เศรษฐกิจไทยวันนี้ไม่ดิ่งเหว ผลบวกยาแรงยุค "ธารินทร์"
2 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 07:54:00
จุดเปลี่ยนประเทศไทย 10 ปีหลังวิกฤติ 40 : วัชรา จรูญสันติกุล
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีคลังในยุคแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินไทยปี 2540 ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงจากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจไทยตลอดเวลาที่รับตำแหน่งสามปี ว่า "ล้มเหลว" ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจขณะนั้น เพราะเดินหลงทางตามก้นไอเอ็มเอฟจนให้ "ยาแรง" เกินขนาด ซึ่งถือว่าเป็นการให้ยาผิดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อีกทั้งทำให้ขาดความเป็น "อิสระ" ในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นของประเทศไทยเองท่ามกลางภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น
วันเวลาได้ผ่านมาสิบปี แต่บนเวทีวิพากษ์ยังคงพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายการเงินการคลังในยุคของธารินทร์ทั้งแง่มุมบวกมุมลบ
หลังจากเหตุการณ์เงินบาทถูกโจมตีเป็นระลอกใหญ่จากภายนอกประเทศในช่วงวันวาเลนไทน์ 14-15 กุมภาพันธ์ 2540 ห่างจากระลอกแรกที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2539 ราวคลื่นมรสุมสงบนิ่ง แต่เมฆฝนก็ตั้งเค้าอีกนับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม
โดยในเช้าวันหนึ่ง นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในขณะนั้น หอบแฟ้มเอกสารเพื่อรายงานรัฐมนตรีคลัง ดร.อำนวย วีรวรรณ เกี่ยวกับความอ่อนแอของสถาบันการเงิน 18 แห่ง กับอีก 3 ธนาคารพาณิชย์ จำเป็นที่ทางการเองงัดเอาแผนควบกิจการมาใช้กัน โดยให้รัฐเข้าถือหุ้นใหญ่คล้ายกับจะจัดตั้งเป็นธนาคารกรุงไทยแห่งที่สอง
ในที่สุดมีคำสั่งปิดแค่ 16 สถาบันการเงิน ในเดือนมีนาคม 2540 นั้นเอง โดยมีรัฐค้ำประกันเงินฝาก แต่เมื่อไม่ปรากฏชื่อของสองบริษัทเงินทุนใหญ่ เช่น เอกธนกิจของนายปิ่น จักกะพาก และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จีเอฟ ทั้งที่เป็นความข้องใจของนักลงทุนในตลาด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เส้นแบ่งความเชื่อมั่นได้ขาดสะบั้นลง เกิดปรากฏการณ์ข่าวลือเป็นระลอกหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยการถอนเงินจากสถาบันการเงินใหญ่ๆ จนขาดสภาพคล่อง และลุกลามสู่การแห่ถอนเงินครั้งใหญ่ในระบบสถาบันการเงินจนกระทั่งคลอนแคลนและนำไปสู่การต้องปิดสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีก 42 แห่ง รวมเป็น 58 แห่งในเดือนสิงหาคมต่อมา ตามข้อเสนอของไอเอ็มเอฟ เพื่อตัดทิ้งเนื้อร้ายและเพื่อหยุดการแห่ถอนเงิน Deposit Run ในระบบสถาบันการเงินไทย
โดยที่รัฐบาลไทยต้องรับประกันเงินฝาก และกองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินให้ความคุ้มครองกับเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างชาติทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์
ในเวลานั้น อาณาจักรของ "เอกธนกิจ" ขยายตัวใหญ่จนเกือบจะก้าวกระโดดขึ้นเป็น "Mega Finance Company" กลับต้องล่มสลายลงไปกับสินทรัพย์ที่เสียหายกว่าแสนล้านบาท รวมทั้งความล้มเหลวของแผนการควบกิจการกับธนาคารไทยทนุ ต่อมาได้ส่งผลเป็นโดมิโนให้การหาผู้ร่วมทุนจากธนาคารต่างชาติของธนาคารไทยอีก 4 แห่ง ถึงกับล้มเหลวตามไปด้วย
เกือบจะเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยตกอยู่ในสภาพนักวิ่งผลัดที่ส่งไม้ต่อจากวิกฤติสถาบันการเงินในระลอกแรกนั้น มาถึงการโจมตีค่าเงินบาทจากเฮดจ์ฟันด์ที่เป็นกองทุนเก็งกำไรภายนอกประเทศได้เกิดขึ้นระลอกใหม่เป็นครั้งที่สาม ซึ่งนับเป็นระลอกที่ใหญ่ที่สุดอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทย เฮดจ์ฟันด์มีอำนาจเงินนับหลายแสนล้านดอลลาร์ ทุ่มโจมตีเงินบาทสุดตัวเพื่อเอาชนะ ธปท.ในขณะนั้น จนทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่สะสมมานานกว่าครึ่งศตวรรษได้ไหลทะลักออกจาก ธปท.วันละหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างต่อเนื่อง นับจากวันที่ 12-16 พฤษภาคม โดยหนักหน่วงที่สุดในช่วงวันที่ 13-14 พฤษภาคม ทุนสำรองเงินตราได้ไหลออกจำนวนมหาศาลไม่ต่ำกว่าวันละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จนกระทั่งทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่มีอยู่ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2539 ลดลงแทบไม่เหลือหลอ ทำให้วิกฤตการณ์เงินบาทที่ถูกซ่อนเร้นไว้กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ถล่มภาวะเศรษฐกิจไทยและฐานะการเงินของประเทศจนซวนเซแทบล้มทั้งยืน ประกอบกับคนไทยเริ่มขาดความเชื่อมั่นในประเทศกันเอง มีการนำเงินออกนอกประเทศในเดือนมิถุนายน จนทุนสำรองเกือบกลายเป็นเลขศูนย์
ในที่สุด ธปท.ก็หมดทางเลือกต้องลดค่าเงินบาท และประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจากการบริหารในระบบตะกร้าเงิน มาเป็นระบบลอยตัวแบบจัดการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ทำให้เงินบาทมีค่าลดฮวบฮาบลงจากอัตรา 25 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 27-28 บาท และไถลลงหนักที่สุดในปลายเดือนมกราคม 2541 ที่ 56 บาท
ย้อนเวลากลับไปในวันที่ 21 สิงหาคม 2540 ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินไทย ก่อนที่จะลุกลามไปสู่วิกฤติระดับภูมิภาคในเอเชีย ประเทศไทยต้องเข้าโปรแกรมการขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) โดยได้รับเงินกู้เป็นจำนวน 1.72 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นเงิน Stand By Credit ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจะสามารถชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ต่างชาติที่รุมขอคืนเงินกู้จากภาคธุรกิจของไทย ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องยืนยันพันธกรณี (Letter Of Intent) ถึง 7 ฉบับ ที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องปฏิบัติตามในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบรัดเข็มขัดอย่างรุนแรง รักษาวินัยการคลังเคร่งครัดโดยเข้มงวดการใช้เงินงบประมาณของภาครัฐทุกบาททุกสตางค์ และดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มข้น กำหนดอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อบีบรัดการใช้จ่ายของภาคเอกชน โดยหวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจเกิดเสถียรภาพและเรียกความเชื่อมั่นกลับมา
เดือนพฤศจิกายนในปีนั้น รัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศลาออก รัฐบาลใหม่โดยการนำของนายชวน หลีกภัย ในสมัยที่สอง เข้ารับงานบริหารประเทศ โดยมีนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีคลัง ร่วมกอบกู้วิกฤติ ซึ่งเขาได้กล่าวล่าสุดว่า เศรษฐกิจไทยขณะนั้นถูกบีบรัดอย่างรุนแรง แต่ต่อมาไอเอ็มเอฟยอมรับว่าใช้โปรแกรมที่ไม่ตรงกับประเทศไทย จึงยอมผ่อนคลายนโยบายการคลังลงภายหลังจากรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ได้พยายามต่อรองในเรื่องการกำหนดแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ผ่อนปรนมากขึ้น เพราะฐานะการคลังของไทยไม่ได้มีปัญหาใดๆ โดยที่ตัว "G" คือ Government Spending เป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่มีเงินพอที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติเท่านั้น แต่ ไอเอ็มเอฟยืนยันที่จะไม่ผ่อนคลายนโยบายการเงินหากมีผลกระทบต่อการตกรูดของเงินบาท และการพุ่งกระฉูดของเงินเฟ้อ ซึ่งในตอนนั้นเป็นปัญหาจากทางด้านต้นทุนสูง โดยที่ปัญหาเงินเฟ้อจากความต้องการในประเทศได้ตายไปหมดแล้วจากผลพวงของภาวะวิกฤติ
ธารินทร์ เล่าให้ฟังว่า ปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นกับระบบสถาบันการเงินไทยยังไม่ได้จบลงไปพร้อมกับการสั่งปิด 58 สถาบันการเงิน (ต่อมาเหลือ 56 ไฟแนนซ์ โดยคืนใบอนุญาตให้กับเกียรตินาคินและบางกอกอินเวสต์เมนท์) โดยไอเอ็มเอฟดึงธนาคารโลกเข้ามาช่วยฟื้นฟูสินทรัพย์ที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่ถูกสั่งปิด เพราะเห็นว่าจะต้องใช้ผู้ชำนาญการมาดำเนินการอย่างรวดเร็ว หากปล่อยไว้นานก็จะกลายเป็นหนี้เสียมากเพิ่มขึ้น โดยจะจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระ ซึ่งไม่ให้กระทรวงการคลังและ ธปท.เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กรนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่โปร่งใสหรือมีการเตะถ่วงการทำงาน ถึงแม้ว่าทั้งสองหน่วยงานจะเป็นเจ้าของก็ตาม
องค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. ถูกจัดตั้งขึ้นมาให้มีหน้าที่ทำการฟื้นฟูสถาบันการเงิน ไม่ใช่ฟื้นฟูสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน
ในเดือนพฤศจิกายน 2540 ธารินทร์ขอให้สมาคมธนาคารไทยละธนาคารออมสินเข้ามาช่วยกันฟื้นฟูสถาบันการเงิน มีบรรษัทเงินทุนสากล หรือ ไอเอฟซี (International Finance Corporation) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในเครือของธนาคารโลกและเคยเป็นเจ้าหนี้ใหญ่ของกลุ่มเอกธนกิจ เสนอแผนฟื้นฟูพร้อมใส่เงินเข้ามา โดยร่วมมือกับธนาคารดอยช์แบงก์ของเยอรมนี "แต่ไอเอฟซีมักจะบ่นว่า ไม่ได้รับความสะดวกจาก ปรส." ซึ่งในเวลานั้น กองทุนฟื้นฟูประกาศให้เอกธนกิจควบกิจการกับธนาคารไทยทนุโดยใช้เงินราว 8 พันล้านบาท
"ผมบอกให้ไอเอฟซีวิ่งไปหา ปรส.เพื่อเสนอแผนฟื้นฟูเอกธนกิจ แต่ ปรส.กลับบอกว่าปิดเวลารับการพิจารณา ทั้งที่ยังมีเวลาเหลืออีกสองวัน" ธารินทร์กล่าวในที่สุด ทางการก็สั่งปิดเอกธนกิจเป็นการถาวรในวันที่ 8 ธันวาคม 2540
ปรส.ได้ตกปากรับคำกับ "5 เสือ" ซึ่งบริษัทผู้สอบบัญชีระดับโลก อาทิเช่น อาเธอร์แอนเดอร์สัน เอิร์นสแอนด์ยัง คูเปอร์ส & ไลแบรนด์ ดีลอยด์ & โทมัสซึ และเคพีเอ็มจี ว่าจะให้เข้ามาร่วมทำงาน แต่ทั้ง "5 เสือ" ได้เสนอแผนร่วมงานกันมาเป็น joint package โดยต้องการค่าตอบแทน 1.6 พันล้านบาทในการเข้ามาบริหารสินทรัพย์ นอกจากเงินค่าบริหารที่แพงมากแล้ว "เขายังเสนอสิ่งที่ผมรับไม่ได้ คือ ถ้าทำงานไปแล้ว เกิดภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นในอนาคต (Future Liabilities) รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบ เมื่อขอให้ตัดเงื่อนไขนี้ออก เขาบอกว่าไม่ได้ ผมก็เลยให้เลิก" แต่ต่อมา ได้มีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญในการบริหารสินทรัพย์จากสถาบันการเงินเข้ามาดูแลแทนโดยมีการว่าจ้างด้วยผลตอบแทน 200 ล้านบาท
ธารินทร์กล่าวว่า นี่เป็นวิกฤติสถาบันการเงินไทยในภาคพิสดาร มีปัญหาหนี้สินที่อาจเสียหายสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท เป็นหนี้สินรวมทั้งภาระดอกเบี้ยในอนาคตที่นำไปฝากไว้กับธนาคารกรุงไทยและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ รวม 1 ล้านล้านบาท ถึงแม้ว่าต่อมาจะมีการดำเนินคดีทางศาล โดยชนะคดีก็ตาม แต่ได้เงินคืนมาเพียงกว่าพันล้านบาท ส่วนหนี้สินที่โผล่มาอยู่กับ ปรส.ยังมีอีก 6 แสนล้านบาทนั้น ซึ่งหนี้ทั้งหมดมีตัวเลขโผล่มาทาง ธปท.ว่า เป็นหนี้เอ็นพีแอลที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ถึง 46.7% ของสินเชื่อทั้งระบบ
การหารือกอบกู้วิกฤติการเงินไทยในปี 2540 ที่ฝรั่งเรียกว่า "หมิ่นเหม่ต่อการเจ๊ง แต่ผมได้คุยกับชัยวัฒน์ (ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการ ธปท.ต่อจากนายเริงชัย) ว่า กองทุนฟื้นฟูพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงเป็นรายแบงก์ ซึ่งตอนนั้นเกิดปัญหากับอีก 5 แบงก์"
"เราตั้งแบงก์รัตนสิน เพื่อให้เป็น Bridge Bank ช่วยให้สภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้นกับแบงก์ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งไอเอ็มเอฟก็เห็นด้วย โดยให้ถ่ายโอนสินทรัพย์ที่ไม่ต้องมีการประมูล จากนั้นก็ให้ประเมินหนี้ของกองทุนฟื้นฟูใน ปรส.ว่ามีเท่าไร ปรากฏว่า มีหนี้เป็นเอ็นพีแอล 99%" ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงรับภาระความเสียหายออกพันธบัตรรัฐบาล 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นภาระภาษีของประชาชนในอนาคต
ธารินทร์ ยอมรับว่า แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจที่แท้จริงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง แล้วยังมาเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาค จากไทยสู่เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกง ซึ่งอยู่ๆ ก็มาถึงรัสเซีย ตุรกี รวมถึงอาร์เจนตินาในรอบที่สอง "ปัญหาไทยแก้ยาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นอินโดนีเชีย โดยไอเอ็มเอฟให้ตัดเงินอุดหนุนในการซื้อน้ำมันและอาหารของประชาชน ซึ่งถ้าเราไม่มีภาคเกษตรช่วยไว้ อาจแย่กว่านี้ก็ได้"
"นับแต่วันแรก ผมเห็นปัญหาขาดสถาพคล่องทางการเงิน ท่อน้ำเลี้ยงที่จะไปภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงถูกปิดหมด แต่ทำอะไรไม่ได้ และที่แย่ก็คือ ธนาคารไทยถูกตัดเครดิตไลน์จากธนาคารต่างชาติหมด จน ธปท.ต้องเข้ามาประกันให้ แต่ทำได้แค่วงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ เท่านั้น ที่ยอมรับไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่เพียงแบงก์เล็กแบงก์กลาง แม้แต่แบงก์ใหญ่ก็เปิดแอลซีไม่ได้ ทำให้ต้องออกแผนแม่บทแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินไทย 14 สิงหาคม 2541 และต้องปรับโครงสร้างให้ได้ ก็เพราะฐานะตอนนั้นความเสี่ยงของไทยตกไปอยู่ที่อันดับสามจากท้ายตารางของ 160 ประเทศ"
ตั้งแต่ ธารินทร์ เข้ากุมบังเหียนเศรษฐกิจไทย มีการติดลบไปถึง 12% โดยในปีแรก 2540 ติดลบ 1.8% และปีที่สอง 2541 ติดลบอีก 10.8% แต่หลังจากนั้นเศรษฐกิจก็ค่อยกระเตื้องขึ้นจนรัฐบาลทักษิณเข้ามารับผลบวกมีอัตราเติบโตถึง 4.5% ต่อปี "ช่วงวิกฤติ คนจนช่วยคนรวย จากนี้ไปเศรษฐกิจต้องปรับโครงสร้างแล้วค่อยๆ ตั้งหลักต่อไป การปล่อยให้มหาเศรษฐีรวยแล้วรวยอีก หรือปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตบิดเบือน มันจะมั่นคงได้อย่างไร ประเทศไทยยังต้องเดินในแนวทางสมัยใหม่ ผมถูกต่อต้านในตอนนั้น เพราะไม่เน้นชาตินิยม แต่ตอนที่ผมส่งมอบงานนั้น ทุนสำรองประเทศมีฐานะสุทธิ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แล้ว ที่สำคัญเศรษฐกิจไทยต้องเดินไปอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในระยะยาว โดยไม่ต้องใช้นโยบายประชานิยม"
"ผมยอมรับว่า ทำได้แค่กู้วิกฤติ เพื่อเศรษฐกิจลุกขึ้นมาตั้งหลัก ไม่สามารถทำให้ลุกขึ้นวิ่งอย่างที่หลายคนต้องการ" ธารินทร์ กล่าวในที่สุด http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/02/WW13_1311_news.php?newsid=81868เศรษฐกิจไทยวันนี้ไม่ดิ่งเหว ผลบวกยาแรงยุค "ธารินทร์"..... 1. 5-6 ปีที่รัฐบาลทักษิณบริหารประเทศ ได้"กรอกหู" คนไทยว่ารัฐบาลชวน หลีกภัย ล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง ทำให้เศรษฐกิจไทยย่ำแย่กว่าเดิม รัฐบาลของเขา"กู้ชาติ" ให้ดีขึ้นมีเงินสำรองประเทศถึง 4-50,000 ล้านดอลล่าร์( รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ ไม่ได้ทำอะไร มีเงินสำรองกว่า 80,000ล้านดอลล่าร์.... )
2. รัฐบาลชวน หลีกภัย ได้นำคนไข้(เศรษฐกิจไทย)เข้าห้อง"ไอซียู" เพื่อรักษา ผ่าตัด"เนื้องอก" และสามารถนำออกจากห้อง"ไอซียู" อยู่ในห้องพักฟื้นเพื่อรักษาต่อไป แต่คนไทยเจ้าของไข้ไม่ต้องให้อยู่ห้องพักฟื้น ต้องการให้ออกจากห้องพักฟื้นเพื่อกลับบ้านไปใช้ชีวิตปกติทันที ซึ่งรัฐบาลชวน หลีกภัย และธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ไม่สามารถ"จัดให้"ทันทีได้ จึงไม่ได้รับความนิยมและสนับสนุนให้เป็นรัฐบาลต่อไปอีก....
3. 5-6 ปีที่ทักษิณมีอำนาจบริหารประเทศ ไม่เคยมีความคิดจะยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงพรบ."ขายชาติ" 11 ฉบับ(ที่กล่าวหารัฐบาลชวน หลีกภัย"ขายชาติ) ไม่ให้"ขายชาติ"ตามความหมายของเขา แต่ฉวยโอกาส"แก้ไข"ให้เป็นประโยชน์ในการฉ้อราษฎร์บังหลวง และทุจริตทางนโยบายตลอดเวลา......
4. 5-6 ปีที่ผ่านมาเช่นกันที่ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ไม่มีโอกาสชี้แจงรายละเอียด เพราะรัฐบาลได้ปิดกั้นสื่อฯ รวมทั้งมี"ลูกขุนพลอยพยัก" เช่น สนธิ ลิ้มทองกุล "หมัก-หน้าจืด" และ "หน้าดำ-หน้าขาว" ผู้จัดรายการยูบี 7ของเจ้าสัวฯ(วันนี้"หน้าขาว"ได้ร่วมจัดรายการยามเฝ้าแผ่นดินของสนธิ ลิ้มฯ) เป็นโฆษกนอกทำเนียบที่ปกป้อง แก้ตัว ใส่ความพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านในสภา..... ขอแลกเปลี่ยนความเห็นที่มีเหตุผล อ้างอิงได้นะครับ.....