ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 03:19
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ==ก.ล.ต. ตัดสิน ‘ยิ่งลักษณ์’ ไม่ผิดอินไซเดอร์ "เอากฎหมายอะไรมาอ้าง?"== 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
==ก.ล.ต. ตัดสิน ‘ยิ่งลักษณ์’ ไม่ผิดอินไซเดอร์ "เอากฎหมายอะไรมาอ้าง?"==  (อ่าน 2794 ครั้ง)
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« เมื่อ: 06-05-2007, 19:39 »

อีกข่าวนึงที่อาจจะหลงหูหลงตากันไปนะครับ เมื่อปลายเดือนเมษา ที่ผ่านมา
กลต. ตัดสินว่ายิ่งลักษณ์ ไม่ผิดข้อหาอินไซเดอร์กรณีชิงขายหุ้น ADVANCE
ก่อนตระกูลชินขายหุ้น SHIN ให้เทมาเส็ค

เรื่องนี้ก็ยืดเยื้อยาวนานอยู่ที่ กลต. มาร่วมปีเหมือนเรื่องวินมาร์ค-เอสซีแอสเซ็ต
สรุปผลออกมา สุดท้ายก็บัวแล้งน้ำครับ

เอาบทความนึงที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้น่าสนใจมาฝากกันอ่านนะครับ

http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2007q2/2007may01p5.htm
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ก.ล.ต. ตัดสิน ‘ยิ่งลักษณ์’ ไม่ผิดอินไซเดอร์  "เอากฎหมายอะไรมาอ้าง?"
"ม้านอก" และ "เด็กนอกกรอบ"  กรุงเทพธุรกิจ  วันอังคารที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

หลังจากสังคมไทยมีข้อกังขาต่อเนื่องนานกว่า 1 ปี เกี่ยวกับพฤติกรรมของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กรรมการผู้จัดการบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) และผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SHIN) ซึ่งได้ทยอยขายหุ้น ADVANC ออกไปกว่า 370,000 หุ้น ระหว่างเดือนตุลาคม 2548 ถึง 10 มกราคม 2549 ในราคาเฉลี่ยกว่า 105 บาท ก่อนจะขายหุ้น SHIN ที่ตัวเองถืออยู่ไปให้กับกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ พร้อมกับคนอื่นในครอบครัวชินวัตรในวันที่ 23 มกราคม 2549 ว่ากรณีนี้น่าจะเข้าข่ายเป็นการใช้ซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน (insider trading) ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ("พ.ร.บ. หลักทรัพย์") สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการว่า "ไม่ผิด"

โดยข่าว ก.ล.ต. ฉบับที่ 31/2550 ลงวันที่ 26 เมษายน 2550 ระบุว่า:"ตลาดหลักทรัพย์ ได้รายงานผลการตรวจสอบการใช้ข้อมูลภายใน เกี่ยวกับการที่กลุ่มชินวัตรขายหุ้นกลุ่ม SHIN ให้แก่เทมาเส็ก มายัง ก.ล.ต. โดยตลาดหลักทรัพย์ สรุปว่าไม่พบการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่ง ก.ล.ต. ได้สอบทานอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งได้ตรวจสอบในเชิงลึกเพิ่มเติม ได้ผลสรุปตรงกับตลาดหลักทรัพย์ ว่า ไม่พบการกระทำผิดตามกฎหมาย คือ ... การขายหุ้น ADVANC ของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรรมการผู้จัดการของบริษัท ADVANC ซึ่งขายหุ้น ADVANC ในช่วงก่อนที่จะมีการเปิดเผยการขายหุ้น SHIN แก่เทมาเส็ก อันเป็นเหตุให้สงสัยว่าเป็นการขายโดยใช้ข้อมูลภายใน เพื่อเอาเปรียบบุคคลอื่นหรือไม่นั้น "

ในเอกสาร ก.ล.ต.ยังระบุอีกว่า "จากการตรวจสอบพบว่าการขายหุ้นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ ของบริษัท ADVANC โดยไม่มีตำแหน่งใดๆ ใน SHIN นั้น มีลักษณะเป็นการขายเฉพาะหุ้น ADVANC ในส่วนที่ได้มาจากสิทธิตามโครงการ ESOP (การขายหุ้นให้กับกรรมการและพนักงานของบริษัท) และเป็นการขายหุ้นทุกครั้งที่ได้สิทธินี้มาตลอดช่วง 2 ปีก่อนหน้านั้น คือ ตั้งแต่ปี 2546 ดังนั้น การขายหุ้นในลักษณะดังกล่าวจึงไม่เข้าองค์ประกอบเป็นการซื้อขายโดยอาศัยข้อมูลภายในตามมาตรา 241 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535"

ในฐานะนักการเงินและนักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ คำแถลงครั้งนี้ของ ก.ล.ต.ทำให้ผู้เขียนทั้งสองตกใจไม่น้อย เพราะนอกจากจะอ้างเหตุผลที่เราไม่พบว่ามีกฎหมายหรือหลักเกณฑ์ใดๆ รองรับแล้ว ยังเป็นการใช้เหตุผลเดียวกันกับที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยใช้เป็นข้ออ้างว่าทำแบบนี้ไม่ผิด แทบจะเรียกได้ว่าตรงกันคำต่อคำเลยทีเดียว

สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดในความคิดของเราคือ การที่คำตัดสินในครั้งนี้เปรียบเสมือนเป็น ‘ใบอนุญาต’ ให้กรรมการหรือผู้บริหารระดับสูง ที่ได้รับหุ้น ESOP ขายหุ้นเหล่านั้นออกไปเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ ทั้งๆ ที่บางครั้งการขายหุ้นเหล่านั้น อาจเป็นการขายโดยใช้ข้อมูลภายใน หรือที่เรียกว่า insider trading ก็ได้!

เราเคยตั้งข้อสังเกตในหนังสือเรื่อง "25 คำถาม เบื้องหลังดีลเทคโอเวอร์ชินคอร์ป" ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2549 ว่า "[ประเด็นนี้] ผิดกฎหมายเรื่อง insider trading 100% เต็มประตู - เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กรณีเดียวที่ยิ่งลักษณ์จะขายหุ้น ADVANC ...แล้วไม่ผิดกฎนี้คือ ถ้าเธอไม่รู้เรื่องการเจรจาขายหุ้น SHIN ของพี่ชายเลย (หรือหลานชายและหลานสาว ถ้าหากว่าคุณพี่ชายจะยืนยันต่อไปว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นประการใด) อยู่ดีๆ เช้าตรู่ของวันที่ 23 มกราคม 2549 ก็มีคนมาปลุกให้ไปเซ็นสัญญาขายหุ้น SHIN ให้ Temasek ซะดื้อๆ อย่างนั้น... " (25 คำถาม, หน้า 96)

ที่เราเชื่อมั่นอย่างนั้น เพราะยิ่งลักษณ์ไม่ได้เป็นเพียงกรรมการผู้จัดการของ ADVANC หากยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นตระกูลชินวัตร ที่ขายหุ้น SHIN ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ ADVANC ให้กับกองทุนเทมาเส็ก เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ดังนั้นจึงย่อมมีส่วนรู้เห็นในการเจรจาดีลนี้นานก่อนประกาศการซื้อขาย (ซึ่งคงเริ่มมาตั้งแต่กลางปี 2548 แล้ว เมื่อคำนึงว่าหนังสือของที่ปรึกษาครอบครัวที่จ่าหน้าถึงอธิบดีกรมสรรพากร เพื่อหารือเรื่องภาระภาษีของนายพานทองแท้ ในกรณีซื้อหุ้น SHIN จากบริษัท Ample Rich Investment Limited ในราคาหุ้นละ 1 บาท นั้น ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2548)

ก่อนเซ็นสัญญาขายหุ้น SHIN ยิ่งลักษณ์ได้ทยอยขายหุ้น ADVANC ออกไป 373,400 หุ้น ระหว่างเดือนตุลาคม 2548 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2549 ในราคาเฉลี่ยกว่า 105 บาท

ในวันเดียวกันกับงานเซ็นสัญญาขายหุ้น SHIN กองทุนเทมาเส็กได้ยื่นแบบแสดงความจำนงซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ ADVANC (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) ต่อ ก.ล.ต. โดยเสนอซื้อหุ้นด้วยราคา 72.31 บาท ต่ำกว่าราคาซื้อขายในขณะนั้นกว่าร้อยละ 40 และต่ำกว่า 113 บาท ซึ่งเป็นราคาสุดท้ายที่ยิ่งลักษณ์ขายหุ้น ADVANC ออกไปก่อนหน้านั้นเพียง 13 วัน ถึงร้อยละ 56 เลยทีเดียว

แปดเดือนต่อมาหลังจากที่เราตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้ เมื่อเราจรดปากกาเขียนภาคต่อคือ หนังสือเรื่อง "SHIN [กับเรื่อง] คาหนังคาเขา" เราก็ได้ทวนคำแถลงอันไม่น่าเชื่อของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อเดือนเมษายน 2549 ว่ากรณีนี้ "ไม่พบการกระทำผิดตามกฎหมาย" แต่เราก็ตั้งความหวังว่า ก.ล.ต. ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแล ตลท. อีกทอดหนึ่ง จะคืนความยุติธรรมให้กับสังคมในที่สุด เพราะในวันที่ 7 ตุลาคม 2549 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. ก็ให้สัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ว่า "กำลังตรวจสอบประเด็นนี้เพิ่มเติมอยู่"

แต่หลังจากเวลาผ่านไปอีกเกือบครึ่งปี ก.ล.ต. ก็ออกแถลงข่าวว่าเห็นด้วยกับผลการสอบสวนของ ตลท. เท่ากับเป็นการทำลายความหวังของเราที่จะเห็นคำตัดสินที่ยุติธรรมในกรณีนี้ ลงอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้น ผู้เขียนทั้งสองคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องจับปากกาเพื่อตีแผ่ ‘ความน่าเกลียด’ ของการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่สังคมจะลืมความไม่ชอบมาพากลทั้งหลาย

ก่อนอื่น ขอทบทวนหลักการและหลักกฎหมายเกี่ยวกับ insider trading เล็กน้อย

พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ระบุความผิดกรณีซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในหรือ insider trading ไว้ดังต่อไปนี้

"มาตรา 241 (ข้อห้ามการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น) ในการซื้อหรือขายซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ห้ามมิให้บุคคลใดทำการซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย หรือชักชวนให้บุคคลอื่นซื้อหรือขาย หรือเสนอซื้อ หรือเสนอขายซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน และตนได้ล่วงรู้มาในตำแหน่งหรือฐานะเช่นนั้น และไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทำเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น หรือนำข้อเท็จจริงเช่นนั้นออกเปิดเผยเพื่อให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวโดยตนได้รับประโยชน์ตอบแทน"

ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรานี้ "ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกินสองเท่า ของผลประโยชน์ที่บุคคลนั้นๆ ได้รับไว้หรือพึงจะได้รับเพราะการกระทำฝ่าฝืนดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ค่าปรับดังกล่าวต้องไม่น้อยกว่าห้าแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ"

นอกจากนี้ ในประกาศของ ตลท.เอง เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศของบริษัทจดทะเบียน (บจ/ป 23-00) ก็ระบุเรื่องนี้ไว้ในข้อ (6) ว่า

"บุคคลภายในต้องไม่ทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยใช้สารสนเทศที่สำคัญที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน นอกจากนี้ แม้ว่าภายหลังจากที่สารสนเทศที่สำคัญได้เปิดเผยแล้ว บุคคลภายในควรละเว้นจากการซื้อ หรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน เป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้มีการประเมินสารสนเทศนั้นตามสมควร"

กล่าวโดยสรุป insider trading หมายถึงการสั่งซื้อหรือขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลอะไรสักอย่าง เกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน ที่ยังไม่ปรากฏต่อสาธารณะ แต่จะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นแน่ๆ เมื่อใดก็ตามที่ข้อมูลนั้นได้รับการเผยแพร่ออกไป ข้อมูลแบบนี้เรียกว่า ‘ข้อมูลภายใน’ และบุคคลที่ล่วงรู้ข้อมูลนั้นก็เรียกว่า ‘บุคคลภายใน’ ซึ่งโดยปกติมักจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ กรรมการ และผู้บริหารระดับสูง

ในเมื่อข้อมูลภายในยังไม่ปรากฏต่อสาธารณะ การที่บุคคลภายในซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายในที่คนอื่นไม่มี จึงเท่ากับเป็นการเอาเปรียบนักลงทุนรายอื่น และดังนั้นก็เป็นการสมควรแล้วที่ insider trading จะถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหลักทรัพย์ และไม่ได้ผิดเฉพาะแต่ในประเทศไทย ตลาดหุ้นประเทศไหนๆ ก็ถือว่า insider trading เป็นความผิดทั้งนั้น

พ.ร.บ.หลักทรัพย์และประกาศของ ตลท.เอง ระบุชัดเจนว่า insider trading เป็นความผิดทางกฎหมาย ไม่มีข้อยกเว้นให้กับหลักทรัพย์ที่มาจากการใช้สิทธิตามโครงการ ESOP หรือหลักทรัพย์ที่บุคคลภายในเคยซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น เราจึงมองว่าเหตุผลของ ก.ล.ต.ที่บอกว่าไม่ใช่ INSIDER TRADING เพราะ "เป็นการขายเฉพาะหุ้น ADVANC ในส่วนที่ได้มาจากสิทธิตามโครงการ ESOP และเป็นการขายหุ้นทุกครั้งที่ได้สิทธินี้มาตลอดช่วง 2 ปีก่อนหน้านั้น" เป็นเพียงข้ออ้างที่ไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับ (และก็บังเอิญไปพ้องกับข้ออ้างที่ยิ่งลักษณ์ใช้มาตลอดด้วย)

ตามหลักกฎหมาย เมื่อใดที่บุคคลภายในมีข้อมูลภายในอยู่ในมือ ก็ต้องไม่ทำการใดๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายในนั้นๆ (เช่น ขายหุ้นที่รู้ดีว่าอีกไม่กี่เดือนราคาจะตกลง เพราะจะมีการทำเทนเดอร์ราคาต่ำ) แม้ว่าการ ‘ไม่ทำการใดๆ’ นั้นจะทำให้เสียสิทธิ ขาดทุน ขาดทุนกำไร หรือเสียประโยชน์อะไรก็ต้องยอม เพื่อมิให้เป็นการเอาเปรียบนักลงทุนรายอื่นที่ไม่ได้มีข้อมูลภายในนั้นอยู่ในมือ

ถ้านักลงทุนรายย่อยของ ADVANC มีโอกาสถามยิ่งลักษณ์ก่อนงานขายหุ้น SHIN ก็คงอยากถามว่า คุณกำลังจะได้เงิน 982 ล้านบาท จากกองทุนเทมาเส็ก (20 ล้านหุ้น ขายราคา 49.25 บาท) อยู่แล้วรอมร่อ ทำไมถึงไม่ยอม ‘ขาดทุนกำไร’ จากหุ้น ADVANC แม้แต่สตางค์แดงเดียว ทั้งๆ ที่ระหว่างที่คุณทยอยขายหุ้นออกไปนั้น นักลงทุนคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องเลยว่าหุ้น ADVANC จะถูกเทนเดอร์ในราคาต่ำเตี้ยติดดิน?

นักลงทุนคงอยากถามยิ่งลักษณ์ด้วยว่า ในเมื่อคุณรู้ข้อมูลภายในก่อนคนอื่น รู้ว่า ADVANC จะถูกเทนเดอร์ราคาต่ำขนาดนั้น ทำไมคุณไม่แจ้ง ตลท.ให้นักลงทุนคนอื่นๆ รับรู้ด้วย ทุกคนจะได้มีโอกาสขายหุ้น ADVANC ออกไปก่อน? ถ้าทำอย่างนั้น ‘ข้อมูลภายใน’ ก็จะกลายเป็น ‘ข้อมูลสาธารณะ’ และบุคคลภายในก็จะสามารถซื้อขายหุ้น ADVANC ได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิดกฎ insider trading

แน่นอน ยิ่งลักษณ์ และบุคคลภายในคนอื่นๆ ที่รู้ว่าราคาหุ้น ADVANC จะตกแน่ๆ หลังเทนเดอร์ คงไม่อยากแจ้ง ตลท.หรือบอกให้ใครรู้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคนก็จะแห่กันขายหุ้น ADVANC ทำให้ราคาตกก่อนเวลาอันควร ทำให้ยิ่งลักษณ์ขายหุ้นไม่ได้ราคาดีเท่ากับถ้าไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แต่นั่นแหละคือ เหตุผลที่กฎหมายระบุให้ insider trading เป็นความผิดตั้งแต่แรก! เนื่องจากกฎหมายหลักทรัพย์ มีไว้เพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและความโปร่งใสในตลาดหุ้น ซึ่งรวมถึงการมีข้อมูลที่เท่าเทียมกันระหว่างผู้เล่นในตลาด นักลงทุนทุกคนจึงต้องเข้าใจว่า หลายครั้ง การทำตามกฎกติกานั้นแปลว่าเราต้องยอมขาดทุนกำไรบางส่วน ถ้าขายหุ้นไม่ได้ทันทีเพราะจะต้องติดไซเลนท์ พีเรียด (silent period) ก่อน ก็ต้องยอมติด เพื่อให้กลไกการทำงานของตลาดมีความโปร่งใสและเป็นการปกป้องนักลงทุนรายย่อย

ไม่ใช่คิดแต่อยากจะทำทุกอย่างให้ ‘ได้กำไรสูงสุดทั้งขึ้นทั้งล่อง’ โดยไม่กลัวเกรงกฎหมาย และไม่คำนึงว่าการกระทำนั้น ‘เป็นธรรม’ กับคนอื่นหรือไม่

น่าสังเกตว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์ ตลท. และก.ล.ต. ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้ "ข้อมูลภายใน" ในการขายหุ้น อ้างเพียงสองเหตุผลคือ "เป็นหุ้นที่ได้จากการใช้สิทธิ ESOP" และ "ทำแบบนี้มาตลอด" ซึ่งเราได้อธิบายไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า เหตุผลทั้งสองนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะกฎหมายไม่เคยยกเว้นโทษ insider trading ให้กับกรณีเหล่านี้


--------------------------------------------------------------------------------

คำตัดสินก.ล.ต.อาจกลาย"บรรทัดฐานใหม่" ธรรมาภิบาลตลาดหุ้นแย่ลง

รายงาน : กรุงเทพธุรกิจ  วันพุธที่ 02 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ในช่วงที่เหลือของบทความชิ้นนี้ เราจะพยายามพิสูจน์ให้เห็นต่อไปว่า เหตุผลของยิ่งลักษณ์ ตลท.และ ก.ล.ต. ที่ว่าหุ้นที่ทยอยขายไปนั้นเป็นหุ้นที่ได้จากการใช้สิทธิ ESOP นอกจากจะไม่มีกฎหมายรองรับแล้ว ยัง "ไม่ใช่ประเด็น" และ "ไม่น่าจะจริง" อีกด้วย กล่าวคือ สมมติถ้า พ.ร.บ. หลักทรัพย์ บอกว่า insider trading ไม่ใช่ความผิดตามกฎหมายถ้าเป็นหุ้น ESOP ที่ "ต้องขาย" ออกไป มิฉะนั้นจะหมดสิทธิในการขาย หุ้น ADVANC ที่ยิ่งลักษณ์ขายออกไปในกรณีนี้ก็ไม่เข้าข่ายนั้นเช่นเดียวกัน

โครงการ ESOP หรือ Employee Share Ownership Program คือ การให้สิทธิกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ซื้อหุ้นของบริษัทในอนาคตในราคาที่อิงกับราคาตลาดในปัจจุบัน เป็นวิธีหนึ่งที่บริษัทจดทะเบียนนิยมใช้ เพื่อกระตุ้นให้บุคลากรตั้งใจทำงานเพื่อประโยชน์ของบริษัท เพราะถ้าบุคลากรตั้งใจทำงาน บริษัทก็จะมีผลประกอบการดี ราคาหุ้นก็จะพุ่งสูงขึ้น บุคลากรก็จะสามารถใช้สิทธิตาม ESOP ซื้อหุ้นบริษัทในอนาคตด้วยราคาที่บริษัทสัญญาไว้แล้วซึ่งน่าจะต่ำกว่าราคาตลาดในขณะนั้น เพื่อไปขายทำกำไรในราคาตลาดที่สูงกว่า

โครงการ ESOP ของ ADVANC จนถึงปัจจุบันทำมาแล้ว 5 ครั้ง คือ ทุกปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา ข้อมูลจากการแถลงข่าวของยิ่งลักษณ์เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งตีพิมพ์ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ BizWeek (เวบไซต์ ) และการสัมภาษณ์ของหนังสือพิมพ์ระบุว่า ยิ่งลักษณ์ได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนท์) ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของ ADVANC "...จำนวนทั้งหมด 4 รุ่น ในระหว่างปี 2545, 2546, 2547 และ 2548 รวมทั้งสิ้น 3,362,600 หน่วย เธอใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ADVANC ไปแล้วประมาณ 1,657,000 หุ้น และได้ขายหุ้น ADVANC ออกจากพอร์ตไปแล้ว 55 ครั้ง (ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2546 ถึง วันที่ 10 มกราคม 2549) จำนวนรวม 1,537,395 หุ้น... ยิ่งลักษณ์ บอกเองว่าหุ้นที่เธอขายมาจาก 'ล็อตแรก' และ 'ล็อตที่สอง' ซึ่งมีต้นทุนต่ำเพียง 46.16 บาท และ 41.74 บาท ตามลำดับ"

โครงการ ESOP ของ ADVANC มีเงื่อนไขหลักๆ เหมือนกับโครงการ ESOP ของบริษัทจดทะเบียนอีกหลายบริษัท กล่าวคือ ให้สิทธิผู้ที่ได้รับวอร์แรนท์นำวอร์แรนท์นั้นไปซื้อหุ้น ADVANC ได้ในราคาและระยะเวลาที่กำหนดตามเงื่อนไขใน ESOP

ESOP ให้สิทธิผู้บริหารซื้อหุ้นบริษัทในราคาที่กำหนด ไม่ใช่สิทธิในการขายหุ้น หมายความว่าเมื่อผู้บริหารใช้สิทธิแปลงวอร์แรนท์เป็นหุ้นของบริษัทแล้ว จะขายหุ้นไปเมื่อไรก็ได้โดยไม่ติดไซเลนท์ พีเรียด ดังนั้น ข้ออ้างของยิ่งลักษณ์ที่ลงใน BizWeek ที่ว่า "ล็อตที่ขายไปนี้เป็นหุ้นที่ได้รับมาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว ถ้าไม่ใช้สิทธิ 3 ปีก็จะหมดสิทธิ" จึงฟังไม่ขึ้น เพราะสิทธิที่จะหมดนั้นเป็นสิทธิในการซื้อหุ้น ไม่ใช่สิทธิในการขายหุ้น

เมื่อนำข้อมูลข้างต้นมาประกอบกับข้อมูลที่ ADVANC และผู้บริหารแจ้งต่อ ตลท. และ ก.ล.ต. รวมถึงหนังสือชี้ชวนประกอบโครงการ ESOP ในแต่ละปี ก็จะได้ภาพคร่าวๆ ดังต่อไปนี้ สำหรับผู้บริหารระดับสูงของ ADVANC บางรายที่ได้รับวอร์แรนท์ตาม ESOP และซื้อขายหุ้นระหว่างปี 2547 ถึง 30 เมษายน 2550:

จากตารางข้างต้นจะเห็นว่า ถ้ายิ่งลักษณ์ใช้สิทธิซื้อหุ้น ADVANC ตาม ESOP และขายหุ้นเหล่านั้นไปเท่ากับที่ให้สัมภาษณ์นักข่าวจริง ก็ดูเหมือนจะเป็นผู้บริหารที่ขายหุ้นออกไปเป็นสัดส่วนต่อหุ้น ESOP สูงกว่าผู้บริหารคนอื่นๆ มากคือ กว่าร้อยละ 92 ในขณะที่ผู้บริหารคนอื่นๆ ขายหุ้นคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 32 ถึงร้อยละ 57 เท่านั้น ถ้าเราสมมติว่าทุกคนใช้สิทธิตาม ESOP ซื้อหุ้นเท่ากับสิทธิที่ตัวเองใช้ได้สูงสุดในแต่ละปี ดังนั้น ที่ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ใน BizWeek ว่า "หุ้นที่ขายออกมาเป็นเพียงส่วนน้อย ...ถ้าเปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์หุ้นที่ขาย กับหุ้นที่ได้รับแล้วถือว่าน้อย" จึงไม่ใช่ประเด็น เพราะต้องเทียบสัดส่วนหุ้นที่ขายกับหุ้นที่ได้ใช้สิทธิซื้อไปแล้ว (1,657,000 ล้านหุ้น) ไม่ใช่หุ้นที่มีสิทธิซื้อทั้งหมด (3,362,000 หุ้น) และร้อยละ 92 คงไม่เรียกว่า ‘น้อย’ แน่ๆ

(ต้องหมายเหตุตรงนี้ว่า ข้อมูลนี้เราต้องทำประมาณการเอง เนื่องจากไม่พบข้อมูลการซื้อหุ้นที่มาจากการใช้สิทธิตาม ESOP ในรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2) พบแต่ข้อมูลการขายหุ้น แบบ 59-2 เป็นรายงานที่ผู้บริหารและผู้สอบบัญชีของบริษัทจดทะเบียนทุกคนต้องแจ้งต่อ ก.ล.ต. ทุกครั้งที่จำนวนหลักทรัพย์ของบริษัทที่ถือมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้นักลงทุนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของการถือครองหลักทรัพย์ของผู้บริหารและผู้สอบบัญชี เนื่องจากถือว่าสองกลุ่มนี้เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับข้อมูลภายในของบริษัท)

นอกจากข้ออ้างของยิ่งลักษณ์ที่ว่าต้องขายหุ้นออกไปก่อน เพราะไม่อย่างนั้นจะหมดสิทธิตาม ESOP จะไม่ถูกต้อง (เพราะสิทธิตาม ESOP เป็นสิทธิในการซื้อ ไม่ใช่การขาย) แล้ว เมื่อวิเคราะห์เงื่อนไขโครงการ ESOP ทั้ง 4 รุ่นที่ยิ่งลักษณ์ได้รับ ตามหนังสือชี้ชวนของ ADVANC ที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. ก็พบว่า ณ วันที่ 23 มกราคม 2549 ยิ่งลักษณ์น่าจะยังมีวอร์แรนท์ที่มีสิทธิใช้ซื้อหุ้น ADVANC เหลืออีกประมาณ 1,705,000 หน่วย ซึ่งในจำนวนนี้ 379,000 หน่วย มีเวลาใช้สิทธิถึง 30 พฤษภาคม 2551, 676,000 หน่วย มีเวลาใช้สิทธิถึง 31 พฤษภาคม 2552 และที่เหลืออีก 650,000 หน่วย มีเวลาใช้สิทธิถึง 31 พฤษภาคม 2553 (วอร์แรนท์แต่ละหน่วยแปลงเป็นหุ้น ADVANC ได้ประมาณ 1 หุ้น) เพราะหุ้นที่ใช้สิทธิซื้อไปแล้วจำนวน 1,657,000 หุ้น ตามที่ให้สัมภาษณ์กับ BIZWEEK นั้น ยังน้อยกว่าจำนวน 1,882,333 หุ้น ที่มีสิทธิซื้อได้ในปี 2548 ถ้าสมมติว่าไม่ได้ใช้สิทธิเลยในปีก่อนๆ มาใช้สิทธิซื้อทีเดียวในปี 2548 รายละเอียดตามตารางดังต่อไปนี้:

จากตัวอย่างในกรณีนี้ เรารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ ก.ล.ต. และตลท.ดูเหมือนจะยังไม่ใช้ความพยายามอย่างเป็นอิสระและอย่างสุดความสามารถ ในการพิจารณาความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับดีลการขายชิน คอร์ป

เราขอถาม ก.ล.ต.และ ตลท. สั้นๆ ว่า ท่านใช้กฎหมาย ประกาศ หรือคำสั่ง ก.ล.ต. หรือ ตลท. ฉบับใดในการตัดสินว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้ทำผิดประกาศของ ตลท. และกฎหมาย พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ในข้อหาใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น ADVANC? ท่านจะกล้าบอกว่ายิ่งลักษณ์ ‘มีข้อมูลภายใน’ แต่ ‘ไม่ได้ใช้’ ข้อมูลนั้นในการขายหุ้น กระนั้นหรือ?

ถ้าคำตัดสินของท่านไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับ ตามที่เราสงสัย นั่นหมายความว่า ท่านกำลังละเลยการปฏิบัติหน้าที่ใช่หรือไม่ และในกรณีนั้น ท่านกำลังทำงานเพื่อผลประโยชน์ของใครกันแน่? นักลงทุนทุกรายในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ‘ขาใหญ่’ ผู้มีอิทธิพลรายใดรายหนึ่ง?

"การกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์" ซึ่งท่านมีหน้าที่ป้องกัน สอบสวน และลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเต็มความสามารถ หมายความว่าอะไรกันแน่สำหรับท่าน?

ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่า คำตัดสินของท่านในกรณีนี้ อาจกลายเป็นการสร้าง ‘บรรทัดฐานชั้นเลว’ สำหรับธรรมาภิบาลในตลาดหุ้นไทย เพราะเท่ากับเป็น ‘ใบเบิกทาง’ ให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกรายที่ได้หุ้นจากโครงการ ESOP ขายหุ้นเหล่านั้นได้ตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องสนใจกฎเกณฑ์เรื่อง insider trading อีกต่อไป?

หากท่านต้องการอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลภายในเหล่านี้ในการซื้อขายหุ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนรายย่อย ท่านอาจพิจารณาประกาศใช้กฎเกณฑ์ทำนองเดียวกับกฎ rule 10b5-1 ของ ก.ล.ต.อเมริกา ฉบับแก้ไขตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งกำหนดว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลใดก็ตามที่เป็นไปตามแผนการซื้อขาย (trading plan) ซึ่งมีการตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรกับโบรกเกอร์ของเขาไว้แล้วล่วงหน้า ก่อนที่จะล่วงรู้ข้อมูลภายในที่เป็นสาระสำคัญ จะถือว่าการซื้อขายนั้นไม่เป็นการทำผิดกฎ insider trading

ไม่ใช่เลือกตัดสินในทางที่เราคิดว่ากฎหมายปัจจุบันไม่รองรับ และเสี่ยงต่อการลิดรอนระดับธรรมาภิบาลของตลาดหุ้นไทยในอนาคต

เราขอเสนอให้นักลงทุนรายย่อยทุกรายที่ประสบผลขาดทุนมหาศาลจากการถือหุ้น ADVANC ตั้งแต่ราคา "สูงติดยอดดอย" และจำใจขายหุ้นออกไปในราคา "ไม่ยุติธรรม" สุดแสนต่ำที่กองทุนเทมาเส็กเสนอซื้อ เพราะไม่รู้มาก่อนว่า SHIN จะถูกขายไปให้กับกองทุนเทมาเส็ก และ ADVANC จะถูกทำเทนเดอร์ในราคาต่ำมาก ซึ่งเป็น "ข้อมูลภายใน" ที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และผู้ถือหุ้นในตระกูลชินวัตรคนอื่นๆ รู้ดี ออกมาเรียกร้องให้ ก.ล.ต.ทบทวนคำตัดสินที่ "น่าเกลียดสุดขั้ว" ในครั้งนี้ หรือยื่นคำร้องต่อศาลปกครองว่า ก.ล.ต. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ท้ายที่สุด เราขอเรียกร้องให้ที่ปรึกษาทางการเงิน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ตลอดจนผู้จัดการกองทุนทุกคนที่ตระหนักในจรรยาบรรณของวิชาชีพนักการเงิน รู้ดีว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยถูกรายใหญ่เอาเปรียบอย่างไรตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่เคยออกมาแสดงจุดยืน ให้เบาะแสต่อหน่วยงานรัฐ หรือให้ความรู้กับประชาชนทั่วไป ลองหยุดคิดถึงประโยคอมตะของ Edmund Burke ดูสักครู่

"The only thing necessary for the triumph of evil is for good men to do nothing."

(สิ่งเดียวที่จำเป็นต่อชัยชนะของอธรรมคือ เมื่อคนดีไม่ทำอะไร)

เพราะไม่ว่าภาครัฐจะออกมาตรการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพียงใด ธรรมาภิบาลในตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแท้จริงได้ ตราบใดที่คนผิดผู้ทรงอิทธิพลยังลอยนวล องค์กรกำกับดูแลยังไม่ทำหน้าที่อย่างจริงจัง และมืออาชีพยังปิดปากเงียบยอมที่จะรู้เห็นสนับสนุนในการกระทำที่อาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างและความสุขสบายในชีวิต และไม่ยอมให้คำแนะนำแก่ลูกค้าในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักวิชาชีพของตนเอง

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #1 เมื่อ: 06-05-2007, 19:42 »

ลิงค์เอกสารจาก กลต. ฉบับเต็มครับ

http://capital.sec.or.th/webapp/webnews/news.php?cboType=S&lg=th&news_no=31&news_yy=2550
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
Body&Soul
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 370



« ตอบ #2 เมื่อ: 06-05-2007, 19:56 »

ก.ล.ต. ย่อมาจากกรรมการลักทรัพย์ในตลาดครับ
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #3 เมื่อ: 06-05-2007, 19:59 »

เน้นเปรียบเทียบผลการตรวจสอบของ กลต. กับ พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 241 ครับ

ข้อความจากเอกสาร ข่าว ก.ล.ต. ฉบับที่ 31/2550 วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2550

  (2) การขายหุ้น ADVANC ของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรรมการผู้จัดการของบริษัท ADVANC  ซึ่งขายหุ้น  ADVANC  ในช่วงก่อนที่จะมีการเปิดเผยการขายหุ้น SHIN แก่เทมาเสก  อันเป็นเหตุให้สงสัยว่าเป็นการขายโดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อเอาเปรียบบุคคลอื่นหรือไม่นั้น  จากการตรวจสอบพบว่าการขายหุ้นของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท ADVANC โดยไม่มีตำแหน่งใด ๆ ใน SHIN นั้น มีลักษณะเป็นการขายเฉพาะหุ้น ADVANC ในส่วนที่ได้มาจากสิทธิตามโครงการ ESOP (การขายหุ้นให้กับกรรมการและพนักงานของบริษัท) และเป็นการขายหุ้นทุกครั้งที่ได้สิทธินี้มาตลอดช่วง 2 ปีก่อนหน้านั้น คือ ตั้งแต่ปี 2546 ดังนั้น การขายหุ้นในลักษณะดังกล่าวจึงไม่เข้าองค์ประกอบเป็นการซื้อขายโดยอาศัยข้อมูลภายในตามมาตรา 241 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
 
มาตรา 241 ของ พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

มาตรา 241 (ข้อห้ามการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น) ในการซื้อหรือขายซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ห้ามมิให้บุคคลใดทำการซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย หรือชักชวนให้บุคคลอื่นซื้อหรือขาย หรือเสนอซื้อ หรือเสนอขายซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน และตนได้ล่วงรู้มาในตำแหน่งหรือฐานะเช่นนั้น และไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทำเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น หรือนำข้อเท็จจริงเช่นนั้นออกเปิดเผยเพื่อให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวโดยตนได้รับประโยชน์ตอบแทน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

จะเห็นได้ว่าความใน พรบ.หลักทรัพย์ฯ ระบุชัดเจนว่าห้ามมีส่วนในการซื้อขาย ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก
 
ใช้คำว่า "น่าจะ" แสดงว่าแค่น่าจะก็ไม่ได้แล้ว

ไม่มีการระบุในกฎหมายว่า ถ้าเป็นหุ้นจากโครงการ ESOP แล้วได้รับการยกเว้นให้ซื้อขายได้โดยไม่ผิด
และไม่มีการระบุไว้ด้วยว่า ถ้าเคยซื้อขายมาโดยตลอดแล้วอนุญาตให้ซื้อขายได้โดยไม่ผิด

การอ้างว่าเป็นการขายหุ้น ADVANC ( โดยไม่มีตำแหน่งใด ๆ ใน SHIN) นั้นยิ่งอ้างไม่ได้เลย
เพราะคุณยิ่งลักษณ์เป็นคนขายหุ้น SHIN ในครั้งนั้นด้วยเป็นจำนวนมากมายหลายสิบล้านหุ้น
และการขายหุ้น SHIN เป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้น ADVANC อย่างชัดเจน

การที่คุณยิ่งลักษณ์ขายหุ้นไปได้ที่ราคาร้อยกว่าบาท ครั้งสุดท้ายก่อนดีลขายหุ้น SHIN เพียง 13 วัน
และหลังจากขายหุ้น SHIN ราคาหุ้น ADVANC ที่เทมาเส็คเสนอซื้อเหลือเพียง เจ็ดสิบกว่าบาท
เป็นการเอาเปรียบผู้ที่มาซื้อหุ้นไปจากคุณยิ่งลักษณ์อย่างชัดเจน

และคุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องการขายหุ้น SHIN ตลอดเวลาที่เทขายหุ้น ADVANC ออกมา
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2548 รวมทั้งสิ้นเป็นเงินกว่า 30 ล้านบาทที่ราคากว่า 100 บาทต่อหุ้น

ผมก็ไม่เข้าใจว่างานนี้ไม่ผิดกรณีอินไซด์เดอร์ได้ยังไงเหมือนกัน .. มีกองเชียร์ที่ไหนอธิบายได้ไหมครับ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2007, 20:17 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #4 เมื่อ: 06-05-2007, 20:10 »

บางส่วนจาก "บทวิเคราะห์ 20 ประเด็นหลัก ในดีลเทคโอเวอร์กลุ่มชินคอร์ป" ขอมมหาลัยเทียงคืนครับ

http://www.midnightuniv.org/midnight2545/document95157.html
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ถาม-ตอบ ประเด็นกระบวนการซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน (insider trading) และการเปิดเผยข้อมูล

11) การทยอยขายหุ้น ADVANC ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะมีการประกาศดีลนี้ต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 เข้าข่าย insider trading หรือไม่?

มาตรา 241 (ข้อห้ามการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น) ในพ.ร.บ. หลักทรัพย์ เขียนชัดเจนว่า "ห้ามมิให้บุคคลใดทำการซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย หรือชักชวนให้บุคคลอื่นซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย ซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน และตนได้ล่วงรู้มาในตำแหน่งหรือฐานะเช่นนั้น และไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทำเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น หรือนำข้อเท็จจริงเช่นนั้นออกเปิดเผยเพื่อให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวโดยตนได้รับประโยชน์ตอบแทน"

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้เป็นเพียงผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ADVANC เท่านั้น หากยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น SHIN ที่ขายหุ้นได้กับ Temasek เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ดังนั้นจึงไม่มีทางปฏิเสธว่า ตนไม่รู้เรื่องที่ Temasek จะทำเทนเดอร์หุ้น ADVANC ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดถึง 30% ก่อนวันเซ็นสัญญา

ข้อมูลจากรายการการซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้บริหาร ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 ต่อเนื่องถึงมกราคม 2549 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ยิ่งลักษณ์ ขายหุ้น ADVANC เพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดย "อาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน" คือช่วงก่อนวันที่ 23 มกราคม 2549 ดังกราฟต่อไปนี้ (ปรับราคาหุ้น ADVANC และ SET ให้เท่ากับ 100% ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2548 เพื่อให้สามารถเทียบความเคลื่อนไหวของราคาได้):






คำตอบของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ว่า "การขายหุ้นทุกครั้งมีการแจ้งเรียบร้อย" และ "ถ้าไม่ขายก็ติด silent period ของหุ้น ESOP" จึงฟังไม่ขึ้น เพราะมันไม่ตรงประเด็นทั้งคู่

ประเด็นอยู่ที่ การขายหุ้นกว่า 288,000 หุ้นที่ราคา 103-109 บาท (ซึ่งก็ต้องบอกว่า "แม่น" เหลือเกินที่ขายได้ทั้งหมดช่วงก่อนที่ราคาหุ้น ADVANC จะขึ้นไปสูงสุด แล้วก็หล่นผล็อยลงมาเรื่อยๆ) นั้น เข้าข่าย "การขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน" (insider trading) ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย หรือไม่

ที่อ้างว่า "ถ้าไม่ขายก็ติด silent period ของหุ้น ESOP" นั้น ก็น่าหัวเราะสิ้นดี ก็เพราะคุณจะผิดกฎหมายเรื่อง insider trading น่ะสิ คุณถึงไม่ควรขายหุ้นออกมาช่วงนั้น! ตรงนี้ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า แกล้งโง่หรือโง่จริงๆ กันแน่...

คำ "แก้ตัวแทน" ของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ว่า "เขาก็ซื้อๆ ขายๆ อย่างสม่ำเสมอ" ก็ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน เพราะมันไม่ได้ตอบคำถามว่า ไอ้หุ้นที่ขายไปช่วงนี้ มันผิดกฎหมายหรือไม่


สรุปประเด็นนี้ได้ทางเดียวว่า:

ความถูกต้องทางกฎหมาย: ผิดกฎหมายเรื่อง insider trading 100% เต็มประตู - เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กรณีเดียวที่ยิ่งลักษณ์จะขายหุ้น ADVANC ไป 288,400 หุ้น แล้วไม่ผิดกฎนี้ คือถ้าเธอไม่รู้เรื่องการเจรจาขายหุ้น SHIN ของพี่ชายเลย (หรือหลานชายและหลานสาว ถ้าหากว่าคุณพี่ชายจะยืนยันต่อไปว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นประการใด) อยู่ดีๆ เช้าตรู่ของวันที่ 23 มกราคม 2549 ก็มีคนมาปลุกให้ไปเซ็นสัญญาขายหุ้น SHIN ให้ Temasek เสียดื้อๆ อย่างนั้น... แต่พนันกันไหมว่า ตลท. และกลต. จะไม่กล้าเอาผิดคนนามสกุล "ชินวัตร"?

ความถูกต้องทางศีลธรรม: "น่าเกลียดสุดขั้ว" - อะไรที่มัน "ผิดกฎหมาย" แบบเห็นกันชัดๆ อย่างนี้ ไม่น่าเกลียดธรรมดาแน่นอน
จริงๆ แล้วถ้ากลต. ไม่เอาเรื่องยิ่งลักษณ์ข้อนี้ ก็แปลว่ากฎหมาย insider trading ของเราไม่มีความหมาย ฉีกทิ้งไปเลยดีกว่า


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ถ้าถือตามข้อสรุปจากมหาลัยเที่ยงคืน ตอนนี้เราคงต้องฉีกกฎหมาย insider trading ทิ้งกันจริงๆ แล้วล่ะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2007, 20:12 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
ScaRECroW
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,000


สุสูสัง ลภเต ปัญญัง - ผู้ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 06-05-2007, 22:36 »

น่าจะมีข้อบังคับกำหนดว่า ผู้บริหารขายหุ้นที่ถือในบริษัทตัวเอง หรือบริษัทญาติโกโหติกาตัวเอง ได้ปีละไม่เกิน ครั้งหรือสองครั้ง เปิดช่วงเวลาแต่ละครั้งให้สัก หนึ่งเดือน

แล้วถ้าขายหุ้นแบบขายยกบริษัท ต้องแจ้งสาธารณชนล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน

น่าจะป้องกันอะไรได้บ้าง

บันทึกการเข้า

Politic is nothing but the continuation of [the sin of] 7 by other means.

ท่านคิดว่า นรม. ควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ากฏหมายบางฉบับมีช่องโหว่?
ก.ใช้อำนาจ นรม.ที่ได้รับมาจากประชาชนแก้กฏหมายเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน
ข.ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนรอบข้าง แล้วก็อ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #6 เมื่อ: 06-05-2007, 22:54 »

น่าจะมีข้อบังคับกำหนดว่า ผู้บริหารขายหุ้นที่ถือในบริษัทตัวเอง หรือบริษัทญาติโกโหติกาตัวเอง ได้ปีละไม่เกิน ครั้งหรือสองครั้ง เปิดช่วงเวลาแต่ละครั้งให้สัก หนึ่งเดือน

แล้วถ้าขายหุ้นแบบขายยกบริษัท ต้องแจ้งสาธารณชนล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน

น่าจะป้องกันอะไรได้บ้าง

กลัวว่าออกข้อกำหนดมาจริงๆ ก็จะโดนเลี่ยงอีกสิครับคุณ ScaRECroW

ความจริงแค่ข้อกำหนดเรื่อง insider trading ก็ป้องกันได้หมดแล้วครับ
กฏหมายเขียนไว้รัดกุมดีมากแล้ว แต่ กลต. กลับสรุปผลการตรวจสอบ
โดยไม่อ้างอิงความใน พรบ. อย่างเที่ยงตรงต่างหาก

แต่ผลตรวจสอบออกมาแบบนี้ ผมต้องยอมรับว่าอธิบายไม่ถูกไปเลย
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #7 เมื่อ: 06-05-2007, 23:03 »

อะไรที่ไม่เคยเห็นก็นับเป็นวาสนาที่ได้เห็น ในยุคมารครองเมือง

จนต้องให้คำนิยามว่า "กฎระเบียบมีไว้เพื่อหลีกเลี่ยงเพื่อตัวกรูและพวกพ้อง"
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 06-05-2007, 23:36 »



นักข่าว เอาไมค์ไปจ่อปากถามผู้ที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแล ร้องทุกข์กล่าวโทษ ลงโทษ

ไล่ดูทั้งกระบวนการเลยจะดีไหม? จะได้ทราบได้บ้างว่าใครละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ คดีเหล่านี้ควรให้ไปจบที่ศาล..คือถือว่ายังไม่ถึงที่สุดครับ

อย่าเพิกเฉยท่านที่ไม่เห็นด้วยกับกลต. ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ ต้องหาจุดลงชื่อคัดค้าน หรือกล่าวโทษกันไป ให้ถึงที่สุด

มันเกี่ยวพันกับนักการเมืองรายใหญ่ ที่เป็นผู้ถูกกล่าวหา ในหลายๆคดีครับ  ขนาดคนรถ คนสวน แม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก ยังนำหุ้นไปฝากไว้ได้เลย..

นับประสาอะไรเวลาญาติพีน้องจะขายหุ้นกัน จะไม่ทราบ หากถึงขั้นสอบสวนในแต่ละขั้นตอน แต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีการเบิกความเท็จหรือมีเจตนาปกปิดที่ใด ก็เอาผิดทุกคนได้อยู่แล้วครับ


เรื่องระดับประเทศ รัฐบาลรักษาการและคมช. ต้องถือเป็นนโยบาย สั่งการลงไปยังทุกหน่วยงานให้เข้มงวด เร่งรัด อย่าเพิกเฉย โดยไม่ต้องไว้หน้าใครทั้งสิ้น.. 
บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 06-05-2007, 23:45 »




คือหากรัฐบาลรักษาการ และคมช.ต้องการปราบ คอร์รัปชั่น ผมว่าต้องทำเดี๋ยวนี้และทุกวันครับ

จะต้องหาทางปิดช่องว่างรอยโหว่ บุคคลากรเน่า ทั้งหมดไปพร้อมกัน คดีใดควรทำเป็นคดีนำร่องและตัวอย่างก็ว่ากันต่อไป ไม่ต้องไปฟังเสียงนกเสียงกาที่ไม่เกี่ยวข้องครับ...

กฎหมายล้าสมัย ก็สมควรแก้ไขเพื่อวันข้างหน้าก็ได้..อาชญากรธุรกิจการเมืองถ้าใช้กฎหมายเหมือนคนปกติ เอาไม่อยู่หรอกครับ พวกนี้ลูกน้องหาเลี้ยงนาย นายเอื้อประโยชน์ให้ลูกน้อง

                                                                                                                                                                                                                        
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2007, 23:57 โดย ********Q******** » บันทึกการเข้า

ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #10 เมื่อ: 06-05-2007, 23:54 »

หากสังคมไทยยังปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำและเลือกปฎิบัติ

ของผู้รักษากฎระเบียบอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันและไม่สามารถหาบทลงโทษ

ได้อย่างชัดเจนและเด็ดขาด หากมองไปในอนาคตข้างหน้าเราจะคาดหวังกับความยุติธรรม

หรือระบบธรรมาธิปไตยได้อย่างไร
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #11 เมื่อ: 07-05-2007, 00:08 »

อะไรที่ไม่เคยเห็นก็นับเป็นวาสนาที่ได้เห็น ในยุคมารครองเมือง

จนต้องให้คำนิยามว่า "กฎระเบียบมีไว้เพื่อหลีกเลี่ยงเพื่อตัวกรูและพวกพ้อง"


ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือเราได้เห็นเรื่องนี้ตอนที่คิดว่าไล่มารไปจากเมืองได้แล้วน่ะสิครับ

ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ยังมีพี่ชายเป็นนายกฯ อยู่ (ไม่ใช่หมายถึงนายกสมาคมชาวไร่แห้วนะครับ)
ผมคงจะงงน้อยกว่านี้ และทำใจยอมรับได้มากกว่านี้ว่าอาจมีความกลัวเกรงอำนาจมืด

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี่ผมว่าเหมือนกับตบหน้า รัฐบาลและ คมช. เลยนะว่าจะปกป้องเสียอย่าง
มีอะไรข้องใจไหม .. (ยักคิ้ว แลบลิ้น หัวเราะ ทำหน้าล้อเลียนประกอบอีกหน่อย  )


หากสังคมไทยยังปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำและเลือกปฎิบัติ

ของผู้รักษากฎระเบียบอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันและไม่สามารถหาบทลงโทษ

ได้อย่างชัดเจนและเด็ดขาด หากมองไปในอนาคตข้างหน้าเราจะคาดหวังกับความยุติธรรม

หรือระบบธรรมาธิปไตยได้อย่างไร


แล้วแบบนี้คดีอื่นๆ ที่มันกำกวมไม่ชัดเจนเด็ดขาดแบบนี้ ยังจะมีลุ้นกันได้ไหมครับนี่?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2007, 00:10 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #12 เมื่อ: 07-05-2007, 00:39 »


นักข่าว เอาไมค์ไปจ่อปากถามผู้ที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแล ร้องทุกข์กล่าวโทษ ลงโทษ

ไล่ดูทั้งกระบวนการเลยจะดีไหม? จะได้ทราบได้บ้างว่าใครละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ คดีเหล่านี้ควรให้ไปจบที่ศาล..คือถือว่ายังไม่ถึงที่สุดครับ

อย่าเพิกเฉยท่านที่ไม่เห็นด้วยกับกลต. ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ ต้องหาจุดลงชื่อคัดค้าน หรือกล่าวโทษกันไป ให้ถึงที่สุด

มันเกี่ยวพันกับนักการเมืองรายใหญ่ ที่เป็นผู้ถูกกล่าวหา ในหลายๆคดีครับ  ขนาดคนรถ คนสวน แม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก ยังนำหุ้นไปฝากไว้ได้เลย..

นับประสาอะไรเวลาญาติพีน้องจะขายหุ้นกัน จะไม่ทราบ หากถึงขั้นสอบสวนในแต่ละขั้นตอน แต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีการเบิกความเท็จหรือมีเจตนาปกปิดที่ใด ก็เอาผิดทุกคนได้อยู่แล้วครับ


เรื่องระดับประเทศ รัฐบาลรักษาการและคมช. ต้องถือเป็นนโยบาย สั่งการลงไปยังทุกหน่วยงานให้เข้มงวด เร่งรัด อย่าเพิกเฉย โดยไม่ต้องไว้หน้าใครทั้งสิ้น.. 

ผมนึกถึงคำถามที่จะไปถามพวกผู้เกี่ยวข้องดูนะครับ .. น่าจะถามตรงประเด็นไปเลยว่า

"กรณีการขายหุ้น ADVANC คุณยิ่งลักษณ์น่าจะเอาเปรียบบุคคลภายนอกหรือเปล่า?"

ถ้ายังตะแบงตอบมาได้ว่าไม่เอาเปรียบบุคคลภายนอก ก็ต้องเจอคำถามประมาณนี้

"ถ้าคนที่โดนคุณยิ่งลักษณ์หลอกขายหุ้น ADVANC ให้ที่ราคาร้อยกว่าบาท
รู้ว่าอีกสิบกว่าวันจะเหลือราคาเจ็ดสิบกว่าบาท เขาจะซื้อหุ้นคุณยิ่งลักษณ์ไหม?"


ยังไม่พอมีอีกคำถาม ถ้ายังพยายามแกล้งโง่อยู่..

"ถ้าคนที่ถือหุ้น ADVANC อยู่ตอนที่คุณยิ่งลักษณ์ขายหุ้นรู้ว่าตระกูลชินวัตรจะขายหุ้น SHIN ทิ้ง
เขาจะชิงขายหุ้น ADVANC ทิ้งตามคุณยิ่งลักษณ์ไหม?"


...

และขอให้สังเกตนะครับว่า คุณยิ่งลักษณ์ใช้สิทธิ ESOP ซื้อหุ้น ADVANC มาแค่หุ้นละสี่สิบกว่าบาทเท่านั้น
ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ถือมารยาทที่ตัวเป็น insider ขายหุ้นหลังจากดีลเทมาเส็คก็ยังมีกำไรถึงเกือบ 1 เท่าตัว
แต่กลับชิงขายเพื่อฟันกำไรสูงสุด และขายหุ้นไปกว่า 90% ของที่ใช้สิทธิ ESOP ซื้อมา

เปรียบเทียบกับกรณีคุณสมประสงค์ บุญยะชัย ผู้บริหาร ADVANC อีกท่านหนึ่งที่ขายหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันเพียง 2 หมื่นหุ้น
และภายหลังดีลเทมาเส็ค ได้ขายหุ้นจากสิทธิ ESOP ที่เหลือออกมาด้วยราคาเพียงเจ็ดสิบกว่าบาทเท่านั้น และคุณสมประสงค์
ไม่ได้เป็นผู้ขายหุ้น SHIN ในดีลครั้งนั้นอีกด้วย  การขาย 2 หมื่นหุ้นดังกล่าวนี้ครับที่ไม่ใช่ insider trading แตกต่างกันชัดเจน
ถ้า กลต. จะบอกว่าการขายหุ้นของคุณยิ่งลักษณ์เหมือนกับของคุณสมประสงค์ถือว่ายอมรับคำตัดสินไม่ได้ครับ

...

ตอนนี้ก็ลุ้นให้มีคนที่เสียประโยชน์ถูกเอาเปรียบจากกรณีนี้เพราะไม่รู้มาก่อนว่า SHIN จะถูกขายไปให้กับกองทุนเทมาเส็ก
และ ADVANC จะถูกทำเทนเดอร์ในราคาต่ำมาก ซึ่งเป็น "ข้อมูลภายใน" ที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และผู้ถือหุ้นในตระกูลชินวัตรคนอื่นๆ รู้ดี
ออกมาเรียกร้องให้ ก.ล.ต.ทบทวนคำตัดสินที่ "น่าเกลียดสุดขั้ว" นี้ หรือยื่นคำร้องต่อศาลปกครองว่า ก.ล.ต. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2007, 01:03 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #13 เมื่อ: 07-05-2007, 00:42 »

แล้วแบบนี้คดีอื่นๆ ที่มันกำกวมไม่ชัดเจนเด็ดขาดแบบนี้ ยังจะมีลุ้นกันได้ไหมครับนี่?


หากคนที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องทั้งหลายทั้งปวงนี้

ละเลยที่จะปฎิบํติให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้องและควรจะเป็น

ก็ถือว่าไม่ต่างอะไรกับยอมหลับตาข้างหนึ่งให้กับความชั่วร้าย

ที่จะกัดกร่อนความเชื่อถือและความเชื่อมั่นในกฎหมาย และเมื่อนั้น

"ลัทธิเอาอย่าง"ที่จะหลีกเลี่ยงกฎระเบียบ จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #14 เมื่อ: 07-05-2007, 00:50 »

ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือเราได้เห็นเรื่องนี้ตอนที่คิดว่าไล่มารไปจากเมืองได้แล้วน่ะสิครับ


ผมไม่คิดว่าแค่ไล่ทักษิณไปคนเดียว แล้วระบอบทักษิณมันจะสิ้นฤทธ์ิไปได้ง่ายๆ หรอกครับ
เหมือนก้อนมะเร็งถึงถูกตัดทิ้งไปก็ยังเหลือเชื้อเหลือเซล์ให้โรคร้ายกำเริบได้ตลอดเวลา
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #15 เมื่อ: 07-05-2007, 01:13 »

ผมไม่คิดว่าแค่ไล่ทักษิณไปคนเดียว แล้วระบอบทักษิณมันจะสิ้นฤทธ์ิไปได้ง่ายๆ หรอกครับ
เหมือนก้อนมะเร็งถึงถูกตัดทิ้งไปก็ยังเหลือเชื้อเหลือเซล์ให้โรคร้ายกำเริบได้ตลอดเวลา

ถือเสียว่าเป็นหลักฐานยืนยันการหลงเหลืออยู่ของเซลล์มะเร็งร้าย
พวกเราจะได้ตระหนักรู้ตัวไม่ประมาทกันดีไหมครับ

ว่าแต่บรรดา "กองเชียร์ชิน' ทั้งหลายไม่มีคำอธิบายเรื่องนี้
มาถกเถียงหักล้างประเด็นในกระทู้บ้างเลยหรือครับ?


ธรรมดาแล้วต้องมีเข้ามาบ้างนี่นา .. แบบนี้ กลต. ไม่มีพวกคงเหงาแย่ 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล. กระทู้เรื่อง "ทักษิณจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อสโมสรฟุตบอล" ก็ไม่เห็น 'กองเชียร์ชิน'
      เข้ามาอธิบายอะไรเลยเหมือนกัน ยังสงสัยว่าผมถามอะไรยากเกินไปหรือเปล่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2007, 01:18 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
หน้า: [1]
    กระโดดไป: