มีอะไรอยู่ข้างในหนังสือ ยังไงก็ไม่ชิน ของชาวเสรีไทยเว็บบอร์ด ทำไมคุณต้องมีไว้ครอบครอง?
หนังสือเล่มแรกที่เปิดเผยตัวตนของขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด และเว็บบอร์ด
www.serithai.net ต่อสาธารณชน ได้ฤกษ์ที่จะส่งเข้าโรงพิมพ์แล้วนะครับ นับถอยหลังได้ อีกไม่กี่วันก็จะคลอดออกมาให้เชยชมกันแล้ว
(ตอนนี้คลอดเรียบร้อยแล้ว และคงถึงมือของท่านที่สั่งจองเอาไว้โดยสวัสดิภาพไปแล้ว)มีอะไรดีในหนังสือเล่มนี้หรือ? ทำไมคุณจึงต้องมีไว้ครอบครอง !!
ผมในฐานะที่ร่วมจัดทำมาแต่เริ่มต้น ขอยกมือเชียร์หนังสือเล่มนี้เต็มที่ เพราะจะว่าไปแล้ว ในยุค
อายัดทรัพย์ษิณ คงไม่มีหนังสืออิงการเมืองเล่มไหนอ่านมัน อ่านสนุกเท่าเล่มนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นฝีมือของชาวเสรีไทยเว็บบอร์ดล้วนๆ
ผมแอบเอาบางส่วนของเนื้อหามายั่วน้ำลายสำหรับคนที่จองไว้แล้วแต่ยังไม่ได้อ่าน กับ คนที่รีๆ รอๆ จะขอดูเนื้อหาก่อน
..รีบตัดสินใจนะครับ เพราะพิมพ์จำนวนจำกัด หมดแล้ว หมดเลย..ความหนาประมาณ 200 หน้า ภาพสีในเล่มแพรวพราว พิมพ์ระบบออฟเซ็ทด้วยกระดาษถนอมสายตา ขายในราคาปกแค่ 159 บาท หรือ ราคาพร้อมจัดส่งทั่วประเทศ 200 บาท/เล่มครับ ไม่มีหน้าโฆษณาจากสปอนเซอร์ทางธุรกิจและการเมืองใดๆ ให้เป็นที่ครหาได้ (หนังสือปลอดเชื้อโรค)
เงินที่เหลือหลังจากหักต้นทุนการพิมพ์แล้ว เราจะนำไปบริจาคให้องค์กรการกุศลเพื่อเด็กด้อยโอกาสในสังคมไทย
เฉพาะแค่เหตุผลเหล่านี้ ก็น่าจะเพียงพอให้คุณซื้อเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ได้แล้ว หากไม่นับว่า นี่เป็นอนุสรณ์รุ่นแรก
รุ่นหักคอเศรษฐี ซึ่งจะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไป
หนังสือเล่มนี้แบ่งสาระออกเป็นหมวดหมู่ทั้งหมด 6 หมวด คือ
1..ความเป็นมาของขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด
2..การเมืองประเทืองปัญญา
3..การเมืองเป็นเรื่องสนุก (ซะเมื่อไหร่?)
4..อักษรเสรี กวีของแผ่นดิน
5..เปิดตู้ครัวเสรีไทย
6..บันเทิง..จิปาถะ..สัพเพเหระหน้าปกสุดแสนไฉไลด้วยภาพ นักซิ่งมือใหม่คอหัก (ไอเดียของคุณsaopao) ก็บอกแล้วไง..ยังไงก็ไม่
ชิน
พอเปิดหน้าแรกออกมาก็เจอบทกวีนิพนธ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุ 80 พระชันษา ผู้ประพันธ์คือ คุณอังศนา ซึ่งได้ร้อยเรียงถ้อยคำอักษรเสรี กวีของแผ่นดินออกมาได้งดงามในรูปแบบของโคลงสี่สุภาพ ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวเสรีไทยเว็บบอร์ดทั้งมวล
ขออัญเชิญมาให้ทัศนาสักบทหนึ่งดังนี้..
๏ สองบาทไท้จรดทั้ง....................ปฐพี
เศวตฉัตรคุ้มเกศี............................สุขถ้วน
เผื่อแผ่พระบารมี...........................เปี่ยมเมตต์
สองหัตถ์ทรงงานล้วน....................สฤษฎ์แล้วตลอดสมัย๚ะขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
หลังจากนั้น ก็เป็นหน้าคำนำ และบทความในหมวดที่..1 ประเดิมเรื่องแรกด้วย
ฝันของเสรีไทย โดย คุณพรรณชมพูเล่าเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งต้องผจญภัยอยู่ในโลกอนาคตที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอจับต้อง ก่อให้เกิดต้นทุนที่ต้องชดใช้กลับไปในรูปของหนี้สินส่วนบุคคล ความอยู่รอดของชีวิตคนในยุคจินตนาการของคุณพรรณชมพู คือ ต้องจับกลุ่มกันเป็นพลังเพื่อต่อต้านระบบ และระบอบที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรม..
".... เพื่อนนักศึกษาหลายคนหันมายิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร เก็ดถวาเดินมา
ดึงมือของเธอให้ไปนั่งลงในกลุ่มคนนั้น หลายคนเอื้อเฟื้อส่งอาหารหลายอย่าง
มาให้ พรรณชมพูมองอย่างหวาดๆ เธอรู้แล้วว่า นี่คือ กลุ่มเสรีไทย กลุ่มคนที่กำลัง
เกิดขึ้นมากมายในสังคมของเขตปกครองตนเองไทย กลุ่มคนที่เริ่มปฏิเสธระบบ
หนี้ของศูนย์กลางสินเชื่อ ปฏิเสธระบอบการปกครองของประเทศมหาอำนาจ
คนเหล่านี้เริ่มรวมตัวกันเพื่อดำรงชีวิตโดยปราศจากหนี้ พยายามลดค่าใช้จ่าย
ที่ต้องจ่ายให้ประเทศมหาอำนาจ พยายามทุกวิถีทางที่จะสร้างสังคมใหม่ สังคม
ที่เป็นอิสระ เป็นไท ให้สมดังชื่อของกลุ่มชนชาติที่บรรพบุรุษตั้งไว้"เรื่องราวจะเป็นอย่างไร บทสุดท้ายที่ขมวดปมให้ทุกคนนำไปคิดเป็นการบ้านว่า หากคนในสังคมเพิกเฉย ละเลยต่ออำนาจการปกครองที่ไม่เป็นธรรมแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น น่าสนใจทีเดียว!!
บทความถัดมา เป็นเรื่อง
อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด โดย..*bonny
ในบทความนี้ คุณบอนนี่ได้นำพวกเราย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ วันที่บุคคลคณะหนึ่ง ไม่สมยอมด้วยกับท่าทีของรัฐบาลไทย และตั้งตนเป็นขบถต่อคำสั่งของผู้นำรัฐบาล อะไรเป็นมูลเหตุจูงใจให้ทำเช่นนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่า ทำไปแล้วก็เท่ากับเอาชีวิตของตนเองไปแขวนบนเส้นด้ายแท้ๆ
บทความตอนหนึ่งเขียนไว้ว่า..
....จอมพล ป. ท่านได้ให้คำขวัญหนึ่งแก่คนไทยทั้งชาตินำไปคิดและ
ปฏิบัติ ตามว่า เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย ใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะคัดค้านผู้นำได้ เมื่อ
ท่านคิดว่า ทำเช่นนี้ชาติจะพ้นภัยได้จึงต้องยอมเชื่อท่าน แต่ความเป็นจริงแล้ว
ชาติจะพ้นภัยหรือไม่ เหตุการณ์ที่ปรากฏต่อมาก็เป็นที่ทราบกันดี ชาติจะพ้นภัย
ได้มิใช่เพราะเชื่อผู้นำ แต่เพราะคนในชาติที่มีความคิด มีสติปัญญา และมีความ
เป็นไทยต้องร่วมมือร่วมใจกันเป็นกำลังสำคัญให้ชาติบ้านเมืองในยามที่เกิด
วิกฤติ โดยเลือกที่จะ...ขัดคำสั่งท่านผู้นำเพื่อให้ชาติพ้นภัย"จุดสิ้นสุดของขบวนการเสรีไทยในอดีต กลายเป็น วีรกรรมของวีรบุรุษ แต่จุดสิ้นสุดของขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ดจะเป็นอย่างไร ใช่อย่างที่ผู้ประพันธ์คิดเอาไว้หรือเปล่า สมาชิกของขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด ไม่น่าพลาดอย่างยิ่ง
หมวดต่อไป เป็นการเมืองประเทืองปัญญา ว่าด้วยเรื่องการเมืองที่อิงวิชาการและข้อเท็จจริงที่ไม่บิดเบือน เต็มไปด้วยสารประโยชน์สำหรับผู้สนใจแวดวงการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง
เปิดตัวด้วยเรื่อง..
อัศวินคลื่นลูกที่สามตัวจริง ของคุณ ตาเบบูยา
อย่าตกใจนะครับที่เห็นบางชื่อไม่คุ้นหู ความจริงแล้วก็คือ สมาชิกเสรีไทยเว็บบอร์ดผู้หนึ่งนั่นเอง ที่ไม่ประสงค์จะใช้นามแฝงที่เป็นที่รู้จัก
วรรคแรกของบทความก็ยกเอาทฤษฎีของ อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ เจ้าของทฤษฎีคลื่นลูกที่สามมานิยามก่อนเลย ทำไมต้องอ้างทฤษฎีนี้ด้วยหรือ? ก็เพราะมันเป็นทฤษฎีที่เจ้าของบทประพันธ์กล่าวอ้างว่า เป็นต้นแบบความคิดอ่านของพ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตรน่ะสิ เพราะท่านเคยนิยมและแนะนำให้คนไทยได้อ่านหนังสือ The Third Wave เล่มนี้
เจ้าของบทประพันธ์นี้บอกว่า คุณทักษิณพยายามลอกเลียนแบบทฤษฎีและแนวคิดของอัลวิน ทอฟฟ์เลอร์มาใช้แบบไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง
เอ..ชักจะยังไงๆ แล้วสิ ตกลงเจ้าของบทประพันธ์เข้าใจทฤษฎีนี้ผิด หรือ คุณทักษิณเข้าใจผิดกันแน่ ลองไปอ่านดู..
ทอฟฟ์เลอร์ยกตัวอย่างกิจการเคเบิลทีวีแบบมีช่องทาง
การสื่อสารสองทาง สามารถให้ผู้ชมและทางสถานีติดต่อโต้ตอบกันได้....
ซึ่งก็เป็นเป้าหมายของกิจการเคเบิลทีวีโดยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ
แต่อดีตนายรัฐมนตรีทักษิณก็พากิจการไปได้ไม่ถึงจุดนั้น เป้าหมายการทำธุรกิจ
จึงหันเหมาทางกิจการโทรคมนาคม ซึ่งก็เป็นไปตามแนวทางของทฤษฎี
คลื่นลูกที่สาม เช่น วิทยุติดตามตัว โทรศัพท์มือถือ และกิจการที่เป็นหลักของ
การสื่อสารคือ ดาวเทียม กิจการโทรทัศน์ และยังมีแผนการในการครอบครอง
เส้นทางสื่อสารด้วยใยแก้วของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งด้วย โครงการทั้งหมดนี้
สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลสิงคโปร์ ที่พยายามจะเป็นเจ้าแห่งการสื่อสาร
ในคลื่นลูกที่สามให้ได้ จะด้วยเหตุบังเอิญหรือไม่ก็ตามแต่ แต่เมื่อท้ายที่สุด
กิจการทั้งหมดของอดีตนายรัฐมนตรีทักษิณ ก็ถูกขายไปให้สิงคโปร์ จึงเป็น
ข้อกังขาว่า ธุรกิจทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เกิดจากความคิดหรือความเข้าใจใน
ทฤษฎีคลื่นลูกที่สามอย่างจริงจัง หรือเป็นเพียงทำไปตามที่ได้รับคำแนะนำ
มาจากใครจากพจมานมั้ง อุ๊บ..บ!
