ฟังความอีกด้านครับ
...............................................
ถึง นสพ ผู้จัดการ ทำข่าวผิดอีกแล้ว กรณีหน้ากองทัพภาคสาม
ผมแปลกใจว่า ทำไมลงข่าวที่เกี่ยวกับผม มันผิดทุกทีไป ครั้งที่แล้ว ก็ผิดไปทีหนึ่งแล้ว
จากกระทู้นี้
ข้อเท็จจริงคือ มีมวลชนฝ่ายทหาร มายืนอยู่ประมาณ 30 คน เต็มที่ไม่ถึง 50 คน
ความตึงเครียด เกิดมวลชนฝ่ายตรงข้าม ยืนด่าทอ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เกือบครึ่ง ชม แล้วเข้าไปกระตุกแขน มีอยุ่คนหนึ่ง พยายามดึงผมเข้าไปในกองทัพ บอกว่า ไปคุยกันข้างในดีกว่า โดยดึงมือผมเข้าไป ซึ่งผมก็เดินตาม แต่ตำรวจมาดึงมือออกไปซะก่อน ไม่งั้น ผมคงได้มีโอกาสเข้าไปในกองทัพภาคสาม ซึ่งผมไม่สงสัยว่า บุรุษที่แต่งกายนอกเครืองแบบคนนั้น เป็น ทหารหรือไม่
ส่วนที่ให้ข่าวว่า เราไปพักที่โรงแรมลาพาโลมา นั้นก็ไม่จริงเช่นกัน เราเดินทางไป แล้วก็กลับ ไม่ได้พักที่พิษณุโลก
และผมไม่เข้าใจว่า ทำไม นสพ ผู้จัดการ ต้องพยายามสือเรื่องคุณทักษิณ กับ ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย เป็นเรือ่งเดียวกัน คือ ผมเห็นความพยายามของ ผจก ที่จะทำให้ภาพของคนที่เรียกร้อง ปชต เป็นประเด็นทักษิณอย่างเดียว
การเสนอข่าวดังกล่าวของ ผจก พูดเพียงว่า เกือบเกิดการหวิดปะทะ แต่ไม่เสนอข่าวว่า ฝ่ายที่มายืนด่า และ พยายามเข้ามาทำร้ายร่างกาย คนที่ไปแสดงออกอย่างเปิดเผย และ สันตินั้น มันป่าเถื่อนอย่างไร
โดย บก.ลายจุด
http://www.nocoup.org/newwebboard/main.php?board=110570&topboard=1บันทึก บก.ลายจุด ตอน "หน้าค่าย กองทัพภาค 3"
http://www.nocoup.org/newwebboard/main.php?board=110568&topboard=1รถ 3 คันของเหล่าอาสาสมัครประชาธิปไตย เดินทางออกจาก กทม แบบแยกกันเดินทาง แล้วนัดหมายเจอกันหน้าค่ายทหารที่เมืองพิษณุโลก
สำนักข่าวอัลจาชีร่า ตรงจากเชียงใหม่ ประสานขอสัมภาษณ์ระหว่างที่ทีมดาวกระจายไปที่พิษณุโลก
15 กค 50
ด้วยคำแนะนำจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ผมและคณะเดินทางไปนมัสการพระพุทธชินราช อธิฐานว่า ขอให้จิตและเจตจำนงค์ในการต่อสู้ของพวกเรา ยังคงบริสุทธิ์ มีเมตตาต่อทุกฝ่ายที่แม้จะคิดเห็นแตกต่าง รวมถึงกับกลุ่มบุคคลที่เราต่อสู้กับเขา
คืนก่อน 1 วันก่อนเดินทาง พี่จิ้น กรรมมาชน จับผมมานั่งคุยด้วยบอกว่า พี่จิ้นอยากเห็นการต่อสู้ที่เราสามารถยกระดับจิตวิญญาณที่สูงกว่าสิ่งที่เราต่อสู้ด้วย นั่นหมายความว่า หากเราต่อสู้ด้วยความเกลียดชัง เราก็จะถูกสิ่งนั้นเข้าครอบงำ และ ความเกลียดชังนั้นก็จะกลืนกินเรา จนเรากลายเป็นความเกลียดชังนั้น หรือ เหมือนกับศรัทรูที่เรากำลังต่อสู้ สุดท้ายเราก็จะเป็นเผด็จการตนหนึ่งที่เราเกลียดชังนั่นเอง
เสร็จจากทำจิตใจให้บริสุทธิ์แล้ว ก็ไปคำนับศาลพระนเรศวรมหาราช บุคคลที่ชาวพิษณุโลกให้ความเคารพนับถือในฐานะผู้กอบกู้บ้านเมือง
รถกระบะของเราวิ่งไปจอดที่ตลาดสดในเมือง เราแบ่งทีมออกเป็นสองทีม กระจายแจกเอกสารกฏหมายขาว ดำ และ สติ๊กเกอร์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่ทางเครือข่าย 19 กย ต้านรัฐประหารจัดทำขึ้น
ผู้ชายสูงอายุคนหนึ่ง สวมหมวกลายทหาร กางเกงครึ่งท่อน ดูจากภายนอกก็รู้ว่า เขาเป็นทหาร ผมเดินเข้าไปยืนสติ๊กเกอร์ไม่รับร่าง รธน เขามองหน้าผม แล้วทำมือเหมือนขอเงิน แล้วก็บอกว่า "จ่ายมา" ผมส่งยิ้มให้ บอกว่า การรณรงค์ไม่ใช่การจ้าง ประชาชนเห็นด้วยก็รับ ไม่เห็นด้วยก็ไม่รับ แต่อยากให้ประชาชนได้มีโอกาสฟังความทั้งสองด้าน ทั้งข้อดีข้อเสีย จากนั้นผมบอกเขาว่า เสร็จจากนี้จะไปที่กองทัพภาคที่ 3 เขานิ่งไปแป๊บนึง แล้วบอกผมว่า ให้เตรียมซื้อข้าวกล่องไปหลาย ๆ กล่อง แปลความหมายว่า เตรียมไปนอนในค่ายทหารได้เลย ผมจากลาลุงคนนั้นไปด้วยคำขอบคุณ
เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองทหารโดยแท้ เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของกองทัพภาคที่ 3 แล้ว ยังมีประวัติศาสตร์สมเด็จพระนเรศวร ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาผูกพันกับชาติ และ การเมืองอย่างน่าสนใจ
17.30 คณะเดินทางถึงหน้าค่ายพระนเรศวร ทหารยืนประจำการอยู่หน้าประตูหลายคนทีเดียว เรารู้ได้ทันทีว่า เขาเตรียมพร้อมพอสมควร
18.00 น. อาสาสมัคร นำป้ายผ้าข้อความ เอา รธน เผด็จการ คืนไป เอาประชาธิปไตยคืนมา ออกกาง พร้อมป้ายยก "คมช โกหกประชาชน เผด็จการจะสร้างประชาธิปไตย"
ทหารในเครื่องแบบ พยายามขอให้เราออกจากบริเวณหน้าค่าย แต่พวกเราก็ยืนยันถือป้าย และ แจกเอกสาร สำหรับคนที่ขับรถเข้าออกกองทัพ
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า บริเวณหน้ากองทัพ ก็คือ พื้นที่ชุมชนของครอบครัวทหาร แต่นั่นคือพื้นที่ ๆ ดีที่สุด ที่เราจะยืนสื่อความหมาย ไม่ถึง 5 นาที มวลชนทั้งเป็นชาวบ้านบริเวณนั้น และ ทหารนอกเครือ่งแบบ ก็เริ่มส่งเสียงโวยวาย ข่มขู่ จนถึง ด่าทอ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย
ตำรวจเดินทางเข้าตรึงพื้นที่ แบ่งกลุ่มให้ทั้งสองฝ่าย ยืนอยู่บนคนละถนน ผมและเหล่าอาสาสมัครยืนถือป้ายอย่างสงบ อดทนกันถึงที่สุด ที่จะไม่ตอบโต้ด้วยวาจา เพราะเป็นข้อตกลงที่พวกเราได้ตกลงกันก่อนหน้านี้แล้ว ส่วน อาสาสมัครบางคนที่เดินทางกันมาเอง ซึ่งก็เป็นคุ้นเคยอยู่ที่สนามหลวง แต่ไม่ได้คุยกันมาก่อน ก็หมดความอดกั้น สวนคำพูด โต้เถียงกันอย่างดุเดือด ถ้าบอกชื่อออกไป พวกเราคงนึกออกว่า บรรยากาศการตอบโต้เป็นอย่างไร เธอคือ "ดา ตอปิโด" ผมตัดสินใจ ขอเชิญพี่ดา ออกจากพื้นที่ โดยให้พี่อีกคน ขับรถพาพี่เขาออกไป เพราะการชุมนุมของเรา จะกลายเป็นการทะเลาะวิวาทไปในที่สุด
ผมหยิบโทรศัพท์โทรเข้าหา เสธ ในกองทัพภาคสามคนหนึ่ง ที่เป็นคนที่ประสานงานกันทางโทรศัพท์ เผื่อว่า ทางในกองทัพ จะมีใครออกมาคุยด้วย แต่มือถือปิด
ผมอ่านเกมนี้ออกทันที ที่แม่ทัพภาคสามบอกว่า ยินดีต้อนรับกลุ่มผู้ชุมนุมจากสนามหลวงนั้น เป็นการต้อนรับแบบไม่ปรากฏตัว และ ปล่อยให้ประชาชนอย่างเรา เผชิญหน้ากับมวลชนอีกฝั่งอย่างกดดัน
ผมพยายามยืนให้นานที่สุด ตัดสินใจไม่ใช้เครือ่งเสียง เพื่อมิให้ฝ่ายตำรวจใช้เป็นเงื่อนไขในการจับกุม และ ยั่วยุฝ่ายมวลชนตรงข้าม
เอากันถึงที่สุด ผมไม่ได้มีเจตนามาเผชิญหน้า หรือ ต่อเถียงกับมวลชนเหล่านั้น ส่วนคำพูดมากมายที่พวกเขาด่าทอมา เราก็มีคำตอบในทุกคำพูด ไม่ว่าจะเป็น
- ไม่รอให้เลือกตั้งก่อน แล้วค่อยมาเคลื่อนไหว ทำตอนนี้ทำไม บ้านเมืองไม่เป็นสุข
- แน่จริง ทำไมไม่ไปยกป้ายที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
- ไอ้พวกรับจ้าง ทำลายชาติ
- ปีสิริมงคล ทำไมยังออกมาประท้วง ก่อความวุ่นวาย ไม่รักในหลวงหรือไง ?
- คนพิษณุโลกหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่กลับไปเลย ที่นี่ไม่ต้อนรับ
- แน่จริงไปจัดเวทีที่ศาลากลางเลย แล้วออกไปพูดบนเวทีด้วยกัน
- คมช เป็นเผด็จการ ใช่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับรัฐธรรมนูญ มันเผด็จการตรงไหน ?
- ไหนบอกมาสิ พวกแก คิดยังไง ถึงมาประท้วงกันตรงนี้
แต่.....ผมก็ไม่มีโอกาสได้อธิบาย เพราะทันทีที่ผมบอกว่า ผมพร้อมที่จะอธิบาย ก็จะมีคนตะโกนบอกว่า "ฆึงไม่ต้องพูด มึงไปเลย" อีกคนก็บอกว่า "ใช่ ๆ ไปเลย"
แม้จะประเมินไว้ก่อนเดินทางแล้วว่า สถานการณ์จะเป็นการเผชิญหน้าระหว่างมวลชนของทั้งสองฝ่าย ผมทำได้เต็มที่คือ มาเยือนและแสดงออกตามสิทธิของประชาชนคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง รธน และ บทบาทของคณะทหารที่ทำการยึดอำนาจ ภาระกิจนี้ได้บรรลุตามเจตนารมณ์แล้ว ส่วนผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คงต้องน้อมรับไป และระมัดระวังเหตุการณ์บานปลาย
ถึงตอนนี้ ผมนึกขอบคุณผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่แนะนำให้ผมไปนมัสการพระก่อนที่จะเข้ามาหน้าค่ายทหาร ทำให้ผมสามารถรักษาความสงบภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียด
ผมไม่โกรธ นายทหารที่ด่าทอเหยียดหยามพวกเราด้วยภาษาหยาบคาย ดูถูก เขาเพียงรับรู้ และ มองโลกในแง่มุมของเขาเช่นนั้น
เอาเป็นว่า อโหสิกรรมให้กันและกันนะครับ คุณรักชาติ เรา ก็รักชาติ เช่นกัน เพียงแต่ว่า ชาติของคุณมีทหารเป็นฮีโร่ ส่วนชาติของเรา ประชาชนต้องเป็นใหญ่