ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา มีเยาวชนในพื้นที่มากมายทั้งชายและหญิงที่ถูกกลุ่มก่อความไม่สงบ โฆษณาชวนเชื่อชักจูงเข้าร่วมกับขบวนการ ทั้งด้วยความเต็มใจ และจำยอม
“มูหามะ แวกาจิ” คือหนึ่งในเยาวชนที่ตกอยู่ในสภาพนั้น การ “ซูเปาะ” หรือการสาบาน คือหนึ่งในพิธีกรรมที่ขบวนการนำมาผูกมัดเยาวชนเหล่านี้ไว้ไม่ให้แพร่งพรายความลับ และเป็นตัวบังคับให้เยาวชนเหล่านี้กลายเป็นฆาตกรที่โหด***ม การซูเปาะเป็นพันธนาการให้เขาต้องตกอยู่ในอาณัติของกลุ่มผู้ก่อการตลอดไป และต่อไปนี้คือคำสารภาพของเขาที่ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะทำเราได้รับรู้ความจริงอีกด้านหนึ่งท่ามกลางเปลวไฟแห่งความรุนแรงที่ยังคงไม่ดับมอดลง
มูหามะ เล่าว่า จากการที่เขาไว้ใจเพื่อนตั้งแต่เรียนมาทำให้เขาต้องไปทำซูเปาะ โดยการชักชวนของเพื่อคนหนึ่ง ซึ่งเพื่อนคนนั้นเรียนอยู่ในชั้นเรียนเดียวกันตั้งแต่เริ่มเรียนมัธยมปลาย จนจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 6 ซึ่งตั้งแต่แรกมูหามะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เค้าให้ซูเปาะในครั้งนั้น ทำเพื่ออะไร และสิ่งที่เขาทำตามคำพูด 10 ประการนั้นคืออะไร
“แต่พอนานๆ เข้าผมจึงเข้าใจในสิ่งที่เค้าให้ผมซูเปาะ เพราะจากการที่ผมไปตามนัด เกือบจะครบตามที่เค้าได้นัดให้ผมไป ผมจึงได้รู้ว่าสิ่งที่ผมได้ซูเปาะคงจะเกี่ยวกับเรื่องของรัฐปัตตานี จากนั้นเค้าก็ได้อธิบายเรื่องของรัฐปัตตานีอยู่หลายครั้ง และได้กำชับให้ทุกคนทำตามในสิ่งที่เค้าได้ให้ผมซูเปาะทั้ง 10 ประการ หลังจากที่ผมฟังเค้าอธิบายอยู่หลายเดือน เค้าก็ได้นัดให้คนอื่นมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าแทนผม คนที่มาแทนก็ได้กำชับผมและพวกอีกเช่นเคยในสิ่งที่ผมและพวกได้ทำซูเปาะมาทั้ง 10 ประการ และได้สั่งให้ผมไปชวนคนมาเพิ่ม โดยการให้ผมและพวกบอกประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีให้คนอื่นฟังต่อ แต่ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้เพื่อนคนอื่นฟัง เพราะผมพูดเรื่องแบบนี้ไม่เก่ง”
มูหามะ เล่าอีกว่า จากนั้นเขาได้พบกับคนวงในคนที่ 2 และกลุ่มผู้ก่อการ ได้ให้เขาหัดพูดเกี่ยวกับเรื่องของรัฐปัตตานี เขาอยู่กับเพื่อนคนคนนี้ เพื่อนคนนี้มักจะเคร่งครัดเรื่อง 10 ประการที่มูหามะได้ซูเปาะมาก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากนั้นกลุ่มผู้ก่อการก็ได้ให้มูหามะ และพวกได้รู้จักกับอีกคน คือ คนที่ 3 ที่จะมาคอยทำหน้าที่แทนจากคนก่อน คนที่ 3 จะคอยถามเรื่องของบัญญัติ 10 ประการ และจะคอยสอนเขาและพวกเพื่อนๆ ให้ออกกำลังกาย มาถึงตอนนี้กลุ่มผู้ก่อการจาก 4 คน เหลือ 3 คน และคนที่ 3 จะสั่งให้เขาไปวิ่งตามสวนสมเด็จฯ และจะบอกสถานที่ที่จะให้เขาและพวกไป คนคนนี้จะสอนเขาในเรื่องการออกกำลังกาย 10 ท่า จะคอยบอกสถานที่ที่จะให้เขาและพวกไปที่ที่เค้าได้นัดหมายอีกครั้ง เพื่อจะทดสอบดูว่าใครคนไหนทำแต่ละท่าได้กี่ครั้ง
“หลังจากนั้นเกือบเดือน เค้าก็ได้แนะนำให้ผมรู้จักกับคนที่ 4 คนที่ 4 เป็นคนที่จะบอกให้ผมและพวกหมั่นออกกำลังกายตามท่าทั้ง 10 ท่าที่ได้รู้มา ผมอยู่กับเค้าได้ 1-2 เดือน เค้าก็ได้บอกให้ผมเตรียมตัวที่จะไปฝึกขั้นสุดท้าย ก็คือหลักสูตรปอเนาะ ตอนนั้นผมเหลืออยู่ แค่ 2 คนกับเพื่อนที่ได้ชวนผมซูเปาะ ผมไปฝึกได้ 7 วัน ครูฝึกก็ได้บอกให้ผมกลับก่อน เพราะที่บ้านไม่เจอหน้าหลายวัน ที่บ้านจะไม่ไว้ใจและห่วงมาก ผมกลับมาอยู่บ้านหลายเดือน ครูฝึกก็ได้แนะนำให้ผมรู้จักกับมะรอปี เค้าบอกว่าอยู่บ้านห้วยเงาะ มะรอปีจะคอยเป็นผู้สั่งการผม และเค้าก็ได้แนะนำให้ผมรู้จักกับ “ยา บ้านควน” ผมก็ทำงานอยู่กับยา ตามคำสั่งของมะรอปี”
หลังจากอยู่กับมะรอปี มะรอปีก็แนะนำให้มูหามะ รู้จักกับเด็กที่บ้านอีกคนชื่อ สุกรี และมะรอปี จะสั่งให้มูหามะทำงานกับสุกรีต่อ หลังจากเขาอยู่กับมะรอปี (คนที่จะคอยสั่งผมเขาเวลานั้น) มะรอปีก็ได้แนะนำให้ได้รู้จักกับฮารง (อุสตาซมุ) เพื่อที่จะคอยสั่งการเขาต่อ
“ผมอยู่กับฮารง 2-3 เดือน ฮารงไม่ได้สั่งผมให้ทำอะไร ผมก็ได้ข่าวว่าฮารงได้เสียชีวิตที่บ้านควนลาแม จากนั้นมะรอปีก็ได้นัดให้ผมได้รู้จักกับคนที่จะคอยสั่งผมต่อจากฮารง ก็คือเปาะจิ เขาบอกว่าเขาอยู่ที่ปรัง ผมอยู่กับเปาะจิเขาได้ให้ผมรู้จักกับเพื่อนอีก 3 คน คือ ดิง, ซาเฮะ และยากี จากบ้านควนผมทำงานตอนอยู่กับเปาะจิ คือตัดหัวของลุงจวน และเผาโรงยางที่นาประดู่”
มูหามะ เล่าว่า ความรู้สึกของเขาตั้งแต่เริ่มซูเปาะ และได้รู้ว่าซูเปาะเพื่ออะไร เขาก็เริ่มนึกและคิดว่าจะหลุดจากคำว่าซูเปาะได้อย่างไร “แต่นานเข้าผมก็ยิ่งถลำลึกเข้าไปทุกที ไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครดี สิ่งที่ผมกระทำแต่ละครั้งก็ไม่คิดอยากจะทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะผมติดที่ได้ซูเปาะตั้งแต่แรก”
“ถ้าผมไม่ทำ ผมกลัวว่าสักวันเค้าอาจทำร้ายผม และทำร้ายพ่อ แม่ พี่ น้อง และญาติๆ ของผมอีก จนทำให้ผมต้องทำตามคำสั่งที่เค้าได้สั่งผมตลอดเวลา และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกของคนที่คอยสั่งผมเป็นใครบ้าง ผมก็คิดตลอดเวลาว่าสิ่งที่ผมได้ทำอยู่ผิด แต่การที่ผมไปซูเปาะทำให้ผมจะต้องทำตามคำสั่งของเค้าอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้สิ่งที่เค้าได้สั่งผมมานั้นมันจะร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม” มูหามะ กล่าว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9500000053930----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันได้เรื่องนึงว่า งานนี้มีหัวโจกอยู่ไม่เท่าไหร่ แต่ที่มันเยอะ เพราะมันใช้วิธีทางจิตวิทยากับเยาวชน ทำให้เยาวชนเกรงกลัวพวกเลวๆไม่กี่คนนั่น