คำนูณ อัดยับผลงาน 6 เดือน รัฐบาลขิงแก่ ล้มเหลวสิ้นเชิง จากฐานคิดที่ผิด มองปัญหาแค่การเลือกตั้ง ไม่ใส่ใจตรวจสอบทุจริต ทำงานล่าช้า ไร้วิสัยทัศน์ ขยันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่รู้เท่าทัน-ขาดความสามารถแก้วิกฤต ปล่อยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตกอยู่ในอันตราย
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่ออภิปรายผลงาน 6 เดือนของรัฐบาลในวันนี้ (24 พ.ค.) ภายหลังจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีได้แถลงผลงานของรัฐบาลเสร็จสิ้น ประธานในที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกฯ ลุกขึ้นอภิปราย โดยภายหลังจาก น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้อภิปรายแล้ว นายคำนูณ สิทธิสมาน ได้อภิปรายต่อในประเด็นความล้มเหลวของรัฐบาลในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ดังรายละเอียดในร่างคำอภิปรายต่อไปนี้
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่เคารพ.....
กระผม นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ....
ก่อนอื่น ต้องขอกราบเรียนท่านประธานฯผ่านไปยัง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี 2 ประการ
ประการหนึ่ง ขอกราบขอบพระคุณที่สละเวลามาชี้แจง ณ ที่ประชุมแห่งนี้ในวันนี้ ถือเป็นความใจกว้างและสง่างามที่รัฐบาลใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 มาตรา 12 โดยไม่ต้องรอให้สมาชิก 100 คนเข้าชื่อกันเพื่อเสนอญัตติตามมาตรา 11
อีกประการหนึ่ง ขอกราบประทานอภัยที่การอภิปรายต่อไปนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา จึงอาจจะมีบางประโยคสร้างความขุ่นเคืองใจให้ท่านบ้าง
กล่าวโดยภาพรวมในลักษณะ มองป่าทั้งป่า ไม่ใช่หยิบต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งหรือสองสามต้นขึ้นมาพิจารณาแล้ว กระผมเห็นว่า 6 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ ล้มเหลวโดยพื้นฐาน ในประการสำคัญที่สุดเป็นปฐม
แม้ว่าจะ ล้มเหลวฯ โดยสุจริต ก็ตาม
ความล้มเหลวเริ่มแต่ต้น คือหลักคิดพื้นฐาน หรือฐานคิด เปรียบเสมือนเมื่อเริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดเสียแล้ว เม็ดต่อๆ ไป -- ต่อให้กลัดถูกอย่างไร เสื้อที่ใส่ก็ยังคงเป็น กระดุมฉิ่ง อยู่ดี
แต่ไม่เป็นไรครับ ถอดกระดุมเม็ดแรกที่กลัดผิดไปแล้วกลัดใหม่เสียให้ถูก ระยะเวลาที่เหลืออยู่ก็ยังพอที่จะแก้ไขปัญหาได้
ฐานคิดของกระผมที่ได้แสดงไปตั้งแต่วันที่รัฐบาลมาแถลงนโยบายครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 ก็คือ รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่ทั้งรัฐบาลปกติ และรัฐบาลชั่วคราว หากแต่คือ รัฐบาลเฉพาะกิจ ที่ต้อง ปฏิบัติภารกิจจำเพาะ เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
ภารกิจเฉพาะที่สำคัญประการเดียวคือ ยุติสภาวะ วิกฤตที่สุดในโลก ตามนัยแห่งพระราชดำรัส 25 เมษายน 2549
ไม่ใช่สักแต่เร่งให้มีการเลือกตั้งสถานเดียวครับ
ท่านประธานฯ ครับ ในวันที่ 25 เมษายน 2549 นั้น องค์พระประมุขของแผ่นนี้ทรงใช้คำว่า ขอร้อง6 ครั้ง ขอฝาก5 ครั้ง ขอให้11 ครั้ง รวมทั้งคำที่เป็นการขอทางอ้อมอีก เพื่อให้ศาลช่วยแก้วิกฤต
รัฐบาลนี้ต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ปฏิบัติภารกิจจำเพาะที่ว่าอย่างสุดกำลังความสามารถ เพราะ
