหมายอยู่

"เมื่อ ปปง.บรรจุความผิดไว้ในกฎหมาย ปปง.แล้ว หากพบว่าบริษัทประกันรายใดมีพฤติกรรมฉ้อโกงประชาชนหรือเอาเงินเบี้ยประกันประชาชนไปใช้ในการทุจริตหรือไม่มีการจัดส่งเข้าบัญชีจริง จะมีฐานความผิดและถูกอายัดทรัพย์ด้วย ซึ่งจะเป็นแนวทางหนึ่งที่ป้องกันการฉ้อโกงจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและเศรษฐกิจได้ กรณีสัมพันธ์ฯถือว่าสร้างผลกระทบใหญ่เพราะมีส่วนแบ่งตลาดด้านประกันรถยนต์สูงเป็นอันดับ 4 มีกรมธรรม์กว่า 900,000 กรมธรรม์"

นางจันทรากล่าวว่า ขณะนี้มีผู้แสดงความสนใจเข้าถือหุ้นในบริษัทสัมพันธ์ฯแล้ว 2-3 ราย โดยในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ บริษัทต้องมีความชัดเจนต่อแผนปรับปรุงทางธุรกิจ ตั้งแต่การเพิ่มเงินกองทุนให้ครบตามกฎหมาย จ่ายชำระหนี้ค้าง และเพิ่มเงินทุน เพื่อใช้บริหารสภาพคล่องของบริษัท หากเกินระยะเวลาจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดถึงขั้นถอนใบอนุญาตได้

"ลูกค้าสัมพันธ์ฯที่อยู่ระหว่างการซ่อมและขอเคลมเรียกค่าชดเชยคงต้องสำรองจ่ายค่าซ่อมรถยนต์ก่อน แล้วนำใบเสร็จมาเบิกภายหลังกับบริษัทสัมพันธ์ฯหรือสำนักงานประกันภัยจังหวัด ซึ่งกรมได้ส่งคณะทำงานเข้าประเมินค่าสินไหมและจ่ายชดเชยในบริษัทสัมพันธ์ฯแล้ว คาดว่าจะเร่งเบิกจ่ายหนี้ค้างชำระที่ร้องเรียนมายังกรมแล้ว 1,685 ราย ให้แล้วเสร็จภายใน 3 สัปดาห์"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่บริษัทสัมพันธ์ฯเกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และกรมการประกันภัยได้เข้าตรวจสอบ จนถึงขณะนี้มีประชาชนได้ร้องเรียนเพิ่มเข้ามายังสายด่วนกรมการประกันภัย 1186 ว่าเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทสัมพันธ์ฯ คือ 0-2587-1111 และ 0-2912-2555 ที่เคยให้บริการลูกค้าสำหรับการรับเรื่องร้องเรียนการใช้บริการต่างๆ ขณะนี้ไม่สามารถติดต่อได้เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่มารับสายแต่อย่างใด จึงได้สอบถามมายังสายด่วนกรมการประกันภัยว่าบริษัทดังกล่าวกำลังถูกปิดหรือไม่

หน้า 17

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01eco01190750&day=2007/07/19&sectionid=0103

2 เดือนที่แล้ว ก่อนหน้าที่ ดร.โกร่ง จะออกสื่อในวันนี้

เขาลาออกจากบอร์ดของ "สัมพันธ์ประกันภัย"

และสัมพันธ์ประกันภัย ก็เกิดเรื่องแดงเช่นนี้ขึ้นมา
  Exclamation Exclamation
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2007, 21:50 โดย Aloha007 » บันทึกการเข้า

“ผมเขียนไปในบล็อกนั้น แบบข้างบนนี้เหมือนกัน นึกว่า จะโพสต์ ปรากฏว่า เขาบอกว่า ต้อง สมัครสมาชิกก่อน ผมขี้เกียจ เลยมาโพสต์ที่นี่แทน อ้อ ตอนเขียน ผมใส่คำว่า ทุเรศ และ น่าสมเพช ไปด้วย” (อ.สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล-เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน - ข้อความในเสรีไทย โดย Snowflake)

