http://www.ftawatch.org/news/view.php?id=11089ชำแหละแผนพีดีพี 2007รัฐบาลอ้าแขนประชาพิจารณ์ชิมลางถ่านหินกับนิวเคลียร์
มติชน 4 เม.ย. 50
หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่สโมสรทหารบก มีการสัมมนารับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนร่วม และประชาชนทั่วไป ในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2550-2564 (พีดีพี 2007) โดยมีสาระสำคัญดังนี้
@ การจัดทําแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้า
การจัดทําแผนพีดีพีเป็นการนํานโยบายรัฐด้านพลังงานไฟฟ้าและข้อมูลต่างๆ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ช่วงเวลาที่จัดทําแผนมาปรับปรุงแผน ซึ่งจะทำเมื่อสถานการณ์ด้านพลังงานไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสําคัญ เช่น ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเปลี่ยนไปมาก จนอาจจะมีผลต่อกําลังผลิตไฟฟ้าสํารองมากหรือน้อยเกินไป หรือปัญหาโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าล่าช้า การเจรจารับซื้อไฟฟ้าไม่เป็นไปตามกําหนด รัฐบาลก็ดําเนินการปรับแผนฯ เป็นคราวๆ ไป จึงไม่ใช่แผนที่เปลี่ยนไม่ได้ดังที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ซึ่งฉบับสุดท้ายที่ได้รับอนุมัติคือพีดีพี 2004 (2547-2558)
สาเหตุที่ต้องมีการปรับแผนใหม่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงปี 2547-2548 ขยายตัวลดลงมากจากภาวะราคาน้ำมันแพง ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าจริงต่ำกว่าที่ประเมิน คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า จึงทําการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าใหม่เมื่อเดือนเมษายน 2549 แต่ปรากฏว่าความต้องการไฟฟ้าปี 2549 ที่เกิดขึ้นจริงลดลงจากที่ได้พยากรณ์ไว้อีก
อนุกรรมการฯ จึงได้จัดทําค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าใหม่อีกครั้งในเดือนมีนาคม 2550
ทําให้ต้องมีการปรับปรุงแผนพีดีพีใหม่ด้วย โดยได้มีการนำนโยบายของรัฐ เรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) รายเล็กมาก (VSPP) และการกระจายการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้ามาประกอบการพิจารณาด้วย
@ แนวทางในการปรับแผน
การปรับแผนจะพิจารณาจาก (1) ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าใหม่เดือนมีนาคม 2550 ซึ่งแยกเป็นกรณีฐาน กรณีต่ำ และกรณีสูง (2) ราคาเชื้อเพลิง ในส่วนของก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน และถ่านหิน
(3) โรงไฟฟ้าที่ปลดออกจากระบบในช่วง 2550-2564 (4) โรงไฟฟ้าที่นํามาคัดเลือกเข้าแผนฯ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังความร้อน (ถ่านหิน) 700 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (LNG) 700 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้ากังหันแก๊ส (ดีเซล) 230 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน (นิวเคลียร์) 1,000 เมกะวัตต์ (5) โรงไฟฟ้าถ่านหินที่นํามาคัดเลือกเข้าแผน เข้าระบบเร็วที่สุดปี 2557
(6) พิจารณาความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน (7) ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไป ไม่ต้องนํานโยบายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน (RPS) มาใช้ (
รับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายเล็ก (SPP) ประเภท Firm เพิ่มเป็น 4,000 เมกะวัตต์ จากที่รับซื้ออยู่ 2,300 เมกะวัตต์ (9) กําหนดความมั่นคงของระบบไฟฟ้าด้วยตัวชี้วัดโอกาสไฟฟ้าดับ (Loss of LoadProbability : LOLP) ไม่เกิน 24 ชั่วโมง ต่อปี และกําลังผลิตไฟฟ้าสํารองประมาณร้อยละ 15 (10) พิจารณาการจัดการด้านแหล่งผลิต โดยดําเนินการเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า
@ กรณีศึกษา
