http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000069137หมอเหวง คนไม่มีราคา
โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 14 มิถุนายน 2550 16:15 น.
ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่า น.พ.เหวง โตจิราการ ซึ่งเคยขึ้นเวทีด่าทักษิณว่า เป็นคน ขายชาติ จะขึ้นเวทีที่แวดล้อมด้วยกลุ่มคนรักทักษิณและเรียกร้องให้ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ แล้วหลอกตัวเอง หรือไม่ก็แกล้งซื่อบื้อว่า มวลชนที่รายล้อมอยู่นั้น เป็นพวกมีจิตวิญญาณรักประชาธิปไตย และต่อต้านเผด็จการ
เพราะถ้าไม่หลอกตัวเอง หรือแกล้งซื่อบื้อแล้วหมอเหวงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า เงินที่ขับเคลื่อนการจัดการชุมนุมอยู่นั้นมาจากไหน ใครเป็นคนขนมวลชนขึ้นรถบัสแล้วมายืนนับหัวก่อนเข้าไปนั่งฟังการปราศรัย และกลุ่มแกนนำที่ห้อมล้อมตัวเองอยู่อีก 5-6 คนนั้นมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร
หมอเหวงจะไม่รู้เลยหรือว่า บรรดาอดีต ส.ส.ไทยรักไทยที่รายล้อมอยู่หลังเวทีหรืออยู่ร่วมบนเวทีเดียวกับหมอเหวงนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร และมีพฤติกรรมเช่นไร
หมอเหวงเชื่อหรือครับว่า นายวีระ นายจักรภพ นายจตุพร นายมานิตย์ซึ่งเคยสนับสนุนระบอบทักษิณที่หมอเหวงเคยประณามนั้น เป็นพวกรักประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการ
หมอเหวงเชื่อหรือว่า นายชินวัฒน์ นายชูพงษ์ ที่เคยเป็นแกนนำจัดการชุมนุมของกลุ่มคาราวานคนจน กลุ่มแท็กซี่ที่สวนจตุจักร ประชันเวทีกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยยกพวกไปล้อมอาคารเนชั่นนั้น หรือกลุ่มที่แกล้งตั้งชื่อว่า คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ไม่ใช่พวกสนับสนุนทักษิณ
แต่ถ้าหมอเหวงไม่เชื่อว่า มวลชนที่มารายล้อมตัวเองที่สนามหลวงส่วนใหญ่นั้นถูกจัดจ้างหรือกะเกณฑ์มาจริงๆ หมอเหวงน่าจะลองปราศรัยให้กับประชาชนที่สนามหลวงรู้ว่า ทักษิณนั้นชั่วช้าและขายชาติอย่างที่หมอเหวงเคยปราศรัยเอาไว้อย่างไร ถ้าไม่มีอะไรปลิวขึ้นมาบนเวที หรือหมอเหวงไม่ถูกส้นตีนถีบตกลงจากเวทีนั่นแหละหมอเหวงถึงค่อยเชื่อว่า มวลชนที่มาฟังปราศรัยอยู่นั้น เป็นพวกรักประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการ
แล้วที่หมอเหวงไม่น่าจะลืมก็คือ วันหนึ่งหมอเหวงเคยด่านายสมัคร สุนทรเวช ที่วิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เช้าวันนี้ที่เมืองไทย ทางช่อง 5 และ วิทยุกรมประชาสัมพันธ์ เอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิรตซ์ ว่า เป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งเพราะ พล.อ.เปรม และ นายพลากร สุวรรณรัฐ เป็นถึงประธานองคมนตรีและองคมนตรี
การจัดรายการของนายสมัครเป็นการแก้ตัวแทนนายกฯ ไปทุกเรื่อง ถึงแม้จะเป็นสิทธิของนายสมัครที่สนับสนุนนายกฯ ได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิที่จะมาใช้วาจาจาบจ้วงกับองคมนตรีเช่นนี้ ถ้าท่านนายกฯ มีจิตสำนึกที่ดีจะต้องนำแนวคิดไปปรับปรุงประเทศให้ดีขึ้น เพราะท่านเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ ดังนั้นการไปตีเจตนารมณ์ของ พล.อ.เปรม ผิด เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และที่สำคัญนายสมัครต้องออกมาขอขมา พล.อ.เปรม และนายพลากรโดยด่วนที่สุด ผมเชื่อว่าถ้านายสมัครมีความสำนึกและไปขอขมา ท่านองคมนตรีทั้งสองน่าจะได้รับการอภัย น.พ.เหวง กล่าว
แต่วันนี้หมอเหวงกลายเป็นแนวร่วมกับกลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์พล.อ.เปรมอย่างรุนแรงและหยาบคาย
ในประเด็นนี้ผมไม่ต้องการถกเถียงว่า พล.อ.เปรมวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่ได้ พล.อ.เปรมถูกหรือผิด เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า หมอเหวงนั้นเป็นคนเช่นไร อยู่กับร่องกับรอยหรือไม่เท่านั้น
ความไม่อยู่ในร่องในรอยนี้เอง ที่ผมวิเคราะห์ว่า อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หมอเหวงยืนอยู่บนเวทีคนรักทักษิณ แล้วเข้าใจเอาว่าตัวเองเป็นผู้นำมวลชนที่รักประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการ
ความไม่อยู่กับร่องกับรอยนี้เอง ที่ทำให้หมอเหวงไม่รู้ว่าเป้าหมายทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการที่สถาปนาขึ้นนั้น แท้จริงแล้วต้องการฟื้น ระบอบทักษิณ แต่เพื่อปกปิดเป้าประสงค์ที่แท้จริง ใช้กุศโลบายเอาการต่อสู้กับเผด็จการมาเป็นเปลือกห่อหุ้มปิดบัง แล้วทำให้เห็นว่า คนรักทักษิณที่ถูกปลุกอารมณ์อย่างสุดขั้ว เป็นพวกรักประชาธิปไตย
หรือวันนี้หมอเหวงเปลี่ยนตัวเองเป็น มิจฉาชน ไปแล้ว เพราะครั้งหนึ่งหมอเหวงได้กล่าวถึงคนเดือนตุลาที่ไปสนับสนุนทักษิณว่า คนเหล่านี้ได้เปลี่ยนสีแปรธาตุไปหมดแล้ว เนื่องจากเมื่อคนเข้าใกล้ผลประโยชน์จะเปลี่ยนคนให้เป็นมิจฉาชน หมอเหวงพูดเอาไว้ที่ไหนเมื่อไหร่ลองบริหารความจำตัวเองดูนะครับ
กระนั้นก็ตามผมพยายามมองในแง่ดีว่า หมอเหวงนั้นอาจจะไม่มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงจากทักษิณ เหมือนกลุ่มคนเดือนตุลาบางคน เพียงแต่หมอเหวงนั้นเป็นพวกที่เห็นมวลชนไม่ได้ ถ้าพูดกันอย่างไม่อ้อมค้อมก็คือ การทำงานภาคประชาชนของหมอเหวงที่ผ่านมาหลายสิบปีนั้นไม่เคยมีมวลชนห้อมล้อม เวลาจัดแถลงการณ์ในนามของกลุ่มองค์กรโน้นองค์กรนี้ 20-30 องค์กร แต่นับหัวจริงแล้วไม่มีกี่คน
และถ้ายอมรับความจริงกัน ก็ต้องบอกว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนต่างๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ถูกครหาจากประชาชน ไม่ค่อยมีราคาหรือได้รับการสนับสนุนทางสาธารณะ และภาพของหมอเหวงก็ออกไปในระนาบเดียวกับวรัญชัย โชคชนะเสียด้วยซ้ำ
จากอาการและภาวะแวดล้อมดังกล่าว มีบางคนพยายามอธิบายและวิเคราะห์ว่า หมอเหวงอาจป่วยเป็น โรคเสพติดมวลชน เห็นการชุมนุมไม่ได้ต้องกระโดดขึ้นเวที จนละทิ้งเหตุผลและความผิดถูกชั่วดีไป เพราะถ้ามีอาการปกตินักทฤษฎีและปัญญาชนที่หล่อหลอมมาจากป่าเขาและศึกษาปรัชญาลัทธิมาร์กซ์ - เลนิน (ปรัชญาวัตถุนิยมและวัตถุนิยมประวัติศาสตร์)หรือทฤษฎีอะไรต่างๆ มาอย่างลึกซึ้งแบบหมอเหวงต้องวิเคราะห์ได้ว่า มวลชนที่รายล้อมตัวเองอยู่นั้น เป็นตัวของตัวเองที่รักชาติรักประชาธิปไตย หรือถูกจ้างวานมา
หรือการรัฐประหารที่โค่นล้มระบอบทักษิณนั้น แม้ไม่ได้ถูกต้องตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวมหรือไม่
ผมคิดว่า คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่พวกเขาเห็นว่า การรัฐประหารที่เกิดขึ้นได้ทำลายระบอบทักษิณที่ชั่วช้า และเฝ้าอดทนรอคอยว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะออกมาเช่นไร ซึ่งหากคณะรัฐประหารส่อเจตนาว่าจะสืบทอดอำนาจจริงคนเหล่านี้ก็พร้อมออกมาต่อต้าน
คนที่ต่อต้านระบอบทักษิณส่วนใหญ่จึงเห็นว่า นี่ย่อมไม่ใช่เวลาจะมานั่งต่อล้อต่อเถียงกัน เหมือนที่สหายเคยใช้เวลา 30-40 ปี เถียงกันเรื่อง ลักษณะของสังคมไทย จนทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ไทยพ่ายแพ้มาแล้ว หรือใช้วิธีกระโดดลงบ่อขี้ เพื่อให้ขี้กระเด็นไปถูกคนที่เราไม่เห็นด้วย
กระนั้นก็ตามผมคิดว่า หมอเหวงซึ่งมีเสรีภาพอันเต็มเปี่ยมในการชุมนุมที่จะด่าทอใครก็ได้อยู่ในขณะนี้ ย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะชูธงต่อต้าน คมช.ที่ออกมาล้มล้างระบอบทักษิณ และทำให้ระบอบประชาธิปไตยชะงักงันลงชั่วคราว แต่หมอเหวงต้องรู้จักแยกแยะให้ได้ว่า เวทีที่ตัวเองยืนอยู่นั้นเป็นเวทีของใคร มวลชนที่รายล้อมอยู่นั้นเป็นใคร และตัวเองกำลังกลายเป็นเครื่องมือของใคร
ไม่เช่นนั้นพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้หมอเหวงที่ไม่ค่อยมีราคาอยู่แล้ว กลายเป็นคนที่ไม่มีราคาในที่สุด