Kittinunn
Aloha007
Global Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,127


ไปได้สวย...ด้วยเกียร์ต่ำ!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 21-07-2007, 21:46 »

เปลวสีเงิน : คนปลายซอย
18 กรกฎาคม 2550    กองบรรณาธิการ

๑๐ ปีแห่งทารกธุรกิจอุตสาหกรรมไทย

ปี  ๒๕๔๐ "บาทอ่อน-ดอลลาร์แข็ง" พ่อค้า-นักธุรกิจก็โวย   ห่างมาอีกสิบปี  ปีนี้-๒๕๕๐ "บาทแข็ง-ดอลลาร์อ่อน" พ่อค้า-นักธุรกิจก็โวยอีก บรรดาสินค้าเลหลังอย่าง "ดร.โอฬาร   ไชยประวัติ" บ้าง "ดร.วีรพงษ์   รามางกูร" บ้าง   ก็ออกมาเล่นลูกตามน้ำ "อัดแบงก์ชาติ-คลัง" เรียกว่า "มันปาก" ไปเลย

เห็นหน้า ดร.โอฬาร  ผมนึกถึงตอน "นายเริงชัย  มะระกานนท์" ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ ปี ๒๕๔๐ ช่วงวิกฤติค่าเงินบาทที่กำลังถูก "กองทุนต่างชาติ" โจมตีอย่างหนัก

มีอยู่วัน  ใครไม่รู้..ดูเหมือนจะมีตำแหน่งที่ปรึกษานายเริงชัยนี่แหละ ออกโทรทัศน์หน้าบานเชียว ประกาศเสียงแต๋วเลยว่า

"เมื่อคืนสู้ก๊ะจอร์จ โซรอส กำไรมา ๔๐๖ ล้านบาท"!

สู้-คือแบงก์ชาติขนดอลลาร์ที่เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ไปรับซื้อบาทที่โซรอสทุ่มขายในตลาดนอก นัยว่าเป็นการ "ปกป้องค่าบาท"

คือจอร์จ  โซรอส กะว่ายังไงๆ ไทยก็ต้องลดค่าเงินบาท ฉะนั้น เอาบาททุ่มขายให้ไทยขนดอลล์ไปรับซื้อ สุดท้ายบาทจะต้องลดค่า แล้วดอลลาร์ที่เขาซื้อไปถูกๆ

ราคาก็จะแพงขึ้น!

ฝ่ายแบงก์ชาติก็ตั้งธง   หัวเด็ดตีนขาดจะ "ไม่ลดค่าบาท" ไม่เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากระบบ "ตายตัว" ไปเป็นระบบ "ลอยตัว" ชนิดมีการบริหารจัดการ อย่างที่มีการเสนอแนะกัน

แล้วสุดท้าย  ก็เป็นอย่างที่รู้กันนั่นแหละ "โซรอสชนะ" แบงก์ชาติพาประเทศไทย "เจ๊ง" วินาศสันตะโร!

ใคร..คือคนที่ออกมาคุยหน้าจอว่า "ชนะโซรอส" ในวันนั้น   ดร.โอฬารจำได้มั้ย?

ถ้ายังจำไม่ได้-ไม่เป็นไร ผมมีข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในปี ๒๕๔๐ มาให้อ่านกัน

"นายโอฬาร   ไชยประวัติ   ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยจะไม่มีการลดค่าเงินบาทแน่นอน เพราะไม่มีผลดีต่อเศรษฐกิจไทย..."

ครับ..นายโอฬารผู้ได้ชื่อ "โหรเศรษฐกิจ" ชี้ทางประเทศ ให้คนทั้งประเทศเชื่อตามว่าไทยจะไม่มีการ "ลดค่าเงินบาท"

แต่ผ่านไปแค่ ๕ เดือนเท่านั้น แบงก์ชาติก็จำต้องประกาศ "ลอยตัวบาท"!?

