ขนาดแม่ชม้อยยังโดนทักษิณโกงเลย
คนละชม้อยกันกับแม่ชม้อยนะครับ
ทัศนะ : เปิดคำพิพากษาฎีกา149/2532 ศาลชี้พ.ต.ต.ทักษิณ จ่ายเช็คเด้ง"ชม้อย"
หมายเหตุ - กระทู้ในเวบไชต์ akeyuth.com กรณีที่อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ตอบกระทู้เรื่องคดีเช็คเด้ง ของคนหน้าเหลี่ยม ปรากฏตาม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2532 ซึ่งในเวบไชต์ดังกล่าว ระบุว่า การปฏิเสธที่จะใช้หนี้ตามเช็ค ถือว่ามีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกา หมายแดงที่ 149/2532 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2532 ให้ พ.ต.ต.ทักษิณ ชินวัตร (ยศขณะนั้น) จำเลยคดีตั๋วเงินร่วมชำระเงิน 1,300,000 บาทคืนให้กับนางชม้อย เชื้อประเสริฐ
นางชม้อย เชื้อประเสริฐ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสันต์ สมิตเวช จำเลยที่ 1, พ.ต.ต.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 2 ต่อศาลแพ่ง ในความผิดเรื่องตั๋วเงิน ให้ชำระเงินคืนเงิน 1,300,000 บาท
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ผู้ถือเช็ค ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ เลขที่ 1076909 ลงวันที่ 29 กันยายน 2525 จำนวน 1,300,000 บาท เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสลักหลังเพื่อรับรองเป็นประกัน
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 โจทก์นำเช็คเลขที่ 1076909 ไปเข้าบัญชีโจทก์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาสยามสแควร์ เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค ปรากฏว่า ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย
โจทก์ได้ติดต่อให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน แต่จำเลยกลับเพิกเฉย จึงนำเรื่องยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้นคืน 1,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525 ถึงวันฟ้องคดีรวมเป็นเวลา 1 ปี คิดเป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน 97,500 บาท
ศาลแพ่ง มีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คจริง โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายชื่อสลักหลัง จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันใช้เงิน 1,300,000 บาท คืนแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยร่วมกันชำระค่าทนายความแทนโจทก์อีก 5,000 บาทด้วย
พ.ต.ต.ทักษิณ ยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
พ.ต.ต.ทักษิณ ยื่นฎีกา ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า เมื่อเดือน กันยายน 2523 พ.ต.ต.ทักษิณ จำเลยที่ 2 ซื้อโรงภาพยนตร์พร้อมที่ดินจากนายธรรมนนท์ สมิตเวช บิดาของจำเลยที่ 1 ในราคา 8,500,000 บาท แต่ในสัญญาระบุจำนวนเงินไม่ถึง 8,500,000 บาท โดยการซื้อขายดังกล่าว นางพจมาน ชินวัตร ภริยาของจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อ ซึ่งจำเลยที่ 2 ชำระราคาเป็นเงินสดบางส่วน ให้กับบิดาจำเลยที่ 1 และชำระเป็นเช็คหลายฉบับ ที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย
ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คของจำเลยที่ 2 มาชำระหนี้ให้โจทก์ รวม 3 ฉบับ ของ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาสะพานกรุงธน ออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2524 จำนวน 1,800,000 บาท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาเดียวกัน ออกวันที่ 29 กันยายน 2525 จำนวน 1,300,000 บาท และอีกฉบับเป็นธนาคารเดียวกัน สาขาเดียวกัน ออกวันที่ 29 กันยายน 2526 จำนวน 1,800,000 บาท
เมื่อโจทก์นำเช็คของจำเลยที่ 2 ไปเรียกเก็บเงินกับ ธนาคาร ถูกปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าบัญชีปิดแล้ว
โจทก์จึงติดต่อให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน ซึ่งจำเลยที่ 2 นัดพบที่ห้องทำงานที่กรมตำรวจ ในวันที่ 16 เมษายน 2525 โดยมีโจทก์, จำเลยที่ 1, นายนภศูล สวัสติเวทิน ซึ่งจำเลยที่ 2 ตกลงว่า จะออกเช็คใหม่ให้โจทก์ และขอเช็คเก่าคืน
แต่ขณะนั้นจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้เปิดบัญชีใหม่ จึงขอให้จำเลยที่ 1 ออกเช็คไปก่อน โดยจำเลยที่ 2 ลงชื่อสลักหลังไว้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ออกเช็ค 3 ฉบับที่ธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันที่ 29 กันยายน 2525 จำนวน 1,300,000 บาท ให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ลงชื่อสลักหลังต่อหน้าโจทก์และนายนภศูล และ เช็ค ธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2526 จำนวน 1,800,000 บาท และ เช็ค ธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2527 จำนวน 1,800,000 บาท
และเมื่อครบกำหนดวันออกเช็ค โจทก์เรียกเก็บเงินจากธนาคาร แต่ถูกปฏิเสธเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 โจทก์ทวงถามแต่จำเลยทั้งสองกลับเพิกเฉย
ทางนำสืบจำเลยที่ 2 อ้างว่า รู้จักโจทก์ แต่ไม่เคยมีหนี้สินผูกพัน และไม่เคยออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินและโรงภาพยนตร์ จากบิดาจำเลยที่ 1 จริงในราคา 8,500,000 บาท และได้ชำระเป็นเช็ค ธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน รวม 5 ฉบับ 1,300,000 บาท 1 ฉบับ และ 1,800,000 บาท 4 ฉบับ ลงวันที่ออกเช็คห่างกันฉบับละ 1 ปี และจำเลย ที่ 2 ตกลงกับจำเลยที่ 1 ว่า ไม่ให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร โดยมีการนำเช็คมาแลกเงินสดไปจากจำเลยที่ 2 แล้วทุกฉบับ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค นั้น โจทก์มีนายนภศูล ทนายความโจทก์ เบิกความด้วยว่า โจทก์กับนายนภศูล ไปพบจำเลยที่ 2 ที่ห้องทำงานจริง
ส่วนข้อต่อสู้ ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คทั้ง 5 ฉบับมาแลกเงินสดไปจากจำเลยที่ 2 แล้วเป็นเพียงคำเบิกความลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็ค ตามฟ้องที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่าย เพื่อชำระมูลหนี้คืนแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดใช้เงินตามจำนวนเช็คของฟ้อง โจทก์ ศาลฎีกาพิพากษายืน
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา
นายบุญส่ง คล้ายแก้ว
นายประมาณ ชันซื่อ
นายนิเวศน์ คำผอง
ที่มา...
http://www.bangkokbiznews.com/2004/09/15/comment/index.php?n ews=column_14707539.html
ส่วนแม่ชม้อยมือแชร์ ข่าวล่าสุด เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว
ชม้อยขอคืนมรดตคลังเตือนภัยแชร์ลูกโซ่มา
Monday, October 06, 2003 06:00
6 ต.ค.46
แม่ชม้อยหมดตัว เข้าร้องเรียนคลังขอที่มรดกคืนอ้างไม่เกี่ยวกับคดีฉ้อโกง 4 พันล้านบาท ด้านกลุ่มงานป้องปรามการเงินนอกระบบ ร่อนหนังสือถึงผู้ว่าราชการทุกจังหวัดออกเตือนประชาชนเพราะห่วงซ้ำรอยประวัติศาสตร์
รายงานจากกระทรวงการคลัวแจ้งว่า เมื่อเร็วๆนี้ นางชม้อย ทิพย์โสได้ทำเรื่องของที่ดินจำนวน 2 แปลง ที่กระทรวงการคลังยึด หรือ อายัดในช่วงปี 2528 โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่มรดกตกทอด ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีฉ้อโกงที่ได้ถูกพิพากษาตัดสินไปแล้ว ซึ่งนางชม้อยถูกยึดทรัพย์เนื่องจากกระทำความผิดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน โดยการชักชวนประชาชนให้เข้าร่วมลงทุนและจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนสูงกว่าที่กฏหมายได้กำหนด
นอกจากนี้ยังไม่ได้นำเงินไปประกอบอาชีพตามที่กล่าวอ้าง จนทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายจำนวน 13,288 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย ประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท จึงต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 20 ปี
"แม่ชม้อยออกจากคุกมานานแล้ว เนื่องได้รับการลดโทษ และเหตุผลที่นางชม้อยมาขอที่ดินคืนจำนวน 2 แปลงที่คลังได้ายึดและอายัดไว้ ในช่วงเกือบ 20 ปีที่แล้ว ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของสามี ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากมรดก และขณะนี้ไม่เหลือสมบัติอะไรแล้วแม้แต่แหวนเพชรที่ใส่ก็เป็นของปลอม อย่างไรก็ตามคาดว่าในส่วนดังกล่าวคลังได้อนุมัติแล้ว"
สำหรับทรัพย์สินทรัพย์ที่กระทรวงการคลังได้อายัดหรือยึดจากแม่ชล้อยในช่วงดังกล่าวประกอบด้วย เงินสด เงินฝากธนาคาร ตั๋วสัญญาใช้เงินทรัพย์สินอื่นๆ ประมาณ 98 ล้านบาท,รถยนต์ 5 คัน , ทองคำแท่ง อัญมณี 187 รายการ , ที่ดิน และ สิ่งปลูกสร้าง 12 แปลง ,ปืน 2กระบอก และ กล้องถ่ายรูป 2 อัน
ส่วนธุรกิจแชร์น้ำมันที่นางชม้อย อ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนในอัตราถึง 6.5% ต่อเดือน หรือ 78% ต่อปี โดยมีผู้ที่ได้รับความเสียหายในคดีดังกล่าวน้นผู้ที่ถูกล่อหลวงให้มาร่วมทุนส่วนมีทุกสาขาอาชีพ ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ,ทหาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารอากาศ ,ตำรวจ,นายแพทย์ อาจารย์มหาวิทยาลัย , ผู้บริหารบริษัท, พนักงานธนาคารระดับสูง และประชาชนที่มีรายได้ดีรวมไปถึงเชื้อพระวงค์ด้วย
รายงานข่าวยังแจ้งว่ากรณีดังกล่าวถือว่าเป็นคดีที่เป็นการหลอกลวงประชาชนอย่างหนักและ กระทรวงการคลังก็ยังเป็นห่วงว่า ต่อไปคงจะมีการเกิดคดีดังกล่าวในลักษณะแชร์ลูกโซ่ ซึ่งปัจจุบันก็ได้พัฒนามาเป็นธุรกิจขายตรงแอบแฝงแบบแชร์ลูกงโซ่ หรือ การลงทุนประเภทต่างๆซึ่งขณะนี้ได้ระบาดในต่างจังหวัดมาก
ดังนั้นกระทรวงการคลัง โดยกลุ่มงานป้องปรามการเงินนอกระบบได้เร่งเดินทางไปไปพบกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจแชร์ลูกโซ่ พร้อมเตือนให้กับบริษัท หรือบุคคลที่กระทำความผิดในการหลอกเงินประชาชนดังกล่าวว่าอย่างน้อยถูกยึด หรืออายัดทรัพย์เหมือนกับกรณีของแม่ชม้อยแน่นอน--จบ--
http://www.mof.go.th/fin-crime/fcsc_news_290146.htm