ประการที่ 1 แม้จะเป็นที่แน่นอนว่าท่านทั้งไม่ใช่ และไม่มีทางจะเป็น รัฐบาลพระราชทาน แต่ในความเข้าใจของคนทั่วๆ ไป หัวหน้าคณะรัฐบาลท่านนี้ก็คือบุคคลที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมากที่สุดคนหนึ่ง หากไม่นับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพราะท่านมาจากตำแหน่งองคมนตรี
ประการที่ 2 นี่คือสถานการณ์ที่กระผมแจกแจงไว้ ณ ที่ประชุมแห่งนี้ในญัตติที่เสนอร่วมกับคุณประพันธ์ คูณมี และคุณสำราญ รอดเพชร เรื่อง การดำเนินการกับการชุมนุมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย และมาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 แล้วว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตกอยู่ในภยันตรายใหญ่หลวงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 60 ปี ท่ามกลางกระแสโจมตีของพันธมิตรทุนนิยมเหิมเกริม + คอมมิวนิสต์อารมณ์ค้าง ที่โคจรมาพบปะร่วมมือกันก่อตั้งพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งเมื่อปี 2541
ในรอบ 1 ปีมานี้ คำพูดเชิงเปรียบเปรย ทุนนิยมสามานย์ ยังดีกว่าศักดินาล้าหลัง แพร่กระจายไปทั่ว หากรัฐบาลชุดที่มีหัวหน้าคณะรัฐบาลเป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษตามที่กล่าวมาในข้อ 1 ล้มเหลว นอกจากจะไม่สามารถลบล้างคำกล่าวดังกล่าวแล้ว ยังจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้อีกต่างหาก
ท่านประธานฯ ที่เคารพ....
วิกฤตที่สุดในโลก คืออะไร กระผมเชื่อว่ารัฐบาลยังไม่ลืม เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ได้สรุปไว้ในหนังสือนี้ หน้า 30 หัวข้อ 3.สถานการณ์ด้านการเมือง
แต่สำหรับผมแล้ว สรุปสั้นๆ ไปในการอภิปรายเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 แล้วว่า....
มีความพยามยามจะสร้าง ระบอบประชาธิปไตยเฉย ๆ ขึ้นมาแทนที่ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งนอกจากจะปฏิบัติการโดยพันธมิตรทุนนิยมเหิมเกริม + คอมมิวนิสต์อารมณ์ค้างแล้ว ยังมี แนวร่วม โดยธรรมชาติเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ หลงผิดโดยสุจริต อีกจำนวนไม่น้อย ผู้บริสุทธิ์เหล่านี้มีบ้างเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียง
กระผมมีความเห็นต่างกับบทสรุปไว้หน้า 30 หัวข้อ 3.สถานการณ์ด้านการเมือง ตรงที่ท่านระบุไว้ว่า....
สถานการณ์ดังกล่าวได้ยุติลงภายหลังจากการปฏิรูปการปกครองแผ่น ดินในวันที่ 19 กันยายน 2550
ท่านไปเห็นว่ายังคงเหลือผลกระทบอยู่ก็แต่ด้านความไม่เชื่อมั่นในระ บบเศรษฐกิจ และการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนต่างประเทศ ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลง ก็เลยเน้นแก้ไขแต่ตรงนั้น
ผมเห็นว่า นอกจากสถานการณ์จะยังคงดำรงอยู่แล้ว ยังทวีความรุน แรงเพิ่มขึ้นอีก !
นี่คือการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดของรัฐบาล !!
ท่านประธานทราบไหมครับว่า ณ วันนี้ได้มีการเติมเต็มชื่อ ระบอบประชาธิปไตยเฉยๆ แล้ว เป็น....
ระบอบประชาธิปไตยมหาชน
หรือ....
ระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน
ที่มีสาระสำคัญที่สุดว่า....
ปวงชนชาวไทยเป็นทั้งเจ้าของอำนาจอธิปไตย และผู้ใช้อำนาจนั้นด้วยตนเอง
ผมไม่ได้พูดเองนะครับ นี่เป็นท่อนสำคัญที่สุดในงานเขียนของ ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ เรื่อง ระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน ที่ระบุยุทธศาสตร์การต่อสู้ในวันนี้ไว้ว่า ไม่ได้มุ่งต่อต้านรัฐบาล และ คมช.เท่านั้น แต่มีเป้าหมายที่ไกลกว่า....
เป้าหมายเฉพาะหน้าของการต่อสู้ คือ คว่ำบาตรการร่างรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ นำเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับมา และให้มีการเลือกตั้งโดยทันที ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือ ให้มีมาตรการลิดรอนกลไกและอำนาจของกลุ่มนอกรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ 2540 ขจัดอำนาจแฝงเร้นออกไปอย่างสิ้นเชิง ก้าวไปสู่ระบอบประชาธิปไตยมหาชนที่ซึ่ง...
ปวงชนชาวไทยเป็นทั้งเจ้าของอำนาจอธิปไตยและผู้ใช้อำนาจนั้นด้วยตนเอง
ท่านประธานฯ ครับ....
ข้อเขียนชิ้นนี้จะบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์โดยสุจริต ผมไม่มีสติปัญญาจะตัดสิน ผมรู้แต่ว่าขัดกับหลักการที่บรรจุไว้ในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่เคยมีมา....
อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
รัฐธรรมนูญบางฉบับอาจจะใช้ว่า ...มาจากปวงชนชาวไทย. แต่ตอนท้ายเหมือนกันทุกฉบับ
ข้อเขียนชิ้นนี้ มันบังเอิญไปตรงกับ ยุทธศาสตร์ 3 คำ ของกลุ่มที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้เพิ่งประกาศออกมาเมื่อวันที่ 18 19 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมานี้เองในนาม แนวร่วมประชาชนต้านรัฐประหาร ว่า....
คว่ำ - ล้ม - โค่น
คว่ำ หมายถึง คว่ำรัฐธรรมนูญ 2550 เอารัฐธรรมนูญ 2540 คืนมาให้ประชาชนปรับแก้ในบรรยากาศประชาธิปไตย คือ เลือกตั้ง
ล้ม หมายถึง ล้ม คมช. และผลิตผลทั้งหมดของ คมช. อันได้แก่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระที่ คมช.ตั้งขึ้น รวมถึงรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 ของ คมช.ด้วย
โค่น หมายถึง โค่นล้ม ระบอบอำมาตยาธิปไตยอันมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแทน เพื่อสร้าง ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน ขึ้นมา
ขีดเส้นใต้สีแดง 3 เส้นตรง ระบอบอำมาตยาธิปไตยอันมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นตัวแทน และ ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน แล้วพิจารณาดูเองนะครับ
คุณจักรภพ เพ็ญแข หนึ่งในแกนนำสำคัญของพีทีวี ท่านจะบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์โดยสุจริต หรืออย่างไร ผมไม่ทราบ ผมทราบแต่ว่าท่านให้สัมภาษณ์ 2 ครั้งในรอบ 1 เดือนสอดคล้องกับแนวทางนี้
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2550 ท่านให้สัมภาษณ์ นสพ.มติชน และผมนำมาถ่ายทอด ณ ที่นี้โดยไม่ได้ระบุชื่อเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 แล้วว่า....
ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ท่านให้สัมภาษณ์ นสพ.ไทยโพสต์ มีความตอนหนึ่งว่า....
ผมอยากเห็นสงครามประชาชน
เที่ยวนี้ PTV อย่างเก่งที่สุดก็จะกลายเป็นการออกแขกให้กับสงครามประชาชน เป็นน้ำซึมบ่อทราย...
ขีดเส้นใต้สีแดง 3 เส้นตรงคำว่า การออกแขกให้กับสงครามประชาชน และ น้ำซึมบ่อทราย ด้วยนะครับ
ท่านประธานฯ ครับ...
ถ้านี่เป็นความแตกต่างทางความคิด ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่ประนีประนอม ไม่สมานฉันท์
และผมเชื่อว่าท่านประธานก็คงใกล้เคียงกัน กราบขอประทานอภัยที่ต้องพูดถึงท่าน เพราะท่านเป็นผู้นำเสนอปัญหานี้ขึ้นมาเป็นคนแรกๆ ตั้งแต่ในงานเขียนเรื่อง ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี หลังจากมีประเด็นวาทะร้อนของอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 ในบทความชิ้นนั้น ท่านประธานฯ ได้กรุณาตั้งข้อสังเกตถึงการพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีที่มักจะจงใจใช้คำว่า ประชาธิปไตย ห้วนๆ ไม่มีคำว่า อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต่อท้าย
แต่การไม่ประนีประนอม ไม่สมานฉันท์ ของผม -- และอาจจะของท่านประธานด้วย กราบขออภัยอีกครั้ง -- ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไปกระทำรุนแรงกับเขา ไปจำกัดสิทธิเสรีภาพเขา
หากจะต้อง ต่อสู้ทางความคิด, รณรงค์ทางปัญญา อย่างเต็มกำลัง สติปัญญา
ไม่ใช่ไม่เคลื่อนไหวอะไร ใครถามใครเสนอแนะก็พูดแต่คำว่า สันติ กับ สมานฉันท์ !
ผมทำในส่วนของผม ด้วยการอภิปรายในสภาฯแห่งนี้ เสนอความเห็นในคณะกรรมการชุดที่ท่านประธานฯมีคำสั่งแต่งตั้งขึ้น การจัดรายการโทรทัศน์ และการเขียนหนังสือ
....และ.....ด้วยการอภิปราย ณ นาทีนี้ต่อหน้า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
ท่านประธานฯ กรุณาทำในส่วนของท่านประธาน อย่างน้อย 2 ประการ
ประการหนึ่ง ท่านประธานฯ ได้กรุณาจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ชื่อ คณะกรรมการศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาสำคัญของชาติโดยมาตรการทางนิติบัญญัติ มีท่านสมโภชน์ กาญจนาภรณ์ ขออภัยที่เอ่ยนาม - เป็นประธาน ทำหน้าที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้โดยด่วน เพื่อหามาตรการทางกฎหมายต่างๆ ที่จำเป็น ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน บัดนี้เวลาผ่านไปแล้ว 30 วัน คณะกรรมการได้แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษามาตรการพิทักษ์ รักษา ป้องกัน และคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ขึ้น 2 ชุด ชุดหนึ่งศึกษาหามาตรการทางกฎหมาย อีกชุดหนึ่งศึกษาหามาตรการทางสังคม
อีกประการหนึ่ง พรุ่งนี้วันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ตลอดทั้งวัน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะจัดสัมมนาทางวิชาการครั้งใหญ่เรื่อง พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ที่หอประชุมสหประชาชาติ มีอดีตนายกรัฐมนตรีหลายท่านมาเป็นองค์ปาฐก อาทิ ท่านอานันท์ ปันยารชุน ท่านบรรหาร ศิลปอาชา ท่านชวน หลีกภัย มีนักวิชาการอาวุโสชั้นนำที่เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งมาร่วม อาทิ ท่านชัยอนันต์ สมุทวณิช ท่านวิษณุ เครืองาม ท่านบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ท่านธงทอง จันทรางศุ และมีการเชิญทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ มารับฟังด้วย
แต่ผมยังไม่เห็นรัฐบาลทำในเรื่องนี้โดยตรง
ท่านประธานฯ ครับ....
ในช่วง 2 - 3 ปีมานี้มีการสร้างศัพท์ทางการเมืองแปลกๆ ใหม่ที่มีสีสันขึ้นมา อย่างเช่น ระบอบทักษิณ ซึ่งเมื่อคอการเมืองฟังแล้วก็จะรับรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร หรือที่รัฐบาลชุดนี้ได้รับการขนานนามว่า....
ขิงแก่
แรกทีเดียวนั้น ความหมายของคำคำนี้ต้องการบ่งบอกคุณลักษณะของ ขิง ที่ ยิ่งแก่ ยิ่งเผ็ด เป็นศัพท์เชิงบวก ให้กำลังใจ
เป็นศัพท์ที่ตั้งความหวังไว้ว่า ขิงแก่ ควรจะรู้เท่าทันปัญหา และมีความสามารถแก้ปัญหา วิกฤตที่สุดในโลก นี้ได้
แต่ 6 เดือนผ่านไป การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่!
รัฐบาลชุดนี้กำลังจะทำให้เกิด ภาษาวิบัติ ทำให้คำว่า ขิงแก่ เปลี่ยนความหมายไป
ธรรมชาติของภาษา โดยเฉพาะภาษาไทยดิ้นได้ ไหลเลื่อนตลอดเวลา เวลามีน้อย จึงขออนุญาตไม่ยกตัวอย่างนะครับ
เอาเป็นว่า ผมเกรงครับว่าคำที่มีความหมายดีๆ อย่าง ขิงแก่ นั้น อาจจะเปลี่ยนความหมายไปในทางตรงข้าม กลายเป็นมีความหมายนัยประหวัดไปถึง...
ความเอื่อยเฉื่อย ชักช้า ไม่ทันเกม ความน่าอึดอัด น่าเหนื่อยหน่าย
มีความหมายเดียวกับคำว่า เกียร์ว่าง นั่นแหละ
เดี๋ยวนี้ เกียร์ว่าง กลายเป็นคำแสลงทางการเมืองที่หมายความว่า ไม่ทำอะไร และยังหมายความว่าการตัดสินใจกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่กระทำในสิ่งที่ควรทำ แทนที่จะสะสาง กลับทำบางอย่างที่เอื้อต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ดีงามในอดีต
ผมจึงมีความหวาดวิตกกังวลเป็นส่วนตัวว่า หากเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ คำว่า ขิงแก่ อาจจะหมายรวมไปถึงความหมายทำนอง เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤต หรือ รู้เห็นเป็นใจกันกับผู้ก่อวิกฤต ก็เป็นได้ ไม่ว่าจะมีคำว่า ...โดยสุจริต ต่อท้ายหรือไม่ก็ตาม
อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยครับ
ภาษาวิบัติไปบ้างไม่เท่าไหร่ แต่ที่วิบัติไม่ได้ก็คือ ชาติบ้านเมือง !
ประเด็นปัญหาที่เรากำลังเปิดสภาคุยกันวันนี้ ก็คือเรื่องนี้โดยตรง
เวลาผ่านไป 7 เดือน เราเริ่มพบว่า วิธีการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลนี้ที่มีภารกิจเฉพาะเข้ามาดับวิกฤต ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมาที่มีส่วนก่อวิกฤตเลย
ให้อภิปรายปัญหาของรัฐบาลนี้ต้องใช้เวลาเยอะ เวลาที่เจียดมาให้ ไม่เพียงพอแน่นอน ทั้งๆ ที่แต่เริ่ม...กระผมตั้งใจจะจองกฐินที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลองค์การมหาชนบางแห่ง และกรมประชาสัม พันธ์ แต่เมื่อต้องเลือกบริหารเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงต้องเลือกพูดถึง ภาพรวม ในประเด็น ภัยต่อระบอบ แต่ในประเด็นงานอื่นๆ ทั้งหมด กระผมขอสรุปสั้นๆ ให้ครบคลุมความดังต่อไปนี้...
วาจาพร่ำธรรมะ
ขยะไม่กวาด
เอากระดาษมาเขียนรูปเสือ
เรือเกลือเรียกพี่
กลวิธี 2 มาตรฐาน
ซ้ายจำแลงเบิกบาน
เอางานเอาการในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
การเมืองทำไม่เป็น
มองไม่เห็นวิสัยทัศน์
ปฏิรูปติดขัดตลอดแนว
มาว่ากันไปที่ละข้อๆ โดยสรุป ผมเชื่อว่าที่เพื่อนสมาชิกจะอภิปรายกันตลอดวันนี้ สามารถนำมาบรรจุลงได้หมดในแต่ละหัวข้อ
วาจาพร่ำธรรมะ กรณีที่ องคุลิมาล ที่ท่านนายกฯยกตัวอย่างว่าในบางกรณี พระก็สมานฉันท์กับโจรได้, กรณี พระโมคคัลลานะ ที่ท่านยกตัวอย่างว่าเป็นสุดยอดของความอดทน, กรณี พรหมวิหาร 4 ที่ท่านพูดบ่อยมาก จะเห็นว่าการแถลงข่าวระยะหลังมีการอ้างอิงหลักธรรมะ ผมเข้าใจเจตนาดีที่น่าสรรเสริญของท่านครับ แต่วาบหนึ่งของความคิด ผมหันไปนึกถึงอดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อนที่ พล่ามธรรมะ มากเหลือ เกินในระยะหลัง อ้าง พรหมวิหาร 4 บ่อยเหมือนกัน แต่ไปไกลถึงขั้นเปรียบตัวเองเป็น โพธิสัตว์ มาแล้ว
ขยะไม่กวาด ชัดเจนว่า รัฐบาลนี้ไม่แตะต้องการสะสางการทุจริตประ พฤติมิชอบของรัฐบาลยุคที่ผ่านมา โดยบอกว่าเป็นหน้าที่ของ คตส. แต่พอ คตส. มาขอให้ออกมติ ครม.เพื่อสนับสนุนการทำงาน ท่านก็ไม่ทำให้ ล่าสุด...ปัญหาว่าจะให้อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่แล้วเอาเงินออกนอกประเทศหรือไม่ ท่านก็บอกว่าเป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติ เรื่องที่ทำได้โดย ตรงในกระทรวง ท่านก็ไม่ทำ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในกรณีงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติที่เชียงใหม่ ที่มีการรุกที่ป่าสงวนเห็น ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็น่าผิด หวัง กรณี อพท. องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่สภาฯชี้ช่องให้ ก็ยังไปไม่ถึงราก กลุ่มบุคคลเดิมยังคงมีอำนาจในทางปฏิบัติอยู่ ไม่ต้องพูดถึงสำนักนายกรัฐมนตรีในประเด็นที่ดูแล สบร. สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ หรือ OKMD สตง.รายงานการทุจริตมาให้เห็นเป็นเล่มโต ๆ เล่มนี้....ก็ยังไม่เห็นฝ่ายการเมืองเดินหน้ารับลูก ผู้บริหารบางองค์กรยังกินเงินเดือน 3 แสน ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ลอยหน้าลอยตาหน้าตาเฉย
กระดาษเขียนรูปเสือ ภาพของนายทหาร รบพิเศษ หมวกเบเรต์แดง ที่ผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วน และรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ประกอบกับมีการประกาศนโยบายปราบปรามการทุจริต แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ขึงขังน่ากลัวเหมือนภาพที่เคยสร้างไว้ระยะแรก
เรือเกลือเรียกพี่ ตัดสินใจช้า ไม่กระฉับกระเฉง จนได้รับสมญาว่า ฤาษีเลี้ยงเต่า
กลวิธี 2 มาตรฐาน รัฐบาลแถลงอยู่ตลอดเวลาว่า ยึดหลักกฎหมาย ต้องยึดหลักการที่ถูกต้อง เช่น ไม่ให้มติ ครม.ให้ข้าราชการร่วมมือกับ คตส. แต่ให้ใช้วิธีการอื่นแทน เหมือนกับการกอดกฎหมายและหลักการ แต่ทว่า กลับตกม้าตายปล่อยให้มีการกระทำที่อาจจะผิดกฎหมาย หรือเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย เช่น กรณีไอทีวี, งานมหกรรมพืชสวนโลกฯ หรือแม้แต่ประกาศว่าจะเอาจริงเรื่องทุจริต แต่กลับปล่อยให้มีการทำโครงการที่อาจเอื้อต่อการทุจริต เช่น กรณีซื้อเครื่องบินการบินไทย กรณีต่อสัญญาดอนเมืองโทลล์เวย์ และการเปลี่ยนวิธีการเสนอเรื่องเข้าสู่ครม.ในลักษณะที่อาจขัดต่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอและพิจารณาเรื่องในคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2548 เป็นต้น
ซ้ายจำแลงเบิกบาน ปล่อยให้ซ้ายเก่า คอมมิวนิสต์อารมณ์ค้าง ที่จำแลงร่างมาอยู่กับทุนนิยมใหม่ ทุนนิยมเหิมเกริม เคลื่อนไหวได้โดยเสรีไม่มีขอบเขต จนถือได้ว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขถูกท้าทายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ....ล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกาขอให้ปลดประธานองคมนตรีก็ทำได้ ....ประกาศหลักการปก ครองใหม่ที่ขัดรัฐธรรมนูญอย่างเปิดเผยก็ทำกันแล้ว
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 ที่ผมอภิปรายแจกแจงปัญหา ณ ที่ประชุมแห่งนี้ ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้กรุณามานั่งรับฟัง และตอบด้วยวาจาที่ซาบซึ้ง แต่ก็เท่านั้น ยังไม่เห็นรูปธรรมในความพยา ยามแก้ปัญหา
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของเรามีดี ชนิดที่โลกยกย่องและศึกษา ช่วยดับวิกฤตของประเทศมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คนไทยที่ตกอยู่ในมายาภาพของการโฆษณาชวนเชื่อ อาจจะถูกม่านบังตาไปชั่วครั้งชั่วคราว
ต้องเร่งรณรงค์ทางปัญญาเพื่อเปิดม่านนั้นให้เขาครับ
เอางานเอาการในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ควรทำไม่ทำ ดันไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น หวยบนดิน, รถไฟฟ้า, ผลักดันมหาวิทยาลัยนอกระบบโดยไม่รอบคอบในบางมหาวิทยาลัยและไม่เร่งออกกฎหมายแม่บทก่อน ที่สำคัญ....เปลี่ยนวิธีการเสนอเรื่องเข้าสู่ครม.ของแต่ละกระทรวงทบวงกรมใหม่ให้เร็วทันใจขึ้น ที่เรียกว่า Fast track ที่เสียงต่อการขัดพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอและพิจารณาเรื่องในคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
การเมืองทำไม่เป็น ไม่เข้าใจว่า งานการเมือง นั้นเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงแพ้ศึกในสมรภูมิมาตั้งแต่ต้น กลายเป็นจุดอ่อนให้อำนาจเก่าฮึกเหิม โฆษกรัฐบาลสอบตกซ้ำซาก
มองไม่เห็นวิสัยทัศน์ เพราะไม่พบว่ามีกิจกรรมใดที่แสดงให้เห็นว่ามี เช่น กรณีปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกร้อนที่ต้องปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวข้อง, กรณีกฎหมายกึ่งๆ เขตเศรษฐกิจพิเศษ อย่างพระราชกฤษฎีกาองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อ.พ.ท.) ที่ให้อำนาจนักการเมืองขีดเส้นพื้นที่ไปจัดการทรัพยากรมูลค่าสูง แต่รัฐบาลกลับไม่แตะต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่มีมติครม.เมื่อวันที่ 15 กุมภา พันธ์ 2550 ส่งคืนร่างพ.ร.บ.ยกเลิกพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการมายัง สนช. โดยอ้างว่า เมื่อใดที่รัฐบาลประสงค์จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็จะต้องเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติต่อรัฐสภาเป็นคราวๆ ไปนั้น จะทำให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจขาดความเป็นเอกภาพและไม่เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน ก็หมายถึง รัฐบาลนี้ยังเชื่อและสนับสนุนแนวทางการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเช่นเดียวกับรัฐบาลที่แล้ว หรือล่าสุด... การส่งร่างพ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการของรัฐบาลชุดที่แล้วที่มีหลักการ เอาเงินในอนาคตมาใช้ เอาเงินของลูกหลานมาใช้ ทั้งๆ ที่ขัดหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่ตนเองประกาศปาวๆ เข้าสภาฯมา
ปฏิรูปติดขัดตลอดแนว ประเด็นนี้ผมคงไม่ต้องพูด เพราะเป็นกระดุมเม็ดท้ายๆ ของ เสื้อกระดุมฉิ่ง เสียแล้ว
การสักแต่เร่งให้มีการเลือกตั้ง โดยไม่มีการปฏิรูปการเมือง ก็ไม่ต่างอะไรกับเร่งส่งมอบบ้านเมืองคืนกลับให้กับระบอบเก่า ไม่ว่าระบอบเก่านั้นจะมีคนชื่อทักษิณ ชินวัตรกลับมาอยู่ร่วมโดยตรง หรือใช้นอมินี หรือรอวันกลับมาในอีก 1 2 ปีข้างหน้า
ท่านประธานฯ ที่เคารพ...
ผมไม่ได้พิจารณารัฐบาลเก่าในเชิงตัวบุคคล แต่พิจารณาในเชิงระบอบ ภายใต้บริบทของการต่อสู้ระหว่าง 2 ระบอบ ผมเห็นว่าวันนี้ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งจากการตั้งขบวน คว่ำ ล้ม โค่น ของ ระบอบประชา ธิปไตยของปวงประชามหาชน ที่ประกาศหลักการให้ปวงชนชาวไทยใช้อำนาจอธิปไตยได้เอง
ผมอยากให้รัฐบาลเห็นอย่างที่ผมเห็น
ผมอยากให้รัฐบาลตระหนักในภยันตรายที่กำลังเยื้องกรายก้าวเข้ามาเป็นเงาทะมึนค้ำหัวพวกเราอยู่ขณะนี้
แล้วเร่งกลับมาเป็น ขิงแก่ ในความหมายเดิม...ความหมายเชิงบวก...
เป็น ขิงแก่ ที่ ยิ่งแก่ ยิ่งเผ็ด รู้เท่าทันปัญหา และมีความสามารถแก้ปัญหา วิกฤตที่สุดในโลก ที่เกิดขึ้นกับ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของแผ่นดินนี้
แต่ถ้าท่านไม่สามารถจะกลับมาเป็น ขิงแก่ ในความหมายเดิม....
ผมก็ขอกราบเรียนท่านประธานฯ ผ่านไปยังรัฐบาลสั้นๆ ว่า....
กลับบ้านเถอะครับ-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
...@ ถอดใจมาใส่บลอก ไม่น่าจะยากใช่มั๊ยคะ@....
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2007/05/24/entry-5