โจทย์ที่แท้จริงของการลงประชามติและทางเลือก ธงชัย วินิจจะกูล1. เดินไปไหน?คนส่วนใหญ่คงกำลังเบื่อการเมืองจนสุดจะทน และคงอยากไปให้พ้นความขัดแย้งที่
น่าอึดอัดเสียที
โฆษณาอื้อฉาวของ ส.ส.ร. เป็นการหากินกับความเบื่อหน่ายของประชาชน คือ
พยายามสื่อสารว่า "รับซะจะได้เดินหน้าสู่ภาวะปกติ (คือ มีการเลือกตั้ง) ซะที"
แม้แต่ปรมาจารย์ทางรัฐศาสตร์ยังบอกว่า จะลงมติรับรัฐธรรมนูญของ คมช. ทั้งๆ ที่
เห็นว่า เนื้อหาถอยหลัง แต่เพราะอยากไปให้พ้นความน่าอึดอัด อยากเดินหน้าซะที
ปัญหามีอยู่ว่า จะเดินไปทางไหน? การลงมติรับจะไปพ้นความขัดแย้งที่น่าอึดอัดได้
จริงหรือ?
หลายคนเคยต้อนรับการรัฐประหาร 19 กันยาฯ เพราะเชื่อว่าจะได้พ้นไปจากความ
ตึงเครียดของวิกฤติการเมืองเสียที กว่าปีที่ผ่านมา คงประจักษ์แล้วว่า ความขัดแย้ง
ตึงเครียดมิได้หมดไป อาจแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ
ข้อที่ว่าต้องการเดินหน้านั้นก็มีปัญหาว่า เรากำลังหันหน้าไปถูกทางหรือเปล่า หรือ
กำลังหันกลับไปหายุคทหารครองเมือง เพราะหากเรากำลังหันหลังให้ประชาธิปไตย
อยู่ ยิ่งเดินหน้าคือยิ่งผิดทาง
สิ่งที่ควรทำอันดับแรกคือ หันหน้าให้ถูกทางเสียก่อน2. จำยอมถอยหลัง?ความเสียหายใหญ่หลวงนับจาก 19 กันยาฯ ปีก่อน ไม่ได้อยู่ที่ความหน่อมแน้มของ
รัฐบาล แต่การรัฐประหารและกฎหมายต่างๆ ที่พยายามสถาปนาระบอบทหารนั่นแหละ
คือความเสียหายที่สุด
คนที่หวังว่ารัฐประหารจะเป็นการกดปุ่มเริ่มประชาธิปไตยกันใหม่นั้น คงเห็นอยู่ตำตาว่า
ประชาธิปไตยกำลังผลิบานหรือการเมืองไทยกลับถอยกรูดสู่ยุคทหารครองเมืองกันแน่
พ.ร.บ. ความมั่นคง ที่ให้อำนาจล้นฟ้าแก่กองทัพ จะผลักการเมืองไทยย้อนหลังไป
อย่างน้อยๆ 30 ปี ... รัฐธรรมนูญ คมช. ไม่ไว้ใจประชาชน แต่กลับฝากความหวังสุดๆ
ไว้กับตุลาการและวุฒิสภาแต่งตั้งภายใต้ระบบการปกครองที่มีทหารคุมอยู่ทุกจุด ...
การรื้อฟื้นอำนาจอำมาตยาธิปไตยท้องถิ่น ... การเพิ่มงบลับงบเปิดให้กองทัพมหาศาล
เหมือนยุคเผด็จการแต่ก่อน ... การใช้อำนาจบาตรใหญ่ของทหารรังแกประชาชน เช่น
กรณีปิดเขื่อนปากมูล ... และอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งหมดนี้ เป็นการถอยกรูดกลับไปหายุคทหารครองเมืองชัดเจน ไม่มีทางปฏิเสธได้
และอาจต้องสู้กันอีกหลายชีวิตกว่าจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ การลงมติรับเพื่อเดินหน้า
ในขณะนี้ จึงเป็นการยอมจำนนว่า ยุคทหารครองเมืองคือการถอยหลังที่เราต้องยอมรับ
อย่างสงบเสงี่ยม3. รัฐธรรมนูญ คมช.จะพาประเทศไทยไปทางไหน?รัฐธรรมนูญของ คมช. เป็นการสถาปนาระบอบทหารหรืออำมาตยาธิปไตย ที่ไม่ให้
โอกาสแก่สังคมประชาธิปไตยได้เรียนรู้ปรับตัวแก้ปัญหาตามกระบวนการ ไม่ไว้ใจ
ประชาชน แต่กลับเชื่อถือให้อำนาจแก่อภิชน ขุนนาง ข้าราชการผู้ใหญ่ เป็น GUIDED
DEMOCRACY แบบหนึ่ง ซึ่งก่อความเสียหายมหาศาลมาแล้วในหลายประเทศ
ระบอบการเมืองถอยหลังแบบนี้ จะส่งผลต่อประเทศชาติในระยะยาวอย่างไร?
ผู้เขียนมีข้อคาดการณ์เพื่อการถกเถียงว่า ระบบการเมืองย้อนยุคเช่นนี้ อาจทำให้ไทย
อยู่ในภาวะคล้ายฟิลิปปินส์ กล่าวคือ ตกต่ำจากที่เคยเป็นดาวรุ่งแห่งเอเชีย ทั้งทาง
เศรษฐกิจและการเมือง กลายเป็นแค่
ประชาธิปไตยปลอมๆ ในอุ้งมือทหาร การเมือง
จะทุลักทุเลไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง จนเป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจลุ่มๆ ดอนๆ
เพราะอำมาตยาธิปไตยไม่สามารถรับมือกับความซับซ้อนผันแปรของสังคมสมัยนี้ ที่
เต็มไปด้วยความคิดและผลประโยชน์ต่างๆ กันมหาศาลได้ เพราะผู้นำทหาร อภิชน
ขุนนางราชการผู้ใหญ่
หลงตนเองว่า สูงส่งรู้รอบกว่าประชาชน และติดอยู่กับความคิด
ว่า ประเทศชาติคือครอบครัวขนาดใหญ่ที่พวกเขาต้องดูแลแบบพ่อบ้านระบอบการเมืองนี้ยังเป็นบ่อเกิดของคอร์รัปชั่นขนานใหญ่ และการใช้อำนาจฉ้อฉล
อย่างฝังราก เพราะใช้ความกลัวบวกบารมีปกครองจนประชาชนและสื่อมวลชนยอม
จำนน ปิดปากต่อความฉ้อฉลของขุนนางและอภิชนน้อยใหญ่ทั้งหลาย
ต่างกับนักการเมืองซึ่งประชาชนและสื่อมวลชนจ้องตรวจสอบได้เสมอ ไม่ว่าจะเกลียด
แค่ไหนก็ตาม
ที่สำคัญที่สุด และไม่กล้าพูดถึงกัน ทั้งๆ ที่ซุบซิบกันทุกวี่วันก็คือ ความผันผวนในสังคม
ไทยกำลังมาถึงแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็ว เพราะไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้ ในภาวะเช่นนั้นทหาร
อภิชน ขุนนาง และหางเครื่องทั้งหลาย จะยิ่งเถลิงอำนาจด้วยข้ออ้างความมั่นคง ซึ่ง
จะยิ่งฉุดการเมืองไทยให้จมปลักลงไปอีก
ระบบการเมืองล้าหลังเช่นนั้น จะเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ไม่ช้าก็เร็ว เพราะเป็นระบบ
การเมืองที่ฝืนการเปลี่ยนแปลง ความผันผวนไม่แน่นอนจะสะสมรอการระเบิด
