อย่าเขวตามข่าวโดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
.......
เมื่อมีผู้บอกเล่าไถ่ถามเรื่องนี้ และในเวลาพูดคุยกับพระใหม่ ได้ตั้งข้อสังเกตให้ดูกันว่า
ในสังคมไทยเวลานี้ คนชอบให้ความเห็นแต่ไม่หาความรู้ แล้วคนก็มักให้ความเห็นจากความรู้สึก หรือจากการคิดเอาตามพื้นฐานของตน หรือแม้แต่เดาขึ้นมาเอง โดยไม่ศึกษาหาความรู้หรือแม้แต่มองดูข้อมูลข้อเท็จจริง ทำให้เป็นความเห็นที่เลื่อนลอยหรืออย่างดีก็ผิวเผินการแสดงความเห็นกันอยู่ในระยะนี้ว่าควรจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่าพระพุทธ ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ก็เป็นตัวอย่างของสภาพสังคมอันไม่พึงปรารถนานี้จะเห็นว่า คนมักแสดงความเห็นกันโดยไม่ใช้ไม่หาความรู้
ไม่ต้องพูดถึงความรู้เกี่ยวกับเรื่องศาสนาประจำชาติ แม้แต่ความรู้เข้าใจในตัวประเด็นที่ถกเถียงกันคือ "ความเป็นศาสนาประจำชาติ" หมายความว่าอย่างไร (คือ เป็นศาสนาประจำชาติแบบไหน มีรูปแบบความสัมพันธ์กับรัฐอย่างไร) ก็ยังรู้เข้าใจไม่ตรงกันผู้ที่เสนอหรือเรียกร้อง ก็ตั้งเรื่องขึ้นมาโดยมีความหมายที่เข้าใจของเขาอย่างหนึ่ง
ฝ่ายผู้คัดค้านก็ไม่ได้ถามไถ่ศึกษาหรือมาตกลงให้ชัดว่า จะเอาอย่างนั้นในความหมายว่าอย่างไร ก็พูดคัดค้านเรื่องนั้นในความหมายที่ตนนึกไปอีกอย่างหนึ่ง
ผู้คัดค้านอีกคนหนึ่งเข้ามา ก็พูดค้านไปตามความหมายที่ตนรู้สึกนึกคิดไปอีกแบบหนึ่ง
ไปๆ มาๆ ปากพูดเรื่องเดียวกัน แต่ในสมองคิดคนละเรื่องสำหรับที่นี่ ในเมื่อเขา (โดยเฉพาะคณะกรรมการร่าง รธน.) ยังไม่ได้ตกลงยุติในตัวประเด็นว่ามีความหมายแค่ไหนอย่างไร ก็ยังมิใช่กาละที่จะให้ความเห็น
แต่ยิ่งกว่านั้นไปอีก
เราไม่ต้องการให้ความเห็น (ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยหรือเป็นกลาง ก็ไม่ได้ให้ทั้งนั้น) แต่มุ่งเน้นให้ความรู้ คือให้คนมีความรู้เข้าใจแล้วให้เขาคิดพิจารณาตัดสินใจด้วยตนเอง ให้เป็นการตัดสินใจด้วยปัญญา พร้อมไปกับการพัฒนาปัญญา
ดังนั้น จึงได้พูดแก่พระใหม่ (และแก่ญาติโยมแม้น้อยคนที่มาเล่ามาถาม) ในเรื่องความรู้แง่ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องศาสนาประจำชาติ โยงไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาแบบต่างๆ จนถึงในประวัติศาสตร์ (ดังที่พระได้ทำเป็น CDs แจกญาติโยมไปตามขอ)
แท้จริงนั้น การเผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นประเด็นสนใจหรือที่ถกเถียง กันในสังคม พร้อมทั้งเกื้อหนุนให้ประชาชนฝึกฝนพัฒนาการรู้จักพิจารณาตัดสินใจด้วยปัญญา นี้ มีความสำคัญและเป็นประโยชน์มากกว่าตัวการร่างรัฐธรรมนูญเองด้วยซ้ำไป เพราะเป็นการพัฒนาสาระหรือตัวตนของประชาธิปไตย
โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มีการร่างรัฐธรรมนูญบ่อยๆ เมื่อผ่านไปถึงวาระที่มีการร่างกันใหม่หรือในครั้งต่อไป ประชาชนก็จะได้พัฒนาและร่างรัฐธรรมนูญได้ดีขึ้น มิใช่ว่าร่างกันครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งรัฐธรรมนูญและประชาชนที่ร่างก็ยังมีคุณภาพเหมือนเดิม
ทั้งนี้
รัฐควรสร้างบรรยากาศแห่งการแสวงปัญญา ซึ่งไม่อาจสำเร็จด้วยการแสดงความคิดเห็นกันอย่างผิวเผินเลื่อยลอย ตามความรู้สึกชอบใจ-ไม่ชอบใจ แต่ต้องเผยแพร่ข้อมูลความรู้ที่สอบถามสืบค้นกันอย่างจริงจังไม่ว่าประเด็นที่ถกเถียง เช่นเรื่องการบัญญัติพระพุทธศาสนาประจำชาติ จะออกผลบวกหรือลบ หรือแม้แต่ว่าตัว รธน.เองจะผ่านหรือไม่
ถ้าได้สร้างบรรยากาศแห่งการแสวงปัญญาอย่างที่กล่าวมา เหตุการณ์ทั้งหมดก็จะไม่ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ ตรงข้าม ยังได้ประโยชน์คุ้มแรงคุ้มเวลาคือการได้พัฒนาประชากร ซึ่งก็คือการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างเป็นแก่นเป็นสารนั่นเองที่ใครเขียนว่า มีผู้เอาพระพรหมคุณาภรณ์ไปอ้างว่าร่วมเรียกร้องการบัญญัตินี้กับเขาด้วยนั้น อาตมาเองยังไม่พบการอ้างนั้น และคิดว่าอาจจะไม่ใช่ว่ามีใครไปอ้าง หากเป็นเรื่องที่บางคนซึ่งไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริง แต่หันไปใช้วิธีตีความเอาเองว่าเป็นอย่างนั้น
ต้นเหตุก็พอมองเห็น คือ หนังสือเรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติ ที่เป็นข้อเขียนของอาตมา ซึ่งมีบุคคลและหนังสือพิมพ์นำไปเผยแพร่ในระยะนี้ แล้วผู้ที่อ่านจับความไม่ชัด ยังไม่รู้ที่ไปที่มา ก็ตีความไปอย่างที่ว่านั้น
.....
บทความค่อนข้างยาว ขออนุญาตตัดตอน
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act03290550&day=2007/05/29§ionid=0130