ขออนุญาตโพสต์บทความของ "ลม เปลี่ยนทิศ" ที่เขียนนำเสนอเรื่องดี ๆ แบบนี้หลายครั้ง นำมาฝากทั่นเหลี่ยมและลิ่วล้อโดยเฉพาะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยิ่งรวยก็ยิ่งทำบุญ [5 ก.ค. 50 - 16:45]
ช่วงนี้เศรษฐีมหาเศรษฐีอเมริกัน ทั้งที่รวยอยู่เก่าและที่ร่ำรวยใหม่ ต่างก็หันมาทำบุญทำกุศลเป็นการใหญ่ ไม่รู้ทำบุญเพื่อหวังผลบุญให้ร่ำรวยอีกในชาติหน้า หรือทำบุญเพื่อไถ่บาป กันแน่ โดยเฉพาะเศรษฐีที่ร่ำรวยด้วย เฮดจ์ฟันด์ จากการไล่ปั่นหุ้นปัานค่าเงินไปทั่วโลก จนทำให้เศรษฐกิจโลกวิกฤติ คนยากคนจนเดือดร้อนไปตามๆกัน
องค์กรการกุศลใหม่ของเศรษฐีอเมริกันผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จนมูลนิธิการกุศลในสหรัฐฯมีมากกว่า 75,000 แห่ง เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วงสิบปีนี้ แคลิฟอร์เนียรัฐเดียวตัวเลขปี 2004 มีมูลนิธิการกุศลอยู่ 6,242 แห่ง เพิ่มขึ้น 48 เปอร์เซ็นต์ จากปี 1999
ปี 2006 ที่ผ่านมา เศรษฐีอเมริกันบริจาคเงินให้กับมูลนิธิองค์กรการกุศลและองค์กรทางศาสนาต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 260,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยก็ตกประมาณ 9.1 ล้านล้านบาท มากกว่ามูลค่าตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเกือบหนึ่งเท่าตัว เขายังคาดกันอีกว่า ปี 2007 นี้ ยอดเงินบริจาคจะสูงกว่าปี 2006 แน่นอนปีที่แล้ว นายวาร์เรน บัฟเฟทท์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ก็เพิ่งบริจาคหุ้นในบริษัท เบิร์กไซร์ ฮาทาเวย์ ของเขาให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ เป็นมูลค่าเกือบ 49,000 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 1.715 ล้านล้านบาท โดยมูลนิธิบิลและเมลินดา เกทส์ ของ บิล เกทส์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกได้มากที่สุด
วันจันทร์ที่ผ่านมานี้เอง นายวาร์เรน บัฟเฟทท์ ก็เพิ่งประกาศผลการประมูลผู้ที่ต้องการดินเนอร์กับเขาหนึ่งมื้อ เพื่อเอาเงินที่ได้จากการประมูลให้องค์กรการกุศลที่ชื่อ Glide Foundation ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือคนยากจนและคนไร้บ้านในนครซานฟรานซิสโก ผลปรากฏว่า สองเศรษฐีหน้าใหม่ประมูลได้ไปในราคา 650,100 ดอลลาร์ ราว 22.75 ล้านบาท
อะไรเป็นแรงจูงใจให้เศรษฐีอเมริกันเหล่านี้หันมาทำบุญกันมากมาย บางคนก็อ้างว่าทำบุญเพื่อมนุษยธรรม บางคนก็ทำบุญเพื่อไถ่บาป แต่ที่แน่ๆ เศรษฐีอเมริกันส่วนใหญ่ทำบุญเพื่อหวังลดภาษีก้อนใหญ่จากเงินที่บริจาค
ภาษีเงินได้ในอเมริกาถือว่าโหดเอาการ บุคคลธรรมดาที่มีรายได้ ปีละ 2-3 หมื่นเหรียญ ต้องจ่ายภาษีสูงถึง 30-35 เปอร์เซ็นต์จนวันก่อนมหาเศรษฐี วาร์เรน บัฟเฟทท์ เองก็ชักทนเห็นความอยุติธรรมในระบบภาษีอเมริกาไม่ไหว ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับมนุษย์เงินเดือน โดยยกตัวอย่างเลขานุการของเขาเอง มีรายได้ปีละ 60,000 เหรียญ ต้องเสียภาษีเงินได้ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่วาร์เรน บัฟเฟทท์ มีรายได้ปีละ 46 ล้านดอลลาร์ กลับเสียภาษีเงินได้น้อยกว่า จ่ายแค่ 17 เปอร์เซ็นต์กว่าเท่านั้น เจ้านายเสียภาษีเงินได้น้อยกว่าเลขาได้ยังไง
ก็ไม่รู้จะมีคำตอบจากสวรรค์หรือไม่
ผมมีตัวอย่างจากหนังสือพิมพ์ แอลเอ ไทม์ ที่รายงานถึง นายเจอรี่ โคห์ เศรษฐีจากพาซาเดนา แคลิฟอร์เนีย ซึ่งบริจาคเงิน 10 ล้านเหรียญ สนับสนุนองค์กรการกุศลที่ชื่อ Little Kids Rock ในเมืองมองต์แคลร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเปิดสอนการเล่นกีตาร์และร็อคแอนด์โรลฟรีแก่เด็กนักเรียนที่ยากจนจากโรงเรียนรัฐบาล
โคห์บอกว่า ที่เขาตัดสินใจหันมาทำบุญ เพราะเริ่มตระหนักว่า เงินทองที่มั่งคั่งของเขา อาจไม่ช่วยให้ชีวิตของเขาดีขึ้น แต่วันนี้เขารู้สึกดีใจที่เงิน 50 เหรียญของเขา สามารถทำสิ่งที่น่าสนใจให้เกิดขึ้น ทุกวันนี้เขาจะหาเวลาว่างเปิดดูเว็บไซต์ ยูทูป และ ลิตเติ้ลคิดส์ ร็อคทีวี เพื่อดูเงินของเขาที่กำลังทำงานเพื่อเด็กที่ยากจน ซึ่งเป็นความสุขทางใจของเขาอย่างหนึ่งเห็นเศรษฐีอเมริกันหันมาแข่งกันบริจาคเงินเพื่อคนจนและการกุศล แทนการโชว์เพชรนิลจินดาดินเนอร์หรูราคาแพงอวดรวยกันแล้ว ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดี เศรษฐีไทยประเภทไฮโซไฮซ้อทั้งหลาย ที่ชอบเอาโซ่เพชรมาคล้องคอเป็นทาสเครื่องประดับ น่าจะเอาอย่างเศรษฐีอเมริกันมั่ง
รู้จักแบ่งปันกันอย่างนี้ เกิดมาชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมีโซ่เหล็กมาคล้องคอแทนโซ่เพชร ชีวิตจะได้มีความสุขไร้ทุกข์ตลอดไปครับ.ลม เปลี่ยนทิศ
http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=52837