ระบบการเมืองล้าหลังบวกความผันผวนไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง คือสูตรของความ
ตกต่ำครั้งใหญ่ดังนั้น ยิ่งปล่อยให้อภิชนอำมาตยาธิปไตยอยู่ในอำนาจนานเท่าไร จะยิ่งกลายเป็น
ระเบิดเวลาในอนาคต
การเดินหน้าขอเพียงให้พ้นความอึดอัดแบบปัจจุบัน จึงเป็นแค่การซื้อเวลาชั่วคราว
เท่านั้นเอง
หากมองจากอนาคตย้อนเวลามาถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์จะพิสูจน์ว่า การถอยหลัง
ถลำลึกคราวนี้ เป็นก้าวผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของสังคมไทย
4. โจทย์ที่แท้จริงของการลงประชามติมีหลายคนออกมาตำหนิฝ่ายปฏิเสธรัฐธรรมนูญ คมช. ว่าไม่ทันดูเนื้อหาก็ปฏิเสธซะ
ก่อนแล้ว
ท่านเหล่านี้มีสติปัญญาพอที่จะรู้อยู่ว่า
ข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ใช่สาเหตุ
ของการยึดอำนาจ จึงไม่จำเป็นต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่เลย แต่ต้องร่างใหม่ตามธรรมเนียม
ให้ดูเหมือนว่า คมช.ต้องการประชาธิปไตย
สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ คมช. ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิม อ.เสน่ห์ จามริก ยังยอมรับว่า
ถอยหลังกว่าเดิม แถมยังไม่ได้เป็นหลักประกันอะไรต่ออนาคตของประชาธิปไตยไทย
เลยสักนิด แม้แต่ผู้หนุน คมช. อย่าง อ.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ก็ยังยอมรับว่า การรัฐ-
ประหารคงมีอีก และอำนาจทหารคงอยู่ไปอีกนาน
ประเด็นสำคัญขณะนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่เนื้อหารายละเอียดของรัฐธรรมนูญอย่างที่ คมช.
พยายามตีกรอบ
โจทย์ที่แท้จริงคือ คำถามว่าจะเอายังไงกับอำนาจทหาร อภิชน อำมาตยาธิปไตย
ในการเมืองไทยผู้คนที่เบื่อหน่ายกับการเมืองอยู่ในขณะนี้ คงไม่ได้ตัดสินใจรับหรือไม่รับ เพราะราย
ละเอียดของรัฐธรรมนูญ ต่อให้เนื้อหาถอยหลังกว่าเดิมก็อาจจะรับ หากเขาเชื่อว่า
เป็นหนทางออกไปให้พ้นภาวะอึดอัดในปัจจุบัน
คนที่หนุน คมช. และเกลียดทักษิณมาก จะลงมติรับโดยไม่ได้สนใจรายละเอียดของ
รัฐธรรมนูญเช่นกัน เพราะสิ่งที่คนพวกนี้ต้องการ คือ การยืนยันว่า รัฐประหารที่ตน
สนับสนุนเป็นสิ่งถูกต้อง ยืนยันว่าตนเองไม่ได้คิดผิดทำผิด เชียร์มาแล้วก็ต้องเชียร์ต่อ
ไปให้ตลอดรอดฝั่ง บริกรและหางเครื่องของ คมช. ต้องเกาะระบอบทหารเพราะกลัว
โดนคิดบัญชี ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดของรัฐธรรมนูญเลย
กระทั่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ ส.ส.ร. เอง ก็ไม่สนใจเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญเช่นกัน
โจทย์ที่แท้จริงขณะนี้ ไม่ได้อยู่ที่รายละเอียดของรัฐธรรมนูญ คมช. แต่อยู่ที่คำถามว่า
