ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
07-07-2025, 00:18
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  กรณีต่างๆ ที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ในเวลานี้จะดำเนินไปสู่ขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาลฯ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
กรณีต่างๆ ที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ในเวลานี้จะดำเนินไปสู่ขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาลฯ  (อ่าน 1291 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 10-06-2007, 23:42 »

“สุรยุทธ์” อัด 5 ปี “แม้ว” อำนาจเงินเป็นใหญ่ - แจง 6 เดือนที่เหลือมุ่งฟื้นหลักนิติธรรม
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 10 มิถุนายน 2550 18:22 น.
 
 
  นายกฯ ออกทีวีย้ำทางแก้ปัญหาชาติต้องยึดหลักนิติธรรม หยุดยั้งคอร์รัปชัน ]ระบุ 5 ปีรัฐบาล “แม้ว” ทำหลักนิติธรรมเสื่อม ปล่อยให้เงินมีอำนาจ ทุจริตโกงกินระบาดหนัก องค์กรอิสระอ่อนแอ[/size ย้ำ 1 ปี ที่เข้ามามุ่งเตรียมการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม พร้อมวางยุทธศาสตร์ 4 แนวทางล้างคราบทุจริต ช่วง 6 เดือนที่เหลือ เรียกร้องประชาชนมีส่วนร่วมเลือกคนดี-ซื่อสัตย์เข้าสู่การเมือง ปฏิเสธคนโกง และการโกงทุกรูปแบบ พร้อมวอนรับฟังคำวินิจฉัยตุลาการฯ ย้ำ ทรท.ถูกยุบเป็นผลกรรมที่ทำผิด วอนอย่าห่วงเลือกตั้งครั้งหน้า มีผู้แทนให้เลือกแน่
       
       วันนี้ (10 มิ.ย.) โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แพร่ภาพคำปราศรัยของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในรายการ “ทางเลือกและการเอาชนะปัญหาของชาติในวันนี้” เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน ถึงสถานการณ์ภายหลังตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคเมือง และประกาศยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในช่วง 6 เดือนที่เหลืออยู่ ดังรายละเอียดคำปราศรัยต่อไปนี้
       
        “สวัสดีครับ พี่น้องร่วมชาติที่รักยิ่ง ท่านทั้งหลายที่กำลังรับชมหรือรับฟังผมพูดคุยกับท่านในค่ำวันนี้ เท่ากับว่า ท่านกำลังมีส่วนรับรู้สถานภาพทางการเมืองของชาติแล้ว การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองเช่นนี้ ถือว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของพวกเราทุกคนในฐานะพลเมืองไทย
       
       หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไมผมจึงพูดเช่นนี้ ตอบได้ว่า เพราะว่าเราแต่ละคนก็มีความคิดความเห็นว่าเราต้องมีชีวิตทางสังคมแบบไหน ทั้งสำหรับตัวเราเอง ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงของเรา ชุมชน และสำหรับชาติบ้านเมือง ที่สำคัญ ความปรารถนาเช่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของวันนี้เท่านั้น แต่ยังต้องคิดไปไกลเพื่อรุ่นลูกหลานของเราในวันข้างหน้าอีกด้วย
       
       เราแต่ละคนมีเสียง 1 เสียง เท่าเทียมกันไว้ใช้ลงคะแนนเลือกตั้งตัวแทนของเรา ไม่ว่าจะในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค หรือระดับชาติ การมีเสียงเสมอกันเช่นนี้เป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่เราทุกคนต่อสู้ สร้างร่วมกันมา ทุกคน ไม่ว่าหญิงหรือชาย ก็มีเสียง 1 เสียง ในการลงคะแนน และมีความรับผิดชอบต้องใช้เสียงลงคะแนนนี้ ซึ่งจะประกอบกันเป็นเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ที่จะตัดสินในที่สุด ว่า ชาติบ้านเมืองของเราจะไปทางไหน แต่นอกจากการที่เราแต่ละคนมีความรับผิดชอบที่จะต้องมีส่วนร่วมทางการเมือง ตัดสินใจใคร่ครวญอย่างดีที่สุด เพื่อเลือกพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะมาแทนตัวเราในการปกครองบ้านเมืองเช่นที่เราคาดหวังไว้
       
       แต่ถ้าจะให้ประชาธิปไตยได้ผลจริงอย่างที่หวัง ยังมีเงื่อนไขอย่างที่ 2 ที่จะต้องปฏิบัติ ก็คือ เราต้องตกลงยินยอมยึดมั่นในหลักนิติธรรม หลักนิติธรรม หมายความว่า เราทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชาย มีฐานะเช่นไร ล้วนเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ความยุติธรรมจะต้องมีให้กับพลเมืองไทยทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน ไม่ว่าจะรวยจะจนอย่างไร กฎหมายต้องพิทักษ์คุ้มครองคนดี ลงโทษคนที่ทำผิดอย่างเท่าเทียมกัน ในประเทศนี้ทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน
       
       ผมเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นปัญหายิ่งใหญ่ สำคัญ และท้าทายที่สุด ซึ่งสังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ ถ้าเราซื่อตรงต่อตนเอง ก็ต้องยอมรับว่า มองไม่ค่อยเห็นการทำงานตามหลักนิติธรรมในสังคมของเราในวันนี้ แต่ถ้าเราไม่มีหลักนิติธรรม ระบอบประชาธิปไตยที่เราทั้งหลายอยากเห็นเกิดขึ้นในบ้านเมืองอย่างมั่นคง ก็ไม่อาจจะดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าปราศจากความเป็นธรรม ก็จะไม่มีความเสมอภาค และประชาธิปไตยก็จะไม่ก่อกำเนิดขึ้นอย่างแน่นอน
       
        บางคนอาจจะเห็นว่า เมื่อ 5 ปีก่อน ประชาธิปไตยก็ดำเนินไปได้ด้วยดีในยุครัฐบาลที่ผ่านมา เพราะพลเมืองไทยก็มาลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปกันมาก และพรรคการเมืองซึ่งได้รับเสียงข้างมากก็ตั้งรัฐบาลมาบริหารประเทศ ฟังดูก็ดี เหมือนประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่หรือครับ
       
       แต่ถ้าในเวลาที่มีรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมาเช่นนั้น หลักนิติธรรมเสื่อมลง ถูกทำลายด้วยพลังของผู้ทรงอำนาจ ผู้ร่ำรวย และพรรคพวกของเขา การฉ้อราษฎร์บังหลวงระบาดไปทั่ว แม้องค์กรอิสระที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540 ก็อ่อนแอลง และหมดกำลังจะต้านมหาภัยที่มาจากคลื่นของความโลภเช่นนี้ได้
       
       แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีเองก็ยอมรับในเรื่องนี้ เช่น เมื่อครั้งที่ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ เมื่อ 2-3 เดือนก่อน โดยกล่าวว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงในประเทศไทยจะไม่มีวันหายไปได้ มันฝังอยู่ในระบบเสียแล้ว คำกล่าวเช่นนี้ค้านกับคำพูดของท่านเอง ที่ท่านได้เคยสัญญากับประชาชนว่า จะทำสงครามต่อสู้เอาชนะการฉ้อราษฎร์บังหลวงให้ได้

       
       ผมอยากจะถามว่า เราจะให้บุคคลที่คิดไม่ดีมายักยอกทรัพย์ของแผ่นดินไปทุกๆ วันเช่นนั้นหรือครับ ผมเองไม่ได้คิดเช่นนั้น ผมเชื่อว่า เราทุกคนเข้าใจดีว่าเราต้องการชีวิตที่ดีกว่าเดิม สำหรับพลเมืองของชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่ง ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวงนี้ให้หมดสิ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใช้แนวทางนิติธรรมเป็นหนทางหลัก และมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยจำเริญงอกงาม และยังให้เกิดคุณประโยชน์จากการช่วยให้ผู้คนพลเมืองมีโอกาสเสมอหน้ากัน
       
       นี่ก็คือ หนทางที่ผมเลือก ทั้งให้กับตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการ และสำหรับรัฐบาลของผม ในช่วงเวลาประมาณ 1 ปี ที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป ที่น่าจะบริสุทธิ์ยุติธรรมในสิ้นปีนี้ หนทางนั้นคือการต่อสู้เอาชนะภัยฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกรูปแบบ และจะทำให้แนวทางนิติธรรมเข้มแข็ง มั่นคง ในแผ่นดินนี้ให้จงได้ พวกเราทุกคนทราบดีว่า หนทางนี้ยากเข็ญเพียงไร เพราะต้องข้ามให้พ้นผลประโยชน์ที่หยั่งรากลึกอยู่ทั่วไป พวกเราทุกคนตระหนักดีว่า สุดท้ายพี่น้องประชาชนทั้งหลายเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินว่าจะยอมให้ถูกสูบเลือดจนหมดตัวเพราะการฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือจะตัดสินใจประกาศให้ชัดว่า พอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว พวกเราก็ยอมรับความเป็นจริง พอที่จะตระหนักว่า ทำอะไรได้เพียงไรในระยะเวลาที่เหลืออยู่
       
       7 เดือนผ่านไป ตั้งแต่เมื่อแรกนำเสนอนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เราเหลือเวลาเป็นรัฐบาลอีกเพียงประมาณ 6 เดือนเท่านั้น เราได้เริ่มต้นทำงานอย่างมั่นคง แต่การต่อสู้สืบไปนั้น ขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลายที่จะต้องเลือกคนที่ดีที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า คัดเอาคนที่แน่วแน่มั่นคง ว่าจะนำพาประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคนกลับสู่หนทางแห่งหลักนิติธรรม
       
       ผมได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ 4 แนวทางไว้ สำหรับการทำงานนี้
       
       เมื่อแรกที่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชั่วคราวของท่าน ได้เสนอหลักการ 4 ข้อ เป็นแนวทางการทำงานของรัฐบาลนี้ ก็คือ เราจะทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และใช้ทรัพยากรทุกอย่างอย่างประหยัด ทั้งหมดนี้เป็นมาตรฐานที่เราใช้ประเมินการตัดสินใจและการกระทำทุกอย่างของเรา กล่าวอีกอย่างหนึ่ง แม้ว่าเราจะชรา และช้าไปบ้าง แต่เราก็ถือเอาประโยชน์สาธารณะและความซื่อตรงเป็นหลักเหนืออื่นใด
       
       ยุทธศาสตร์อย่างที่ 2 ก็คือ การป้องปราม ถ้าคนที่ทำผิด คิดมิชอบ ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล ไม่ได้รับโทษอะไรเลย คนก็จะไม่หยุดทำชั่วกัน เราจำต้องตระหนักว่า การละเมิดกฎหมายนั้น มีผลต้องให้รับโทษ
       
       ถึงวันนี้ก็มีคนถูกกล่าวหาแล้วในคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงใหญ่ๆ ไม่น้อยกว่า 13 คดี แต่ละคดีกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นตามกระบวนการทางกฎหมาย งานเช่นนี้ต้องใช้เวลา แต่ผมก็ไม่ยอมใช้อำนาจฝ่ายบริหารไปทำให้การตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมต้องเสียหาย ขาดตอน เพราะผมเชื่อว่า คนในชาติต้องเห็นว่ากระบวนการตรวจสอบเอาความผิดและคนผิดมารับโทษ ดำเนินไปได้ ทุกคนต้องเชื่อว่ากฎหมายบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์
       
      ถึงวันนี้ อย่างน้อยก็มีกรณีการหลีกเลี่ยงภาษี การโอนขายหุ้นชินคอร์ป ให้แก่เทมาเส็ก ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนส่งฟ้องเป็นคดีอาญา....
คดีที่ 2 เป็นกรณีการทุจริตประพฤติมิชอบในการจัดซื้อที่ดินที่ถนนรัชดาภิเษก จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ของธนาคารแห่งประเทศไทย คดีนี้กำลังเข้าสู่การฟ้องเป็นคดีอาญาเช่นกัน....
คดีที่ 3 เกี่ยวกับกรณีการทุจริตในโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ที่เรียกว่า ซีทีเอ็กซ์ 9000

และกรณีการทุจริตในโครงการจัดจ้างก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเรียกว่าแอร์พอร์ตลิงก์ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่คณะกรรมการการตรวจสอบทรัพย์สิน กำลังดำเนินการฟ้องร้องอยู่...

ผมคาดว่า กรณีต่างๆ ที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ในเวลานี้จะดำเนินไปสู่ขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรม
 
 
 
 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000067105
 


หลังจากม๊อบของคนรักเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก ออกมาเคลื่อนไหวตามถนน ทำร้ายประชาชน และทำลายทรัพย์สินของรัฐบางส่วน....



นายกฯสุรยุทธ์ทำหน้าที่"โฆษก"คณะกรรมการ คตส.ประจานพฤติกรรม เปิดเผยคดีต่าง ๆของเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก ที่อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการ คตส. ที่ใกล้จะสรุปส่งผ่านอัยการสูงสุด ไปสู่ขบวนการศาลยุติธรรม ให้ประชาชนได้รับรู้ผ่าน "ฟรีทีวี".......

หลังจากนี้ "ฟรีทีวี" จะเปิดโอกาสให้อดีตแกนนำพรรคฯ และ คนรักเหลี่ยมฯ ใช้เวลาบิดเบือนข้อเท็จจริง และปฏิเสธข้อกล่าวหาที่นายกฯ สุรยุทธ์ นำมาเปิดเผย ประจานหรือไม่เพื่อปกป้องอดีตนายกฯ เผด็จการการรัฐสภาที่ทำลายสถิติการฉ้อราษฎร์บังหลวงมากที่สุดทั้งจำนวนเรื่องและมูลค่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...........


 


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 11-06-2007, 00:00 »

น่าเสียใจที่ว่า

ตอนนี้ประชาชนส่วนหนึ่งไม่เอาเหตุเอาผล

ยึดถือเอาอัตตาความชอบมาอยู่เหนือเหตุผล

มุ่งที่จะเอาชนะลูกเดียว เชื่อได้เลยว่าจะให้ทรท.มาเป็นรัฐบาลสมัยเดียวก็ไม่ยอมเด็ดขาด

อำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวาน เคยได้เคยมี แต่ตอนนี้ไม่ได้ไม่มี

ย่อมหาทางต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ แม้ต้องกระทำสิ่งชั่วร้าย

แม้จะรู้ว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือ ผู้คนเหล่านี้ก็ยินดีทำ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ทักษิณกลับมาอีกครั้ง....

มีคำพระคำนึงที่ว่า "ธรรมะไม่มา โลกาวินาศ"

ประชาชนสนับสนุนคนโกง ก็คือจิตใจผู้คนห่างธรรมะ

กลียุคจึงเกิดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


หน้า: [1]
    กระโดดไป: