รัฐราชการอาญาสิทธิ์เพื่อความมั่นคง และการสอดส่องเบ็ดเสร็จเกษียร เตชะพีระเมื่อพลเอก สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำกำลังทหาร
ก่อรัฐประหารยึดอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐไปจากปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของในคืนวัน
ที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 นั้น ได้กล่าวย้ำคำมั่นสัญญาท้ายแถลงการณ์ คปค. ฉบับ
แรกว่า :-
"ขอยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินเสียเอง แต่จะได้คืน
อำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
กลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด"
ทว่าหลังจากที่หัวหน้า คปค. ผู้กลายมาเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
(คมช.) และรัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ปฏิรูปการปกครองมาเป็นเวลาร่วม
10 เดือน บัดนี้กลับ
เป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้นทุกทีว่า เส้นทางที่ท่านนำพาประชาชนไทย
รุดหน้ามานั้น
จะไม่นำไปสู่ที่นัดพบของเราตามที่ท่านให้สัญญาไว้นับแต่วันที่ 19
กันยายน พ.ศ.2549 นั้นเลย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระบอบการปกครองอะไรก็แล้วแต่ที่กำลังถูก คมช.และรัฐบาล "ปฏิรูป"
ให้เกิดขึ้นมานั้น แม้จะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แม้จะมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง
แต่ก็
ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแน่นอน!จะตระหนักเห็นความจริงข้อนี้ได้ เราต้องไม่มัวเพ่งมองยึดติดถือมั่นอยู่แต่เพียงบางหมวด
บางมาตราที่มีสีสันเสรีประชาธิปไตยจัดจ้านขึ้นบ้างในร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เพราะ
นั่นรังแต่ชวนให้ไขว้เขวหลงผิดเหมือนต้องมนต์สะกด
หากต้องมองกว้างออกไปให้เห็นภาพรวมของ
[แพคเกจนิติบัญญัติทั้งชุด] ที่คณะรัฐประหาร [หรือนัยหนึ่ง คมช.+รัฐบาลสุรยุทธ์]
กำลังผลักดันเสนอให้ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ-ที่ซึ่งสมาชิกผู้มีเกียรติแห่งสภานั้น
แต่ละท่านแต่ละคนล้วนถูกประธาน คมช. คัดเลือกลงนามแต่งตั้งมาเองกับมือ
ก็แล้ว [แพคเกจนิติบัญญัติทั้งชุด] ของคณะรัฐประหาร ประกอบด้วยอะไรบ้างเล่า?
มันประกอบไปด้วย :-
-ร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ..... (ผ่าน ครม. 15 พ.ค.50)
- ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ... (ผ่าน ครม. 29 พ.ค. 50)
- ร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ. ... (ผ่าน ครม. 19
มิ.ย. 50)
- ร่างพระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติ พ.ศ. ... (ผ่าน ครม. 19 มิ.ย. 50)
- ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 (ผ่าน ส.ส.ร. 6 ก.ค. 50)
[แพคเกจนิติบัญญัติทั้งชุด] ของคณะรัฐประหาร ทำงานประสานกันอย่างไรหรือ?
1) ร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่จะริบสถาบันกำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งเคยเป็นห่วงเชื่อมสื่อประสานอำนาจฉันทามติของ
ชาวบ้านจากการเลือกตั้งตามวาระ เข้ากับอำนาจกำกับบังคับบัญชาของรัฐราชการ
ส่วนกลางอันเป็นพื้นฐานการปกครองส่วนท้องถิ่นแต่เดิมมา ให้กลายเป็นกลไกอำนาจ
ของรัฐราชการส่วนกลางล้วนๆ โดย
ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านอยู่ในตำแหน่งต่อจนอายุ 60 ปี
อันเท่ากับปลดพวกเขาให้พ้นพันธะและอาณัติคะแนนเสียงของชาวบ้าน ไม่ต้องขึ้นต่อ
การเลือกตั้งตามวาระอีกต่อไป
- ทำให้อำนาจรัฐราชการแผ่ซ่านเข้า
ยึดกุมครอบงำการปกครองระดับรากหญ้าท้องถิ่น
เหนียวแน่นขึ้น ถ่วงทานองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจากการเลือกตั้งต่างๆ เช่น อบต.
2) ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินจะเพิ่มอำนาจให้ราชการระดับจังหวัดด้านงบประมาณ การวางแผนพัฒนาและการบริหาร
- ทำให้อำนาจรัฐราชการส่วนภูมิภาคอิสระและกว้างขวางขึ้น เหมือนมีคณะซีอีโอระดับ
จังหวัดที่ไม่ตกอยู่ใต้การนำแบบรวมศูนย์เด็ดขาดของฝ่ายการเมืองดังสมัยรัฐบาลทักษิณ
อีกต่อไปเพราะนายกฯซีอีโอระดับชาติจะถูกบั่นทอนให้อ่อนเปลี้ยลงตามร่างรัฐธรรมนูญ
2550 อยู่แล้ว
3) ร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรจะสร้างโครงข่ายกลไกรักษาความมั่นคงภายใน ตั้งแต่ระดับชาติ-ภาค-จังหวัดและ
กรุงเทพมหานครขึ้น อยู่ภายใต้การกำกับบริหารของกองอำนวยการรักษาความมั่นคง
ภายในที่มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้อำนวยการ โดยรวมศูนย์อำนาจทั้งด้านการอนุมัติ
แผนแม่บทและแผนปฏิบัติการ ออกข้อกำหนดประกาศ คำสั่ง มีอำนาจบังคับบัญชา
หน่วยงานของรัฐทั้งหลายที่เกี่ยวกับความมั่นคงและฟื้นฟูช่วยเหลือประชาชน กระทั่ง
ร่วมใช้อำนาจระดับสอบสวนและสั่งดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม
อำนาจที่ ผบ.ทบ.ในฐานะ ผอ.รมน. มีตามกฎหมายนี้ล้วนเป็นอำนาจที่เข้าไป
ล่วง
ละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลพลเมืองเหนือชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน เช่น
ห้ามพกพาอาวุธ, ห้ามใช้ถนนเส้นทาง, ห้ามชุมนุม, ห้ามออกนอกบ้าน, ขอข้อมูลส่วนตัว
ลูกจ้างพนักงานเอกชนจากนายจ้าง, ห้ามซื้อขายครอบครองสินค้า, เข้าจับกุม คุมตัว
ปราบปราม, เรียกตัวสอบถาม เรียกเอกสาร, ตรวจค้นยานพาหนะและเคหสถาน, ยึดหรือ
อายัดทรัพย์สินเอกสารพยานหลักฐาน เป็นต้น
เนื่องจาก
"ความมั่นคง" ในกฎหมายนี้ได้ถูกนิยามให้มี
ความหมายครอบจักรวาลอย่าง
แท้จริงคือ คลุมเหนือเรื่องอะไรต่อมิอะไรจิปาถะในชีวิตปกติสามัญของประชาชนที่
ไม่ใช่เรื่องความมั่นคงมาแต่ก่อน ให้กลายเป็นเรื่อง "ความมั่นคง" ไปเสียหมด อาทิ
ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย, ความรักและหวงแหนวัฒนธรรมและผืนแผ่นดินไทย,
ความสามัคคีเข้มแข็ง, การโฆษณาชวนเชื่อ, การยุยง, การปลุกปั่น เป็นต้น
ฉะนั้น อำนาจเหล่านี้ ผอ.รมน. หรือผู้ได้รับมอบหมายจึงสามารถ
ใช้ได้ทุกเวลาทั้งใน
ภาวะปกติและภาวะไม่ปกติ, ใช้ได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศทุกภาคทุกจังหวัดรวมทั้งเขต
กรุงเทพมหานคร และใช้ได้เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย ต่อบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเป็นภัยต่อ
ความมั่นคงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเท่านั้นเป็นพอ
โดยมิต้องมีพยานหลักฐานพิสูจน์ชัดจนสิ้น
ความสงสัยที่มีเหตุผลดังในกระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด
โดยผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายนี้
ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งทางอาญาและทางวินัยอีกทั้ง
ไม่อยู่ในอำนาจตรวจสอบถ่วงดุลของศาลปกครองด้วย
- ทำให้อำนาจรัฐราชการสถาปนาโครงสร้างรักษาความมั่นคงภายในขึ้นเป็นรัฐซ้อนรัฐ
และสถาปนา ผบ.ทบ. ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในขึ้นเป็นผู้กุมอำนาจ
บริหารรัฐซ้อนผู้กุมอำนาจบริหารรัฐ (นายกรัฐมนตรี) เพื่อใช้อำนาจครอบจักรวาลทุก
กาละ เทศะ และภาวการณ์
ในนามของ "ความมั่นคง" ขอเพียงแต่เป็นภัยที่ต้องสงสัยหรือ
คาดว่าจะเกิดขึ้นเท่านั้นโดยไม่ต้องรับผิดทางใดๆ
4) ร่างพระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติจะให้อำนาจรัฐราชการดำเนิน "การข่าวกรอง" หรือนัยหนึ่งแอบลักลอบแฝงตัวติดตาม
สืบล้วงข่าวสารข้อมูลของ "บุคคล กลุ่มบุคคลหรือองค์กรทั้งภายในประเทศและต่าง
ประเทศ เพื่อเสนอให้รัฐบาลนำมาใช้กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์แห่งชาติ เพิ่มขีด
ความสามารถ ศักยภาพและพลังอำนาจของชาติ ป้องกันปัญหาหรือผลกระทบต่อความ
มั่นคงของชาติ"
- ทำให้รัฐราชการมีอำนาจ
สืบล้วงล่วงรู้ข้อมูลข่าวสารของทุกคนทุกสถาบันเอกชนใน
สังคมทั้งสังคมได้
โดยชอบด้วยกฎหมายเป็นปกติตลอดเวลาอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดเรื่องสิทธิส่วนบุคคล
5) ร่างรัฐธรรมนูญ 2550จะทำให้อำนาจของสถาบัน
ฝ่ายการเมืองจากการเลือกตั้งอ่อนแอลงอย่างทั่วด้านไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง, รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี เช่น
การเลือกตั้ง ส.ส. แบบรวมเขตเรียงเบอร์ จะทำให้ได้ ส.ส. ผสมต่างพรรคหลากหลาย
การเลือกตั้ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 8 เขตกลุ่มจังหวัด จะทำให้อำนาจอิทธิพลท้องถิ่น
ในพรรคเด่นชัดขึ้น อำนาจการนำระดับชาติของแกนนำพรรคอ่อนด้อยลง
วุฒิสภาแบบกึ่งเลือกตั้งกึ่งสรรหาและการเพิ่มสัดส่วนข้าราชการตุลาการในคณะกรรมการ
สรรหาองค์กรอิสระต่างๆ จะเพิ่มอำนาจข้าราชการประจำมากขึ้นในองค์กรตรวจสอบถ่วงดุล
ฝ่ายการเมือง
เหล่านี้เมื่อรวมกับมาตราที่ตอกย้ำการลงโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการพรรค
ที่ถูกยุบ ทว่าในทางตรงข้ามกลับรับรองความชอบด้วยกฎหมายของบรรดาการที่เกี่ยว
เนื่องกับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 (ฉบับรัฐประหาร) ด้วยแล้ว
- ทำให้ดุลอำนาจของสังคมการเมืองไทยพลิกเปลี่ยน อำนาจรัฐราชการกลับขึ้นเป็น
ฝ่ายครอบงำเหนือพลังการเมืองของกลุ่มทุนใหญ่ที่มีพรรคการเมืองเป็นตัวแทน ด้วย
การบั่นทอนกร่อนเซาะบรรดาสถาบันที่เป็นช่องทางในการใช้อำนาจอธิปไตยโดย
ประชาชนผ่านการเลือกตั้งตัวแทนลงไป
ผลลัพธ์โดยรวมของ [แพคเกจนิติบัญญัติทั้งชุด] ของคณะรัฐประหาร จึงจะพลิกเปลี่ยน
โฉมหน้าโครงสร้างการเมืองการปกครองของไทย ด้วยการ
สถาปนาและทำให้เป็นภาวะ
ปกติซึ่งรัฐแห่งความมั่นคงและการสอดส่องเบ็ดเสร็จใต้อำนาจราชการอย่างเด็ดขาดสัมบูรณ์ (Institutionalization & Normalization of the Totalizing Security &
Surveillance State under Absolute Brueaucratic Rule)
หรือพูดง่ายๆ ก็คือทำให้สภาพของเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้อำนาจบริหารใน
สถานการณ์ฉุกเฉินทุกวันนี้กลายเป็น --> สภาพของประเทศไทย
ทั้งประเทศภายใต้
อำนาจบริหารในสถานการณ์ปกติในอนาคตนั่นเอง
ฉะนั้น ไม่ว่าผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จะออกมาเช่นไร ประเทศไทย
ก็ยังคงจะลงเอยเป็นรัฐราชการอาญาสิทธิ์เพื่อความมั่นคงและการสอดส่องเบ็ดเสร็จนี้
ด้วยอานุภาพของ [แพคเกจนิติบัญญัติทั้งชุด] ของคณะรัฐประหารดังกล่าวข้างต้นอยู่ดี
แต่อย่างน้อย การลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการ
แสดงพลังของประชาชนในกระบวนการพยายามต้านทานถอดรื้อมันอย่างสันติวิธี เพื่อ
เห็นแก่อนาคตของเราทั้งปวง
มติชน วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10715http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01130750&day=2007/07/13§ionid=0130Military dictatorship goes to hell.
คมช. ออกไป ...
ประชาธิปไตย คืนมา