ท่านนายกให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับวันวาเลนไทม์ได้ประทับใจมาก----
..... " ผมเป็นคนนับถือศาสนาพุทธ ขอส่งความสุข ความรักในวัน
มาฆบูชาก็แล้วกัน. "......
อีกประโยคหนึ่ง
... " หัวใจที่เป็นธรรม หัวใจที่เป็นสุภาพบุรุษ หัวใจที่เป็นสุภาพสตรี "....
......................................................................................................
ทุกวันนี้ ที่เราบอกว่า เรานับถือศาสนาพุทธ เราสัญชาติไทย เชื้อชาติไทย
เราเป็นแค่ในนามตามตัวอักษรในทะเบียนบ้านหรือเปล่า และยิ่งปัจจุบันนี้ จะพยายาม
ให้ใส่ คำว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติไทยเข้าไปอีก ตกลงตัวศาสนา
คือตัวพระธรรม ที่จะต้องนำมาปฏิบัติ ให้เกิดขึ้นกับตัวบุคคล หรือเป็นกฏหมายใช้
มาบังคับตน ให้เป็นคนดี จะเป็นคนดีทั้งที ต้องเอากฏหมายมาบังคับ ใช่คนหรือนี่
ชักงง เหมือนกันนะ
คำว่า อินเตอร์ ฯ
คำว่า อินเทร็น ที่เรามักจะนำมากล่าวอ้างกัน ทำให้ชาติตะวันตกกลืนพวกเรา
ไปโดยไม่รู้ตัว ประเพณีไทยๆ เช่น วันสาร์ท การทำบุญเดือนสิบ วันมาฆบูชา
วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา ฯลฯ เราเคยให้ความสำคัญเท่ากับวันวาเลนไทม์
วันคริสตมาส หรือเปล่า ลองทบทวนดู การที่ผู้นำระดับประเทศ กล้าหาญชาญ
ชัย ออกมาให้สัมภาษณ์เช่นนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีมาก เมื่อหัวเน้นย้ำอย่างนี้
ดูซิว่าใครคนไหน ยังไม่ให้ความสำคัญของความเป็นไทยๆๆ หัวใจเป็นธรรม
บ้าง-
-----------------------------------------------------------------------------------
อะไรๆ ก็ต้องเอากฏหมายมาบังคับซะหมด ต้องถามใจตนเองว่า ทุกวันนี้
เราเป็นคน ที่เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งที่อยู่ในโลก หรือหุ่นยนต์
ที่ต้องมีกลไกมาบังคับ ให้เดิน ให้นั่ง ให้ยืน เรายืน เรานั่ง เราเดิน ด้วย
สติสะมปชัญญะของเรามิใช่เหรอ
---------------------------------------------------------------------------------------
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพลเอกธงชัย เกื้อสกุล เลขาธิการของกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนา
เป็นศาสนาประจำชาติ ที่ได้ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงว่าเครือข่ายธรรมกายเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน เสบียงอาหาร และผู้คน
ในการชุมนุมเรียกร้องครั้งนี้
เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวธรรมกายได้ชี้แจงว่าสิ่งที่นำมาเปิดเผยนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีเสียงจากธรรมกาย
ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
ความกังขาสงสัยจึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในยุครัฐบาลก่อนนั้นก็เคยปรากฏว่ามีการใช้บริเวณวัดพระธรรมกายเป็นแหล่ง
ชุมนุมหรือการจัดสัมมนาให้กับกลไกเครือข่ายของพรรคไทยรักไทย
ดังนั้นเรื่องนี้วัดพระธรรมกายจึงต้องอยู่ในข่ายที่จะถูกเพ่งเล็งว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ส่วนจะเป็นเรื่อง
ที่เป็นผลดีหรือไม่เป็นผลดีก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่ากันต่อไป
ถัดมาก็ต้องติงเกี่ยวกับวิธีการในการชุมนุมเรียกร้องที่ไปกะเกณฑ์เอาพระสงฆ์จำนวนหนึ่งมาเดินขบวน ตลอดจนขี่ช้างทำนอง
จะออกศึก จนกระทั่งการพูดจาไฮปาร์คด้วยถ้อยคำที่รุนแรงว่าเป็นเรื่องที่คณะสงฆ์ไทยจะต้องพิจารณาว่าการกระทำเช่นนี้เป็นวิถีทาง
ในพระพุทธศาสนาหรือไม่
มหาเถรสมาคมและคณะสงฆ์จะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร จะเห็นว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยคำสอนในพระพุทธศาสนาที่
จะต้องสนับสนุนกัน หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอันจะต้องได้รับการแก้ไข
เพราะเป็นเรื่องค้างคาใจในหมู่ชาวพุทธ เนื่องจากความตระหนักในคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่าพระพุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์
และความดับทุกข์ ยิ่งเป็นพระสงฆ์แล้วต้องห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับการเมือง
พระพุทธเจ้าทรงตำหนิติเตียนพระสงฆ์ที่พูดจาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองว่าเป็นการพูดแบบเดรัจฉาน คือเป็นการกล่าวเดรัจฉานกถา
หรือเป็นเดรัจฉานกิริยา เป็นต้น
ดังนั้นชาวพุทธแท้จึงไม่สบายใจในการที่พระไปไฮปาร์คหรือขี่ช้างประท้วงราวกับจะทำศึก เพราะตรงกับคำติเตียนของพระพุทธ
เจ้าว่านี่คือการกล่าวเดรัจฉานกถา หรือเป็นการกระทำเดรัจฉานกิริยา แล้วคณะสงฆ์ตลอดจนมหาเถรสมาคมจะว่าอย่างไร?
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวพุทธจะปล่อยให้ผ่านไปตามสายลมไม่ได้อีกแล้ว มิฉะนั้นพระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมเสียหายในราชอาณา
จักรไทยนี้เป็นแน่แท้
พระสงฆ์มาเที่ยวเดินขบวนเป็นเรื่องของเดรัจฉานกิริยา แต่กลับบิดเบือนเป็นว่าการกระทำเช่นนั้นคือธรรมยาตรา
ซึ่งเป็นคนละเรื่อง ธรรมยาตราเป็นเรื่องของการเดินทางประกาศพระศาสนา เผยแผ่พรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ในพระพุทธศาสนา
เป็นเรื่องของการปล่อยปละละวาง ไม่ใช่การแสวงหาเรียกร้องดังที่ทำอยู่
ถัดมาก็เป็นเรื่องเนื้อหาของเรื่อง คือการบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ ราวกับว่าการที่
บัญญัติหรือไม่บัญญัติเกี่ยวกับความมั่นคงรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด
พระบรมศาสดาตรัสไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองหรือร่วงโรยดับสูญ ไม่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอื่น
แต่ขึ้นอยู่กับบริษัทสี่ว่ายังปฏิบัติตรงมั่นคงในพระธรรมวินัยหรือไม่ หากมีอยู่ พระพุทธศาสนาและพระอรหันต์ก็ไม่สิ้นไปจากโลก
แต่หากไม่มีอยู่แล้วนั่นแหละคือความสิ้นสลายของพระพุทธศาสนา
ตลอดโพธิกาลและนับแต่ปรินิพพานกาลเป็นต้นมา ชาวพุทธก็ไม่เคยปรารถนาต้องการให้มีการบัญญัติรองรับไว้ในรัฐธรรม
นูญหรือกฎหมายว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่มุ่งเน้นในการเผยแพร่ ในการศึกษา ในการประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์
อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ตามคำสอนแห่งพระบรมศาสดา
เหตุนี้พระพุทธศาสนาจึงสืบทอดต่อเนื่องมามิขาดสาย แต่ไฉนเล่าชาวพุทธบางกลุ่มจึงไม่ตระหนัก ไม่คำนึงถึงเรื่องนี้
ละเสียซึ่งสมณะวิสัยและพระธรรมวินัย ไปประพฤติตามแบบอย่างของฆราวาสอันเป็นฝ่ายต่ำ ทำให้เสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา
เป็นอย่างยิ่ง
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ การจะมีบัญญัติหรือไม่บัญญัติเรื่องใดต้องมีผลบังคับใช้และมีความหมายที่ชัดเจน
ทั้งปฏิบัติได้จริง มิฉะนั้นแล้วก็จะกลายเป็นบัญญัติแบบไร้ความหมายเหมือนกับการผายลม ซึ่งเป็นไปไม่ได้
เรามาดูกันว่าหากมีบัญญัติว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว จะมีความหมายอย่างไร จะประพฤติปฏิบัติได้หรือไม่
และมีผลบังคับอย่างไร
ในเรื่องความหมาย จะหมายความว่าอย่างไร คือจะหมายความว่าประชาชนทั้งประเทศนี้ต้องเป็นชาวพุทธทั้งหมด หรือว่า
ต้องบวชเป็นพระทั้งหมด หรือว่าต้องใช้ศีลแทนกฎหมาย หรือว่าการปกครองประเทศต้องอาศัยพระธรรมวินัย หรือใช้ศีล 227 เป็นกฎหมาย
ช่วยตอบถึงความหมายกันหน่อยว่าจะให้หมายความว่าอย่างไร เพราะถ้อยคำใดที่มีบัญญัติในกฎหมายนั้นต้องมีความหมาย
ที่ชัดเจน จะบัญญัติเพียงแค่ตอบสนองต่ออารมณ์หรือความอยาก โดยที่อารมณ์หรือความอยากนั้นก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
ย่อมเป็นไปไม่ได้
จากนั้นก็มาพิจารณาดูกันว่าจะมีบทบังคับอย่างไรที่จะให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
คือจะบังคับการเรียน การสอน การกำหนดระเบียบแบบแผนทั้งหลายให้ใช้พระธรรมวินัยหรือให้ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์
อันบริสุทธิ์ หรือบังคับให้แนวนโยบายแห่งรัฐต้องไปสู่พระนิพพานหรืออย่างไร
จะบังคับพระสงฆ์องคเจ้าอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับความหมายที่จะบัญญัติว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
การต้องอาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส และอาบัติปาจิตตี ซึ่งเป็นอาบัติหนัก จะว่ากันอย่างไร จะแค่ให้หมดภาวะภิกษุใ
นกรณีปาราชิก หรือเอากันแค่ลงโทษทางพระวินัย หรือจะให้มีบทลงโทษทางอาญา และจะเอากันถึงขนาดไหน ไหนลองว่ากันดูหน่อยเถิด
จะบังคับอย่างไรเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกฎหมายหากไร้ผลบังคับก็ไม่ใช่กฎหมาย และไม่มีประโยชน์ที่จะบัญญัติไว้
ในประการสุดท้าย ก็ต้องพิจารณากันที่ผลซึ่งจะเกิดขึ้นว่าจะเป็นอย่างไร เพราะความจริงของประเทศไทยนั้นประกอบขึ้น
จากชนหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา จะบัญญัติสิ่งใดก็ต้องมีลักษณะทั่วไป จะไปแบ่งแยกหรือกีดกันไม่ได้
หากจะถือว่าประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธแล้ว เหตุผลเดียวกันนี้หากเกิดมีคนอ้างขึ้นในพื้นที่ชายแดน
ภาคใต้ว่าพื้นที่นั้นประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ขอให้มีบัญญัติบ้างว่าพื้นที่นั้นมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำถิ่น
แล้วจะตอบกันว่าอย่างไร
การบัญญัติเรื่องนี้จะได้ผลอะไรบ้าง จะทำให้พระอรหันต์บังเกิดขึ้นได้หรือ จะทำให้พระสงฆ์เกรงกลัวละเว้นการกระทำอัน
เป็นอาบัติตามพระวินัยหรือ จะทำให้พระสงฆ์ศึกษาปฏิบัติพระธรรมวินัยและมีความบริสุทธิ์บริบูรณ์ในพรหมจรรย์กระนั้นหรือ
ไม่ใช่เลย ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กันเลย เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนมีเหตุมีปัจจัยและเกิดขึ้นจากการศึกษาปฏิบัติตาม
แนวทางที่พระบรมศาสดาได้ทรงวางหลักไว้แล้ว ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับรัฐธรรมนูญเลย
อย่าเที่ยวอ้างประเทศลังกาเป็นแบบอย่างว่าเขาก็มีบัญญัติในเรื่องนี้ แล้วผลเป็นอย่างไรล่ะ? ไม่เห็นหรือว่าสงคราม
กลางเมืองกำลังเกิดขึ้นในลังกาและกำลังจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศอยู่แล้ว
ที่กล่าวมาทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะคัดค้านหรือสนับสนุนในเรื่องนี้ แต่ในฐานะที่เป็นชาวพุทธที่มั่นคงอยู่ในคำสอนของ
พระบรมศาสดา ก็ต้องหมั่นใคร่ครวญพิจารณาหาเหตุหาปัจจัย หาเหตุหาผลของเรื่องที่จะทำกันว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่
ปล่อยให้กระแสหรือโมหะจริตของบางคนชักพาไปจนเกิดความเสียหายใหญ่หลวงขึ้นในบ้านเมือง.
ที่มาจาก
ผู้จัดการ
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2007/05/03/entry-1