ไม่รู้ครับ ไปอ่านเองดีกว่า
เรื่องต่อมาเป็นของคุณ ภมตโจ ชื่อบทความว่า..
ความไม่รู้เรื่องประชาธิปไตยบทประพันธ์นี้ ผู้ประพันธ์แสดงทัศนะเกี่ยวกับความคิดเห็นของ ประชาธิปไตย ในแง่มุมที่แตกต่างกันไปต่างๆ นานา ยิ่งพอมีคนบอกว่า ประชาธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ก็เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะทุกคนอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่บางคนไม่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยดีพอ แต่ในเมื่อเป็นเจ้าของตามวลีที่ว่า ก็เลยใช้สิทธิ์ทวงกับทุกคนที่มายึดไป ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ความเข้าใจในความหมายของประชาธิปไตยอาจไม่เหมือนกันเลยก็ได้
นั่นเฉพาะในประเทศไทยนะ ความหมายของประชาธิปไตยในประชาคมโลกก็ยังมีความเข้าใจที่แตกต่างกัน ลองฟังความคิดเห็นของบทความนี้ดูสักท่อนนะครับ..
...หรือว่าประชาธิปไตย
คืออธิปไตยของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สหรัฐอเมริกามีอาวุธนิวเคลียร์ได้
อังกฤษก็มีได้
ยิวจะมีบ้าง สหรัฐฯ ก็ไม่ว่าอะไร
อินเดียมี สหรัฐฯ ก็หรี่ๆ ตามอง
แล้วแอบหนุนให้ปากีสถานมีบ้าง
พออิรักสร้างโรงงานนิวเคลียร์
อเมริกาก็พยักหน้าให้ยิวไปถล่มซะราบ
พอเกาหลีเหนือและอิหร่านจะมีบ้าง
อเมริกาก็ออกมาเต้นแร้งเต้นกาเป็นบ้าเป็นหลัง
ก็ประชาธิปไตยนั้น
มันแปลว่าสิทธิเสรีภาพของฉันแต่ผู้เดียวหรือ
หรือฉันเป็นประชาธิปไตยใหญ่
บอกอะไรแกก็ต้องเชื่อฟัง
เป็นไงครับ น่าสนใจไหม ใครอยากสานต่อแนวความคิดเรื่องนี้ ก็หาอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้นะครับ
บทความต่อมา เป็นของคุณ*bonny ชื่อบทความว่า
ม่านพรางตา
คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่า ตัวเองถูกสร้างฉากขึ้นมาพรางตาโดยรัฐบาลที่มีนักการเมืองเจ้าเล่ห์?
ทุกคนที่ยังไม่ได้อ่านบทความ จะต้องตอบว่า ไม่ อย่างเด็ดขาด เพราะเชื่อสองตาที่เห็น สองหูที่รับฟัง และสมองที่คิดเองได้
ถึงแม้จะถูกม่านพรางตา คุณก็คงไม่รู้ตัวหรอกครับ เพราะความแนบเนียนของฉากทำให้ดู
เสมือนจริง ไปเสียทั้งหมด
ผู้ประพันธ์ได้นำเอาตัวอย่างของการสร้างฉากพรางตาประชาชนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลทักษิณ เพื่อให้ประชาชนส่วนหนึ่ง ตาใส ขึ้นมา สิ่งที่รัฐบาลบอกว่า
จริง อาจไม่จริง สิ่งที่รัฐบาลบอกว่า
ไม่จริง แต่ที่แท้แล้วอาจเป็นความจริงก็เป็นได้
ข้อมูลที่ยกมาประกอบบทความมีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่า มีการสร้างม่านพรางตาให้ประชาชนทั้งประเทศ เข้าใจไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏ หรือ บางครั้งก็ให้ข้อมูลจริงแต่ไม่ครบถ้วน
ดังตัวอย่างน้ำจิ้มที่ผมขอยกมาล่อต่อมน้ำลายของคุณดังนี้..
คุณเป็นคนหนึ่งในสังคมหรือเปล่าที่เมื่อห้าปีก่อนได้รับฟังมาว่า โครงการ
ประชานิยม ไม่ว่าจะเป็น พักหนี้เกษตรกร... กองทุนหมู่บ้าน... ธนาคารคนจน...
30 บาทรักษาทุกโรค... บ้านเอื้ออาทร และโครงการเอื้ออาทรทั้งหลายในสมัย
รัฐบาลทักษิณนั้น...
- รัฐจะอุ้มชูชั่วเวลาจำกัด
- รัฐมีงบประมาณเหลือเฟือที่จะทำโครงการเหล่านี้
- เป็นมาตรการที่จะทำให้ประเทศชนพ้นจากความยากจน
หลังจากห้าปีผ่านไป...
- โครงการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี ตอนนี้ครบกำหนดไปแล้ว เกษตรกร
จ่ายคืนหนี้หรือยัง หรือต้องพักต่อ?
- โครงการ 30 บาท หลังจากเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการประกันสุขภาพ
ถ้วนหน้า ดำเนินการมาครบ 5 ปีแล้ว รัฐต้องควักงบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปี
ในขณะที่ทั้งแพทย์และพยาบาล ตลอดจนคนไข้มีความพึงพอใจหรือไม่?
- กองทุนหมู่บ้านและธนาคารคนจน มีการนำเงินไปใช้เพื่อสร้างรายได้
ให้ตัวผู้กู้ แล้วนำกลับมาคืนสู่ระบบของกองทุนเพื่อให้มีการหมุนเวียนในขนาด
ที่ใหญ่ขึ้นและกว้างขึ้นได้จริงหรือไม่?
- บ้านเอื้ออาทร ประโยชน์ตกอยู่กับผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยจริงหรือ?
- ประเทศชาติใกล้เคียงจะหลุดพ้นจากความยากจนจริงหรือ?
หนี้ไอเอ็มเอฟ ชวลิตเป็นคนก่อ ชวนเป็นคนกู้ ทักษิณเป็นคนไถ่..จริงหรือ?คุณสามารถหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ได้จากข้อเท็จจริงที่ผู้ประพันธ์นำเสนอ ขอเตือนด้วยความหวังดีว่า ห้ามพลาด อย่างเด็ดขาดครับ เพราะบทประพันธ์นี้ต้องปรับแต่ง และเปลี่ยนชื่อถึง
สองครั้งสองครา กว่าทุกคนจะยอมให้คลอดออกมาได้ ถือเป็นบทความที่โรงพิมพ์ขยาดที่จะพิมพ์ครับ
บทความถัดมาชื่อว่า
ประชานิยมทุนสามานย์ธิปไตย โดยคุณ เงาะหมาจู (ตั้งชื่อซ๊า..
)
... เมื่อประชาธิปไตยกลายเป็นประชานิยม พี่น้องของมันก็แปรสภาพ
ทุนนิยมเองก็เช่นกัน มันเป็นเพียงระบบที่มนุษย์กำหนดขึ้นและนำมาใช้งาน
และมนุษย์ที่ใช้ทุนนั้น ก็เริ่มสามานย์มาพร้อมๆ กับการใช้ทุนนั่นเอง ประเทศ
ทุนนิยมทั้งหมด ไม่ยกเว้นประเทศใด มีประสบการณ์อันขมขื่นเกี่ยวกับการ
กดขี่แรงงาน ทาสในระบบแรงงาน การเอารัดเอาเปรียบกัน การคดโกง หลอกลวง
ผูกขาด รังแก ดังนั้นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทุนนั้น จึงมีมากมายในทุก
แห่งหน เพื่อป้องกันทุนนิยมไม่ให้แปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นเป็นทุนสามานย์
แต่ความโลภของมนุษย์นั้นไม่มีขีดจำกัด ไม่มีพรมแดน ที่ใดที่ทุนนิยม
ไม่อาจแปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นทุนสามานย์ได้ นายทุนสามานย์ก็จะทำการ
อพยพโยกย้ายทุนไปยังแหล่งที่สามารถจะสามานย์ได้มากกว่า และเรียกชื่อ
ระบบที่เอื้ออำนวยการโยกย้ายความสามานย์นี้เสียไพเราะว่า ระบบการค้าเสรี
ทั้งๆ ที่จริงมันคือระบบการค้าสามานย์
... ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น กล่าวอ้างว่าเป็นระบอบการ
ปกครองที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ประชาธิปไตยนั้นก็เช่นเดียวกับต้นไม้ที่
แข็งแรง จำต้องมีรากที่แข็งแรงเพื่อดำรงไว้ซึ่งลำต้นที่แข็งแรง และต้อง
เจริญเติบโตจากล่างขึ้นสู่บน ต้นไม้ที่ถูกย้ายที่ นำไปปลูกโดยการตัดรากแก้ว
จะให้เพียงความสวยงามแต่ภายนอก หากแต่เมื่อต้องลมพายุโหมกระหน่ำ ก็จะ
ถอนรากถอนโคนล้มตายไปสิ้น ประชาธิปไตยก็เช่นกัน ต้องเกิดจากรากที่แข็งแรง
คือประชาชน เพื่อที่จะได้มีลำต้นที่แข็งแรงยืนหยัดต้อสู้วิกฤติการณ์ต่างๆ ได้
หากประชาธิปไตยในที่ใด เติบโตแบบต้นไม้ที่ถูกตัดรากนำไปปลูก นำหลัก
การปกครองไปสวมไว้ให้ โดยที่ประชาชนไม่ได้ร่วมพัฒนา ไม่ได้กำหนด
หลักการปกครอง แต่ทำได้เพียงเลือกผู้ปกครอง ประชาธิปไตยนั้นก็ง่อนแง่น
ไม่มีรากแก้ว ไม่มีความคงทนถาวรในวิกฤติการณ์ทั้งปวง จะล้มแล้วล้มอีก
ต้องจับตั้งกันขึ้นมาใหม่ ต้องค้ำยันไว้กันล้ม หรือหาต้นใหม่ที่ไร้รากแก้วมาปลูก
กันมิรู้จักจบสิ้น
เป็นไงครับ ตัวอย่างบทความสองท่อนที่ผมยกมาให้อ่านพอจะเรียกน้ำย่อยในกระเพาะของคุณได้ไหม
ผมอ่านบทความนี้ด้วยอาการเครียดเล็กน้อย ผู้ประพันธ์เป็นคนที่มีแนวคิดทางการเมืองที่แปลกแยก รุนแรงแต่ลึกซึ้งมากเลยทีเดียว ผมไม่ทราบว่า เขาเป็นใคร มาจากไหน ใช้ชื่ออะไรในเสรีไทยเว็บบอร์ด แต่มุมหนึ่งของความคิดของเขาตอกย้ำความเจ็บปวดในสังคมมากเลยทีเดียว ใครอยากศึกษาแนวคิดของเขา...ต้องหาอ่านต่อกันเองครับ
ต่อมาเป็นบทความเรื่อง
เราจะพัฒนาเพื่อให้ได้ชื่อว่าพัฒนา แค่นั้นหรือ โดยคุณ โดย...aoporadio
นักเขียนอารมณ์ดี แต่ความคิดร้ายกาจมาก ฮ่า ๆ ๆ สำบัดสำนวนเหมือนคนไม่เอาจริงเอาจัง แต่ความคิดจริงจังมากๆ เลย ตัวอย่างเช่น..
ผม/ดิฉัน เป็นเพียงมดงานเท่านั้น (อ่าว... คอมมิวนิสต์นี่หว่า ผ่านๆ)
ถ้าเราไม่รู้จักสิ่งที่เราพัฒนา แล้วเราจะได้ประโยชน์จากการพัฒนานั้นๆ
กาลเวลาก็แสดงให้เห็นแล้วถึงบางอย่างว่า บางครั้งของใหม่ ก็ไม่ใช่ของดี การ
พัฒนาบางครั้ง คือ การทำให้สิ่งที่ถูกพัฒนาถึงจุดเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น
(ขอนอกเรื่องแต่ไม่นอกประเด็น เมื่อไม่นานมานี้ประมาณต้นๆ เดือน
มีข่าวกรอบเล็กที่ไม่ใช่เรื่องเล็กแม้แต่น้อย และยังติดใจข้าพเจ้าอยู่มากๆ มันคือ
ข่าวเกี่ยวกับ ข้อสอบเอ็นทรานซ์ ระบบ แอดมิสชัน ซึ่งแน่นอนเป็นของใหม่ซิงๆ
และก็ไม่ทราบว่า พัฒนากันท่าไหน จนข้อสอบที่ออกไป ผิด!!! มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
แน่นอน ข้อสอบนะข้อสอบ ไม่ใช่คำตอบ ที่ผิดมาตรฐาน ที่มันต่ำเตี้ยขนาดนี้
จะไปประเมินผลใครได้ ข้อสอบที่ออกผิด 2 ข้อ เป็นคะแนน 6 คะแนน ที่ยก
ประโยชน์ให้นักเรียนผู้สอบไปคือ การแก้ปัญหาที่คิดกันได้แค่นี้ใช่ไหม ท่านผู้
เกี่ยวข้องทั้งหลาย พวกท่านจะอยู่ จะทำงาน ด้วยความสะเพร่า ขนาดไหน ก็ขอ
ให้มันอยู่แต่ในยุคของท่านเถิด อย่าส่งไม้แห่งความ - ชุ่ย - ต่อไปให้คนรุ่นหลัง
อีกเลย การแก้ปัญหาแบบทำส่งๆ ไป นั่นแน่นอน มันง่าย สะดวก รวดเร็ว
แต่เคยได้ยินไหมว่า สิ่งใดที่ทำบ่อย สิ่งนั้นจะกลายเป็นนิสัย เฮ้อ...พวกท่าน
อยากเห็นลูกหลานของเราเป็นแบบไหนกัน ให้มันเป็น ดารา กันให้หมดประเทศ
เลยไหม?)
ความตั้งใจของผู้เขียนต้องการสื่อความหมายว่า ทุกคนชอบ อยากให้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นมา แต่การพัฒนาแบบสักแต่ว่า บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ(หรือตั้งใจหว่า)
งานเขียนของท่านผู้นี้ แทรกอารมณ์ขำขันบนความคิดที่จริงจัง ใครชอบแนวนี้ อย่าลืมให้กำลังใจกันด้วยนะครับ
มาถึงงานเขียนของคนดังในเสรีไทยเว็บบอร์ดอีกท่านหนึ่ง คุณjerasak กับบทความที่ชื่อว่า
เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาการเมืองไทย
คุณjirasak เขียนเรื่องหนักๆ ด้วยข้อมูลแน่นปึ้กเสมอ
ในบทความนี้ ผู้ประพันธ์ได้ชี้ให้เห็นปัญหารากเหง้าของสังคมไทยทุกวันนี้ เกิดจากระบบอุปถัมภ์ และอำนาจนิยม ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง การให้ผลตอบแทนซึ่งกันและกันผ่านระบบอุปถัมภ์ ทำให้เกิดกลุ่มก้อนของการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน กลายเป็นกลุ่มทุนทางการเมืองที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างโดยอาศัยอำนาจนิยม ที่คนในสังคมส่วนหนึ่งเทิดทูนให้(ด้วยความเต็มใจ) โดยผู้มีอำนาจทางการเมืองจะตอบแทนผู้เทิดทูนเหล่านั้นกลับไปด้วย ผลประโยชน์เช่นกัน
ผู้ประพันธ์ได้ยกแนวทางพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงมาเปรียบเทียบ ให้คนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีรายได้น้อย การศึกษาน้อย หรือเกษตรกร นำแนวทางนี้มาประยุกต์ให้เข้ากับการดำเนินวิถีชีวิตประจำวัน ซึ่งหากยึดตามแนวทางที่ผู้ประพันธ์ให้ทัศนะไว้แล้ว ปัญหาเรื่องการพึ่งพาการอุปถัมภ์ และยึดโยงอยู่กับผู้มีอำนาจจะน้อยลงไป
...คำตอบในเรื่องนี้อาจเปรียบได้กับเรากำลังมอบหมายให้บริษัทจำหน่าย
สุราจัดรณรงค์เลิกเหล้า หรือมอบหมายบริษัทขายยาฆ่าแมลงรณรงค์ลดการ
ใช้สารเคมี เนื่องจากที่ผ่านมานักการเมืองได้รับประโยชน์จากการดำรงอยู่ของ
ระบบอุปถัมภ์อำนาจนิยมมาโดยตลอด ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยที่นักการเมือง
จะได้รับ หากประชาชนทุกคนไม่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจและสังคม มีแต่
จะทำให้สถานภาพนักการเมืองหมดบทบาทความสำคัญลงไป หากอาศัย
สำนวนปัจจุบันก็คือ ที่ผ่านมาทั้งหมด นักการเมืองไทย ใส่เกียร์ว่าง ซึ่ง
สอดคล้องกันพอดีกับการที่โครงการในพระราชดำริที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ได้รับการทุ่มเท
งบประมาณเพื่อขยายผลอย่างจริงจัง ขณะที่นักการเมืองเสนอโครงการใหม่ๆ
มากมายที่อ้างว่าเป็นไปตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง แต่กลับไม่เคยส่งเสริม
ให้ประชาชนได้เข้าใจแนวพระราชดำริอย่างถ่องแท้เลยสักครั้ง
คุณล่ะครับ เห็นด้วยกับผู้ประพันธ์หรือเปล่า?
บทความนี้ไม่ได้ต้องการให้ทุกคนชื่นชมแต่แนวนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงเพราะเป็นแนวพระราชดำริ แต่อยากให้ลองปฏิบัติในชีวิตจริงด้วย
และแล้ว..
หลังจากอ่านเรื่องเครียดๆ แต่ทวีปัญญาเกี่ยวกับการเมืองและประชาธิปไตยมามากแล้ว ก็มาถึงหมวดที่จะทำให้คนอ่านได้ผ่อนคลายเส้นสายและเกิดรอยยิ้มขึ้นมาได้บ้างไม่มากก็น้อย ผู้ประพันธ์ในหมวดนี้ล้วนแต่เป็นคนที่เชี่ยวชาญทั้งศาสตร์การเมืองและศิลปะในการนำเสนอ มาลองดูนะครับว่า มีบทความใดบ้างในหมวด การเมืองเป็นเรื่องสนุก (ซะเมื่อไหร่?)
เริ่มต้นด้วยบทความที่อาจทำให้ชาวเสรีไทยถึงกับช็อกไปเลยก็ได้เมื่อได้อ่านหัวเรื่อง..
เมื่อผมเปลี่ยนใจหันไปซบอกทักสิงค์ ของคุณ *bonny
ลองไปฟังเหตุผลของผู้ประพันธ์ดูนะครับว่า ทำไมต้องหันไปซบอกคุณทักสิงค์ทั้งๆ ที่ต่อต้านบุคคลผู้นี้มาตลอด 5 ปีเต็ม..
...อยู่เสรีไทยกินแต่แกลบ งานเยอะ รายรับไม่มี มีแต่
รายจ่าย ผมจึงคิดหาทางที่จะพลิกวิกฤติของคุณ
ทักสิงค์เป็นโอกาสทองของชีวิต ด้วยการเปลี่ยนจุดยืน
หันไปซบคนที่มีเงินดีกว่า เชื่อว่าในยามคับขันนี้ คุณทักสิงค์
จะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของผมอย่างแน่นอน
ผมทุบกระปุกออมสินกระปุกสุดท้าย เพื่อรวบรวมเงิน
ค่าตั๋วเครื่องบินบินไปปักกิ่งโดยที่ไม่บอกให้ชาวเสรีไทยเว็บบอร์ด
ทราบ ผมเข้าใจดี ถ้าขืนบอก พวกเขาคงไม่เข้าใจหรอก คนพวกนี้
มันกินแต่อุดมการณ์ต่อต้านทักสิงค์ไปวันๆ เก่งแต่เห่าในกระทู้
พอให้ออกไปสู้กลางแจ้ง หนังศีรษะสู้ฟ้า หน้าสู้แดด มือแบกป้าย
เข้าหน่อย หนอยแน่ะ...ทำอิดออด คนแก่บอกกลัวเป็นลม
เด็กสาวๆ หน่อยบอกกลัวสิวขึ้น
สำนวนแขวะคนรอบข้างของผู้ประพันธ์คนนี้ทำให้หลายๆ คนปวดแสบปวดร้อนไปตามๆ กัน ความมุ่งหมายที่จะไปตามล่าหาสมบัติจากคุณทักสิงค์โดยยอมละทิ้งเพื่อนๆ และอุดมการณ์จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขอให้ติดตามอ่านกันดูนะครับ
แล้วคุณจะรู้จักนักเขียนคนนี้ดีขึ้นว่า..เขาน่ะ บ้าแค่ไหน ฮ่า..ๆ ๆ
บทประพันธ์ต่อไปที่จะเรียกรอยยิ้มจากท่าน คือ
ฤทธิ์คิดสั้น โดยคุณโกยจนเจ๊ง
ใครที่เป็นแฟนหนังสือกำลังภายในของโกวเล้ง ย่อมต้องรู้จัก
ฤทธิ์มีดสั้น ของลี้คิมฮวง มีดบินลี้น้อย ไม่เคยพลาดเป้า
แต่ฉบับนี้ ลี้คิมฮวงคงต้องชิดซ้ายไปให้ไกลๆ และอาจต้องเลิกพกมีดสั้นไปตลอดชีวิต เพราะพระเอกของเรื่องนี้คือ
ลี้ษิณไขว่ ผู้มีนิยามดังนี้..
... มันขยับอาวุธลับในมือไปมา อาวุธพิสดารนั้น มิว่าผู้ใด
ได้พบเห็น ก็มิรู้ว่าเป็นสิ่งไร นี่คืออาวุธลับ อันทำให้ลี้ษิณไขว่
ได้ครองอันดับสามของตำแหน่งยอดฝีมือแห่งยุทธภพ อาวุธลับ
ที่ผู้ใดได้พบเป็นต้องร้องอุทานฉายาของมันว่า คิดสั้น ไม่เคย
ถูกเป้าเป็นยังไงบ้างครับ เปิดตัวออกมาก็สร้างความฮือฮากันแล้วใช่ไหม คอหนังสือกำลังภายในห้ามกระพริบตาอย่างเด็ดขาด! (เพราะอาจพลาดเป้า..ฮ่า ๆ)
อย่าคิดว่า เราจะยอมให้คุณหุบปากได้ง่ายๆ นะครับ บทความต่อไปของคุณศิลาแลง ชื่อว่า
ตอบปัญหาชีวิตกับคุณป้าศิลาแลง อาจทำให้คุณต้องหัวเราะจนแทบตกเก้าอี้เลยก็ได้
คุณป้าแกเป็นนักตอบปัญหาชีวิตผ่านทางจดหมาย แต่วันนี้คุณป้าต้องปวดหัวอย่างมากมาย เพราะจดหมายที่เข้ามาแต่ละฉบับล้วนสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้ชายคนหนึ่ง ถามมาแบบคันๆ แท้ๆ แทนที่จะตอบแบบให้ยาแก้คัน แต่คุณป้าแกตอบแบบแสบๆ เอาพริกป่น เอาเกลือโรยบาดแผลซะงั้น..
จดหมายฉบับที่ 3
ถาม...
ป้าศิลาแลงฮะ
ผมจะต้องเข้าสอบ
แต่ไม่ค่อยได้ตั้งใจเรียน
ถ้าผมแอบลอกหนังสือเข้าไปในห้องสอบ
ป้าคิดว่าผมจะสอบได้ไหมฮะ
แล้วคุณครูจะจับได้ไหม
เด็กชายโอ๊ต ป. 6/1ตอบ...ดู๊ แหมๆ
ไอ้เด็กตัวกะเปี๊ยกแค่นี้
คิดจะทุจริตการสอบแล้วเรอะ
อ้าว ปอหกเองนี่
แปลคำว่าทุจริตออกไหมเนี่ย หลานเอ๊ย
ป้าจะสอนจะสั่งแทนพ่อแม่ของหลานให้นะ
การเรียนนั้นหลานต้องหมั่นเพียร
จะสอบได้คะแนนมากหรือคะแนนน้อย
ก็ให้มันเป็นความสามารถของตัวเองนะหลานนะ
การแอบลอกหนังสือเข้าไปนั้น
มันเป็นการกระทำที่ไม่ดี
ส่วนคุณครูจะจับได้หรือไม่นั้น
ป้าก็ไม่รู้หรอกจ้ะ
แต่เท่าที่ป้ารู้มานั้น
คนที่โง่ขนาดต้องลอกหนังสือเข้าไปในห้องสอบ
มันก็โง่พอที่จะทำโพยซึ่งลอกเข้าไปนั้นตก
ให้คุณครูเขาจับได้เองนั่นแหละ
อันนี้เขาเรียกว่ากรรมนะจ๊ะหลาน
ป้าศิลาแลงเฮ้อ..อ่านคำตอบของป้าแล้วเมื่อยกรามว่ะ
ผ่านหมวดขายหัวเราะมาได้ ต่อมาก็เจอหมวด อักษรเสรี กวีของแผ่นดิน มีนักกวีหลายคนส่งผลงานมาลงในหนังสือเล่มนี้ ทุกบทกวีคัดสรรแล้วว่า ถูกต้องตามฉันทลักษณ์และมีความคมคายในการสื่อภาษาอันงดงาม อาทิ..
จากเสียงสันติ เสียงแผ่นดิน ของคุณภูตะนาว
....เสียงสันติที่พร่ำเพรียกเรียกหา
ต้องแลกด้วยชีพประชาอีกมากไหม
จึงจักพานจักพบประสบใน
บ้านเมืองไทยเมืองธรรมที่ร่ำร้อง
.
เบญจศีล เบญจธรรม ของคุณAugustman
....เบญจธรรม ตรองดู คู่ศีลห้า
หนึ่ง เมตตา กรุณา นั่นไฉน
สอง สัมมา-อาชีพ สุจริตใจ
สาม ควรได้ สำรวมอยู่ คู่ครองตน
สี่ มีความ สัตย์ซื่อ ถือสุจริต
ห้า ความคิด รอบคอบ กอรปเหตุผล
มีสติ สัมปชัญญะ ไม่ลืมตน
เป็นบุคคล เรียกว่า กัลยาณชน ....
รัฐธรรมนูญ โดยคุณภูตะนาว
....แท้ร่างเพื่อเอื้อการเมืองมิใช่หรือ
ผลประโยชน์ที่ถือนั้นยิ่งใหญ่
ประชาชนเดินดินอยู่กินไป
ประชาธิปไตยแค่เลือกตั้ง.......หวังใดนัก
ยามเช้า โดยคุณอธิษฐาน
....ธรรมชาติพิสุทธิ์ประดุจสวรรค์
เรืองแสงทองตะวันอันหลากหลาม
โลกจักสุขเมื่อสดับรับความงาม
ของเช้ายามรออยู่เพียงครู่เดียว
รักเธอ เสรีไทย โดยคุณนายตื่นสาย
ครบขวบปี ก้าวมาที่ เสรีไทยฯ
ยามห่างไกล ห่วงใย พะวงหา
บางครั้งท้อ เหนื่อยนัก อยากหลับตา
แต่ต้องมา เพราะคำนึง คิดถึงเธอ....
นี่ผมคัดมาแค่ส่วนหนึ่งของบทกวีทั้งหมดก็ยังยากลำบากอย่างยิ่งแล้ว เพราะยากจะคัดสรรได้ว่า บทไหนงดงามกว่ากัน จะยกมาทั้งหมดก็ใช่ที่ (เดี๋ยวพวกคุณไม่ต้องซื้ออ่านกันพอดี)
แต่ในหมวดนี้ยังมีงานประพันธ์ชิ้นพิเศษอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งกองบรรณาธิการทุกคนภูมิใจที่จะนำเสนอเป็นของขวัญให้สมาชิกชาวเสรีไทยเว็บบอร์ดโดยเฉพาะ เป็นนิทานพื้นบ้านที่ผูกเรื่องราวเกี่ยวโยงกับการเมือง โดยทำเป็นบทร้อยแก้วผสมผสานกับร้อยกรอง ชื่อว่า "
กวีนคร"
เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า เมืองอันแสนงสบสุขเมืองหนึ่งชื่อว่า กวีนคร กำลังตกอยู่ในอันตราย เมื่อเป็นที่อิจฉาริษยาของเจ้าเมืองอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีพลานุภาพกว่า และต้องการยึดครองเมืองแห่งนี้ไว้เป็นเมืองขึ้น เพื่อพลิกผันนโยบายทางเศรษฐกิจและการปกครองของเมืองๆ นี้ให้กลายเป็นระบบที่ทันสมัยกว่า มั่งคั่งกว่า ครั้นจะใช้กำลังเข้าจู่โจมยึดเมืองก็เกรงจะเป็นที่ครหาแก่หัวเมืองอื่นๆ จึงส่งทูตมาเจรจาขอให้ยอมยกเมืองให้เสียแต่โดยดี ชายหนุ่มชาวเมือง คนดี ฝีปากกล้า คนหนึ่ง จึงขันอาสาท้าประลองปะทะคารมกับทูตมากเล่ห์คนนั้นด้วยบทกวี โดยมีบ้านเมืองของตนเองเป็นเดิมพัน ผลจะเป็นเช่นไรขอเชิญทุกท่านไปหามาอ่านได้
ขอเตือนว่า พลาดไม่ได้นะครับ โดยเฉพาะ
คุณชอบแถ และจารย์ไรจ๊ะ พวกคุณมีบทบาทสำคัญในบทความเรื่องนี้ด้วย (เอ๊ะ..อะไรกัน! พระเอกเหรอ?
)
หมวดต่อมามีส่งประกวดเรื่องเดียว คือ
เรื่องอาหารชาวม็อบ ของคุณ*bonny (เลยต้องเจอนักประพันธ์คนนี้อีกแล้ว..
)
ยุคนี้ใครไม่เคยไปเดินขบวนดูเหมือนจะตกยุคไปเสียแล้ว และหากคุณเป็นชาวม็อบมือใหม่ อาจต้องเรียนรู้กลยุทธบางประการเพื่อให้สามารถเอาตัวรอด และอยู่ท่ามกลางฝูงชนได้อย่างมีความสุข ที่สำคัญคือ อิ่มท้องด้วย
ผู้ประพันธ์ได้เสนอแนะบัญญัติ 8 ประการสู่ความอิ่มหนำสำราญโดยไม่สร้างภาระให้ใครในระหว่างประท้วง ใครสนใจอยากเป็นชาวม็อบหาอ่านได้นะครับ ผมคัดตัวอย่างมาพอเป็นกระษัย
....อีกสิ่งหนึ่งที่ขอแนะนำเป็นทิปเล็กๆ คือ ให้นำกระดาษหนังสือพิมพ์สักครึ่ง
เล่มพับให้พอขนาดที่จะยัดลงไปในก้นกระเป๋าของคุณได้ กระดาษหนังสือพิมพ์
นี่ช่วยคุณได้หลายสถานะทั้งกางเป็นร่มกันแดดกันฝนชั่วขณะ หรือ รองพื้น
ที่คุณนั่ง เพราะถ้าเป็นพื้นหญ้า ใบหญ้าจะแทงก้นแทงขาพอให้รู้สึกคันๆ สำเนียง
คนจันท์จะบอกว่า หญ้ามันแทงฮิ แต่ถ้าม็อบไหนเจอพื้นปูนซีเมนต์ตอนกลางวัน
เข้า จะต้องร้อง ไอ๊หยา...ร้อนอิ๊บอ๋าย !
นอกจากนี้ กระดาษหนังสือพิมพ์ยังใช้ในยามฉุกเฉินเมื่อท้องไส้ของคุณ
ปั่นป่วน เอาไปแทนกระดาษทิชชู่ได้เพราะห้องน้ำชั่วคราวเขาไม่มีเตรียมไว้
ให้แน่นอน รวมทั้งกรณี คุณต้องสำรากอย่างกะทันหันเพราะทนฟังถ้อยคำ
ชงหวานๆ เชียร์นักการเมืองอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูของผู้นำการปราศรัยบนเวทีและแล้วก็มาถึงหมวดสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ คือ หมวดบันเทิง จิปาถะ สัพเพเหระ กันเสียที
เช่นกันกับหมวดที่แล้ว มีผู้นำเสนออยู่บทความเดียว ซึ่งก็เป็นของคุณ*bonny ชื่อเรื่องว่า
จดหมายจากเดนคุกเนื้อหาของบทความนี้ตอกย้ำความเจ็บปวดของสังคมที่มีมาช้านานแล้ว และยังไม่สามารถบำบัดสะสางได้ ความขมขื่นของลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องถูกชายโฉดผู้ได้ชื่อว่า เป็นบุพการี กระทำการอันเป็นตราบาปไว้ให้ตลอดชีวิต แม้จะพยายามหนีสุดชีวิต ความพิการทำให้เธอไม่อาจเพรียกหาความยุติธรรมได้เหมือนคนทั่วไปที่ปกติ ในสังคมโลกาภิวัฒน์นี้ มิได้มีเพียงผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่ถูกกระทำให้ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตโดยไม่สมยอม ยังมีผู้หญิงและเด็กอีกมากมายที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน
ผมรับรองว่า คุณต้องถอนหายใจหลายๆ เฮือกตลอดเวลาที่ติดตามอ่านพฤติกรรมของชายโฉดในบทความนี้ ความมุ่งหวังของผู้ประพันธ์ต้องการให้คนในสังคมที่เพียบพร้อมกว่า แข็งแรงกว่า ได้หันหลังกลับมาดูแลชะตากรรมของคนเหล่านี้บ้าง ในฐานะ
เพื่อนมนุษย์ถ้อยความบางตอนในจดหมายจากเดนคุกคนหนึ่ง..
.....เมื่อเดินทางไปไปถึง สาเกถูกไอ้ดำ และไอ้แก้วข่มขืน
จนสำเร็จความใคร่ไปเรียบร้อยแล้ว พอผมไปถึง อีกสองคนที่กำลัง
จะต่อคิวก็ให้เกียรติผมแซงขึ้นเป็นคิวต่อไป..เรทอาร์เชียวนะครับเนี่ย
ทั้งหมดนั่นเป็นบทความที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ
ยังไงก็ไม่ชิน ซึ่งจะปรากฏเป็นรูปเล่มขนาดพ็อกเก็ตบุ้ค ความหนาร่วมๆ สองร้อยหน้า
คุณจะอดใจไม่รักหนังสือเล่มนี้ไม่ได้หรอกครับ เชื่อผมดิ