ก็เจ๊งกันไปทั้งขึ้น-ทั้งล่อง   จาก  ๒๖  บาท/เหรียญ ดิ่งไประดับ ๕๖ บาท/เหรียญ จนมีเรื่องเป็นที่กล่าวขานถึง "ไอ้โม่ง" ตัวหนึ่งตราบทุกวันนี้

"ไอ้โม่ง" ที่มีไอ้หมาไปกระซิบลดค่าบาท   จึงเผ่นไปสมทบโซรอสถล่มไทย-ขายชาติตัวเอง "ขายบาท-ตุนดอลลาร์" อยู่แถวๆ สิงคโปร์  ฟันกำไรส่วนต่าง รวยแล้วไม่โกงจนเป็นตำนาน "ฝรั่งหัวดำ" นั่นไง

ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เห็น ดร.โอฬารท่านไปใช้วิชา "โหรเศรษฐกิจ" รับใช้ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณซะนาน   ไม่ค่อยได้เห็นหน้า   โผล่ออกมาวานซืนนี้ท่านยำแบงก์ชาติซะน่วม

ผมก็เลยอดนึกถึงคนที่ชื่อ "โอฬาร ไชยประวัติ" ไม่ได้เท่านั้นเอง!

ส่วน ดร.วีรพงษ์  หรือ ดร.โกร่งนั้น   ผมเห็นท่านเป็น "พระเอกหนังข่าว" อย่างนี้มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลป๋าเปรมโน่น  ฟังที่ท่าน "บริหารชาติผ่านไมค์" วานนี้แล้ว ด้วยข้อแนะนำครบสูตร ก็ฟังดูง้าย..ง่าย

นี่ถ้าคิดเอาดีทางทำ "ขนมเบื้อง" ขาย  ผมว่ารวยเละ  ตั้งแบรนด์แข่งตลาดได้เลยว่า "ขนมเบื้อง ดร.โกร่ง"!

ตอนท่านมีโอกาสมาร่วม "คณะรัฐมนตรี" ยุคนั้น   การบริหารปัญหาเศรษฐกิจต้มยำกุ้งด้วยสูตรที่ท่านว่า ต้องใช้ยาแรง ก่อนที่เลือดจะไหลหมดตัวอะไรต่างๆ เหล่านั้น

ผมก็ได้ยินพวกนักชิมเขานินทากันว่า "ราคาคุย" ในฝีมือปรุงต้มยำของ ดร.โกร่ง ซดแล้วเหมือนซดน้ำล้างหัวล้าน!


๑๐ ปีผ่านไป สรุปว่า ในภาคบริหาร คือรัฐบาล ในภาคเศรษฐกิจ คือ ธุรกิจอุตสาหกรรม   เราไม่ได้ใช้ความเจ็บปวดในวันนั้น "เป็นจุดเดิมพัน" ในการต่อสู้เพื่ออนาคตเลย

อนาคตที่ฟันฝ่าร่วมกัน   บนการแก้ไข "ปัญหา-อุปสรรค" อันเป็นข้อผิดพลาด  สู่ความแข็งแกร่งในวันนี้  อย่างที่เรียกว่า "เอาปัญหามาพัฒนาเป็นจุดชนะ"

ปี ๒๕๔๐ กับ ปี ๒๕๕๐ ต่างกันแค่ตัวเลข อย่างอื่นเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรที่เรียกว่า "เติบโต" ขึ้น  ธุรกิจ-อุตสาหกรรมยังเป็น "ทารกเลี้ยงไม่โต" เหมือนเดิม

ตอนอิ่ม ไม่เคยสนใจใคร ตอนหิว แหกปากร้องให้คนทั้งเมืองเอาใจ!

๑๐ ปีที่ผ่านไป ควรจะมีวุฒิภาวะของเด็ก ๑๐ ขวบ ไม่ใช่ยังเป็นทารกแบเบาะ  เอะอะก็โทษรัฐบาล  คำหนึ่งก็จะปิดโรงงาน อีกคำหนึ่งก็ขู่จะลอยแพคนงาน

ดีครับ..ปิดไปเลย ถ้าทำธุรกิจ ๑๐ ปีแล้วยังเป็นทารกแบเบาะ อยู่ไปก็ใช่ว่าจะช่วยสร้างสรรค์ระบบสังคมอะไรได้ นอกจากสร้างภาระ-สร้างปัญหาให้สังคมต้องอุ้ม ต้องแบกอยู่ร่ำไป