ในช่วงปี 2554-2564 ได้จัดทําเป็น 3 กรณี รวม 9 แผน โดยกําหนดระยะเวลารับซื้อ SPP ปี
2555-2563 (1,700 เมกะวัตต์) โรงไฟฟ้าถ่านหินโรงแรกเข้าปี 2557 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เข้าระบบเร็วที่สุดปี 2563 ซึ่งมีโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้าระบบในแต่ละปีดังนี้
แผนความต้องการไฟฟ้าฐาน (B)
แผนนี้จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทั้งหมด รวม 31,790 เมกะวัตต์ มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4,000 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2563 มี SPP 1,700 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2555 ซึ่งมี 3 แผนย่อยคือ
1.แผน B1 ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด: จะมีโรงไฟฟ้าก๊าซประมาณ 2,800 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2555 โรงไฟฟ้าถ่านหิน 18,200 เมกะวัตต์ เริ่มทยอยเข้าระบบตั้งแต่ปี 2557 มีการซื้อไฟจากต่างประเทศ 5,090 เมกะวัตต์
2.แผน B2 คือ ช่วงปี 2554-2564 พิจารณาสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินตามความเป็นไปได้ : แผนนี้จะมีโรงไฟฟ้าก๊าซฯ 18,200 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2555 มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2,800 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2557 ก่อน 700 เมกะวัตต์ มีการซื้อไฟจากต่างประเทศ 5,090 เมกะวัตต์
3.แผน B3 คือช่วงปี 2554-2564 พิจารณาปริมาณ LNG 10 ล้านตันต่อปี และซื้อไฟฟ้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น: มีโรงไฟฟ้าก๊าซฯ 9,800 เมกะวัตต์ เข้าระบบปี 2555 มีโรงไฟฟ้าถ่านกิน 2,100 เมกะวัตต์ เข้าระบบปี 2557 ก่อน 700 เมกะวัตต์ แต่มีการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 14,190 เมกะวัตต์
แผนความต้องการไฟฟ้าต่ำ (L)
แผนนี้จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทั้งหมด 27,430 เมกะวัตต์ มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4,000 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2563 มี SPP 1,700 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2555 ซึ่งมี 3 แผนย่อยคือ
1.แผน L1 ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด มีโรงไฟฟ้าก๊าซฯ 1,400 เมกะวัตต์ มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 16,100 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2557 ซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 4,230 เมกะวัตต์
2.แผน L2 คือ ช่วงปี 2554-2564 พิจารณาสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินตามความเป็นไปได้ : แผนนี้มีโรงไฟฟ้าก๊าซฯ 14,700 เมกะวัตต์ เข้าระบบปี 2555 โรงไฟฟ้าถ่านหิน 2,800 เมกะวัตต์เข้าระบบปี 2557 ซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 4,230 เมกะวัตต์
3.แผน L3 คือ ช่วงปี 2554-2564 พิจารณาปริมาณ LNG 10 ล้านตันต่อปี และซื้อไฟฟ้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น: มีโรงไฟฟ้าก๊าซ 9,800 เมกะวัตต์ มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2,100 เมกะวัตต์ มีการซื้อไฟฟ้าต่างประเทศ 9,830 เมกะวัตต์
แผนความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง (H)
แผนนี้จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นรวม 36,790 เมกะวัตต์ มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4,000 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2563 มี SPP 1,700 เมกะวัตต์ เริ่มเข้าระบบปี 2555 ซึ่งมี 3 แผนย่อยคือ
1.แผน H1 ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด มีโรงไฟฟ้าก๊าซฯ 4,200 เมกะวัตต์ เข้าระบบปี 2555 มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 21,000 เมกะวัตต์ มีการรับซื้อไฟต่างประเทศ 5,890 เมกะวัตต์
2.แผน H2 คือ ช่วงปี 2554-2564 พิจารณาสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินตามความเป็นไปได้ มีโรงไฟฟ้าก๊าซฯ 22,400 เมกะวัตต์ เข้าระบบปี 2555 มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2,800 เมกะวัตต์ มีการซื้อไฟจากต่างประเทศ 5,890 เมกะวัตต์
3.แผน H3 คือ ช่วงปี 2554-2564 พิจารณาปริมาณ LNG 10 ล้านตันต่อปี และซื้อไฟฟ้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น มีโรงไฟฟ้าก๊าซฯ 9,800 เมกะวัตต์ มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2,100 เมกะวัตต์ และมีการซื้อไฟจากต่างประเทศ 19,190 เมกะวัตต์
@ ประมาณการรายจ่ายลงทุน
เป็นการประมาณการความต้องการเงินลงทุนของ กฟผ. เพื่อดําเนินการตามแผน PDP 2007
โดยสัดส่วนการกู้เงินเมื่อเทียบกับ ส่วนทุนประมาณ 75 : 25 ซึ่งประมาณการรายจ่ายลงทุนในกิจการไฟฟ้าทั้งแหล่งผลิตและระบบส่ง ในช่วงปี 2550-2559 โดยแผนพัฒนาฯฉบับที่ 10 (2550-2554) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 289,733 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแหล่งผลิต 200,360 ล้านบาท และระบบส่งไฟฟ้า 89,373 ล้านบาท และในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 (ปี 2555-2559) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 697,063 ล้านบาท แบ่งเป็นแหล่งผลิต 491,595 ล้านบาท และระบบส่งไฟฟ้า 205,468 ล้านบาท รวมเงินลงทุน 10 ปี (2550-2559) เป็นเงินทั้งสิ้น 986,796 ล้านบาท แบ่งเป็นแหล่งผลิต 691,955 ล้านบาท และระบบส่งไฟฟ้า 294,841 ล้านบาท
------------------------
การประมาณการทั้งหมด โครงการทั้งหมด ตั้งอยู่บนรากฐานของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของชาติ ในระบบทุนนิยมสุดขั้ว อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ คิดในสภาพของเด็กที่โตได้ไม่รูจักหยุดโต โกรธฮอร์โมนทำงานตลอดชีวิต
แต่จากปี 2548 เป็นต้นมา ประมาณการนั้นผิดพลาดมาตลอด
การใช้ไฟฟ้า ไม่ได้โตตามประมาณการ แต่กลับมีการชะงักงัน ซึ่งสรุปเอาว่ามาจากภาวะเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน แต่ก็มีการมองโลกในแง่ดีว่า ในที่สุดความต้องการพลังงานไฟฟ้า จะทะยานขึ้นเหมือนเดิม และจำเป็นต้องหามาตรการรองรับ
คาดว่าโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คงจะได้รับการผลักดันไปตามระบบ โดยไม่ฟังเสียงทัดทานใดๆจากประชาชน และหากมีการตรียมการก่อสร้างจริง ไม่ว่าจะเกิดในรัฐบาลไหน รับรองได้ว่ารัฐบาลนั้นพินาศ การต่อต้านจะหนักหน่วงยิ่งกว่าการต่อต้านแนวท่อก๊าซ เลือดคงได้ละเลงแผ่นดิน
คงต้องอาศัพสภาพรัฐบาลเผด็จการอีกหน จากการคาดการว่าจะมีการนำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เข้าระบบประมาณปี 2563 ก็ในราวๆอีก 13 ปีข้างหน้า เมื่อดูจากสภาพการเมืองในอนาคต รัฐบาลใหม่จะเริ่มทำหน้าที่ราวๆปี 2551 ในระยะประมาณ 6 ปี กระบวนการแดกชาติก็จะพร้อมอีกครั้ง นักการเมืองสัตว์นรกจากอีสาน เหนือ กลาง ใต้ จะเริ่มรวมกระบวนพลได้ คาดการจากหนูเองประมาณการว่า ในราวๆปี พ.ศ. 2556 - 2558 เราจะได้รัฐบาลมาหาเฮียมาอีกหนึ่งชุด จากนักเลือกตั้งที่ตั้งตัวติดแล้ว และรัฐฐาลนี้จะมีระยะเวลาแดกประเทศชาติประมาณ 4 ปี ซึ่งน่าจะกำลังต่ออายุเป็นสมัยที่สองก็ในราวปี พ.ศ. 2560 - 2562 ซึ่งใกล้ระยะลงรากฐานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์พอดี
สองเหตุการณ์ ค่อการโกงชาติจนป่นปี้ และการคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลี้ยร์ และการโกงกินในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านี้ จะทำให้มีการเปิดเพลงมาร์ชอีกครั้ง และในช่วยรัฐบาลรักษษการเพื่อเปลี่ยนถ่ายอำนาจให้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง ก็เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะสร้างโรงไฟฟ้านี้ จังหวะที่จะกด NGO เอาไว้ไห้อาละวาดได้ค่ะ