ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 18:11
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  คำวินิจฉัย"ยุบพรรค" จากอดีตถึง30พฤษภาคม"50 "ธง"ชัด "คนผิด พรรคผิด" 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
คำวินิจฉัย"ยุบพรรค" จากอดีตถึง30พฤษภาคม"50 "ธง"ชัด "คนผิด พรรคผิด"  (อ่าน 1682 ครั้ง)
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« เมื่อ: 14-05-2007, 10:59 »

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0104140550&sectionid=0101

อ้างถึง
ระหว่างปี 2541-2547 นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้มีคำวินิจฉัยสั่งให้ยุบพรรคการเมืองเล็กๆ ไม่ต่ำกว่า 20 พรรค

ส่วนใหญ่เกิดจากพรรคการเมืองไม่สามารถหาสมาชิกตั้งแต่ 5,000 คนขึ้นไป และไม่จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองภายในเวลา 180 วัน นับตั้งแต่นายทะเบียนรับจดแจ้งพรรค ตามประกาศที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541

ในจำนวนนี้มีบางคำร้องเกิดจากปัญหาภายในพรรค จนทำให้เกิดสภาพที่ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

คำร้องประเภทหลัง ปรากฏคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมือง 4 พรรค

ข้อน่าสนใจคือ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้แยกความผิดของคณะกรรมการบริหารพรรค และผู้บริหารพรรค เป็นคนละส่วนกับพรรค

กล่าวโดยสรุปคือ คนผิด พรรคก็ผิด ศาลไม่มียกเว้น ได้แก่

1.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 43/2545 วันที่ 23 กรกฎาคม 2545 นายทะเบียนขอให้สั่งยุบ "พรรคพัฒนาไทย"

ประเด็นน่าสนใจในคำวินิจฉัยกลาง

นายทะเบียนขอให้ยุบพรรค เนื่องจากหัวหน้าพรรคจัดเพิกเฉยไม่นำพาต่อการจัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

นายสุวรรณ ไหมศรีกลด หัวหน้าพรรคชี้แจงศาลว่า กรณีผู้เข้าร่วมประชุมใหญ่สาขาพรรคมีชื่อ-สกุล แตกต่างกันแต่ลายมือชื่อไม่แตกต่างกัน พรรคได้มอบหมายให้เลขาธิการพรรคเป็นผู้ตรวจสอบ ส่วนลายมือชื่อจะแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร พรรคไม่สามารถรู้ได้ และในส่วนของการรายงานอื่น เกิดจากการพิมพ์บกพร่อง ไม่มีเจตนาปิดบังให้เกิดความเสียหาย และไม่ใช่สาระสำคัญ ควรอนุโลมให้แก้ไขได้

ตุลาการทั้งหมด 15 คน เห็นเป็นเอกฉันท์ว่า "การที่พรรคพัฒนาชาติไทยอ้างความบกพร่อง ผิดพลาด พลั้งเผลอ ไม่มีเจตนา และการไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของรายละเอียดต่างๆ ตามที่สำนักงาน กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองให้ชี้แจงว่า เป็นความบกพร่องผิดพลาดที่น่าจะอนุโลมให้แก้ไขได้นั้น เป็นการชี้แจงและกล่าวอ้างที่ไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้ นอกจากนี้ การที่พรรคพัฒนาชาติไทยไม่มีสาขาพรรคอย่างน้อยภาคละหนึ่งสาขา ถือได้ว่าไม่ดำเนินการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง กรณีจึงมีเหตุให้ยุบพรรคได้"

2.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 51/2546 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2546 นายทะเบียนขอให้สั่งยุบ "พรรคเกษตรกร"

ประเด็นที่น่าสนใจในคำวินิจฉัยกลาง

สาขาพรรคเกษตรกร 12 สาขา จากทั้งหมด 42 สาขา ไม่ได้รับเงินสนับสนุนค่าไปรษณียากรและค่าสาธารณูปโภคมาหลายงวด และยังมีอีกหลายสาขาได้รับเงินน้อยกว่าจำนวนที่ระบุไว้ในใบสำคัญรับเงิน ประการต่อมานายทะเบียนตรวจพบการปลอมใบสำคัญรับเงินของกรรมการสาขาพรรคที่ให้การว่าลายมือชื่อที่ลงในใบสำคัญการรับเงิน ไม่ใช่ลายมือของตน จึงเห็นว่าพรรคเกษตรกรใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง รายงานการใช้จ่ายเงินไม่ตรงกับความเป็นจริง เสนอให้ศาลสั่งยุบพรรค

ในขณะที่ นายบุญอิทธิพล ชิณราช เลขาธิการพรรคเกษตรกร เบิกความอ้างว่า ผู้ถูกร้องนำเงินส่งแล้วครบถ้วน อีกทั้งเห็นว่าเป็นเรื่องความผิดพลาดทางบัญชีลงรายรับ-จ่ายไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ได้มีเจตนาทุจริต

ตุลาการเสียงข้างมาก 12 คน ฟังคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ร้องแล้วฟังได้ว่าผู้ถูกร้องไม่ใช้จ่ายเงินที่ได้รับสนับสนุนจากกองทุน เพื่อการพัฒนาพรรคให้เป็นไปตามกฎหมาย และจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินไม่ถูกต้อง เห็นควรยุบพรรค

ส่วนนายมานิต วิทยาเต็ม ตุลาการเสียงข้างน้อยเห็นว่า "หากมีการใช้เงินไม่ถูกต้องก็ควรงดการสนับสนุนและเรียกเงินคืน พร้อมทั้งดำเนินคดีแพ่งและอาญาตามลักษณะและพฤติการณ์ของการกระทำผิด การที่ให้ยุบพรรคเพราะเหตุดังกล่าวเป็นการบังคับเกินกว่าเหตุ ทำให้เกิดความเสียหายและเดือดร้อนแก่ผู้บริหารพรรคและสมาชิกพรรคที่ไม่เกี่ยวข้อง"

3.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 42/2547 วันที่ 13 พฤษภาคม 2547 นายทะเบียนขอให้สั่งยุบ "พรรคไทยประชาธิปไตย"

ประเด็นที่น่าสนใจในคำวินิจฉัยกลาง

นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้เงินที่พรรคได้รับจากกองทุนแล้วเห็นว่า พรรคใช้จ่ายเงินสนับสนุนไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 62 ดังนี้ 1.โอนเงินให้สาขาพรรคภายหลังที่มีการร้องเรียน 2.พรรคโอนเงินให้สาขาพรรคไม่ครบตามจำนวนที่ได้รับ 3.ไม่มีหลักฐานการโอนเงินที่ได้รับจากกองทุนให้สาขา 4.ใช้หลักฐานซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอื่น เป็นหลักฐานค่าสาธารณูปโภคของสาขาพรรค 5.เลขที่เช็คไม่ตรงกับงบการเงินพรรค

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 12 คน เห็นว่า นายโสรัจจ์ ดาศรี หัวหน้าพรรค ผู้ถูกร้องใช้จ่ายเงินสนับสนุนหรือจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงตามมาตรา 62 จึงให้ยุบพรรค

ขณะที่นายมานิต วิทยาเติม ตุลาการเสียงข้างน้อยเห็นแตกต่างกันไปว่า

"เป็นการกระทำผิดของตัวบุคคล ขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระงับการให้เงินสนับสนุนและเรียกเงินคืนแล้วดำเนินคดีตามลักษณะของการกระทำความผิดต่อไป ไม่ต้องถึงขั้นยุบหรือเลิกพรรคการเมือง"

4.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 49/2547 วันที่ 29 กรกฎาคม 2547 นายทะเบียนขอให้สั่งยุบ "พรรคเกษตรก้าวหน้า"

ประเด็นน่าสนใจในคำวินิจฉัยกลาง

นางนุจรินทร์ โคตรธรรม หัวหน้าพรรคแก้ข้อกล่าวหาสรุปว่า ตนเองถูก นายประดิษฐ์ โคตรธรรม ผู้อำนวยการพรรคซึ่งเป็นสามี เชิดให้รับรู้เกี่ยวกับการจ้างและการรับเงินเดือนของรองผู้อำนวยการพรรค และคนอื่นๆ โดยไม่สุจริตและไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยนางนุจรินทร์ระบุว่า ตัวเองไม่รู้ไม่เห็น และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เป็นการกระทำของสามี

ตุลาการเสียงข้างมาก 13 คน เห็นควรให้ยุบพรรคได้ตามคำร้องของนายทะเบียน และระบุในคำวินิจฉัยด้วยว่า "ส่วนกรณีที่ผู้ถูกร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดทางอาญา และการสืบหาทรัพย์สินหนี้สิน ของผู้ถูกร้องนั้น ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย"

ในขณะที่นายมานิต วิทยาเต็ม ตุลาการเสียงข้างน้อยเห็นว่า "หากพรรคไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงิน หรือทำรายงานไม่ถูกต้องยื่นต่อ กกต.ก็ชอบที่ กกต.จะระงับการให้เงินสนับสนุนและเรียกเงินคืนแล้วดำเนินคดีตามลักษณะของการกระทำความผิดต่อไป ไม่ต้องถึงขั้นยุบหรือเลิกพรรคการเมือง"

จากคำวินิจฉัยทั้ง 4 คดีข้างต้นมีสาระบ่งชี้ให้เห็น แนวทางที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากได้วินิจฉัยสอดคล้องต้องกัน และเป็นไปในแนวเดียวกัน

โดยเฉพาะตุลาการเสียงข้างมากไม่ให้น้ำหนักกับคำให้การของพยานบุคคลและพยานเอกสารของฝ่ายผู้ถูกร้อง ซึ่งอ้างว่าไม่ได้เจตนา แต่เป็นการประมาท เลินเล่อ หรือเป็นความผิดส่วนบุคคล แต่ฟังได้ว่า พรรคต้องร่วมรับผิดชอบในการกระทำผิดของผู้บริหารพรรคด้วย ในขณะที่ตุลาการเสียงข้างน้อยเห็นควรยกคำร้อง เนื่องจากความผิดส่วนบุคคลไม่ควรต้องให้กระทบต่อส่วนรวม

เมื่อนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีต่อพรรคการเมือง 4 พรรค ในอดีต มาเทียบกับคดีที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดียุบพรรคทั้ง 5 ในวันพุธที่ 30 พฤษภาคม ประกอบด้วย พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า 2.พรรคไทยรักไทย 3.พรรคแผ่นดินไทย 4.พรรคพัฒนาชาติไทย 5.พรรคประชาธิปัตย์

สิ่งที่เหมือนกันคือ ผู้มาแก้ต่างต่อศาลในคดีต่างอ้างเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรคบางคน หรือเจ้าหน้าที่บางคน พรรคไม่เกี่ยวข้อง หรือรู้เห็น

สิ่งที่ต่างกันคือ พฤติการณ์แห่งการกระทำผิดตามข้อกล่าวหา กรณียุบ 4 พรรคระหว่างปี 2545-47 มาจากปัญหาการจัดทำบัญชีรายรับ-จ่ายไม่ถูกต้อง และไม่รายงานบัญชีรายรับ-จ่ายต่อนายทะเบียนตามเวลาที่กำหนด อันเป็นความผิดตามมาตรา 62 และมาตรา 65(5) พ.ร.บ.พรรคการเมือง แต่กรณี 5 พรรคมาจากความผิดตามมาตรา 66 (1) (2) (3)

ถึงแม้เป็นความผิดคนละมาตรากับข้อเสนอของคณะทำงานอัยการให้ยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคประชาธิปัตย์ และอีก 3 พรรคเล็ก ไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐาน หรือธงในการวินิจฉัยคดีได้

ทว่าคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรค 4 คดี ได้ระบุถึงแนวทางในการให้น้ำหนักต่อคำให้การของผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง พยานหลักฐาน ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคลกับพรรคต้นสังกัดไว้เป็นแนวทางที่สอดคล้องต้องกันทุกคดี

ขนาดอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดยุบ 4 พรรค ในอดีตอย่างนายชัยอนันต์ สมุทวณิช ยังเชื่อเลยว่าตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันน่าจะวินิจฉัยไม่หนีไปจาก "ธง" คำพิพากษาในอดีต

นั่นคือวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองทั้ง 5 ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550

เริ่มนับถอยหลังแล้วนะคะ ตอนนี้คาดการกันว่า คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการ น่าจะเสร็จหมดแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นอดีต ที่มีคำวินิจฉัยกลางออกมาแล้ว แต่คำวินิจฉัยส่วนตนยังไม่ได้จัดทำ

ดังนั้น ผลสรุปจริงๆน่าจะออกมาแล้ว และน่าจะรั่วไหลออกมาให้รู้บ้างแล้ว จึงจะเห็นอาการของพรรคการเมืองบางพรรค ที่เร่งก่อความวุ่นวาย และกำลังเตรียมสรรพกำลัง เพื่อก่อจลาจลให้ได้ เพราะหากคำตัดสินออกมาแล้ว ไม่ทำอะไรเลยโดยเร็ว ก็หมดหนทางสู้ จะไปฮีดเอาอีกสองสามเดือนข้างหน้า มันก็ใกล้เลือกตั้ง คนไม่สนใจแล้ว และพรรคก็แตกไปเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ระยะสิบกว่าวันเกือบยี่สิบวันที่เหลือ  เหตุการประท้วง การก่อม็อบ และเหตุการณ์ทางภาคใต้จะรุนแรงยิ่งขึ้น  เพราะเป็นความพยายามในการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย อะไรก็ได้ เพื่อความหวัง


ขอเตือนนะคะ เปิดเทอม ระวังเสียงดังปังใหญ่ จะมาขู่ขวัญคนกรุงเทพอีกครั้ง ดูแลลูกหลานด้วยค่ะ
บันทึกการเข้า
ล้างโคตรทักษิณ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 903



« ตอบ #1 เมื่อ: 14-05-2007, 15:07 »

มันจะไม่แค่ปังใหญ่น่ะสิ

แต่พรรคที่เลี้ยงกระบือ 2 ขา 14 ล้านตัว  มันจะขนขี้ข้ามาก่อจลาจลกลางเมือง
บันทึกการเข้า
Nai_puan
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 231


« ตอบ #2 เมื่อ: 14-05-2007, 15:25 »

ยังไงๆ ก็ต้องหาทางยุบพรรคไทยรักไทย ให้ได้นะครับ

ไม่งั้นระบอบทักษิณ จะกลับมายิ่งใหญ่ อย่างแน่นอน

ดูผลการเลือกตั้งเทศบาล ที่นครศรีธรรมราช เมื่อวานสิครับ

คนนครฯ เลือกเครือข่ายไทยรักไทย อย่างล้นหลาม

ชนะเครือข่ายประชาธิปัตย์แบบขาดลอย

กวาดมาได้เกือบครบทุกที่นั่ง


http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=258443&lang=T


"สมนึก เกตุชาติ" ชนะขาดลอยนั่งนายกเล็กเมืองคอนสมัย 5 

13:35 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ถึงผลการนับคะแนนการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ที่หอประชุมโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช 2 อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. ของวันนี้ (14 พ.ค.) ผลนับคะแนนการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีฯ อย่างไม่เป็นทางการ ปรากฏว่า นายสมนึก เกตุชาติ อดีตนายกเทศมนตรี 4 สมัย มีคะแนนเป็นอันดับ 1 ได้ 18,652 คะแนน ตามมาด้วยอันดับ 2 นายเชาว์วัศ เสนพงศ์ พี่ชายนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีฯ เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 10,764 คะแนน และอันดับ 3 นางฮูวัยดิยะ พิศสุวรรณ น้องสาวนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และอดีต ส.ส. นครศรีฯ เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 5,388 คะแนน


ส่วนผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) ซึ่งมีทั้งหมด 4 เขต ๆ ละ 6 คน ผลปรากฏว่า ทีมนายสมนึก กวาดที่นั่งยกทีมในเขตที่ 1 เขต 2 และเขต 4 สำหรับเขต 3 ทีมนายสมนึก ได้ไป 5 ที่นั่ง พลาดไป 1 ที่นั่ง ให้กับผู้สมัครอิสระ ส่วนทีมผู้สมัครของนายเชาว์วัศ และนางฮูวัยดีย๊ะ ไม่ได้รับการเลือกตั้งดังกล่าวแม้แต่คนเดียว


สำหรับการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีฯ ครั้งนี้ มีผู้มาใช้สิทธิทั้งสิ้น 38,390 คน จากผู้มีสิทธิทั้งหมด 68,394 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 56.13 มีบัตรเสีย 2,645 ใบ หรือร้อยละ 6.89 และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 1,034 ใบ หรือร้อยละ 2.69 ส่วนการเลือกตั้ง ส.ท. มีผู้มาใช้สิทธิ 38,268 คน จากผู้มีสิทธิ 67,987 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 56.29 มีบัตรเสีย 2,389 ใบ หรือร้อยละ 6.24 และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 1,641 ใบ คิดเป็นร้อยละ 4.29
 
บันทึกการเข้า
สี่หามสามแห่
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,460



« ตอบ #3 เมื่อ: 14-05-2007, 16:25 »

^
^
55+

แดงว่า ยังไม่เข้าใจ ระบบความคิดด้านการเมืองของคนใต้ เล้ย

อยู่ภาคไหน เนี่ย

บื้อจริงๆ
บันทึกการเข้า
นู๋เจ๋ง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,877



« ตอบ #4 เมื่อ: 14-05-2007, 18:03 »

 

หวั่น ใจ เหลือเกิน ประเทศไทยจะต้องมีนองเลือดอีก


หวั่น นะ หวั่น ..หวั่นส่วนตัว ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 ...ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย

บันทึกการเข้า

~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
คนเจียงใหม่
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 297


« ตอบ #5 เมื่อ: 14-05-2007, 19:11 »

 Coolพวกเราได้คนหน่อมแน้มมาเป็นผู้นำ
ระบบทักษิณเลยกระหยิ่มยิ้มย่อง รอวันกลับมา

ดี ให้มันกลับมาเช็กบิล" คนโง่อยากเป็นผู้นำ"
บันทึกการเข้า
ล้างโคตรทักษิณ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 903



« ตอบ #6 เมื่อ: 14-05-2007, 19:38 »

^
^
55+

แดงว่า ยังไม่เข้าใจ ระบบความคิดด้านการเมืองของคนใต้ เล้ย

อยู่ภาคไหน เนี่ย

บื้อจริงๆ

บังเอิญว่า คนภาคชินฯ เขากินแต่หญ้า กับ สัญญาณโทรศัพท์น่ะ สมองเลยเท่าเม็ดถั่ว
บันทึกการเข้า
นู๋เจ๋ง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,877



« ตอบ #7 เมื่อ: 14-05-2007, 19:57 »

รัฐทำงานเยอะแยะมากมาย ที่สื่อไม่เล่นน่ะ

ทำแบบไม่ต้องออกรายการเช้าวันเสาร์

การปกครองประเทศ ไม่ใช่นักธุรกิจ นักการตลาดที่ต้องคอยใช้สื่อโฆษณา โปรโมท

ทำงานทุกวัน ทำได้มากบ้างน้อยบ้าง

เพื่อปกป้อง จัดการ ล้างบางสิ่งโสโครก ที่กลุ่มทุนนิยมเก่าๆทำๆทิ้งไว้

และจนบัดนี้มันก็ยังไม่สำนึกในความผิดของตัวเอง 

ยังพยายาม สร้างปัญหา ทำลายชาติ

ให้รัฐนี้ต้องคอยไล่แก้ไขตลอดเวลา

บันทึกการเข้า

~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
หน้า: [1]
    กระโดดไป: