ผมมีโอกาสไปเยือนกลุ่มเพื่อนบ้านอินโดจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คือ สปป.ลาว, เวียดนาม และกัมพูชา โดยนั่งรถจากจังหวัดสุรินทร์ ผ่านเข้าสู่ชายแดนไทยลาวที่ช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี เข้าสู่แขวงจำปาสักที่ลาว และผ่านเข้าสู่เวียดนามที่แขวงอัตปือติดกับเวียดนาม และผ่านจากเวียดนามเข้าสู่กัมพูชาที่ด่านม็อคไบของเวียดนามไปยังเมืองเสียมเรียบ กัมพูชา
ใช้เวลาเดินทาง ๕ วัน ๔ คืน พักที่ สปป.ลาว ๑ คืน, เวียดนาม ๒ คืน และ กัมพูชาอีก ๑ คืน รวมระยะทางราว ๑,๕๐๐ กิโลเมตร
ส่วนปลายปีที่แล้ว ก็มีโอกาสเดินทางจากสุรินทร์ ไป สปป.ลาว ไปแขวงเวียงจันทน์ และนั่งรถเลียบเขาไปยังหลวงพระบางก่อนจะเข้าสู่ประเทศจีนและล่องเรือในแม่น้ำโขงจากจีนสู่ชายแดนไทยที่เมืองเชียงแสน นี่ก็สนุกตื่นเต้นไปคนละแบบ แล้วจะมาเล่าสู่กันในครั้งต่อๆ ไป
ที่จะเขียนในครั้งนี้คือ เรื่องของ
สงคราม เราๆ ท่านๆ ทราบกันดีว่าตอนนี้สถานการณ์ของบ้านเรา ประเทศไทย กำลังตกอยู่ใน ภาวะสงคราม ดังที่มีผู้นำระดับสูงหลายๆ ท่านได้เคยกล่าวผ่านสื่อมวลชน
เราทุกคนต้องยอมรับสภาพนั้น แม้สงครามนั้นดูอาจจะไกลตัวเรา แต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อยนั้น มันเป็นเรื่องใกล้ชิดใกล้ตัวเหลือเกิน เราได้รับรู้ความโศกเศร้าและความสูญเสียของเพื่อนร่วมชาติจากผลพวงของสงครามนั้น
ขณะที่สงครามที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธยังไม่สิ้นสุด ในกลางเมืองหลวงก็ก่อเกิดสงครามการเมืองที่หลายๆ ฝ่ายคาดว่าจะนำไปสู่สงครามที่มีการนองเลือดอีกครั้งหนึ่ง
บางคนอาจกล่าวว่า การต่อสู่ระหว่างคนที่ไม่มีอาวุธกับคนอาวุธจะเรียกสงครามได้อย่างไร ผมขอเรียกมันว่าสงครามก็แล้วกัน เพราะฝ่ายที่ไม่มีอาวุธก็ใช้คนเป็นอาวุธ (ใช้เงินด้วย)
การเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มอินโดจีนของผม ทำให้ผมได้ศึกษาผ่านทั้งตำราและผ่านสายตา ซึ่งเมื่อก่อนนั้น คนรุ่นผมถูกสอนให้กลัวและไม่ชอบกลุ่มประเทศเหล่านี้ผ่านระบบการศึกษา เพราะการปกครองที่แตกต่างกัน ผมยังจำแผนที่เมื่อครั้งอยู่ชั้นประถมปีที่ ๖ ได้ รูปแผนที่เป็นภาพทหารสวมหมวกดาวแดงกำลังอ้าปากจะกินประเทศไทย ผมกำลังจะลองวาดขึ้นมาใหม่อีกครั้งจากความทรงจำ เพื่อย้ำเตือนถึงประวัติศาสตร์ในอดีต
คนอายุ ๓๐ ขึ้นน่าจะจำท่อนหนึ่งของเพลงปลุกใจ (ผมจำชื่อเพลงไม่ได้)
...เขมรยับ ลาวก็เยิน เกินจะยั้ง เสียงปืนดัง ชิดขอบไทยใช่ไหมนี่ หากแม้นเราประมาทชาติไพรี พบกันที่กลางสมุทรเพราะสุดทาง...
ตอนนี้ ให้เราคิดกันเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกที่จะมาทำลายประเทศไทย ก็คนไทยด้วยกันเองนี่แหละ
....
ครั้งกระนั้น พวกผมและเพื่อนๆ เคยเดินแกะแถลงการณ์ปลุกระดมมวลชนของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ติดตามเสาไฟฟ้าออก และจะมีทหารฝ่ายปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) มาเล่นดนตรีให้พวกเราได้ชมได้ฟังกันบ่อยๆ เราอยู่กันด้วยความหวาดระแวงไม่ต่างจาก ๓ จังหวัดชายแดนเช่นกัน แต่ไม่รุนแรงถึงขนาดนั้น
จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของกลุ่มประเทศอินโดจีน ทำให้ทราบว่า พวกเขาล้วนผ่านประสบการณ์เลวร้ายและโหดร้ายจากการรุกรานของกองทัพต่างชาติ และผ่านการสู้รบกันเองหรือสงครามกลางเมือง
เป็นประวัติศาสตร์ที่พวกเขาล้วนไม่อยากกล่าวถึง แต่คนไทยอย่างพวกเราน่าศึกษาอย่างยิ่ง
ขณะที่เพื่อนบ้านของเราผ่านเลยจุดนั้นมาแล้ว เหลือไว้เพียงความทรงจำไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาและจดจำเพื่อก้าวไปข้างหน้า
ส่วนบ้านเรา ไม่เคยหลาบจำ
มีแต่ความเคียดแค้นชิงชังกันเอง ไม่ยอมลดราวาศอกให้กัน มุ่งเอาผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ไม่ศึกษาประวัติศาสตร์เพือนบ้านว่า การเดินไปสู่จุดแห่งความหายนะนั้นมีแต่ความพินาศ ฉิบหาย สูญเสีย และคนที่สูญเสียก็ไม่ใช่ใคร ประชาชนนั่นเอง ขณะที่ผู้นำก็ยังคงดำเนินชีวิตปกติ
เราเห็น เราทราบมาแล้ว แต่เราไม่เอามาเป็นบทเรียน
ความมักใหญ่และความทะเยอทะยานของคนที่มีแต่ความฉ้อฉล ไม่เคยประสบความสำเร็จ บทเรียนจากทั่วโลกก็มีแล้ว
ผมได้แต่หวังเรา ประเทศของเราจะเดินไปสู่หนทางแห่งสันติภาพอย่างที่พวกเราหวังกันไว้
สาธุ ขอให้องค์พระสยามเทวาธิราชจงคุ้มครองปกปักรักษาบ้านเมืองของเราและอภิบาลองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมถึงประชาชนคนไทยที่มีจิตบริสุทธ์ที่รักชาติรักแผ่นดินให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขตลอดกาลนาน
ส่วนคนที่คิดชั่ว คิดร้ายทำลายแผ่นดิน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลให้มองเห็นความจริง และหันกลับช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข
ถ้ายังมืดบอดตามัว ก็ขอให้ชีวิตท่านจมอยู่ในความเคียดแค้นชิงชันตลอดไป ตามความสมัครใจของท่าน
ด้วยจิตคารวะ