จะเอายังไงกับอำนาจทหาร อภิชน อำมาตยาธิปไตยในการเมืองไทยเกษียร เตชะพีระ กล่าวได้ถูกต้องว่า อย่าดูเพียงแค่รายละเอียดเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ
แต่ต้องดูทั้ง "แพ็คเกจ" ว่า ระบอบ คมช. ได้ผลักดันกฎหมายสำคัญ เพื่อสถาปนา
อำนาจยุคทหารครองเมืองอีกครั้ง การเลือกตั้ง สภา และประชาธิปไตยหลังจากนี้จะ
เป็นแค่ไม้ประดับ เพื่อให้ระบอบทหารครองเมืองยุคนี้ดูดีขึ้นแค่นั้นเอง
แต่ คมช. และลูกคู่บริกรทั้งหลาย ต้องป่าวร้อง เน้นให้ดูรายละเอียดของรัฐธรรมนูญ
เพราะ คมช. กลัวการที่ประชาชนจะมองเห็นโจทย์ที่แท้จริง แล้วเปลี่ยนความหมาย
ของการลง ประชามติ
คมช. ต้องการตีกรอบจำกัดความหมายของการลงประชามติ ไม่ให้กลายเป็นการประท้วง
ระบอบทหาร5. เปลี่ยนประชามติเป็นการต่อสู้กับระบอบทหารการลงประชามติที่จะมาถึงเต็มไปด้วยการขู่ขวัญทางการเมือง เช่น
"ไม่รับก็ไม่มีเลือกตั้ง ไม่รับก็ไม่กลับสู่ภาวะปกติ ถ้าไม่เอาฉบับที่อยู่ตรงหน้า ก็อาจได้
ฉบับซ่อนข้างหลังที่เลวกว่า ไม่รับจะยิ่งวุ่นวาย ใครไม่รับคือพวกไม่รักชาติ"
ทั้งหมดนี้ คล้ายกับเจ้าพ่อมาเฟียยื่นข้อเสนอที่ห้ามเราปฏิเสธ ทั้งขู่ขวัญว่าหากปฏิเสธ
อาจเจ็บตัวและสิ่งเลวร้ายอาจเกิดกับเราก็ได้
แถมยังเป็นการลงประชามติโดยที่
กว่า*ครึ่งประเทศยังอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ซึ่งทหาร
คุมหมดทุกอย่าง
นี่มัน
ประชามติแบบมาเฟียชัดๆ
ไม่กล้าพอแม้แต่จะสู้กันอย่างแฟร์ๆทำราวกับประชาชนเป็นคนในบังคับเจ้าพ่อ หรือเป็นนักโทษในประเทศตัวเอง โดยมี
ผู้คุมชื่อ คมช.แทนที่นักวิชาการหรือนักหนังสือพิมพ์คนสำคัญ จะออกมาท้วงติงท่าทีแบบมาเฟียอัน
น่ารังเกียจเหล่านี้ หลายคนกลับออกมารับอย่างหงอๆ ว่า ควรลงมติรับเพราะไม่อยาก
ให้แย่ไปกว่านี้
แทนที่จะตำหนิการขู่ขวัญ หลายคนกลับทำท่าวางตัวเป็นกลางระหว่างมาเฟียกับ
ผู้ถูกรังแก พวกเขาพากันหดหัวสงบเสงี่ยมกับคำขู่ฟอดๆ ของผู้มีอำนาจ บางคนอวด
เบ่งร่วมตะคอกซ้ำใส่ผู้เสียเปรียบ
แทนที่จะเรียกร้องให้เลิกขู่ ให้ยกเลิกกฎอัยการศึกให้หมด และสู้กันอย่างแฟร์ๆ อย่า
ใช้เงินภาษีโฆษณาชวนเชื่อฝ่ายเดียว พวกเขากลัวทหารยิ่งกว่ากลัวนักการเมือง แต่
ไม่กล้ายอมรับ
ประชามติแบบมาเฟียสะท้อนเป็นอย่างดีถึงอำนาจแบบมาเฟีย ที่ปกครองคนด้วยความ
กลัวในขณะนี้
แต่ทว่าในสถานการณ์ที่ไม่มีช่องทางอื่นมากนักในการต่อสู้กับอำนาจทหาร และไม่มี
โอกาสลงประชามติว่าจะเอาระบอบทหารหรือไม่
ประชาชนกลับสามารถต่อสู้ด้วยการ
รณรงค์เปลี่ยนโจทย์เปลี่ยนความหมายของการลง ประชามติ ช่วงชิงให้กลายเป็นการ
ออกเสียงประท้วงปฏิเสธระบอบทหาร
รณรงค์ตรงไปตรงมาว่า ร่วมประท้วงปฏิเสธระบอบทหารด้วยเสียงไม่รับรอง ในทิศทาง
ที่เครือข่าย 19 กันยาฯ ทำอยู่นั่นแหละ
การต่อสู้ด้วยการเปลี่ยนความหมายของการลงประชามติ คือการปฏิเสธไม่ยอมอยู่ใน
กรอบของ คมช. จึงไม่ใช่การยอมรับหรือให้ความชอบธรรมแก่กระบวนการของ คมช.
แต่อย่างใด
ลูกคู่หน้าใสของ คมช. กลัวการที่ประชามติกำลังถูกเปลี่ยนความหมายให้กลายเป็น
การออกเสียงประท้วง ปฏิเสธระบอบทหาร ถึงกับต้องออกมายุแยงว่า ถ้าค้านการ
รัฐประหารก็อย่ามาร่วมการลงประชามติ และพยายามตีกรอบว่าประชามติเป็นแค่เรื่อง
รัฐธรรมนูญ ห้ามให้ความหมายไกลกว่านั้น
ต่อให้ผลของประชามติออกมาตามคณะทหารจัดแจงไว้ล่วงหน้า ก็มิได้หมายความว่า
เสียงปฏิเสธระบอบทหารเหล่านี้ ต้องเปลี่ยนความคิด หรือยอมหุบปากหรือยอมรับ
ระบอบทหารปัจจุบันหรือหลังจากนี้ ย่อมมีสิทธิที่จะยืนยันความคิดของตนและต่อสู้
ต่อไป
การจัดประชามติแบบมาเฟียทำนองนี้ มีมาแล้วหลายแห่งทั่วโลก
กรณีที่ประชาชนช่วงชิงเอามาเป็นการประท้วงคณะทหารจนสำเร็จก็มี อาทิเช่น
ที่ชิลีในปี 1988 ซึ่งจอมเผด็จการปิโนเชต์ หวังใช้ประชามติสร้างความชอบธรรม
แก่การต่ออายุ อำนาจของคณะทหาร ฝ่ายต่อต้านเผด็จการขัดแย้งกันในระยะแรกว่า
จะร่วมลงประชามติดีหรือไม่ แต่ในที่สุด พวกเขารวมพลังสำเร็จ แม้จะถูกข่มขู่รังแก
สารพัด ประชาชนชาวชิลีข้างมากลงประชามติไม่ต้องการให้คณะทหารสืบอำนาจ
อีกต่อไป นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการอวสานของปิโนเชต์
ประชาชนพม่าที่ลงคะแนนให้พรรค N.L.D. ของออง ซาน ซูจี เมื่อปี 1989 ก็เช่นกัน
พวกเขารู้อยู่เต็มอกว่า เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรมและแบบมาเฟีย คือคณะทหาร
ข่มขู่ตลอดเวลาว่า หากเลือกพรรค N.L.D. พม่าจะไม่มีวันกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่แล้ว
ชาวพม่าอาศัยการเลือกตั้งแบบมาเฟียนั่นเอง เป็นการออกเสียงประท้วงอำนาจเผด็จ-
การทหาร ด้วยการเลือก N.L.D. จนชนะถล่มทลาย
6. ทางเลือกการลงประชามติคราวนี้ ถึงที่สุดคือ ท่านคิดอย่างไรกับอำนาจทหาร อภิชน อำมาตยา-
ธิปไตยในการเมืองไทย กล่าวคือ
1) หากท่านเห็นว่า ระบอบทหาร อำมาตยาธิปไตยเหมาะสมดีกับสังคมไทยต่อไป
นานๆ และ/หรือ ท่านเกลียดการเลือกตั้ง เกลียดนักการเมืองเข้ากระดูกดำ ...
ท่าน
ควรลงมติ "รับ" รัฐธรรมนูญ คมช. ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
อ่อนแอ และต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของอภิชน และขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่
ทั้งหลาย ผ่านทางวุฒิสภาและตุลาการทั้งหลาย
2) หากท่านเชื่อว่า อำนาจเก่าของระบอบทักษิณจะกลับมา และจะพาประเทศสู่ความ
วิบัติฉิบหาย แถมประชาชนไม่ฉลาดพอจะรับมือได้ ระบบการเมืองอภิชนอำมาตยาธิป-
ไตย พอรับได้มากกว่า ...
ท่านควรลงมติ "รับ" รัฐธรรมนูญของ คมช.3) หากท่านไม่ชอบ แต่ไม่ถึงขนาดเกลียดกลัวทั้งระบอบทักษิณและ คมช. แต่ท่าน
เห็นว่า การปกครองโดยคณะทหารมาไกลพอแล้ว หากมากกว่านี้ นานกว่านี้ อาจส่ง
ผลเสียหายต่อประเทศชาติ ... ท่านควรส่งเสียงดังให้ คมช. รู้ว่าพอแล้ว ไปได้แล้ว
ด้วยการ
ลงมติ "ไม่รับ" รัฐธรรมนูญ คมช. และร่วมเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งภายใต้
รัฐธรรมนูญ 2540
4) หากท่านปฏิเสธอำนาจเก่าคร่ำครึของระบอบทหาร อำมาตยาธิปไตย และ/หรือ
เห็นว่าการรัฐประหาร 19 กันยาและระบอบ คมช. เป็นความผิดพลาด ...
ท่านควรลง
มติ "ไม่รับ" ไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ชอบทักษิณก็ตาม
5) หากท่านยังลังเลระหว่างอำนาจเก่าของทักษิณ กับอำนาจเก่ากว่าของระบอบทหาร
และข้าราชการผู้ใหญ่ การตัดสินใจของท่านขึ้นอยู่กับการประเมินของท่านว่า
- ทักษิณน่ากลัวขนาดไหน และมีโอกาสกลับมาอีกมากน้อยแค่ไหน
- ระบอบทหารและข้าราชการผู้ใหญ่ จะเป็นทางออกหรือเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย
ไทยกันแน่ แค่ไหน ระบอบนี้กำลังมีอำนาจอยู่และมีโอกาสอยู่ต่อไปอีกนาน ... ท่าน
ต้องการเช่นนั้นหรือไม่
7. ไม่รับรัฐธรรมนูญคือการปฏิเสธระบอบทหารการลงประชามติคราวนี้ ถึงที่สุดคือ ท่านคิดอย่างไรกับระบอบทหาร อำมาตยาธิปไตย
ในการเมืองไทย
รับ-ไม่รับรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการออกเสียงต่อระบอบทหาร อำมาตยาธิปไตยในการเมือง
ไทยเราท่านส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกขี่หลังเสือ จนต้องกลัวโดนคิดบัญชีกลับอย่างผู้มีอำนาจใน
คมช. ผู้นำพันธมิตร หรือบริกรทั้งหลายของ คมช. แต่เราท่านส่วนใหญ่คือประชาชนผู้
ต้องทนอยู่กับผลกระทบของปัจจุบันไปอีกนาน ในอนาคต
การลงประชามติที่กำลังจะมาถึง แม้จะเป็นประชามติแบบมาเฟีย แต่ก็เป็นโอกาสที่จะ
ต่อสู้อย่างสันติ เพื่อส่งเสียงว่าเราต้องการอนาคตแบบไหน
คิดให้รอบคอบ คิดให้ไกล และกล้าหาญ
อย่าคิดเพียงแค่ว่า การลงมติรับจะเป็นการหลุดพ้นจากความอึดอัดปัจจุบัน เพราะ
แท้ที่จริงเป็นแค่ การซื้อเวลา เพื่อรอการระเบิดในอนาคต
อย่า "หงอ" กับท่าทีแบบมาเฟีย ที่ขู่เราว่า "ไม่รับอาจเจ็บตัว" หรือมีดาบซ่อนอยู่
ข้างหลัง
ขอทุกท่านที่ไม่ต้องการระบอบทหารครองเมือง มาร่วมกันออกเสียง "ไม่รับ" เพื่อ
บอกทหารว่า
"กลับกรมกองเสียเถิด อย่าให้ประเทศชาติพินาศไปกว่านี้เลย"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2550http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/17/WW12_1208_news.php?newsid=84391http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=8879&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai* น่าจะ "เกือบ" เพราะ 35 จังหวัด จาก 76 จังหวัด