ก็ไหนเข้าใจกันแล้วไงล่ะว่า ยุคนี้เป็นยุคเสรีทางการค้า เป็นยุคโลกาภิวัตน์  โลกยุคนี้เป็นยุคของการแข่งขัน ใครดี ใครอยู่ ใครไม่เจ๋งจริง ก็ล้มไป หัวใจของการแข่งขัน คือ "การพัฒนาตัวเอง"

ไม่ใช่เอาแต่กำไร  แต่ไม่ยอมลงทุนงานวิจัย งานพัฒนา แรงงานก็จ้างเดือนละ  ๕  พันกว่าบาท ทำตัวเป็นลูกนกอ้าปากรอ "แบรนด์ต่างชาติ" มาจ้างผลิตเป็นเหยื่อป้อน นอนอิ่มอยู่แต่ในรัง

แล้วใครจะมาจ้างเป็นปี-เป็นชาติตลอดไป ที่ไหน "ถูกกว่า-ดีกว่า" เขาก็ไปจ้างที่อื่น ถ้าโรงงานตัวเองปรับปรุงคุณภาพ สร้างความแข็งแกร่งในสินค้าตัวเองรองรับไปด้วยเรื่อยๆ  มันก็จะไม่มีปัญหา   ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่เขาก็ "แปลงวิกฤติเป็นโอกาส" ไปกันได้รอดเกือบทั้งนั้น

สังคมไทยถึงรอบ "ลอกคราบ" แล้วนั่นแหละ  ฉะนั้น ตัวไหนไม่แข็งแรงก็ต้องใช้ระบบ "ไก่ ซี.พี." คัดออกไป  ไอ้ที่ขู่ว่าปิดโรงงานแล้วคนจะตกงานนั้น ผมก็ว่านั่นคือการคัดเข้าสู่วิถี "สังคมลอกคราบ"

งานเมืองไทยเยอะแยะ   เพียงแต่เดี๋ยวนี้ระบบโรงงานทำให้คนไทย "หยิบโหย่ง" เลือกเอาแต่ที่สบาย แล้วก็มุ่งแต่สนุกเฮฮาด้วยสังคมวัตถุ สังคมโลกีย์บันเทิง

พวกแรงงานเขมร พม่า ลาว ถึงได้เข้ามายึดครองเต็มบ้าน-เต็มเมืองอยู่ขณะนี้!

ทำโรงงานที่ไม่เคยพัฒนาจาก  "กรรมกร" ขึ้นไปเป็น "ช่างฝีมือ" เดือนละ ๕-๖ พันบาท ค่าแชต ค่าโหวต ค่ามือถือ ค่ายาคุม ก็ยังไม่พอ ฉะนั้น ถ้าถึงจุดโรงงานอุตสาหกรรมที่ "ตีตั๋วทารก" ปิดไปจริงๆ

ก็ถึงคราว "เศรษฐิจพอเพียง" จะได้ใช้สร้างชาติกันจริงๆ เสียที!

ลองไปถามคนงานตามโรงงานดูซีครับว่า "ที่บ้านนอกมีที่ไร่-ที่นาสำหรับทำกินมั้ย?"

ร้อยละกว่า ๖๐ ตอบว่ามี แต่มีมาก-มีน้อยเป็นอีกเรื่อง!

ฉะนั้น  เป็นประเด็นว่า  ภาครัฐจะวาง "พิมพ์เขียว" ประเทศไทยในอนาคตอย่างไร  พอใจให้ทรัพยากรบุคคลไทยยึดอาชีพฉันทนา ล่าผัวฝรั่ง นั่งดริงก์ คลั่งหมอลำ คลั่งคอนเสิร์ต เตลิดเปิดเปิงกันไปอยู่อย่างนี้หรือ

ในเมื่อธรรมชาติประทาน  ดินดี  น้ำดี  ฝนดี อากาศดี มาให้เป็นผืนแผ่นดินไทยเหนือกว่าอีกหลายร้อยประเทศในโลกใบนี้อย่างนี้แล้ว  และมาถึงยุคที่สังคมกำลังลอกคราบ

ภาครัฐ  โดยรัฐบาล ก็ควรต้องมีนโยบายแน่ชัด   บรรจงวาง "ทรัพยากรบุคคลดีๆ" ลงไปคลุกเคล้ากับความสมบูรณ์พร้อมที่ธรรมชาติมอบให้กับคนไทย

ที่ดินมาก-น้อยไม่สำคัญเท่ากับความ "มาก-น้อย" ของจิตสำนึกที่จะเห็นคุณค่าในการสร้างอนาคตของแต่ละบุคคลด้วยน้ำมือตัวเอง บนแนวทางทฤษฎี "เศรษฐกิจพอเพียง"

ถ้าพูดว่า ๒๕๕๐ นี้เกิดวิกฤติรอบ ๒ ผมก็อยากจะบอกว่า นี่เป็นวิกฤติที่จะ "คืนคนสู่สังคม" เพื่อสร้างรากฐานไทยที่แข็งแรง  ยั่งยืน  เป็นวิถีไทยท้าทาย "วิถีโลก-วิถีทุน" ที่กำลังผันแปรสู่หายนะ

ผมไม่ได้หมายถึง "ทุกอย่าง" จะต้องคืนไร่-คืนนา แต่ผมหมายถึงว่า ถึงรอบที่กลไกสังคมจะจัดระเบียบสังคมของมันเองแล้ว  สิ่งไหนควรอยู่ สิ่งไหนแข็งแกร่งพัฒนาตัวเองได้ตามวงรอบ ก็จะอยู่รอดด้วยแข็งแกร่ง

สิ่งไหน  ที่ไม่ใช่สิ่งนั้น  ก็จะคืนตัวเองสู่สิ่งที่ตัวเองเป็นได้ เพื่อความลงตัวในการพัฒนาให้เป็นไปตามวิถีแห่งวงรอบใหม่

ถ้ามัวแต่บ้าอยู่ในวงจร "บาทอ่อน-บาทแข็ง" ไทยจะติดหล่มโคลนดูด "บาท-ดอลล์อุบาทว์" นี้ตลอดไป  เพราะถ้าวิถีนี้มันใช่  ๑๐ ปีที่ผ่านมา ไทยมันต้องโตด้วยพัฒนาไปไกลแล้ว

ด้วยพื้นภูมิศาสตร์   ไทยไม่ใช่ประเทศที่จะพัฒนาให้ยั่งยืนได้ด้วย "ธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักร"

ค้นหา  "จุดแข็ง" ของความเป็นไทยที่ "มีแต่เรา" เขาไม่มี  และค้นหาจุดอ่อนที่ "มีแต่เขา" แต่เราไม่สามารถมีได้ให้พบเถอะครับ

แล้วจะพบสัจธรรมแห่ง "เศรษฐกิจพอเพียง"

ปัญหาของไทยวันนี้  เพราะคนกลุ่มหนึ่งมีเงินมากไป   แต่มันน้อยเมื่อเทียบกับความอยากได้   ก็เลยต้องทุรนทุราย  และทุเรศ,  วันนี้ ประเทศเป็นทุกข์เพราะมีเงินมาก   ในขณะที่  ชาวไร่-ชาวนา "เงินไม่มี" แต่ไม่เคยสร้างปัญหาให้ใคร รัฐบาลก็เลย "หันหลังให้" ตลอดกาลไงล่ะ!.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2007, 21:48 โดย Aloha007 » บันทึกการเข้า

“ผมเขียนไปในบล็อกนั้น แบบข้างบนนี้เหมือนกัน นึกว่า จะโพสต์ ปรากฏว่า เขาบอกว่า ต้อง สมัครสมาชิกก่อน ผมขี้เกียจ เลยมาโพสต์ที่นี่แทน อ้อ ตอนเขียน ผมใส่คำว่า ทุเรศ และ น่าสมเพช ไปด้วย” (อ.สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล-เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน - ข้อความในเสรีไทย โดย Snowflake)

หน้า: [1]
    กระโดดไป: