ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
25-04-2024, 22:14
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  กลับบ้านเถอะครับ ประโยคนี้พูดถูกกาละเทศะหรือเปล่า 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
กลับบ้านเถอะครับ ประโยคนี้พูดถูกกาละเทศะหรือเปล่า  (อ่าน 1562 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 24-05-2007, 13:26 »

“คำนูณ” อัดยับผลงาน 6 เดือน “รัฐบาลขิงแก่” ล้มเหลวสิ้นเชิง จากฐานคิดที่ผิด มองปัญหาแค่การเลือกตั้ง ไม่ใส่ใจตรวจสอบทุจริต ทำงานล่าช้า ไร้วิสัยทัศน์ ขยันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่รู้เท่าทัน-ขาดความสามารถแก้วิกฤต ปล่อยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตกอยู่ในอันตราย
       
       การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่ออภิปรายผลงาน 6 เดือนของรัฐบาลในวันนี้ (24 พ.ค.) ภายหลังจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีได้แถลงผลงานของรัฐบาลเสร็จสิ้น ประธานในที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกฯ ลุกขึ้นอภิปราย โดยภายหลังจาก น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้อภิปรายแล้ว นายคำนูณ สิทธิสมาน ได้อภิปรายต่อในประเด็นความล้มเหลวของรัฐบาลในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ดังรายละเอียดในร่างคำอภิปรายต่อไปนี้
       
       “ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่เคารพ.....
       
       กระผม นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ....
       
       ก่อนอื่น ต้องขอกราบเรียนท่านประธานฯผ่านไปยัง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี 2 ประการ
       
       ประการหนึ่ง ขอกราบขอบพระคุณที่สละเวลามาชี้แจง ณ ที่ประชุมแห่งนี้ในวันนี้ ถือเป็นความใจกว้างและสง่างามที่รัฐบาลใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 มาตรา 12 โดยไม่ต้องรอให้สมาชิก 100 คนเข้าชื่อกันเพื่อเสนอญัตติตามมาตรา 11
       
       อีกประการหนึ่ง ขอกราบประทานอภัยที่การอภิปรายต่อไปนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา จึงอาจจะมีบางประโยคสร้างความขุ่นเคืองใจให้ท่านบ้าง
       
       กล่าวโดยภาพรวมในลักษณะ “มองป่าทั้งป่า” ไม่ใช่หยิบต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งหรือสองสามต้นขึ้นมาพิจารณาแล้ว กระผมเห็นว่า 6 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ “ล้มเหลวโดยพื้นฐาน” ในประการสำคัญที่สุดเป็นปฐม
       
       แม้ว่าจะ “ล้มเหลวฯ โดยสุจริต” ก็ตาม
       
       ความล้มเหลวเริ่มแต่ต้น คือหลักคิดพื้นฐาน หรือฐานคิด เปรียบเสมือนเมื่อเริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดเสียแล้ว เม็ดต่อๆ ไป -- ต่อให้กลัดถูกอย่างไร เสื้อที่ใส่ก็ยังคงเป็น “กระดุมฉิ่ง” อยู่ดี
       
       แต่ไม่เป็นไรครับ ถอดกระดุมเม็ดแรกที่กลัดผิดไปแล้วกลัดใหม่เสียให้ถูก ระยะเวลาที่เหลืออยู่ก็ยังพอที่จะแก้ไขปัญหาได้
       
       ฐานคิดของกระผมที่ได้แสดงไปตั้งแต่วันที่รัฐบาลมาแถลงนโยบายครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 ก็คือ รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่ทั้งรัฐบาลปกติ และรัฐบาลชั่วคราว หากแต่คือ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ที่ต้อง “ปฏิบัติภารกิจจำเพาะ” เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
       
       ภารกิจเฉพาะที่สำคัญประการเดียวคือ ยุติสภาวะ “วิกฤตที่สุดในโลก” ตามนัยแห่งพระราชดำรัส 25 เมษายน 2549
       
       ไม่ใช่สักแต่เร่งให้มีการเลือกตั้งสถานเดียวครับ
       ท่านประธานฯ ครับ – ในวันที่ 25 เมษายน 2549 นั้น – องค์พระประมุขของแผ่นนี้ทรงใช้คำว่า “ขอร้อง”6 ครั้ง “ขอฝาก”5 ครั้ง “ขอให้”11 ครั้ง รวมทั้งคำที่เป็นการขอทางอ้อมอีก เพื่อให้ศาลช่วยแก้วิกฤต
       
       รัฐบาลนี้ต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ปฏิบัติภารกิจจำเพาะที่ว่าอย่างสุดกำลังความสามารถ เพราะ
       
       ประการที่ 1 แม้จะเป็นที่แน่นอนว่าท่านทั้งไม่ใช่ และไม่มีทางจะเป็น “รัฐบาลพระราชทาน” แต่ในความเข้าใจของคนทั่วๆ ไป หัวหน้าคณะรัฐบาลท่านนี้ก็คือบุคคลที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมากที่สุดคนหนึ่ง หากไม่นับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพราะท่านมาจากตำแหน่งองคมนตรี
       
       ประการที่ 2 นี่คือสถานการณ์ที่กระผมแจกแจงไว้ ณ ที่ประชุมแห่งนี้ในญัตติที่เสนอร่วมกับคุณประพันธ์ คูณมี และคุณสำราญ รอดเพชร เรื่อง “การดำเนินการกับการชุมนุมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย และมาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 แล้วว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตกอยู่ในภยันตรายใหญ่หลวงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 60 ปี ท่ามกลางกระแสโจมตีของพันธมิตรทุนนิยมเหิมเกริม + คอมมิวนิสต์อารมณ์ค้าง ที่โคจรมาพบปะร่วมมือกันก่อตั้งพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งเมื่อปี 2541
       
       ในรอบ 1 ปีมานี้ คำพูดเชิงเปรียบเปรย “ทุนนิยมสามานย์ ยังดีกว่าศักดินาล้าหลัง” แพร่กระจายไปทั่ว หากรัฐบาลชุดที่มีหัวหน้าคณะรัฐบาลเป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษตามที่กล่าวมาในข้อ 1 ล้มเหลว นอกจากจะไม่สามารถลบล้างคำกล่าวดังกล่าวแล้ว ยังจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้อีกต่างหาก
       
       ท่านประธานฯ ที่เคารพ....
       
       “วิกฤตที่สุดในโลก” คืออะไร กระผมเชื่อว่ารัฐบาลยังไม่ลืม เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ได้สรุปไว้ในหนังสือนี้ หน้า 30 หัวข้อ “3.สถานการณ์ด้านการเมือง”
       
       แต่สำหรับผมแล้ว สรุปสั้นๆ ไปในการอภิปรายเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 แล้วว่า....
       
       มีความพยามยามจะสร้าง “ระบอบประชาธิปไตยเฉย ๆ” ขึ้นมาแทนที่ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
       
       ซึ่งนอกจากจะปฏิบัติการโดยพันธมิตรทุนนิยมเหิมเกริม + คอมมิวนิสต์อารมณ์ค้างแล้ว ยังมี “แนวร่วม” โดยธรรมชาติเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ “หลงผิดโดยสุจริต” อีกจำนวนไม่น้อย ผู้บริสุทธิ์เหล่านี้มีบ้างเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียง
       
       กระผมมีความเห็นต่างกับบทสรุปไว้หน้า 30 หัวข้อ “3.สถานการณ์ด้านการเมือง” ตรงที่ท่านระบุไว้ว่า....
       
       “สถานการณ์ดังกล่าวได้ยุติลงภายหลังจากการปฏิรูปการปกครองแผ่น ดินในวันที่ 19 กันยายน 2550”
       
       ท่านไปเห็นว่ายังคงเหลือผลกระทบอยู่ก็แต่ด้านความไม่เชื่อมั่นในระ บบเศรษฐกิจ และการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนต่างประเทศ ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลง ก็เลยเน้นแก้ไขแต่ตรงนั้น
       
       ผมเห็นว่า – นอกจากสถานการณ์จะยังคงดำรงอยู่แล้ว ยังทวีความรุน แรงเพิ่มขึ้นอีก !
       
       นี่คือการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดของรัฐบาล !!
       
       ท่านประธานทราบไหมครับว่า ณ วันนี้ได้มีการเติมเต็มชื่อ “ระบอบประชาธิปไตยเฉยๆ” แล้ว เป็น....
       
       “ระบอบประชาธิปไตยมหาชน”
       หรือ....
       
       “ระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน”
       
       ที่มีสาระสำคัญที่สุดว่า....
       
       “ปวงชนชาวไทยเป็นทั้งเจ้าของอำนาจอธิปไตย และผู้ใช้อำนาจนั้นด้วยตนเอง”
       
       ผมไม่ได้พูดเองนะครับ นี่เป็นท่อนสำคัญที่สุดในงานเขียนของ ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ เรื่อง “ระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน” ที่ระบุยุทธศาสตร์การต่อสู้ในวันนี้ไว้ว่า ไม่ได้มุ่งต่อต้านรัฐบาล และ คมช.เท่านั้น แต่มีเป้าหมายที่ไกลกว่า....
       
       เป้าหมายเฉพาะหน้าของการต่อสู้ คือ คว่ำบาตรการร่างรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ นำเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับมา และให้มีการเลือกตั้งโดยทันที ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือ ให้มีมาตรการลิดรอนกลไกและอำนาจของกลุ่มนอกรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ 2540 ขจัดอำนาจแฝงเร้นออกไปอย่างสิ้นเชิง ก้าวไปสู่ระบอบประชาธิปไตยมหาชนที่ซึ่ง...
       
       “ปวงชนชาวไทยเป็นทั้งเจ้าของอำนาจอธิปไตยและผู้ใช้อำนาจนั้นด้วยตนเอง”
       
       ท่านประธานฯ ครับ....
       
       ข้อเขียนชิ้นนี้จะบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ หรือ “ไม่บริสุทธิ์โดยสุจริต” ผมไม่มีสติปัญญาจะตัดสิน ผมรู้แต่ว่าขัดกับหลักการที่บรรจุไว้ในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่เคยมีมา....
       
       “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
       
       รัฐธรรมนูญบางฉบับอาจจะใช้ว่า “...มาจากปวงชนชาวไทย.” แต่ตอนท้ายเหมือนกันทุกฉบับ
       
       ข้อเขียนชิ้นนี้ มันบังเอิญไปตรงกับ “ยุทธศาสตร์ 3 คำ” ของกลุ่มที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้เพิ่งประกาศออกมาเมื่อวันที่ 18 – 19 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมานี้เองในนาม “แนวร่วมประชาชนต้านรัฐประหาร” ว่า....
       
       “คว่ำ - ล้ม - โค่น”
       
       คว่ำ – หมายถึง คว่ำรัฐธรรมนูญ 2550 เอารัฐธรรมนูญ 2540 คืนมาให้ประชาชนปรับแก้ในบรรยากาศประชาธิปไตย – คือ – เลือกตั้ง
       
       ล้ม – หมายถึง ล้ม คมช. และผลิตผลทั้งหมดของ คมช. อันได้แก่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระที่ คมช.ตั้งขึ้น รวมถึงรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 ของ คมช.ด้วย
       
       โค่น – หมายถึง โค่นล้ม “ระบอบอำมาตยาธิปไตยอันมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแทน” เพื่อสร้าง “ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน” ขึ้นมา
       
       ขีดเส้นใต้สีแดง 3 เส้นตรง “ระบอบอำมาตยาธิปไตยอันมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นตัวแทน” และ “ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน” แล้วพิจารณาดูเองนะครับ
       
       คุณจักรภพ เพ็ญแข หนึ่งในแกนนำสำคัญของพีทีวี ท่านจะบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์โดยสุจริต หรืออย่างไร ผมไม่ทราบ ผมทราบแต่ว่าท่านให้สัมภาษณ์ 2 ครั้งในรอบ 1 เดือนสอดคล้องกับแนวทางนี้
       
       เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2550 ท่านให้สัมภาษณ์ นสพ.มติชน และผมนำมาถ่ายทอด ณ ที่นี้โดยไม่ได้ระบุชื่อเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 แล้วว่า....
       
       “ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้”
       
       ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ท่านให้สัมภาษณ์ นสพ.ไทยโพสต์ มีความตอนหนึ่งว่า....
       
       “ผมอยากเห็นสงครามประชาชน”
       
       “เที่ยวนี้ PTV อย่างเก่งที่สุดก็จะกลายเป็นการออกแขกให้กับสงครามประชาชน เป็นน้ำซึมบ่อทราย...”
       
       ขีดเส้นใต้สีแดง 3 เส้นตรงคำว่า “การออกแขกให้กับสงครามประชาชน” และ “น้ำซึมบ่อทราย” ด้วยนะครับ
       
       ท่านประธานฯ ครับ...
       
       ถ้านี่เป็นความแตกต่างทางความคิด ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่ประนีประนอม ไม่สมานฉันท์
       
       และผมเชื่อว่าท่านประธานก็คงใกล้เคียงกัน กราบขอประทานอภัยที่ต้องพูดถึงท่าน เพราะท่านเป็นผู้นำเสนอปัญหานี้ขึ้นมาเป็นคนแรกๆ ตั้งแต่ในงานเขียนเรื่อง “ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี” หลังจากมีประเด็นวาทะร้อนของอดีตนายกรัฐมนตรี “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 ในบทความชิ้นนั้น ท่านประธานฯ ได้กรุณาตั้งข้อสังเกตถึงการพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีที่มักจะจงใจใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” ห้วนๆ ไม่มีคำว่า “อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ต่อท้าย
       
       แต่การไม่ประนีประนอม ไม่สมานฉันท์ ของผม -- และอาจจะของท่านประธานด้วย – กราบขออภัยอีกครั้ง -- ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไปกระทำรุนแรงกับเขา ไปจำกัดสิทธิเสรีภาพเขา
       
       หากจะต้อง “ต่อสู้ทางความคิด”, “รณรงค์ทางปัญญา” อย่างเต็มกำลัง สติปัญญา
       
       ไม่ใช่ไม่เคลื่อนไหวอะไร ใครถามใครเสนอแนะก็พูดแต่คำว่า “สันติ” กับ “สมานฉันท์” !
       
       ผมทำในส่วนของผม ด้วยการอภิปรายในสภาฯแห่งนี้ เสนอความเห็นในคณะกรรมการชุดที่ท่านประธานฯมีคำสั่งแต่งตั้งขึ้น การจัดรายการโทรทัศน์ และการเขียนหนังสือ
       
       ....และ.....ด้วยการอภิปราย ณ นาทีนี้ต่อหน้า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
       
       ท่านประธานฯ กรุณาทำในส่วนของท่านประธาน อย่างน้อย 2 ประการ
       
       ประการหนึ่ง – ท่านประธานฯ ได้กรุณาจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ชื่อ “คณะกรรมการศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาสำคัญของชาติโดยมาตรการทางนิติบัญญัติ” มีท่านสมโภชน์ กาญจนาภรณ์ – ขออภัยที่เอ่ยนาม - เป็นประธาน ทำหน้าที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้โดยด่วน เพื่อหามาตรการทางกฎหมายต่างๆ ที่จำเป็น ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน บัดนี้เวลาผ่านไปแล้ว 30 วัน คณะกรรมการได้แต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษามาตรการพิทักษ์ รักษา ป้องกัน และคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์” ขึ้น 2 ชุด ชุดหนึ่งศึกษาหามาตรการทางกฎหมาย อีกชุดหนึ่งศึกษาหามาตรการทางสังคม
       
       อีกประการหนึ่ง – พรุ่งนี้วันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ตลอดทั้งวัน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะจัดสัมมนาทางวิชาการครั้งใหญ่เรื่อง “พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย” ที่หอประชุมสหประชาชาติ มีอดีตนายกรัฐมนตรีหลายท่านมาเป็นองค์ปาฐก อาทิ ท่านอานันท์ ปันยารชุน ท่านบรรหาร ศิลปอาชา ท่านชวน หลีกภัย มีนักวิชาการอาวุโสชั้นนำที่เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งมาร่วม อาทิ ท่านชัยอนันต์ สมุทวณิช ท่านวิษณุ เครืองาม ท่านบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ท่านธงทอง จันทรางศุ และมีการเชิญทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ มารับฟังด้วย
       
       แต่ผมยังไม่เห็นรัฐบาลทำในเรื่องนี้โดยตรง
       
       ท่านประธานฯ ครับ....
       ในช่วง 2 - 3 ปีมานี้มีการสร้างศัพท์ทางการเมืองแปลกๆ ใหม่ที่มีสีสันขึ้นมา อย่างเช่น “ระบอบทักษิณ” ซึ่งเมื่อคอการเมืองฟังแล้วก็จะรับรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร หรือที่รัฐบาลชุดนี้ได้รับการขนานนามว่า....
       
       “ขิงแก่”
       
       แรกทีเดียวนั้น ความหมายของคำคำนี้ต้องการบ่งบอกคุณลักษณะของ “ขิง” ที่ “ยิ่งแก่ – ยิ่งเผ็ด” เป็นศัพท์เชิงบวก ให้กำลังใจ
       
       เป็นศัพท์ที่ตั้งความหวังไว้ว่า “ขิงแก่” ควรจะรู้เท่าทันปัญหา และมีความสามารถแก้ปัญหา “วิกฤตที่สุดในโลก” นี้ได้
       
       แต่ 6 เดือนผ่านไป การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่!
       
       รัฐบาลชุดนี้กำลังจะทำให้เกิด “ภาษาวิบัติ” ทำให้คำว่า “ขิงแก่” เปลี่ยนความหมายไป
       
       ธรรมชาติของภาษา โดยเฉพาะภาษาไทยดิ้นได้ ไหลเลื่อนตลอดเวลา เวลามีน้อย จึงขออนุญาตไม่ยกตัวอย่างนะครับ
       
       เอาเป็นว่า ผมเกรงครับว่าคำที่มีความหมายดีๆ อย่าง “ขิงแก่” นั้น อาจจะเปลี่ยนความหมายไปในทางตรงข้าม กลายเป็นมีความหมายนัยประหวัดไปถึง...
       
       ความเอื่อยเฉื่อย ชักช้า ไม่ทันเกม ความน่าอึดอัด น่าเหนื่อยหน่าย
       
       มีความหมายเดียวกับคำว่า “เกียร์ว่าง” นั่นแหละ
       
       เดี๋ยวนี้ “เกียร์ว่าง” กลายเป็นคำแสลงทางการเมืองที่หมายความว่า ไม่ทำอะไร และยังหมายความว่าการตัดสินใจกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่กระทำในสิ่งที่ควรทำ แทนที่จะสะสาง กลับทำบางอย่างที่เอื้อต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ดีงามในอดีต
       
       ผมจึงมีความหวาดวิตกกังวลเป็นส่วนตัวว่า หากเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ คำว่า “ขิงแก่” อาจจะหมายรวมไปถึงความหมายทำนอง “เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤต” หรือ “รู้เห็นเป็นใจกันกับผู้ก่อวิกฤต” ก็เป็นได้ ไม่ว่าจะมีคำว่า “...โดยสุจริต” ต่อท้ายหรือไม่ก็ตาม
       
       อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยครับ
       
       ภาษาวิบัติไปบ้างไม่เท่าไหร่ – แต่ที่วิบัติไม่ได้ก็คือ “ชาติบ้านเมือง” !
       
       ประเด็นปัญหาที่เรากำลังเปิดสภาคุยกันวันนี้ ก็คือเรื่องนี้โดยตรง
       
       เวลาผ่านไป 7 เดือน เราเริ่มพบว่า วิธีการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลนี้ที่มีภารกิจเฉพาะเข้ามาดับวิกฤต ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมาที่มีส่วนก่อวิกฤตเลย
       
       ให้อภิปรายปัญหาของรัฐบาลนี้ต้องใช้เวลาเยอะ เวลาที่เจียดมาให้ ไม่เพียงพอแน่นอน ทั้งๆ ที่แต่เริ่ม...กระผมตั้งใจจะจองกฐินที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลองค์การมหาชนบางแห่ง และกรมประชาสัม พันธ์ แต่เมื่อต้องเลือกบริหารเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงต้องเลือกพูดถึง “ภาพรวม” ในประเด็น “ภัยต่อระบอบ” แต่ในประเด็นงานอื่นๆ ทั้งหมด กระผมขอสรุปสั้นๆ ให้ครบคลุมความดังต่อไปนี้...
       
       • วาจาพร่ำธรรมะ
       • ขยะไม่กวาด
       • เอากระดาษมาเขียนรูปเสือ
       • เรือเกลือเรียกพี่
       • กลวิธี 2 มาตรฐาน
       • ซ้ายจำแลงเบิกบาน
       • เอางานเอาการในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
       • การเมืองทำไม่เป็น
       • มองไม่เห็นวิสัยทัศน์
       • ปฏิรูปติดขัดตลอดแนว
       
       มาว่ากันไปที่ละข้อๆ โดยสรุป ผมเชื่อว่าที่เพื่อนสมาชิกจะอภิปรายกันตลอดวันนี้ สามารถนำมาบรรจุลงได้หมดในแต่ละหัวข้อ
       
       วาจาพร่ำธรรมะ – กรณีที่ “องคุลิมาล” ที่ท่านนายกฯยกตัวอย่างว่าในบางกรณี พระก็สมานฉันท์กับโจรได้, กรณี “พระโมคคัลลานะ” ที่ท่านยกตัวอย่างว่าเป็นสุดยอดของความอดทน, กรณี “พรหมวิหาร 4” ที่ท่านพูดบ่อยมาก จะเห็นว่าการแถลงข่าวระยะหลังมีการอ้างอิงหลักธรรมะ ผมเข้าใจเจตนาดีที่น่าสรรเสริญของท่านครับ แต่วาบหนึ่งของความคิด ผมหันไปนึกถึงอดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อนที่ “พล่ามธรรมะ” มากเหลือ เกินในระยะหลัง อ้าง “พรหมวิหาร 4” บ่อยเหมือนกัน แต่ไปไกลถึงขั้นเปรียบตัวเองเป็น “โพธิสัตว์” มาแล้ว
       
       ขยะไม่กวาด – ชัดเจนว่า รัฐบาลนี้ไม่แตะต้องการสะสางการทุจริตประ พฤติมิชอบของรัฐบาลยุคที่ผ่านมา โดยบอกว่าเป็นหน้าที่ของ คตส. แต่พอ คตส. มาขอให้ออกมติ ครม.เพื่อสนับสนุนการทำงาน ท่านก็ไม่ทำให้ ล่าสุด...ปัญหาว่าจะให้อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่แล้วเอาเงินออกนอกประเทศหรือไม่ ท่านก็บอกว่าเป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติ เรื่องที่ทำได้โดย ตรงในกระทรวง ท่านก็ไม่ทำ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในกรณีงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติที่เชียงใหม่ ที่มีการรุกที่ป่าสงวนเห็น ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็น่าผิด หวัง กรณี อพท. – องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่สภาฯชี้ช่องให้ ก็ยังไปไม่ถึงราก กลุ่มบุคคลเดิมยังคงมีอำนาจในทางปฏิบัติอยู่ ไม่ต้องพูดถึงสำนักนายกรัฐมนตรีในประเด็นที่ดูแล สบร. – สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ หรือ OKMD สตง.รายงานการทุจริตมาให้เห็นเป็นเล่มโต ๆ เล่มนี้....ก็ยังไม่เห็นฝ่ายการเมืองเดินหน้ารับลูก ผู้บริหารบางองค์กรยังกินเงินเดือน 3 แสน ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ลอยหน้าลอยตาหน้าตาเฉย
       
       กระดาษเขียนรูปเสือ – ภาพของนายทหาร “รบพิเศษ” หมวกเบเรต์แดง ที่ผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วน และรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ประกอบกับมีการประกาศนโยบายปราบปรามการทุจริต แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ขึงขังน่ากลัวเหมือนภาพที่เคยสร้างไว้ระยะแรก
       
       เรือเกลือเรียกพี่ – ตัดสินใจช้า ไม่กระฉับกระเฉง จนได้รับสมญาว่า “ฤาษีเลี้ยงเต่า”
       
       กลวิธี 2 มาตรฐาน – รัฐบาลแถลงอยู่ตลอดเวลาว่า ยึดหลักกฎหมาย ต้องยึดหลักการที่ถูกต้อง เช่น ไม่ให้มติ ครม.ให้ข้าราชการร่วมมือกับ คตส. แต่ให้ใช้วิธีการอื่นแทน เหมือนกับการกอดกฎหมายและหลักการ แต่ทว่า กลับตกม้าตายปล่อยให้มีการกระทำที่อาจจะผิดกฎหมาย หรือเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย เช่น กรณีไอทีวี, งานมหกรรมพืชสวนโลกฯ หรือแม้แต่ประกาศว่าจะเอาจริงเรื่องทุจริต แต่กลับปล่อยให้มีการทำโครงการที่อาจเอื้อต่อการทุจริต เช่น กรณีซื้อเครื่องบินการบินไทย กรณีต่อสัญญาดอนเมืองโทลล์เวย์ และการเปลี่ยนวิธีการเสนอเรื่องเข้าสู่ครม.ในลักษณะที่อาจขัดต่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอและพิจารณาเรื่องในคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2548 เป็นต้น
       
       ซ้ายจำแลงเบิกบาน – ปล่อยให้ซ้ายเก่า “คอมมิวนิสต์อารมณ์ค้าง” ที่จำแลงร่างมาอยู่กับทุนนิยมใหม่ “ทุนนิยมเหิมเกริม” เคลื่อนไหวได้โดยเสรีไม่มีขอบเขต จนถือได้ว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขถูกท้าทายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ....ล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกาขอให้ปลดประธานองคมนตรีก็ทำได้ ....ประกาศหลักการปก ครองใหม่ที่ขัดรัฐธรรมนูญอย่างเปิดเผยก็ทำกันแล้ว
       
       เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 ที่ผมอภิปรายแจกแจงปัญหา ณ ที่ประชุมแห่งนี้ ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้กรุณามานั่งรับฟัง และตอบด้วยวาจาที่ซาบซึ้ง แต่ก็เท่านั้น ยังไม่เห็นรูปธรรมในความพยา ยามแก้ปัญหา
       
       “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ของเรามีดี ชนิดที่โลกยกย่องและศึกษา ช่วยดับวิกฤตของประเทศมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คนไทยที่ตกอยู่ในมายาภาพของการโฆษณาชวนเชื่อ อาจจะถูกม่านบังตาไปชั่วครั้งชั่วคราว
       
       ต้องเร่งรณรงค์ทางปัญญาเพื่อเปิดม่านนั้นให้เขาครับ
       
       เอางานเอาการในเรื่องไม่เป็นเรื่อง – เรื่องที่ควรทำไม่ทำ ดันไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น หวยบนดิน, รถไฟฟ้า, ผลักดันมหาวิทยาลัยนอกระบบโดยไม่รอบคอบในบางมหาวิทยาลัยและไม่เร่งออกกฎหมายแม่บทก่อน ที่สำคัญ....เปลี่ยนวิธีการเสนอเรื่องเข้าสู่ครม.ของแต่ละกระทรวงทบวงกรมใหม่ให้เร็วทันใจขึ้น – ที่เรียกว่า Fast track – ที่เสียงต่อการขัดพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอและพิจารณาเรื่องในคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
       
       การเมืองทำไม่เป็น – ไม่เข้าใจว่า “งานการเมือง” นั้นเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงแพ้ศึกในสมรภูมิมาตั้งแต่ต้น กลายเป็นจุดอ่อนให้อำนาจเก่าฮึกเหิม โฆษกรัฐบาลสอบตกซ้ำซาก
       
       มองไม่เห็นวิสัยทัศน์ – เพราะไม่พบว่ามีกิจกรรมใดที่แสดงให้เห็นว่ามี เช่น กรณีปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกร้อนที่ต้องปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวข้อง, กรณีกฎหมายกึ่งๆ เขตเศรษฐกิจพิเศษ อย่างพระราชกฤษฎีกาองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อ.พ.ท.) ที่ให้อำนาจนักการเมืองขีดเส้นพื้นที่ไปจัดการทรัพยากรมูลค่าสูง แต่รัฐบาลกลับไม่แตะต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่มีมติครม.เมื่อวันที่ 15 กุมภา พันธ์ 2550 ส่งคืนร่างพ.ร.บ.ยกเลิกพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการมายัง สนช. โดยอ้างว่า เมื่อใดที่รัฐบาลประสงค์จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็จะต้องเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติต่อรัฐสภาเป็นคราวๆ ไปนั้น จะทำให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจขาดความเป็นเอกภาพและไม่เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน ก็หมายถึง รัฐบาลนี้ยังเชื่อและสนับสนุนแนวทางการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเช่นเดียวกับรัฐบาลที่แล้ว หรือล่าสุด... การส่งร่างพ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการของรัฐบาลชุดที่แล้วที่มีหลักการ “เอาเงินในอนาคตมาใช้” “เอาเงินของลูกหลานมาใช้” ทั้งๆ ที่ขัดหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่ตนเองประกาศปาวๆ เข้าสภาฯมา
       
       ปฏิรูปติดขัดตลอดแนว – ประเด็นนี้ผมคงไม่ต้องพูด เพราะเป็นกระดุมเม็ดท้ายๆ ของ “เสื้อกระดุมฉิ่ง” เสียแล้ว
       
       การสักแต่เร่งให้มีการเลือกตั้ง โดยไม่มีการปฏิรูปการเมือง ก็ไม่ต่างอะไรกับเร่งส่งมอบบ้านเมืองคืนกลับให้กับระบอบเก่า ไม่ว่าระบอบเก่านั้นจะมีคนชื่อทักษิณ ชินวัตรกลับมาอยู่ร่วมโดยตรง หรือใช้นอมินี หรือรอวันกลับมาในอีก 1 – 2 ปีข้างหน้า
       
       ท่านประธานฯ ที่เคารพ...
       
       ผมไม่ได้พิจารณารัฐบาลเก่าในเชิงตัวบุคคล แต่พิจารณาในเชิงระบอบ ภายใต้บริบทของการต่อสู้ระหว่าง 2 ระบอบ ผมเห็นว่าวันนี้ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งจากการตั้งขบวน “คว่ำ – ล้ม – โค่น” ของ “ระบอบประชา ธิปไตยของปวงประชามหาชน” ที่ประกาศหลักการให้ปวงชนชาวไทยใช้อำนาจอธิปไตยได้เอง
       
       ผมอยากให้รัฐบาลเห็นอย่างที่ผมเห็น
       
       ผมอยากให้รัฐบาลตระหนักในภยันตรายที่กำลังเยื้องกรายก้าวเข้ามาเป็นเงาทะมึนค้ำหัวพวกเราอยู่ขณะนี้
       
       แล้วเร่งกลับมาเป็น “ขิงแก่” ในความหมายเดิม...ความหมายเชิงบวก...
       
       เป็น “ขิงแก่” ที่ “ยิ่งแก่ – ยิ่งเผ็ด” รู้เท่าทันปัญหา และมีความสามารถแก้ปัญหา “วิกฤตที่สุดในโลก” ที่เกิดขึ้นกับ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ของแผ่นดินนี้
       
       แต่ถ้าท่านไม่สามารถจะกลับมาเป็น “ขิงแก่” ในความหมายเดิม....
       
       ผมก็ขอกราบเรียนท่านประธานฯ ผ่านไปยังรัฐบาลสั้นๆ ว่า....
       
       “กลับบ้านเถอะครับ”



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

...@ ถอดใจมาใส่บลอก ไม่น่าจะยากใช่มั๊ยคะ@....
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2007/05/24/entry-5
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2007, 19:55 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #1 เมื่อ: 24-05-2007, 13:31 »

สัญชาติญาณของหมาก็คือ พวกมันจะกัดกันเองเมื่อไม่มีศัตรูเหลือให้ต่อสู้แล้ว!!
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #2 เมื่อ: 24-05-2007, 13:47 »

สัญชาติญาณของหมาก็คือ พวกมันจะกัดกันเองเมื่อไม่มีศัตรูเหลือให้ต่อสู้แล้ว!!

คิดไปอีกทีมันก็ไม่จริงทั้งหมดนะจ๊ะนะ   ไอ้พวกหมารากหญ้าลิ่วล้อที่มาชุมนุมกันที่จตุจักร มันกัดกันเองเพื่อแย่งเงินบริจาค จนป่านนี้ไม่รู้กัดกันเสร็จหรือยัง 
บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 24-05-2007, 13:51 »

คณะรัฐมนตรี  ชุดนี้จะดีหรือไม่ดีอย่างไร  ไม่ลองวิเคราะห์ที่มาที่ไปก่อนหรือคะ

ว่า  คณะรัฐมนตรีชุดนี้มีที่มาอย่างไร  ไม่เข้าตากรรมการ  ถ้ากรรมการจะให้เค้าออก

มีตัวสำรองแล้วหรือ  แล้วถ้ามีตัวสำรองคิดว่าจะดีกว่าชุดนี้งั้นเหรอ

หรือสักแต่ว่า  ได้พูดได้ไล่ก็สะใจแล้ว

-----------------------------------------------------------------------------------------

นายกฯเร่ง6ยุทธศาสตร์หลัก เดินหน้าช่วง6เดือนที่เหลือ
 
24 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 13:14:00
 
พล.อ.สุรยุทธ์ แถลงผลงานรัฐบาล กำหนด 6 เรื่องหลักเร่งเดินเครื่องในช่วงที่เหลืออีก 6 เดือน จะใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในงบปี51 ครั้งแรก ยันสิ่งที่รัฐบาลทำส่งผลดีระยะยาว

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี รัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่าในระยะต่อไปของรัฐบาลนั้น รัฐบาลมีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณ 6 เดือน รัฐบาลจำเป็นต้องกำหนดจุดเน้นของการดำเนินการ เพื่อวางรากฐานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้สามารถดำเนินการลุล่วงไปได้ในช่วงรัฐบาลนี้ โดยมี 6 เรื่องด้วยกัน ที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการในช่วงเวลาที่เหลืออยู่

เรื่องที่หนึ่ง สนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญและสนับสนุนการจัดการเลือกตั้ง การดำเนินการในระยะ 6 เดือนข้างหน้า รัฐบาลจะเร่งดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับถาวร

เรื่องที่สอง ส่งเสริมความสมานฉันท์ในสังคม รัฐบาลจะพยายามสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องและเต็มความสามารถ โดยอาศัยกระบวนการสมานฉันท์ต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาระบบการศึกษา โดยการจัดตั้ง "วิทยาลัยอิหม่าม" ขึ้นในจังหวัดยะลา โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงวัฒนธรรม การจัดตั้ง "วิทยาลัยอิสลามศึกษานานาชาติ" ขึ้นภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ของกระทรวงศึกษาธิการ และการยกฐานะ "วิทยาลัยอิสลามยะลา" เป็น "มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา" ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของเอกชน รวมทั้งโครงการ "สานใจไทยสู่ใจใต้" และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ "เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้" เป็นต้น

เรื่องที่สาม ผูกมิตรและสร้างความสัมพันธ์บนผลประโยชน์ร่วมกัน

ด้านการต่างประเทศ รัฐบาลจะเร่งสานต่อความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีผลประโยชน์เกื้อกูลกัน เสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และลดปัญหาข้ามแดนต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ แรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย

เรื่องที่สี่ ส่งเสริมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจะดำเนินการต่อเนื่องในการส่งเสริมยุทธศาสตร์ความอยู่ดีมีสุขทั้งระดับประเทศและระดับจังหวัด

แนวทางการทำงานในช่วงระยะเวลาที่เหลือประมาณ 6 เดือน รัฐบาลจะเร่งดำเนินการปฏิรูปการศึกษา เพื่อวางรากฐานการพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีคุณภาพ

เรื่องที่ห้า ผลักดันระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพบนฐานความรู้และนวัตกรรม รัฐบาลจะเร่งการดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับและขยายผล แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา และ แผนแม่บทการสร้างเสริมประสิทธิภาพแห่งชาติ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยในภาคอุตสาหกรรมจะมีผู้ประกอบการใน 13 สาขาอุตสาหกรรม เข้าร่วมจำนวนมากกว่า 4,500 โรงงาน ในวงเงินงบประมาณ 1,100 ล้านบาท อันจะนำไปสู่การที่ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตัวเองในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระยะยาว

นอกจากนี้ รัฐบาลจะได้เร่งรัดการดำเนินการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวต่อไป

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล รัฐบาลยังคงมีความจำเป็นต้องจัดเตรียมร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 โดยหลักการและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณประจำปี 2551 จะเป็นครั้งแรกที่การจัดทำงบประมาณได้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้

โดยส่วนราชการที่ขอตั้งงบประมาณจะต้องยึดหลักของความคุ้มค่า ความเหมาะสม และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2550 เห็นชอบการกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณการ พ.ศ. 2551 จำนวน 1.635 ล้านล้านบาท รายได้ 1.515 ล้านล้านบาท ขาดดุล 120,000 ล้านบาท

รัฐบาลชุดปัจจุบันตระหนักดีว่าในช่วงเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด สิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการแล้ว และที่กำลังจะดำเนินการต่อไปหลายเรื่อง ได้ส่งผลดีในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า สามารถที่จะบรรเทาความทุกข์ร้อนของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันการดำเนินงานในอีกหลายเรื่องของรัฐบาลเป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคตและยังไม่อาจจะส่งผลให้เป็นที่ประจักษ์ได้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขและการปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการบนฐานของการใช้ความรู้ และนวัตกรรม
 
 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2007, 13:52 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #4 เมื่อ: 24-05-2007, 14:03 »

คิดไปอีกทีมันก็ไม่จริงทั้งหมดนะจ๊ะนะ   ไอ้พวกหมารากหญ้าลิ่วล้อที่มาชุมนุมกันที่จตุจักร มันกัดกันเองเพื่อแย่งเงินบริจาค จนป่านนี้ไม่รู้กัดกันเสร็จหรือยัง 


คุณพรรณชมพูคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "คนใดเห็นคนอื่นเป็นหมา........"  ตามนั้นครับ!
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #5 เมื่อ: 24-05-2007, 14:07 »

อ้างถึง
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล รัฐบาลยังคงมีความจำเป็นต้องจัดเตรียมร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 โดยหลักการและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณประจำปี 2551 จะเป็นครั้งแรกที่การจัดทำงบประมาณได้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้

ด้วยคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" นี่แหละค่ะ จึงเป็นเป้าหมายของการขับไล่จากกลุ่มทุนสามานย์ ที่เล็งห็นแล้วว่า จะไม่สามารถขูดรีดเลือดเน้อพี่น้องประชาชนได้อีกต่อไป

แนวโน้มการครองอำนาจโดยกลุ่มที่เชื่อในแนวเศรษฐกิจพอเพียง กำลังเป็นไปได้สูง การเตะตัดขาแล้วกระทืบระบบนี้ใหจมธณีไป จึงดำเนินการไปอย่างเข้มข้น เป้าหมายแรกที่จะตองทำใหได้ก่อนอื่น คือไล่นายกรัมนตรีสุรยุทธ ตัวแทนของเศรษกิจพอเพียง

เมื่อไล่ได้แล้ว ก็ถึงเวลาอัดฉีดระบบเศรษฐกิจ กู้เงินนอก ขายชาติ เพื่อให้มีเม็ดเงินมาหมุนเวียนในระบบทุน และจะได้ไหลย้อนกลับไปเข้ากระเป๋ากลุ่มทุนสามานย์ ที่กำลังโหยหิวกำไรจนน้ำลายยืด

ปัญหาของแฟลตดินแดง คือภาพสะท้อนปัญหาของประเทศไทย  ระบบทุนที่เสื่อมโทรมหมือนความเสื่อมโทรมของแฟลต กำลังเรียกร้องให้ปะผุซ่อมแซมตึกที่หมดสภาพ เพื่อให้อยู่ต่อไปได้อกสักหน่อย รอวันเวลาที่แผ่นดินจะไหว แล้วตึกก็จะถล่มพังราบลงมา การซ่อมแซมนั้นไม่คุ้มเท่าการรื้อแล้วสร้างใหม่ แต่การซ่อมแซมปะผุนั้น ทำให้อัตตาที่ยึดมั่นถือมั่น ยังคงดำรงอยูในสังขารที่เน่าเหม็น รอวันผุผัง และถล่มลงมาพาเอาสังขารที่ยังดีๆอยู่ ตายไปพร้อมๆกันด้วย

พลเอกสุรยุทธ กลับบ้านเถิดค่ะ  ในยุคที่จตุคามครองเมือง พุทธก็ต้องถอย และอาจเสื่อมโทรมไปจนสิ้นศาสนาไปจากสุวรรณภูมิ ก่อนกำหนดสิ้นพระศาสนาห้าพันปี ยุคนี้ ความถูกต้องใช้ไม่ได้เท่าความถูกใจ ท่านนายกไม่อาจเสนอให้ประชาชน มุ่งไปพระนิพพานได้ด้วยยานลำเล็กๆ เฉพาะตน อย่างที่ท่านราบหนทางแล้ว ผู้คนยุคนี้ เขาตองการยานลำใหญ่ๆ ที่จ่ายค่าเดินทางได้ด้วยเงิน ไปนิพพานได้ด้วยตั๋วชั้นหนึง

เศรษฐกิจพอเพียง คือการนำพาประเทศให้รอดไปได้ด้วยกำลังของแต่ละบุคคล ที่จะรวมกันได้ด้วยความสามัคคี แต่ระบบทุนสามานย์นั้น เขาพาประเทศไปล่มได้ด้วยความโลภ ที่ฉาบไว้ด้วยภาพอันสวยหรู ตัวเลขเศรษฐกิจอันงดงาม สองเส้นทางนี้ไม่อาจบรรจบกันได้

กลับบ้านเถิดค่ะ พลเอกสุรยุทธ หนูรู้ทางไปบ้านท่านแล้วล่ะค่ะ กำลังเดินไปตามเส้นทางนั้นอยู่ด้วยคนหนึ่ง  
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #6 เมื่อ: 24-05-2007, 14:09 »


คุณพรรณชมพูคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "คนใดเห็นคนอื่นเป็นหมา........"  ตามนั้นครับ!

อ้าว จ๊ะ อย่าด่าตัวเองอย่างนั้น ถึงเป็นอย่างน้นก็อย่าด่าตัวเอง คนอื่นเขาด่าไว้เยอะแร้ววว 
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #7 เมื่อ: 24-05-2007, 14:14 »

'จ๊ะ' ถนัดแต่การใช้ปัญญาในการมองปัญหา/ประเด็นเท่านั้น ซึ่งจะต่างจากบางท่านที่ใช้สัญชาติญาณอย่างเดียวในการดำรงชีวิตจวบจนกระทั่งบัดนี้!
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #8 เมื่อ: 24-05-2007, 14:16 »

'จ๊ะ' ถนัดแต่การใช้ปัญญาในการมองปัญหา/ประเด็นเท่านั้น ซึ่งจะต่างจากบางท่านที่ใช้สัญชาติญาณอย่างเดียวในการดำรงชีวิตจวบจนกระทั่งบัดนี้!

ถ้าคนอย่างจ๊ะ เรียกได้ว่ามีปัญญา  แผ่นดินไทยนี้ก็หาคนไร้ปัญญาไม่ได้แล้ว 
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #9 เมื่อ: 24-05-2007, 14:20 »

ถ้าคนอย่างจ๊ะ เรียกได้ว่ามีปัญญา  แผ่นดินไทยนี้ก็หาคนไร้ปัญญาไม่ได้แล้ว 


คำพระท่านสอนเสมอครับว่า "อย่าไปใส่ใจกับไพร่ทางปัญญา เพราะนอกจากจะเสียเวลาแล้วยังไม่ก่อประโยชนใดๆอีกด้วย"


'จ๊ะ' เชื่อในคำสอนดังกล่าวครับ
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #10 เมื่อ: 24-05-2007, 14:23 »


คำพระท่านสอนเสมอครับว่า "อย่าไปใส่ใจกับไพร่ทางปัญญา เพราะนอกจากจะเสียเวลาแล้วยังไม่ก่อประโยชนใดๆอีกด้วย"

'จ๊ะ' เชื่อในคำสอนดังกล่าวครับ



คำพูดของจ๊ะคมคายจริงๆ จ๊ะคงได้เก็บไว้ใช้ในวันที่รู้ตัวว่า เป็นไพร่ทางปัญญาของทรราช ถึงวันนั้น ก็เอาน้ำตาเช็ดเขาตัวเองนะจ๊ะ 
บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 24-05-2007, 14:29 »

 

  ไพร่ทางปัญญา  คงจะแปลว่า  เห็นอะไรในมุมมองทางสว่าง
ไม่มืดมนต์  ไม่จมปลักกับราคะจริตแบบงมงาย  อย่างงี้ใช่มั๊ยคะ
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 24-05-2007, 14:35 »

ขออนุญาตนำข้อคิดเห็นแย้งที่น่าสนใจมาเสนอครับ จากเวบผู้จัดการออนไลท์

--------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 28  
 
 ด้วยความเคารพจริงๆคะ

แต่ด้วยระบบประชาธิปไตย ก็ขอเสนอมีความเห้นตรงข้ามนะคะ

นู๋ชอบคำนี้คะ

"ต้องมองป่าทั้งป่า"

เป็นป่าทั้งป่าที่แยกแยะเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมด้วยคะ

นี่จริงแล้วนู๋ชื่นชมผลงานของ"คุณอาคำนูณ" โดยเฉพาะหนังสือเล่มล่าสุด ...

แต่เท่าที่คุณอา..พูดวันนี้นู่จับได้ 2ประเด็นคะ

... 1 . ประเด็นสังคมในอุดมคติ ...แบบไหนนะหรือคะ...แบบที่ต้องการ..เห็นอย่างนั้น และอย่างนี้....

แต่ด้วยข้ำจำกัดเวลา และสถานภาพรัฐบาล....มันไม่สามารถตอบสนองได้ทุกอย่างทุกข้อ..ทุกส่วนจริงไหมคะ

นี่คือตรรกะ คะ

ประการที่ 2 ...เรื่องสถาบัน..นู๋ว่าตั้งแต่กลางปี 2548 ถึง กลางปี 2550 เราพูดกันมากจนลืมละเลยบางอย่าง...

บางอย่างที่ว่า..ขีดข้ำจำกัดความ "ภักดี"..ไว้เฉพาะคนบางกลุ่ม...

คนที่อื่นที่เห็นต่าง -เห้นแย้ง -เห็นสวนทาง..จะถูกเหมาเข่ง...เป้นอีกพวก....

.........

ประเด็นใหญ่มอง"แบบป่าทั้งป่า" ที่คุณอาคำนูณ กล่าวอ้างถึง...

แต่จับเอากระพี้...มากกกว่าแก่นแกน....จะนำเสนอ..มองด้วยสายตาแบบฉายฉวย...

แล้วจะ"เห็นป่าทั้งป่า"ได้อย่างไร

ป่าทั้งป่าคือประเทศไทย คนไทย เป็นทุกส่วนใน"องคาพยพ"

เป็นองคาพยพที่มุ่งไปข้างหน้ามากกว่าจะมองถึงการกว่ดล้อง..

มองถึงอนาคต..ของไทย..ถึงจุดยืนของประเทศต่อไป..

มิใช่..ยึดโยงจุดเกิด..แล้วนำมาอธิบายมิรู้จักจบสิ้น

จริงหรือไม่คะ

บ๊ายบาย..

นู๋พริ้งฯ

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000059706&#Comment  บทความเดียวกันเลย
-----------------------------------------


สำหรับตัวผมเอง เท่าที่อ่านรวมๆ สรุปก็คือเค้าต้องการด่ารัฐบาลที่ไม่กระตือรือร้น ในการตรวจสอบเอาผิดกับรัฐบาลที่แล้ว

เรื่องประชาธิปไตย กับเรื่องเศรฐษกิจ เป็นเรื่อง จิ๊บๆ  ที่ยกมาอ้างเพื่อให้ดูว่ารัฐบาลนี้แย่ขึ้นเท่านั้น  หาเหตุให้นายกฯ ลาออก

แต่อ่านๆดูก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรเลย  คือตัวเองก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน  แต่กลับไปบอกว่ารัฐบาลไม่ทำอะไร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2007, 14:39 โดย meriwa » บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
justy
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,250



« ตอบ #13 เมื่อ: 24-05-2007, 14:51 »

สัญชาติญาณของหมาก็คือ พวกมันจะกัดกันเองเมื่อไม่มีศัตรูเหลือให้ต่อสู้แล้ว!!

หมาจ่าฝูงเข้ามาก็เพื่อ 4 ประการ บอกกับประชาชนอย่างนั้น (ต้องให้ย้ำไหมค่ะจ๊ะ) แต่เมื่อเข้ามาแล้วไม่ทำ ก็กลับไปบ้านซ๊ะ
ก็เหมือนจ๊ะ เหมือนนพดล เหมือนอะไรที่เขาเรียกว่าลิ่วล้อน่ะค่ะ รับเงินเข้ามาแล้ว แต่ไม่ยอมทำ ทักษิณ ไม่เอาพวกคุณอยู่แล้ว (รายของทักษิณโดนเก็บน่ะจ๊ะ)

หมาจ่าฝูงกินเงินเดือนของประชาชน แต่มานั่งสมานฉันฑ์กับโจรปล้นแผ่นดิน ท่องอยู่ได้ ต้องสมานฉันฑ์ ต้องมีการเลือกตั้ง
ถูกใจจ๊ะมากเน๊าะ ...จ่าฝูงปล่อยให้หมาบ้าเทียวไปเทียวมา ทั้งๆที่หมาตัวนี้เป็นหมาบ้าที่โครตโกง ทำลายชาติ


"กลับบ้านเถอะครับ" เป็นคำที่สุภาพที่สุดแล้วค่ะ หวังว่าหลังจบการอภิปรายในครั้งนี้แล้ว รบ.คงจะมีผลงานมากขึ้น!! 

ไม่ต้องหนาวหรอกจ๊ะ .. แค่ภาวนาน่ะ

บันทึกการเข้า

พรรคไทยรักไทยมิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่า กฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อ
หน้า: [1]
    กระโดดไป: