เสรีภาพในการชุมนุมที่ไม่บริสุทธิ์ สมชาย ปรีชาศิลปกุลเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งซึ่งมักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น
ข้ออ้างเพื่อทำลายความชอบธรรม
ของการชุมนุมก็คือ การกล่าวหาว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นนั้น บรรดาผู้จัดการชุมนุมหรือผู้มา
เข้าร่วมมีเบื้องหน้าเบื้องหลังแอบซ่อนอยู่
หากพูดให้ชัดมากขึ้นก็หมายความว่าในการจัดชุมนุม ผู้ที่ดำเนินการอาจมีวัตถุประสงค์
อื่นแอบแฝงอยู่ เช่น ประกาศว่าชุมนุมเพื่อเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงความเห็นแต่เอา
เข้าจริงกลับต้องการขับไล่รัฐบาล หรืออาจเป็นการชุมนุมที่เกิดขึ้นโดยผู้มาเข้าร่วม
ได้รับ
การว่าจ้างกันมา ไม่ได้เป็นการชุมนุมอย่างบริสุทธิ์ใจ
จากเหตุผลที่ยกตัวอย่างมาจึงทำให้มีความพยายามที่จะห้ามไม่ให้เกิดการชุมนุมขึ้นด้วย
วิธีการต่างๆ ไม่ว่าการไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ หรืออนุญาตให้ใช้ แต่นำเอารถขยะไปล้อม
รอบสถานที่ชุมนุม หรืออีกทางหนึ่งก็อาจด้วยวิธีการสกัดกั้นไม่ให้ผู้คนเดินทางมาร่วม การ
ตรวจและการห้ามการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะจากต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเทพ
เป็นรูปธรรมอันหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อมีข่าวว่าจะเกิดการจัดชุมนุมขึ้น
การใช้เหตุผลดังกล่าว
เป็นข้ออ้างได้เกิดขึ้นกับประชาชนใน
แทบทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าผู้มี
อำนาจรัฐจะเป็นใคร จนดูราวกับว่าเป็นความชอบธรรมประการหนึ่งในอันที่จะดำเนินการ
ใดๆ
เพื่อหยุดหรือห้ามการชุมนุมที่ถูกป้ายว่า ไม่บริสุทธิ์ ได้ โดยที่ผู้กล่าวหาแทบไม่
ต้องพิสูจน์อะไรเลย นอกจากการอ้าปากพ่นคำพูดออกมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เสรีภาพของการชุมนุมในระบอบประชาธิปไตยสามารถถูกห้ามได้เพียงเพราะความไม่
บริสุทธิ์ใจเท่านั้นหรือ
การชุมนุมเป็นการแสดงออกทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับกันในสังคม
ประชาธิปไตย และถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งของสมาชิกในสังคม เป็น
วิธีการในการแสดงความคิดเห็น ข้อเรียกร้อง ความต้องการของตนหรือกลุ่ม เพื่อแสดง
ให้สาธารณะและผู้มีอำนาจได้ตระหนัก เช่น การคัดค้านนโยบายการสร้างเขื่อนที่ทำลาย
พื้นที่ป่าไม้ของรัฐ, การต่อต้านโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน, การสนับสนุนนโยบายประชานิยม
ของรัฐบาล หรือแม้กับการมารวมตัวกันเพื่อให้กำลังใจสนับสนุนนักการเมือง
(อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ด้วยว่าพลังของการชุมนุมไม่ได้อยู่ที่จำนวนของเท้าผู้ที่มา
ร่วมชุมนุมแต่เพียงอย่างเดียว ข้อมูลและเหตุผลที่ใช้สำหรับการชุมนุมเป็นปัจจัยที่มีความ
สำคัญไปไม่น้อยกว่ากัน)
ดังนั้น การชุมนุมจึงเป็นการกระทำที่ต้องมีเป้าหมายอะไรบางอย่าง อาจเป็นการเรียกร้อง
ให้ยุติโครงการหรือนโยบายบางอย่างของรัฐ เรียกร้องให้ผู้บริหารแสดงความรับผิดชอบ
ต่อการกระทำของตน หรืออะไรต่อมิอะไรอีกมาก เป้าหมายเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อ
บุคคลอื่นๆ อย่างแน่นอน นักธุรกิจที่ถือหุ้นของบริษัทเอกชนที่จ้องสร้างโรงไฟฟ้าอาจไม่
ได้ผลกำไรแบบถล่มทลาย นักการเมืองอาจต้องเสียอนาคตจากการเปิดเผยข้อมูลของผู้
ชุมนุม
จะเรียกการชุมนุมในลักษณะนี้ว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่เวอร์จินได้หรือไม่
เส้นแบ่งของการบอกว่าการชุมนุมแบบไหน จึงจะถือว่าเป็นการกระทำที่บริสุทธิ์ หรือ
แบบไหนที่ไม่บริสุทธิ์ จึงแยกออกจากกันได้ยาก ถ้าหากบอกว่าตัวอย่างทั้งหมดที่
กล่าวมาข้างต้นเป็นการชุมนุมที่ต้องห้ามแล้ว ก็คง
ไม่มีการชุมนุมที่ไหนซึ่งสามารถพูดได้
อย่างเต็มปากเต็มคำว่า เป็นการชุมนุมที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เว้นแต่การมาประชุมโดยมิได้นัด
หมายของภิกษุ 1,250 รูป ในวันมาฆบูชาเท่านั้นแหละ
เมื่อไม่อาจแยกความบริสุทธิ์ออกจากกันได้ง่ายๆ จึงไม่แปลกใจที่การรับรองสิทธิในการ
ชุมนุม จึงไม่ได้นำเอาความบริสุทธิ์มาเป็นประเด็นในการจำกัดสิทธิ หลายประเทศต่าง
ยอมรับสิทธิในการชุมนุมหากเป็นไปบนพื้นฐานของความสงบ ดังจะเห็นได้ว่า
การชุมนุม
ของประชาชนเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่รัฐต้องรับรองว่าเป็นสิ่งที่กระทำได้การกำหนดเงื่อนไขในกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิของประชาชน จึงไม่อาจใช้เงื่อนไขภาย
ในจิตใจมาเป็นตัวกำหนดได้ เพราะไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐระดับ
สูงกับชาวบ้านรากหญ้า ใครจะมีความบริสุทธิ์มากกว่ากัน ก็เห็นกันมามากต่อมากแล้ว
ไม่ใช่หรือว่า ต่างก็เป็นคนที่อาจหาประโยชน์ใส่ตัวได้ไม่แตกต่างกัน โดยเฉพาะผู้มีอำนาจ
รัฐอยู่ในมือนั่นแหละ ที่พร้อมจะแสดงหาประโยชน์ได้เมื่อมีโอกาส
ดังนั้น การจำกัดหรือห้ามการชุมนุมจึงต้องอาศัยปัจจัยภายนอกที่สามารถเห็นได้ชัดว่ามี
เจตนาไม่เพียงการแสดงความคิดเห็น หากต้องการมุ่งไปสู่ความรุนแรงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ
ในการตอบสนองต่อความต้องการของตน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540เป็นตัวอย่างอันดีว่า เมื่อกำหนดถึงสิทธิในการชุมนุมจึงเขียนไว้ว่าต้องเป็นไป
โดยสงบ
และปราศจากอาวุธหากประชาชนจะมารวมตัวกันเพื่อสนับสนุนนักการเมืองคนใดคนหนึ่งหรือนโยบายในเรื่อง
ใดเรื่องหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นนักการเมืองที่มีคนเป็นจำนวนมากอาจรู้สึกขยะแขยง แต่ต้องจำ
ไว้ว่า
ไม่มีใครสามารถเอามือไปปิดปากของคนอื่นที่มีความเห็นต่างไปจากตน เพราะนั่น
คือ ความคิดเห็นทางการเมืองแบบหนึ่ง
การกล่าวหากลุ่มรากหญ้าว่ารู้ไม่เท่าทันนโยบายที่จะสร้างความเสียหายให้กับสังคม
ส่วนรวม เพียงหวังประโยชน์เฉพาะหน้าของตน ก็กลุ่มคนรากหญ้ามิใช่หรือที่เป็นผู้แบก
รับต้นทุนของการพัฒนาจนหลังหักกันกันไปหมดแล้ว โดยมีแต่คนเมืองเป็นส่วนใหญ่ที่
ได้อานิสงส์จากการพัฒนาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม ทำไม
การเคลื่อนไหวของชนชั้นกลางจึงไม่ถูกมองในลักษณะเดียวกันบ้าง ว่าสนับสนุนที่สิ่งที่
เป็นประโยชน์ของตน โดยไม่คำนึงถึงหัวอกของคนอื่นที่ยากลำบากว่าในสังคม
เงื่อนไขในการจำกัดสิทธิในการชุมนุมจึงควรต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไปกับคนทุกกลุ่ม
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่สนับสนุนหรือคัดค้านผู้มีอำนาจ
ตราบเท่าที่ยังอยู่ภายในกรอบว่าการ
ชุมนุมไม่ได้ทำให้เกิดการคุกคาม หรือมุ่งสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นสิทธิอัน
ชอบธรรมของประชาชนไม่ใช่ปล่อยให้เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มที่สนับสนุนผู้มีอำนาจไม่เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้
ไม่บริสุทธิ์ใจเลย มีเพียงเฉพาะฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับผู้มีอำนาจเท่านั้น ที่มักจะโดน
ข้อหาว่าเป็นผู้ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=8334&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai