ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 14:11
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  อายัดทรัพย์...เป็นเรื่องธรรมดาที่ทกคนต้องโดนถ้าโกง...คนไทยคิดเป็นไม่นองเลือดหรอก 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
อายัดทรัพย์...เป็นเรื่องธรรมดาที่ทกคนต้องโดนถ้าโกง...คนไทยคิดเป็นไม่นองเลือดหรอก  (อ่าน 878 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 11-06-2007, 17:01 »

“จารุวรรณ” แย้มให้รอฟังข่าวสำคัญจาก คตส.เย็นวันนี้ สะพัดสั่ง “อายัดทรัพย์ แม้ว-เมีย” ขณะเดียวกัน กรรมการ คตส.เข้าประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง    

    
       วันนี้ (11 มิ.ย.) “เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ” ได้รายงานข่าวด่วนเข้ามาว่า มีการคาดหมายว่าในตอนเย็น ทางคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อาจจะใช้อำนาจในการอายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว โดยขณะนี้มีการประสานงานไปยังสถานีโทรทัศน์หลายช่องเอาไว้แล้ว
       
       รายงานดังกล่าวยังระบุอีกว่า เมื่อตอนเช้า ทาง คตส.ได้เข้าประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง โดยคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กรรมการ คตส.กล่าวว่า “วันนี้อาจมีข่าวใหญ่จาก คตส.” อย่างไรก็ตาม ให้จับตาการประชุม คตส.ซึ่งคาดว่าจะมีการลงมติในตอนบ่ายวันนี้
       
       ทั้งนี้ ในเวลานี้ได้มีหลายคดีที่มีการกล่าวหา และส่งอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาสั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยา โดยเฉพาะคดีทุจริตซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก และการเลี่ยงภาษีการขายหุ้นชินคอร์ป
       
       มีรายงานว่า มาตรการในการอายัดทรัพย์สินของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ดังกล่าวยังได้รับการเห็นชอบจากการหารือร่วมกันของบุคคล 3 คน คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงที่สนับสนุนกลุ่มม็อบให้ก่อความวุ่นวายเพื่อต่อรองทางการเมืองและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยการหารือของทั้งสามคนได้ข้อยุติเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาหลังการตีกอล์ฟร่วมกัน

...................................................................................

อายัดทรัพย์'แม้ว''บัง-แอ้ด'สรุปบนกรีน/ยึดทีวี-วิทยุด่าทักษิณสูบเลือด


11 มิถุนายน 2550    กองบรรณาธิการ

"สุรยุทธ์" ยึดคลื่นทีวี-วิทยุ ออกโรงด่าแม้วเมามัน ทั้งโกงกินเพื่อเพื่อนพ้อง ฉ้อราษฎร์บังหลวง "สูบเลือดจนหมดตัว" คดีคอรัปชั่นบานตะไท 13 คดีรอศาลตัดสิน ชี้ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน


ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียว   ยึดหลักนิติธรรมเป็นหนทางหลัก  ไม่ใช่พูดเพียงลมปากเหมือนยุคที่ผ่านมา เผยหากไม่ใช้หลักยุติธรรม ปัญหาช่องว่างความยากจนก็แก้ไม่ได้ "คตส." จ่อประชุมอายัดทรัพย์สิน "ทักษิณ" ชี้ข่าวรั่วก่อนพร้อมถอนเรื่องออก

เมื่อเวลา  16.30  น.  พล.อ.สุรยุทธ์  จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปราศรัยกับประชาชนผ่านสถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ และสถานีวิทยุในสังกัดกองทัพบก ภายใต้หัวข้อ "ทางเลือกและการเอาชนะปัญหาของชาติวันนี้"

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า    แต่ละคนมีเสียงหนึ่งเสียงเท่าเทียมกันไว้ใช้ลงคะแนนเลือกตั้ง   ซึ่งเป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่ทุกคนต่อสู้สร้างร่วมกันมา   โดยต้องมีความรับผิดชอบใช้เสียงลงคะแนน ซึ่งจะประกอบกันเป็นเจตนารมณ์ตัดสินว่าชาติบ้านเมืองจะไปทางไหน   แต่นอกจากการที่มีความรับผิดชอบมีส่วนร่วมทางการเมือง   ตัดสินใจใคร่ครวญอย่างดีที่สุดเพื่อเลือกพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มาแทนตัวเรา ในการปกครองบ้านเมืองเช่นที่คาดหวังไว้แล้ว   ถ้าจะให้ประชาธิปไตยได้ผลจริงอย่างที่หวังต้องยึดมั่นในหลักนิติธรรม

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวต่อไปว่า   หลักนิติธรรมหมายความว่า ความยุติธรรมต้องมีให้กับพลเมืองไทยทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน  ไม่ว่าจะรวยจะจน  กฎหมายต้องพิทักษ์คุ้มครองคนดี ลงโทษคนทำผิดอย่างเท่าเทียมกัน   ในประเทศนี้ทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน  เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่สำคัญและท้าทายที่สุดซึ่งสังคมไทยกำลังเผชิญอยู่  เพราะถ้าไม่มีหลักนิติธรรม  ระบอบประชาธิปไตยที่อยากเห็นเกิดขึ้นในบ้านเมืองอย่างมั่นคง ก็ไม่อาจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพได้เลย ถ้าปราศจากความเป็นธรรมก็จะไม่มีความเสมอภาค และประชาธิปไตยก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

"บางคนอาจเห็นว่าเมื่อ 5 ปีก่อน  ประชาธิปไตยก็ดำเนินไปได้ด้วยดีในยุครัฐบาลที่ผ่านมา เพราะมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไปกันมาก   และพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากก็ตั้งรัฐบาลมาบริหารประเทศ  ฟังดูก็ดีเหมือนประชาธิปไตยจริงๆ แต่ถ้ารัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งมาเช่นนั้น หลักนิติธรรมเสื่อมลง ถูกทำลายด้วยพลังของผู้ทรงอำนาจ ผู้ร่ำรวย และพรรคพวกของเขา การฉ้อราษฎร์บังหลวงระบาดไปทั่ว แม้แต่องค์กรอิสระที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2550 ก็อ่อนแอลง และหมดกำลังจะต้านมหาภัยที่มาจากคลื่นของความโลภเช่นนี้ได้" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า   อดีตนายกรัฐมนตรีเองก็ยอมรับเรื่องนี้  โดยเมื่อครั้งให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์เมื่อ  2-3  เดือนก่อน โดยกล่าวว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวงในประเทศไทยจะไม่มีวันหายไปได้ มันฝังอยู่ในระบบเสียแล้ว  คำกล่าวเช่นนี้ค้านกับคำพูดของท่านเอง ที่ท่านเคยสัญญากับประชาชนว่าจะทำสงครามต่อสู้เอาชนะการฉ้อราษฎร์บังหลวงให้ได้   จึงอยากจะถามว่า เราจะให้บุคคลที่คิดไม่ดีมายักยอกทรัพย์ของแผ่นดินไปทุกวันๆ เช่นนั้นหรือ

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า  เราก็ต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวงนี้ให้หมดสิ้นไป โดยเฉพาะการใช้แนวทางนิติธรรมเป็นหนทางหลัก   ซึ่งเป็นหนทางที่เลือกให้กับตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการ  และรัฐบาลในช่วง 1 ปีที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่น่าจะบริสุทธิ์ยุติธรรมในสิ้นปีนี้  โดยจะต่อสู้เอาชนะภัยฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกรูปแบบ  และทำให้แนวทางนิติธรรมเข้มแข็งมั่นคงในแผ่นดินนี้ให้จงได้

"พี่น้องประชาชนทั้งหลายเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินว่าจะยอมถูกสูบเลือดจนหมดตัว  เพราะการฉ้อราษฎร์บังหลวง  หรือจะตัดสินใจประกาศให้เห็นชัดว่าพอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว เราเหลือเวลาเป็นรัฐบาลอีกเพียง  6  เดือนเท่านั้น  เราได้เริ่มต้นทำงานอย่างมั่นคง แต่การจะต่อสู้สืบไปนั้นขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลาย   ที่จะต้องเลือกคนที่ดีที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า  คัดเอาคนที่แน่วแน่มั่นคงว่าจะนำพาประเทศชาติ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคนกลับสู่หนทางแห่งหลักนิติธรรม" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว

เขายังกล่าวอีกว่า  เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ  ได้เสนอหลักการ  4 ข้อเป็นแนวทางการทำงาน  คือ  ทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และใช้ทรัพยากรทุกอย่างด้วยความประหยัด  ทั้งหมดนี้เป็นมาตรฐานที่ใช้ประเมินการตัดสินใจและการกระทำทุกอย่าง  แม้จะชราและช้าไปบ้าง แต่ก็ถือเอาประโยชน์สาธารณะและความซื่อตรงเป็นหลักเหนืออื่นใด

สำหรับยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ  การป้องปราม ถ้าคนที่ทำผิดคิดมิชอบใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลไม่ได้รับโทษอะไรเลย คนก็จะไม่หยุดทำชั่วกัน จึงต้องตระหนักว่าการละเมิดกฎหมายนั้นมีผลให้ต้องรับโทษ  ถึงวันนี้ก็มีคนถูกกล่าวหาแล้วในคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงใหญ่ไม่น้อยกว่า  13 คดี  แต่ละคดีกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นตามกระบวนการทางกฎหมาย  งานเช่นนี้ต้องใช้เวลา  แต่ก็ไม่ยอมใช้อำนาจฝ่ายบริหารไปทำให้การตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมต้องเสียหายขาดตอน  เพราะเชื่อว่าคนในชาติต้องเห็นว่า  กระบวนการตรวจสอบเอาคนผิดมารับโทษดำเนินไปได้ ทุกคนต้องเชื่อว่ากฎหมายบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์

"วันนี้อย่างน้อยมีกรณีการหลีกเลี่ยงภาษีการโอนขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็ก   ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนส่งฟ้องเป็นคดีอาญา   คดีที่สองเป็นกรณีการทุจริตประพฤติมิชอบ ในการจัดซื้อที่ดินบริเวณถนนรัชดาภิเษกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ  คดีนี้เข้าสู่การฟ้องเป็นคดีอาญาเช่นกัน   คดีที่สามเกี่ยวกับกรณีการทุจริตในโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX 9000 และกรณีการทุจริตโครงการจัดจ้างก่อสร้างระบบไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ   (แอร์พอร์ตลิงค์) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย  ที่คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินกำลังดำเนินการฟ้องร้องอยู่   ผมคาดว่ากรณีต่างๆ  ที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ในเวลานี้ จะดำเนินไปสู่ขั้นตอนฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรม   แต่ผมขอย้ำว่าเราจะยึดถือความเป็นธรรมอย่างเคร่งครัด เราถือว่าผู้ต้องหาทั้งหมดยังไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสิน" นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ.สุรยุทธ์ตอกย้ำว่า    การต้องมาดูแลให้เกิดกระบวนการเช่นนี้เป็นเรื่องที่หนักใจ และเชื่อว่าท่านทั้งหลายก็รู้สึกเช่นเดียวกันที่ต้องมารับรู้เรื่องนี้   เพราะพี่น้องจำนวนมากเคยไว้วางใจและตั้งความหวังไว้ในตัวผู้นำรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งศาลยุติธรรมเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสินในที่สุดว่า คนที่ท่านเลือกเข้าไปนั้นได้แสวงประโยชน์ส่วนตนหรือไม่อย่างไร   บทเรียนนี้เจ็บปวดและมีราคาสูงยิ่งสำหรับเราทุกคน แต่เป็นบทเรียนที่เชื่อว่าเราต้องเรียนรู้ให้ได้  ไม่เช่นนั้นจะไม่มีหวังใดๆ ในการสร้างหลักนิติธรรมให้ศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของเรา

ยุทธศาสตร์ที่ 3  ของที่วางไว้เพื่อต่อสู้เอาชนะการฉ้อราษฎร์บังหลวง คือ  ใช้การตรวจสอบเปลี่ยนแปลงกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง  โดยปิดช่องว่างทางกฎหมายทุกจุดและออกกฎหมายใหม่ๆ เรื่องนี้กระบวนการนี้กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้เกิดผลต้องปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย  โดยเมื่อวันที่  13 พฤศจิกายน 2549 ก็ได้ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกิจการตำรวจขึ้น ซึ่งเพื่อนตำรวจอย่าได้กังวลกับการปฏิรูป เพราะเวลานี้เป็นจังหวะที่ท่านทั้งหลายต้องก้าวออกมาเพื่อปกป้องพิทักษ์ราษฎรหญิงชาย อันเป็นงานในหน้าที่โดยตรง

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวอีกว่า   การท้าทายที่สำคัญสุดที่พลเมืองไทยทุกคนต้องตัดสินใจเลือกอย่างรอบคอบมั่นคง   คือ   ต้องเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดชีวิตทางการเมืองของชาติอย่างจริงจัง ด้วยสันติวิธี  และด้วยปัญญาความรู้ เพราะเราไม่เพียงมีส่วนร่วมทางการเมืองในเวลาเลือกตั้งเท่านั้น แต่เรามีส่วนร่วมได้ทุกวันคืนโดยควรเลือกตัดสินใจด้วยตัวเอง   ไม่ใช่เชื่อการชักจูงของผู้อื่น   ต้องเลือกสนับสนุนนักการเมืองชายหญิงที่เป็น  คนดี  ซื่อสัตย์  ให้พวกเขาได้มาเป็นผู้นำทางการเมืองของเรา ในการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่กำลังจะมาถึงปลายปีนี้

"ชาติของเราไม่มีวันได้รัฐบาลที่ดีและซื่อสัตย์ หากทุกคนปล่อยให้การฉ้อราษฎร์บังหลวง   และการไม่แยแสกับกระบวนการนิติธรรมดำเนินต่อไป   ถ้าคนเข้ามาแสวงหาอำนาจทางการเมืองเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องร่ำรวยขึ้น    ใช้อำนาจไปในทางมิชอบและทำการอย่างฉ้อฉล  เรื่องนี้เป็นการท้าทายประเทศชาติอันเป็นที่รักของเรา สิ่งที่สองที่รอเราอยู่ในอนาคต คือ เราแต่ละคนต้องปฏิเสธการฉ้อราษฎร์บังหลวง  ไม่เพียงในเรื่องทางการเมืองเท่านั้น แต่ในทุกส่วนแห่งชีวิตของเราทุกคนต้องเลือกเคารพหลักนิติธรรม ในฐานะรากฐานแห่งสังคมไทย" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า   ถ้าการฉ้อราษฎร์บังหลวง และการไม่เคารพหลักนิติธรรมยังครอบงำการเมืองอยู่  จะไม่มีวันมีรัฐบาลที่ดีและซื่อสัตย์โดยอาศัยกระบวนการประชาธิปไตยได้เลย  และถ้าเราไม่มีรัฐบาลที่ดีและซื่อสัตย์ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน   ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลทุกรัฐบาลมุ่งแก้ไขให้หมดไป  นั่นคือช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่ห่างออกจากกัน มีแต่รัฐบาลที่ดีและซื่อสัตย์เท่านั้นที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้พลเมืองที่อ่อนแอเสียเปรียบของเรามีพลังเข้มแข็งขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ชั่วครั้งชั่วคราว

"ความไม่เสมอภาคทางรายได้   ซึ่งสะท้อนความไม่เท่าเทียมกันทางทรัพย์สินระหว่างคนในประเทศ   เป็นเหตุสำคัญให้คนในชาติของเราต้องแตกแยกกันในทางการเมืองเช่นนี้  ดังนั้นไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลต่อไปข้างหน้า   รัฐบาลนั้นก็ต้องถือเอาการแก้ไขปัญหาความไม่เสมอภาคกันทางรายได้ เป็นปัญหาจำเป็นเร่งด่วนที่สุดที่ต้องแก้ไขให้หมดสิ้นไปให้ได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว

นอกจากนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ ยังกล่าวถึงคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญว่า  คำตัดสินที่มีผลให้พรรคไทยรักไทยถูกยุบ และกรรมการบริหารพรรคถูกห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปีเพราะได้ทำผิดกฎหมาย  คือผลกรรมที่ต้องรับ  ถ้าไม่เคารพหลักนิติธรรมเพียงลมปาก  จึงขอประชาชนยอมรับการตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญให้ถือเป็นที่สุด  พรรคการเมืองเป็นเรื่องความคิด ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล ในประวัติชีวิตสั้นๆ  ของพรรคไทยรักไทย   พรรคนี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าชีวิตทางการเมืองของประเทศ นโยบายหลักหลายข้อกลายเป็นมรดกทางการเมืองที่จะดำเนินต่อไปในสังคม  เช่น  สิทธิในการรักษาพยาบาลสำหรับราษฎรทุกคน  ขอขอบคุณพรรคไทยรักไทยที่ได้สร้างและดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนยากคนจน ขณะเดียวกันเราก็ยอมรับคำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองนี้ เพราะทำความผิดทางการเมืองอย่างรุนแรง

"พี่น้องประชาชนทั้งหลายที่สนับสนุนพรรคไทยรักไทย   ผมขอให้ท่านทราบว่า   เราได้ยินเสียงของพวกท่าน  ความทุกข์ร้อนของท่านเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดในวาระแห่งชาติ และผมมั่นใจว่าในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง  ท่านจะมีผู้แทนให้ได้เลือกจากพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ชีวิตของพวกท่านดีขึ้น  แม้ผมถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นขิงแก่  ฤาษีเลี้ยงเต่า  ก็ไม่ได้ทำให้ผมท้อแท้ใจ แต่ขอให้ทุกท่านทราบว่า   ผมพูดกับท่านในวันนี้จากหัวใจ  ด้วยเกียรติ  ด้วยศักดิ์ศรี  และความซื่อตรง ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมกำหนดทิศทางชีวิตทางการเมืองของประเทศชาติในค่ำวันนี้  ผมมั่นใจว่าเราทุกคนจะเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวทิ้งท้าย

แหล่งข่าวจากคณะอนุกรรมการไต่สวนการซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ของคุณหญิงพจมาน  ชินวัตร กล่าวว่า  อนุกรรมการไต่สวนฯ ได้มีมติส่งหลักฐานเพิ่มเติมให้อัยการสูงสุดพิจารณาส่งฟ้องเมื่อวันที่   7  มิถุนายน ที่ผ่านมา ทั้งนี้ในวันที่ 11 มิถุนายนนี้ อนุกรรมการไต่สวนฯ จะรายงานให้ที่ประชุมได้ทราบถึงเรื่องดังกล่าว โดยหลักฐานที่ส่งไปนั้นสามารถที่จะมัดตัวคุณหญิงพจมานได้   และจากการพูดคุยระหว่างคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ และอัยการสูงสุด  ซึ่งอัยการสูงสุดระบุด้วยความมั่นใจว่าจะส่งฟ้องแน่นอนในคดีนี้

มีรายงานว่าในการประชุม คตส. วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายนนี้ ให้จับตาการเตรียมเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมใหญ่ของกรรมการ คตส.บางส่วนที่จะเสนอให้มีการใช้มาตการอายัดทรัพย์กับ  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกัน 3 ฝ่าย คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และพลเอกบุญรอด สมทัศน์ ที่ได้ตีกอล์ฟร่วมกัน และพลเอกสุรยุทธ์ได้ออกทีวีพูดถึงระบอบทักษิณและพรรคไทยรักไทยด้วยเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง  โดยมีการรายงานถึงความคืบหน้าคดีต่างๆ ของ คตส.ด้วย มีรายงานว่าทาง คมช.ทราบข้อมูลทางลึกมาว่ากลุ่มพีทีวีจะแตกหักกับ คมช.  ในวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายนนี้ ไม่ใช่ 24 มิถุนายน ทำให้ คมช.ต้องการสกัดท่อน้ำเลี้ยงจากกลุ่มอำนาจเก่าที่สนับสนุนทางการเงินกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนามหลวง

อย่างไรก็ตาม  ปรากฏว่าเมื่อข่าวดังกล่าวเริ่มมีการพูดถึงกันมากขึ้นในช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้กรรมการ คตส.บางส่วนอาจเตรียมพิจารณาไม่นำเรื่องอายัดทรัพย์เข้าที่ประชุม เพราะเกรงว่าข่าวจะรั่ว และทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไหวตัวโยกย้ายทรัพย์สินเสียก่อน แต่อย่างช้าที่สุด คตส.จะเสนอให้อายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณหลังอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องในคดีซื้อที่ดินต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวของกรรมการ คตส.จะต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกันของที่ประชุมใหญ่ คตส.เสียก่อน.

จากไทยโพสต์




***.เศร้าใจเล็กน้อย ....ขออนุญาตใช้สีม่วงนะคะ  จารย์จ๊ะ  และคุณแถ....ช่วงนี้อาจจะ
เหงาะนะ ....หรือตกงานชั่วคราว.....เปลี่ยนฝ่ายเชียร์ได้นะไม่ว่ากัน   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2007, 17:16 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
หน้า: [1]
    กระโดดไป: