คนสำคัญที่ไม่พูดไม่ได้ในเวลานี้นั่นก็คือ มานิต จิตต์จันทร์กลับ อดีตหัวหน้าศาลฎีกา ข้อมูลคร่าวๆ จากการเรียบเรียงโดยสรุป มานิตย์ หนึ่งในแนวร่วมคนสำคัญคนนี้ เป็นอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ที่ถูกไล่ออกในกรณีวิกฤตตุลาการเมื่อปี พ.ศ.2535 พร้อมกับ ประมาณ ชันซื่อ ซึ่งมานิตย์รับเป็นมือขวา สุวรรณ วลัยเสถียร พงศ์เทพ เทพกาญจนา ไพฑูรย์ เนติโพธิ์ ฯลฯ
ต่อมาได้รับการอภัยโทษและกลับเข้ารับราชการ หลังจากเกษียณอายุแล้ว ยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาพิเศษ ซึ่งช่วงเวลานั้นถูกทาบทามจาก พรรคไทยรักไทย ให้มาเป็นที่ปรึกษากฎหมาย โดยทำงานเรียกค่าตอบแทน ควบคู่กับการเป็นผู้พิพากษาพิเศษเช่นเดิม
เป็นที่น่าสังเกตว่า บุคคลที่ถูกไล่ออกในกรณีวิกฤตตุลาการเฉกเช่นมานิตย์ ล้วนอาศัยนั่งร้าน ไทยรักไทย อย่างเช่น พงศ์เทพ เทพกาญจนา ผู้พิพากษาวัยละอ่อนที่ครองตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค หรือจะเป็น สุวรรณ วลัยเสถียร ที่ปรึกษากฎหมายตระกูลชินวัตร ที่มีความเชี่ยวชาญในการเลี่ยงภาษีด้วยวรรคทองเด่นจากคำว่า ผมไม่ได้มีหน้าที่มาพูดเรื่องจริยธรรมช่วงเวลานั้นเมื่อ พ.ค.2549 ขณะที่กำลังดำเนินดคีกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุด พล.อ.วาสนา เพิ่มลาภ มานิตย์ได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาล โดยเฉพาะการยกพระราชดำรัสมากล่าวอ้างถึงเพื่อโจมตีและดิสเครดิต โดยอ้างความเป็นอดีตผู้พิพากษาเช่นเดียวกับผู้พิพากษาคนอื่นๆ ทั้งที่ความจริงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมายของพรรคไทยรักไทย งถูกเปิดโปงไปตั้งแต่ปีก่อน
ในการตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย นายมานิตย์ได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตุลาการรัฐธรรมนูญ ลงสื่อสิ่งพิมพ์ในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย พยายามแนะนำให้ตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ถอนตัวจากการตัดสินคดียุบพรรค เพื่อทบทวนบทบาทในการร่วมสังฆกรรมกับคณะรัฐประหาร
ภายหลังจากตุลาการรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคไทยรักไทย นายมานิตย์ตัดสินใจโดดร่วมวงเป็นแกนนำต่อต้านรัฐประหาร ร่วมกับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เพียงแต่งานนี้ไม่ได้รับหน้าที่เป็นที่ ปรึกษากฎหมาย อย่างเช่นที่เขาเคยทำในชีวิตประจำวัน
ด้วยวัยวุฒิที่อาวุโส มานิตย์มักจะกล่าวอ้างถึงตำแหน่ง อดีตผู้พิพากษา อีกครั้งจนถึงทุกวันนี้ แต่ถึงกระนั้น นายมานิตย์ไม่เคยบอกถึงอดีตที่ปรึกษากฎหมาย ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาคือหนึ่งใน ลูกจ้าง ของทักษิณ ชินวัตร
และความที่ทักษิณมักจะเรียกใช้บรรดานักกฎหมายเพื่อหาช่องทางหลีกเลี่ยงในเรื่องต่างๆ ตามประสาที่เรียกว่า เนติบริกร เพราะฉะนั้นการเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำหน้าที่ ทนาย คอยแก้ต่างให้กับผู้อื่น
จะเรียกว่า ทนายหน้าพรรค เมือนกับที่เรียกอดีตนักเรียนทุนอานันทมหิดลอย่าง นพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของตระกูลชินวัตรว่า ทนายหน้าหอ ก็คงจะไม่แตกต่างกันมากนัก !!!
http://www.oknation.net/blog/kittinunn/2007/06/11/entry-1ผมนำมาถ่ายทอดต่อ จะกระทำผิดกฎหมายร่วมกับ"น้องออฟ" หรือป่าววววว.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า