ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
16-04-2024, 11:56
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ปปช. ไม่อายัดทรัพย์"รักเกียรติ" สุดท้ายเหลือแต่ลม 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ปปช. ไม่อายัดทรัพย์"รักเกียรติ" สุดท้ายเหลือแต่ลม  (อ่าน 1529 ครั้ง)
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« เมื่อ: 19-06-2007, 12:29 »

ปปช. สมัยระบอบทักษิณ ไม่ทำการอายัดทรัพย์ นายรักเกียรติ สุขธนะ ทั้งที่มีอำนาจ
ผลสุดท้าย หาทรัพย์สองร้อยกว่าล้านบาทไม่เจอ หายเกลี้ยงหลังจากศาลตัดสินให้ยึดทรัพย์
และเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทรณ์ตัดสินให้จำคุกแล้ว แทนที่จะควบคุมตัว แต่ก็ยังปล่อย
ให้จำเลยหลบหนีลอยนวลไปได้ ..

หลังจากนั้นอีกหลายปี ตำรวจจำเป็นต้องจับแก้เก้อ หลังจากที่นายเอกยุทธ อันชัญบุตร
กลับมาทวงคืนประเทศไทย
เพราะถ้าไม่จับกุมนายรักเกียรติ เมื่อคดีหมดอายุความ นายรักเกียรติ ก็อาจจะเอาอย่าง
นายเอกยุทธเรื่อง ทวงคืนประเทศไทย

น่าสังเกตว่า รัฐบาลระบอบทักษิณที่ประกาศสงครามกับคอร์รัปชั่น แต่ทำไมปล่อยให้
นักการเมืองที่คอร์รัปชั่น ยักย้ายถ่ายเททรัพย์ และปล่อยให้หนีไปหลายปี  ...

.................................................................................................................

 

    คำพิพากษาประวัติศาสตร์ ยึดทรัพย์"รักเกียรติ"233ล.

    รายงาน

    ที่มา-คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวัน ที่ 30 กันยายน ในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้ศาลมีคำพิพากษายึดทรัพย์ 233 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งถือเป็นคดีประวัติศาสตร์หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน



    ศาลมีคำพิพากษาว่า ในประเด็นข้อกฎหมายเห็นว่า ป.ป.ช.มีอำนาจตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนคดีของนายรักเกียรติ สุขธนะ ผู้คัดค้านที่ 1 นางสุรกัญญา สุขธนะ ผู้คัดค้านที่ 2 นายจิรายุ จรัสเสถียร และนายพิษณุกร อุดรสถิตย์ได้ ส่วนประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงพิจารณาแล้วแยกออกเป็น 4 กลุ่มในยอดเงินจำนวน 18 ล้านที่ ป.ป.ช.กล่าวหาว่า มีการนำเข้าในบัญชีนางสุรกัญญา ซึ่งอ้างว่าเป็นเงินกู้ยืมมาจากนายสมบัติ เพ็ชรตระกูล 17 ล้านบาทและเงินส่วนตัวนางสุรกัญญา อีก 1 ล้านบาทโดยไม่มีการทำสัญญากู้ยืมและอ้างว่ายืมไปให้นายเทียม สุขธนะ บิดาเพื่อค้ำประกันตั๋วสัญญาใช้เงินในกิจการพืชพันธุ์เกษตร ในการกู้เงินจากธนาคาร แต่ไม่มีเงินค้ำประกันจำนวน 20 ล้านบาท จึงมาขอกับผู้คัดค้านที่ 1 ขณะนั้นผู้คัดค้านที่ 1 เล่นพนันเสีย จึงไม่มีเงินให้ เลยต้องไปกู้ยืมจากนายสมบัติ โดยไม่มีการจัดทำสัญญากู้ยืม

    ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำเบิกความนายรักเกียรติกับนายสมบัติขัดกันมีข้อพิรุธหลายเรื่อง ตั้งแต่หลักฐานการรับเงินนายรักเกียรติอ้างว่ารับด้วยตัวเอง 3 ครั้ง แต่นายสมบัติและนางสุรกัญญา ให้การว่านายรักเกียรติมารับเงินครั้งเดียว นายรักเกียรติอ้างว่าเรื่องนานแล้วนายสมบัติอาจจำเหตุการณ์ไม่ได้ ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอ ส่วนที่ไม่มีการทำสัญญากู้ยืม นายรักเกียรติอ้างว่านายสมบัติรู้จักสนิทสนมกับนางสุรกัญญา ข้อเท็จจริงในชั้นศาลพบว่านายรักเกียรติเพิ่งจะแนะนำนายสมบัติให้รู้จักนาง สุรกัญญาช่วงเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจึงไม่ได้สนิทสนมตามที่นายรักเกียรติเบิก ความ

    นอกจากนี้ ในการตกลงคืนเงินทั้งนายรักเกียรติและนายสมบัติก็ให้การขัดกันในเรื่องระยะ เวลา และข้อเท็จจริงศาลพบว่านายสมบัติมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจ 1-2 พันล้านบาท หากมีการรับปากจะให้ยืมเงิน 15 ล้านบาทกันน่าจะให้เงินสดนายรักเกียรติได้ในครั้งเดียวโดยไม่ต้องสั่งจ่าย เช็ค 3 ครั้ง เหมือนที่นายรักเกียรติอ้าง และนายสมบัติก็สนิทสนมกับนายเทียม ก็น่าจะโอนเข้าบัญชีนายเทียมมากกว่าโอนเข้าบัญชีนางสุรกัญญา ศาลเห็นว่าคำกล่าวอ้างของนายรักเกียรติ และนางสุรกัญญามีข้อพิรุธหลายประการและไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะหักล้างคำ วินิจฉัยของ ป.ป.ช.ให้รับฟังเป็นอย่างอื่นได้ องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่าคำร้องคัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

    ในกลุ่มที่ 2 เป็นเงินฝากบัญชีในนามของนายจิรายุ จรัสเสถียร 4 บัญชี ในนามของนายพิษณุกร อุดรสถิตย์ น้องชายนางสุรกัญญา 1 บัญชี รวมยอดเงิน 179,480,000 บาท ศาลเห็นว่า นายรักเกียรติอ้างว่าเป็นเงินที่ได้เสียจากการเล่นการพนันในบ่อนเวิร์สวูด ประเทศออสเตรเลีย ในชั้นศาลนายจิรายุและนายพิษณุกรเบิกความว่านายรักเกียรติเล่นพนันแต่ไม่ รู้ว่าเล่นได้เสียเป็นจำนวนเท่าไร แม้จะรับฟังได้ว่านายรักเกียรติมีเงินต่างประเทศในครอบครองจริงแต่ไม่ปรากฏ หลักฐาน ที่มีน้ำหนักรับฟังได้ชัดเจนว่าจะเป็นเงินที่ได้มาจากการเล่นพนันจริงหรือ เป็นเงินที่นายรักเกียรติหามาได้โดยชอบ ซึ่งหากเป็นเงินที่ได้มาจากการเล่นพนันจริงนายรักเกียรติก็น่าจะนำเงินเข้า มาในประเทศโดยให้บ่อนกาสิโนทำหนังสือรับรองเงินดังกล่าวเพื่อยืนยันแล้วนำ เข้าฝากในบัญชีเพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนหลังได้ว่ามีเงินฝากเท่าไรและมาจาก ไหน การกล่าวอ้างว่าเงินนี้ได้มาจากการเล่นการพนันจึงย่อมจะฟังได้ยาก

    ส่วนการอ้างว่านำเงินฝากไว้ในบัญชีในชื่อผู้อื่นเพราะไม่ต้องการให้ใคร รู้ว่าเป็น รัฐมนตรีแล้วเล่นการพนันก็ฟังไม่ขึ้น เพราะบุคคลภายนอกไม่อาจจะรู้ได้ว่านายรักเกียรติจะมีเงินฝากในบัญชีมากน้อย แค่ไหน ข้ออ้างจึงฟังดูเลื่อนลอย ที่นายรักเกียรติอ้างว่าเล่นการพนันทุกครั้งอาศัยเครดิตโดยไม่นำเงินสดไป เล่น ในชั้นศาลไม่ปรากฏพยานหลักฐานจากตัวแทนบ่อนว่าใช้เครดิตเล่นพนัน ปกติการเล่นพนันจะเป็นการนำเงินวางให้กับตัวแทนมีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่ ใช้เครดิต เมื่อนายรักเกียรติไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดแจ้งว่า เงินดังกล่าวไม่ได้มาจากพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่าคำคัดค้านฟังไม่ขึ้น

    สำหรับเงินกลุ่มที่ 3 ที่นางสุรกัญญาชี้แจงในชั้น ป.ป.ช.ว่าได้มาจากการเดินทางไปเล่นพนันในประเทศออสเตรเลีย มาเลเซีย และมาเก๊า ประเทศจีนในช่วงปี 2540 และได้นำเงินตราต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยรวมจำนวน 15,400,000 บาท ศาลเห็นว่า นางสุรกัญญาไม่มีหลักฐานการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทย และปรากฏว่า ในการเล่นพนันที่มาเลเซีย และมาเก๊านายรักเกียรติเสียพนันมากถึง 21 ล้านบาทและ 17 ล้านบาทไม่น่าจะมีเงินเหลือกลับมาแลกเป็นเงินไทยได้ถึงขนาดนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้เพราะไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นเงินส่วนตัวของนาง สุรกัญญาที่นำเข้ามาในประเทศไทยตามที่อ้างและพิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่ใช่เงิน ที่ร่ำรวยผิดปกติองค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ว่าคำคัดค้านฟังไม่ขึ้น

    ส่วนกลุ่มสุดท้าย เงินจำนวน 21 ล้านบาทที่นายรักเกียติอ้างว่าเป็นเงินสนับสนุนทางการเมืองจากนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตหัวหน้าพรรคเสรีธรรม ในชั้นศาลนายรักเกียรตินำพยานบุคคลมาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างดังกล่าว ศาลพบว่าผู้สนับสนุนทางการเงินนั้นมอบเงินให้นายจิรายุอย่างเร่งด่วนนายรัก เกียรติอยู่ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ โดยนัดมอบเงินกันที่ลานจอดรถอุรุพงษ์คลินิค และพบว่าในวันเดียวกับที่โอนนายจิรายุเบิกเงินนั้นไปใช้แต่ไม่มีหลักฐานว่า นำไปใช้ในทางการเมือง โดยนายรักเกียรติระบุว่าให้นายจิรายุนำไปใช้หนี้พนันแต่นายจิรายุกลับนำ เข้าบัญชีตัวเองเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 จึงให้นายจิรายุถอนเงินไปใช้หนี้การพนันจำนวน 106 และ 5 ล้านบาทตามลำดับ ในชั้น ป.ป.ช.ไม่พบว่าผู้คัดค้านที่ 1 ให้การถึงที่มาที่ไปของเงิน เห็นว่าในชั้น ป.ป.ช.หากเปิดก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่ต้องปกปิด ข้ออ้างตามเหตุดังกล่าวเสียหายน้อยกว่าการเล่นพนันเสียอีก ศาลพิเคราะห์หลักฐานในชั้น ป.ป.ช.ไม่พบว่านายรักเกียรติให้การถึงที่มาของเงินจำนวนนี้ตามที่อ้างใน ชั้นศาล ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่าคำคัดค้านฟังไม่ขึ้น

    พิพากษาให้ยึดทรัพย์นายรักเกียรติผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 233.88 ล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดิน





    นายสุภัทร์ สุทธิมนัส

    เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา

    "หากเงินในบัญชีเหลือไม่ครบจำนวน 233.88 ล้านบาท ก็จะต้องบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของนายรักเกียรติ ภายใน 10 ปี"

    "--- คดีนี้ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินเงินสด 233.88 ล้านบาทของนายรักเกียรติ ตามบัญชีเงินฝากธนาคาร 13 บัญชี เป็นชื่อนายจิรายุ จรัสเสถียร 9 บัญชี ชื่อนางสุรกัญญา 3 บัญชี ชื่อนายพิษณุกร อุดรสถิตย์ 1 บัญชี ศาลไต่สวนพยานฝ่ายผู้คัดค้าน 8 ปาก ไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้อง 14 ปาก และมีคำสั่งให้งดการเรียกพยานเอกสารจากบ่อนกาสิโนเบิร์สวูด ประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากเป็นคดีแพ่งแต่ทางประเทศออสเตรเลียตอบย้ำมาว่า คดีนี้ถ้าเกิดในประเทศออสเตรเลียจะเป็นคดีอาญา และแนะนำให้ศาลนี้ดำเนินการตามช่องทางอาญาแทน ซึ่งในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.เคยให้อัยการสูงสุดขอตามช่องทางดังกล่าวไปแล้ว ใช้เวลายาวนานมาก และในที่สุดก็ไม่ได้เอกสารมาโดยทางประเทศออสเตรเลียได้กำหนดเงื่อนไขมาหลาย ประการ บางประการไม่อยู่ในอำนาจศาลนี้จะสั่งการให้ได้ จึงให้งดการดำเนินการเรียกพยานเอกสารดังกล่าว

    ยกตัวอย่างประเด็นเสียงข้างน้อยที่เห็นควรไม่ยึดทรัพย์ ว่าในกรณีที่เงินที่ระบุว่าได้มาจากนายพินิจ จารุสมบัติ จำนวน 21 ล้านบาทนั้น เนื่องจากมี ส.ส.มาเบิกความเห็นว่าการสนับสนุนทางการเงินบางครั้งอาจให้ในทางลับไม่เปิด เผย ในครั้งนั้นเป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์ อาจจะการเลือกตั้ง มีนายวิชา มั่นสกุล นายสุประดิษฐ์ อุณหสิงห์ นายประมาน ติยะไพบูลย์กิจ เป็นเสียงข้างน้อย สำหรับเสียงข้างมากที่ไม่เชื่อ คือนายพินิจไม่มาเบิกความและการรับเงินจำนวนมากขนาดนี้ที่ทำไมผู้คัดค้านที่ 1 จึงให้บุคคลอื่นไปรับแทน ทำไมจึงไปรับที่โรงจอดรถ

    หากเงินในบัญชีเหลือไม่ครบจำนวน 233.88 ล้านบาท ก็จะต้องบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของนายรักเกียรติ ภายใน 10 ปี โดยอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้องต้องมายื่นขอหมายบังคับคดีจากศาล ทางศาลจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินอื่นมาขายทอดตลาด ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

    สมมุติว่าถ้าในบัญชียังมีเงินอยู่ 233.88 ล้านบาท ก็ถือว่าเงินตกเป็นของแผ่นดินเลย โดยกระทรวงการคลังน่าจะเป็นผู้ดำเนินการ ไม่ต้องมีการบังคับคดี แต่หากไม่พอก็ต้องบังคับคดี หากทรัพย์สินไม่เพียงพอ ผู้ร้องสามารถมายื่นฟ้องต่อศาลให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นบุคคลล้มละลายได้---"

    กว่าคดีจะพิพากษาให้ยึดทรัพย์ อาจมีการยักย้ายถ่ายโอนเงินไปสู่บุคคลใกล้ชิด ในคดีนี้สามารถขออายัดบัญชีเงินไว้ก่อนศาลจะมีคำพิพากษาได้หรือไม่ และมีการดำเนินการหรือไม่

    -ป.ป.ช.ไม่ได้อายัดเงินจำนวนนี้ไว้ ตามปกติในคดีแพ่งก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา ก็สามารถยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาได้ ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง สามารถขออายัดไว้ก่อนได้ แต่ในคดีนี้ไม่มีการยื่นคำร้องเข้ามา


    ข้อมูลมติชน http://www.matichon.co.th

โดยคุณ : มติชน - [ 1 ต.ค. 2003 , 12:30:47 น. ]

http://72.14.235.104/search?q=cache:ARhyf5HzZWkJ:www.udonthani.com/udnews/01122.html+%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99+%2B+%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4&hl=th&ct=clnk&cd=1&gl=th&client=firefox-a

...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2007, 12:33 โดย สมชายสายชม » บันทึกการเข้า
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 19-06-2007, 12:46 »



 


ข้อสังเกตคือ ปปช. ยุครัฐบาลใดละครับ...?
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: