ประกาศคณะรัฐประหาร ในรูปคำวินิจฉัยไทยโพสต์ 3 มิถุนายน 2550"เป็นการตีความโดยเอาอำนาจเป็นที่ตั้ง หรือเอาอำนาจเป็นธรรม
ไม่ใช่เอาธรรมเป็นอำนาจ"วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ไม่ได้เอาผลทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง แต่เขาวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัย
ด้วยหลักกฎหมายล้วนๆ ว่า "ผมเห็นว่านี่เป็นประกาศคณะรัฐประหารในรูปของคำวินิจฉัย"
"วันที่อ่านคำวินิจฉัยผมไม่ได้อยู่ฟังจนจบหรอก หลับไปก่อน เพราะตอนที่เขาประกาศ
คำวินิจฉัยยุบพรรคเล็กประมาณหกโมง โดยตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค
5 ปี โดย sense ผมก็รู้สึกว่าไทยรักไทยน่าจะถูกยุบโดยเอาโทษ 5 ปีมาใช้ด้วย ผม
กลับบ้าน แล้ว 3-4 ทุ่มก็หลับ เช้ามาฟังผลก็ไม่ผิดความคาดหมาย"
ทำไมถึงเรียกว่าประกาศคณะรัฐประหารในรูปของคำวินิจฉัย"ความจริงตอนยึดอำนาจ 19 ก.ย. คณะรัฐประหารมีอำนาจในมือที่จะยกเลิกกฎหมาย
พรรคการเมือง และยุบพรรคได้ ในอดีตที่มีการยึดอำนาจบางช่วงบางยุคเขาก็ยุบพรรค
ไปเลย แต่ คปค. ไม่ทำ เขาอาจจะไม่แน่ใจว่าการใช้อำนาจอย่างนั้นเป็นที่ยอมรับได้
ไหม จึงต้องมาสร้างคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งไม่เคยมีมา
ก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทย เพราะรัฐธรรมนูญชั่วคราวโดยปกติไม่มี
หลักประกันสิทธิเสรีภาพอะไรมาก ไม่จำเป็นต้องมีองค์กรมาคุ้มครองกฎหมายรัฐธรรมนูญ
เมื่อเห็นรัฐธรรมนูญชั่วคราวมีการโอนอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญมาให้คณะตุลาการรัฐ-
ธรรมนูญ ผมก็ทราบแล้วว่าภารกิจหลักคือการวินิจฉัยคดียุบพรรค อ่านออกตั้งแต่ทำรัฐ-
ธรรมนูญชั่วคราวแล้ว ฉะนั้นถ้าจะพูดกันทางการเมือง เขาอาจยุบพรรคได้แต่เขาเลือก
ใช้กลไกทางรัฐธรรมนูญ
เพื่อให้ดูว่ามีความชอบธรรม เพราะฉะนั้นในแง่มุมหนึ่ง
ถือว่า
การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. จบลงอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 30 พ.ค."
วรเจตน์เป็นผู้เขียนบทความคัดค้านประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 มาตั้งแต่เดือนตุลาคม
ว่าขัดต่อหลักกฎหมายที่มีผลลงโทษย้อนหลัง"
ผมเห็นว่าคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง ไม่เจาะจงพรรคไทยรักไทย แต่ 4 พรรคพร้อมๆ
กัน โดยเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค 5 ปี เป็นการวินิจฉัยที่ผิด"
"เราเรียนกฎหมายตั้งแต่เป็นนักศึกษาปีหนึ่ง สิ่งแรกที่ต้องเรียนคือขอบเขตการใช้บังคับ
ของกฎหมายว่า กฎหมายนั้นจะมีขอบเขตการใช้บังคับในแง่เวลา ในแง่บุคคล และในแง่
ของดินแดนหรือพื้นที่
3 เรื่องนี้เป็นข้อจำกัดในการใช้กฎหมาย
ในแง่บุคคล คือ ใครบ้างตกอยู่ใต้บังคับของกฎหมาย
ในแง่ดินแดน อำนาจกฎหมายขยายไปถึงส่วนไหน
ในแง่เวลา คือ กฎหมายนั้นจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศ เว้นแต่จะกำหนดวันบังคับ
ใช้อย่างอื่น เช่น บางกรณีให้ใช้ย้อนหลัง บางกรณีกำหนดให้ใช้ในอนาคตเวลาใดเวลา
หนึ่ง"
"ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ใช้บังคับย้อนหลัง มีหลักสำคัญอันหนึ่งว่า การออกกฎ-
หมายย้อนหลังเป็นผลร้ายกับบุคคล ทำไม่ได้ ออกกฎหมายย้อนหลังไปใช้บังคับการ
กระทำที่จบไปแล้ว ผู้กระทำไม่มีโอกาสทำเป็นอย่างอื่นแล้ว ทำไม่ได้ เพราะมันฝืนเหตุ-
ผลสามัญสำนึกธรรมดา ยกตัวอย่าง เช่น กำหนดความผิดทางวินัยเอาไว้ ถ้าทำความ
ผิดทางวินัย ต้องได้รับโทษตัดเงินเดือน สมมติผู้พิพากษาคนหนึ่งเขาทำผิดไปแล้ว อยู่
ในระหว่างสอบสวน จะไปออกกฎหมายให้ความผิดที่ทำไปแล้วนั้น ที่ยังไม่ตัดสิน ให้ถือ
ว่าถ้าถูกลงโทษจะต้องงดบำเหน็จบำนาญตลอดชีวิต อย่างนี้ทำไม่ได้ ใช้บังคับไม่ได้
เพราะคนทำผิด ในเวลาทำ เขารู้แต่ว่าโทษเท่าไหร่ มากำหนดเพิ่มโทษมีลักษณะย้อน
หลังไม่ได้ อันนี้เป็นความรู้เบื้องต้นกฎหมายทั่วไป นักศึกษาที่เรียนปีหนึ่งต้องทราบ"
"แต่ในประเทศไทยมีการสอนกัน-นักกฎหมายไทยค่อนข้างยึดติดตัวอักษร มักจะท่องจำ
กันว่า การห้ามใช้กฎหมายย้อนหลังเป็นผลร้ายต่อบุคคล ห้ามเฉพาะโทษอาญา นี่เป็นสิ่ง
ที่นักกฎหมายไทยท่องกัน หลายคนเลยเข้าใจว่า ถ้าเขียนกฎหมายย้อนหลังเป็นผลร้าย
ต่อบุคคล แต่ไม่ใช่โทษอาญา ก็ทำได้หมด ซึ่งต้องถือเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะมันมี
ผลร้ายบางอย่างที่อาจจะรุนแรงกว่าโทษทางอาญา"
"ผมเขียนบทความยกตัวอย่างให้เห็นชัด และยังไม่เห็นใครตอบโต้ประเด็นนี้ได้เลยว่า
การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี หรือการออกกฎหมายภาษีย้อนหลัง กลับไปเก็บภาษี
1 ล้านบาท ทั้งที่ในเวลากระทำยังไม่มีกฎหมายดังกล่าว มันรุนแรงกว่าโทษปรับ 500
บาท เราบอกว่าโทษปรับ 500 บาทออกกฎหมายย้อนหลังไม่ได้ เพราะเป็นโทษอาญา
แต่เรากำลังจะรับกันว่า การเพิกถอนสิทธิ 5 ปี หรือกลับไปเก็บภาษี 1 ล้าน ไม่ใช่โทษ
อาญาทำได้ ไม่เป็นเหตุเป็นผลกัน ผมจึงมีความเห็นว่าประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 มันใช้
บังคับไม่ได้"
วรเจตน์บอกว่ากฎหมายแพ่งเคยมีบางกรณีที่ออกกฎหมายย้อนหลัง แต่จะต้องมีการ
ชดเชย หรือมีมาตรการกำกับ"การออกกฎหมายย้อนหลังทำได้ ถ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แต่ต้องมี
หลักบังคับ อาจจะมีความจำเป็นบางเรื่อง แต่ต้องไม่กระเทือนหลักความยุติธรรมและ
ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ ถ้าอย่างนั้นทำได้บางกรณี เรื่องทางแพ่งอาจเถียง
กันได้บางเรื่อง แต่ตัดสิทธิบุคคลชัดเจนทำไม่ได้ ซึ่ง
การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นโทษ
รุนแรงมาก ผมใช่คำว่าเป็นการพรากความเป็นพลเมืองไปจากบุคคล"
"กรณีที่ตัดสินไป จริงๆ ประกาศ คปค. 27 ก็ไม่ได้เขียนว่าใช้บังคับตั้งแต่เมื่อใด เมื่อ
ไม่เขียน การตีความตามหลักธรรมดา ก็ต้องถือว่าใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศ - ถ้ามัน
ใช้บังคับได้นะ แต่ผมถือว่าใช้บังคับไม่ได้อยู่แล้ว แต่เอาละ แม้ใครบอกว่าใช้บังคับได้
ก็ต้องมีผลตั้งแต่วันประกาศ เพราะฉะนั้นอะไรที่มันเกิดก่อน ก็ใช้บังคับไม่ได้ เพราะการ
กระทำมันเกิดก่อนที่จะประกาศ"
"การที่ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเพียงผลในทางกฎ-
หมาย ที่เกิดขึ้นตามมาจากการยุบพรรค จึงเป็นการวินิจฉัยที่
ฟังไม่ขึ้น เป็นการวินิจฉัย
ซึ่งขัดกับหลักเหตุผลและมโนสำนึกตามหลักปกติธรรมดาทั่วไป ทั้งนี้เพื่อจะทำให้การ
เพิกถอนมีผลทางกฎหมายตามความต้องการของผู้เขียนประกาศ คปค. เป็นการตีความ
ซึ่งคนธรรมดาสามัญไม่อาจเข้าใจได้เลย"
"การใช้และการตีความกฎหมายในลักษณะนี้ มีผลเป็นการ
ทำลายหลักการในทางนิติ-
ศาสตร์ลง
เพราะเป็นการตีความโดยเอาอำนาจเป็นที่ตั้ง หรือเอาอำนาจเป็นธรรม ไม่ใช่
เอาธรรมเป็นอำนาจ ผลร้ายคือต่อไปวันข้างหน้า ถ้าจะมีใครสักคนที่มีอำนาจ แล้วออก
กฎหมายอย่างนี้ เขาก็ย่อมจะต้องทำได้เหมือนกัน และถ้าออกกฎหมายอย่างนี้มาใช้
บังคับกับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการก็จะเอาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้ มัน
ทำให้
กฎหมายกลายเป็นเรื่องที่ใครมีอำนาจเขียนอะไรออกมาก็เป็นกฎหมายไปหมด ซึ่งจะทำ
ให้ไม่สามารถเรียนและสอนวิชานิติศาสตร์ได้"
วรเจตน์บอกอีกว่าถ้ายึดหลักอย่างนี้ โทษอื่นๆ ที่มีผลร้ายกว่าคดีอาญาอีกเยอะ สมมติ
เช่น โทษทางวินัย งดบำเหน็จบำนาญ ไล่ออกจากราชการ การเก็บภาษี ค่าปรับ ค่า
ธรรมเนียมในทางปกครอง ซึ่งไม่ใช่โทษทางอาญา ก็จะเขียนกฎหมายย้อนหลังกันได้
หมด มีผลต่อความมั่นคงในสิทธิและหน้าที่ของบุคคล"เรื่องนี้
เป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นเรื่องซึ่ง
นักกฎหมายทุกคนจะต้องร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์"
คนกับพรรควรเจตน์ยังไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมืองโดยเอาความผิดของกรรมการบริหารพรรค
ส่วนหนึ่งเป็นเหตุแห่งการยุบพรรค"ปัญหาที่ต้องพูดกันคือการจะยุบพรรคการเมืองได้ การกระทำนั้นต้องเป็นการกระทำที่
ถือเป็นของพรรคได้ หรืออนุมานได้ว่าเป็นการกระทำของพรรค อย่างน้อยที่สุด กรรมการ
บริหารพรรคจะต้องรับทราบ รับรู้ แล้วก็ไม่ได้ขัดขวางการกระทำอันนั้น แต่ว่าแน่นอน ไม่
จำเป็นจะต้องถึงขนาดพรรคต้องมีมติ คำวินิจฉัยประเด็นนี้ถูกแล้ว เพราะเป็นไปไม่ได้ที่
พรรคจะมีมติให้กระทำผิดกฎหมาย แต่อย่างน้อยกรรมการบริหารคนอื่นๆ ต้องรู้ ต้องทราบ
เพื่อจะโยงไปได้ว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำของพรรค"
"การกระทำของส่วนใดส่วนหนึ่งของกรรมการบริหารพรรค
ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ากรรมการบริหารคนอื่นรับรู้ รับทราบ และยินยอมด้วยโดยปริยาย จะถือเป็นการกระทำ
ของพรรคการมืองไม่ได้ ก็ต้องถือเป็นการกระทำของบุคคลผู้นั้นเฉพาะตัว ถึงแม้การ
กระทำนั้น พรรคการเมืองอาจจะได้ประโยชน์ก็ตาม เพราะหากไปเชื่อมโยงการกระทำ
ของบุคคลคนใดคนหนึ่ง หรือของกรรมการบริหารพรรคส่วนใดส่วนหนึ่ง ว่าเป็นการกระทำ
ของพรรค เราอาจจะยุบพรรคการเมืองได้ทุกพรรค และอาจจะยุบได้ทุกวัน"
"การวินิจฉัยอย่างนี้ต้องถือว่า
ไม่เป็นธรรมกับกรรมการบริหารพรรคที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น
ด้วย ไม่เป็นธรรมกับสมาชิกของพรรคการเมือง แล้วก็เป็นการวินิจฉัยที่มีผลทำลายเสรี-
ภาพในการรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมืองด้วย"
วรเจตน์บอกว่านี่เขายังไม่ได้ลงในข้อเท็จจริง ว่าคนของไทยรักไทยทำผิดจริงหรือไม่"แต่ถึง พล.อ.ธรรมรักษ์ทำผิดจริง ในแง่มุมนั้นก็ยังไม่สามารถเห็นได้ว่าเป็นการกระทำ
ซึ่งกรรมการบริหารพรรครับรู้และยินยอมด้วยโดยปริยาย ไม่เห็นในคำวินิจฉัย หรืออย่าง
น้อยก็ยังไม่ชัดเจนในประเด็นนี้"
"ผมเรียนต่อด้วยว่ายังมีความเข้าใจผิดๆ ในหมู่ของบุคคลซึ่งมีอำนาจและดำรงตำแหน่ง
ในองค์กรอิสระบางคน ที่จะผลักดันให้มีการออกกฎหมายว่า ถ้าผู้สมัครส.ส.พรรคใดซื้อ
เสียงใ ห้ยุบพรรคการเมืองนั้น อันนี้เป็นทิศทางที่ผิดในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย
เพราะการกระทำในลักษณะเช่นนี้ ถ้ากรรมการบริหารพรรคไม่รู้ด้วย ก็ต้องถือเป็นความ
ผิดตัวบุคคล ต้องดำเนินการกับผู้นั้น"
ในต่างประเทศมียุบพรรคไหม"การยุบพรรคการเมืองตามหลักสากล ทำได้กรณีเดียวคือ กรณีที่อุดมการณ์ของพรรค
การเมืองพรรคนั้นเป็นปฏิปักษ์หรือเป็นศัตรูต่อระบอบประชาธิปไตย กรณีอื่นๆ ไม่ใช่เหตุ
ของการยุบพรรคการเมือง ระบอบประชาธิปไตยจะใจกว้างให้พรรคการเมืองนั้นดำรงอยู่
ได้ เพราะพรรคจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างประชาชนกับอำนาจในทางนิติบัญญัติ เพราะฉะนั้น
การยุบพรรคจึงเกิดขึ้นค่อนข้างยาก"
เลอะกันต่อไป?วรเจตน์ต่างจากปริญญาตรงที่เน้นว่า อันตรายจะเกิดกับระบบกฎหมาย"ถ้าดูจากการทำรัฐประหาร 19 ก.ย. เป็นต้นมา การตั้งตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นในรัฐ-
ธรรมนูญชั่วคราว ดูจากการออกประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ก็พอจะเห็นว่าการยุบพรรค
มันเป็นทิศทางซึ่งเป็นเรื่องในทางการเมืองแท้ๆ"
"ผมเคยพูดเสมอว่าเมื่อใดที่ใช้อำนาจทางกฎหมายเข้าจัดการกับปัญหาทางการเมือง
อำนาจในทางกฎหมายนั้นจะมีข้อจำกัดในตัวของมัน การที่อำนาจในทางกฎหมายมีข้อ
จำกัดในตัวนั้น มีข้อดีตรงที่เมื่อใช้แล้วจะทำให้คนเกิดความเชื่อถือ เพราะมีหลักมีฐาน
มีเหตุมีผล ซึ่งเป็นจุดอ่อนของการใช้อำนาจในทางการเมือง ฉะนั้นอำนาจทางกฎหมาย
มีข้อจำกัดคือทำไม่ได้ในบางเรื่อง แต่มีจุดแข็งคือสร้างความน่าเชื่อถือ เมื่อตัดสินไปแล้ว
เกิดสันติสุขในระบบกฎหมายขึ้น"
"แต่ถ้าการใช้อำนาจในทางกฎหมายนั้นไม่ได้เป็นการใช้อำนาจซึ่งเป็นไปตามหลักของ
เหตุผล เป็นการ
ใช้อำนาจในทางกฎหมายแบบเดียวกับอำนาจทางการเมือง อันตรายก็
จะบังเกิดขึ้นกับระบบกฎหมาย เพราะในที่สุดแล้ว คนก็จะไม่ให้ความเชื่อถือในกฎหมายคนก็จะคิดว่ากฎหมายไม่ใช่เรื่องของเหตุผล แต่เป็นเรื่องของอำนาจ จึงไม่ต้องสนใจเหตุ-
ผล แต่สนใจเพียงว่าใครมีอำนาจ และที่สุดแล้วก็จะไม่เกิดการยอมรับ
แล้วระบบกฎหมาย
ทั้งระบบก็จะดำรงอยู่ไม่ได้ หรือหากดำรงอยู่ได้ ก็อาจจะดำรงอยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรี คนก็
จะถูกกดให้ต้องฟัง แต่จะไม่ใช่การยอมรับจากห้วงลึกของจิตใจ ง่ายๆ คือยอมรับเพราะ
ถูกกดให้ยอมรับ เพราะอำนาจกดอยู่ แต่ไม่ได้ยอมรับเพราะเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่ยุติธรรม
หรือสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือปัญหาใหญ่ในสายตาผม นี่คือปัญหาที่กำลังเกาะกินระบบกฎหมาย
ของเรา"
"แต่อย่างน้อยผมก็ขอคารวะตุลาการ 3 ท่านที่ยืนยันว่าการเพิกถอนสิทธิทางการเมือง
5 ปีนำมาใช้ย้อนหลังไม่ได้"
"ผมคาดหมายว่าต่อไปก็จะมีการต่อรองทางการเมือง (พูดก่อนประธาน คมช. เสนอ
นิรโทษกรรม) ที่อาจจะทำให้เกิดการนิรโทษกรรมให้กับบุคคลบางคนใน 111 คน
อาจจะเกิดการต่อรอง เพิกถอนไม่ถึง 5 ปีได้ไหม คือจะใช้อำนาจทางกฎหมายมาบอก
ว่านิรโทษกรรมให้บางคนไป"
นั่นอาจจะแก้ปัญหาทางการเมืองได้ แต่แก้ปัญหาของระบบกฎหมายไม่ได้"ความไม่มีหลักทางกฎหมายจะเกิดขึ้นต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ปีที่แล้ว ยังไม่
หยุดเลย ก็จะกลายเป็นการแก้ปัญหาแบบไทยๆ ไป มันไม่ใช่เรื่องกฎหมาย มันเป็นเรื่อง
อำนาจล้วนๆ แต่
มาใช้อำนาจในเสื้อคลุมของกฎหมาย มันก็จะทำลายระบบกฎหมายไป
เรื่อยๆ"
ออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้ไหมเขาเห็นว่าถ้าจะทำจริงก็ทำได้ แต่เป็นปัญหาทางหลักวิชา"ในทางทฤษฎี กำลังอำนาจของตุลาการรัฐธรรมนูญเกิดจากรัฐธรรมนูญโดยตรง ฉะนั้น
ถ้าทำอะไรต้องแก้รัฐธรรมนูญ แต่คณะตุลาการชุดนี้สถานะทางกฎหมายก็เป็นปัญหามาก
ถ้าเป็นศาลที่ชอบธรรมและตัดสินตามรัฐธรรมนูญฉบับที่มีความชอบธรรม เขาตัดสินแล้ว
จะไปทำอะไรได้ยากมาก อาจถึงขั้นต้องแก้รัฐธรรมนูญ หรือทำไม่ได้ด้วย เพราะกำลัง
อำนาจที่ปรากฏเป็นอำนาจในชั้นรัฐธรรมนูญ"
"แต่
คณะตุลาการชุดนี้ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ และตัวรัฐธรรมนูญชั่วคราวก็ไม่ได้ให้ความ
ชอบธรรม ไม่ใช่ความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เป็นเรื่องอำนาจแท้ๆ กำลังบังคับ
ทางกฎหมายก็มีปัญหา"
ส่วนถ้าจะยกเลิกหรือแก้ไขประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 วรเจตน์บอกว่าก็คงเถียงกันอีก
ว่าผลบังคับตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญจะยังอยู่หรือไม่ ในเมื่อศาลตัดสินไปแล้ว (แม้เขา
จะเห็นด้วยว่าโทษนั้นสิ้นสุดลง)
นอกจากนี้วรเจตน์ยังชี้ด้วยว่า ถ้าอ่านคำวินิจฉัยดีๆ จะพบว่าตุลาการรัฐธรรมนูญกลับ
ไม่ระบุโทษตาม พ.ร.บ. พรรคการเมือง ที่ห้ามกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบไปเป็น
หัวหน้าหรือกรรมการบริหารพรรคอื่น เพียงระบุโทษตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 เพิก
ถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปี ฉะนั้นถ้ายกเลิกประกาศ คปค. ก็จะเกิดคำถามข้อถกเถียง
ตามมาอีกว่า แปลว่ากรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยไปเป็นหัวหน้าหรือกรรมการบริหาร
พรรคใหม่ได้ ใช่หรือไม่"การคิดทางกฎหมายที่ไม่ clean ไม่กระจ่าง ก็จะเกิดปัญหาตามมาเช่นนี้ ก็คงถูไถกันไป
แต่จะเป็นเรื่องโจ๊ก และทำให้กฎหมายกลายเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ"
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับระบบกฎหมาย"http://www.thaipost.net/index.asp?bk=tabloid&post_date=3/Jun/2550&news_id=143142&cat_id=22010