ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 17:07
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ฤาว่า เป็นเพราะคนๆเดียว คนเลยต้องนับถือศาสนาพุทธตามรัฐธรรมนูญ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ฤาว่า เป็นเพราะคนๆเดียว คนเลยต้องนับถือศาสนาพุทธตามรัฐธรรมนูญ  (อ่าน 1007 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 03-05-2007, 10:01 »

ท่านนายกให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับวันวาเลนไทม์ได้ประทับใจมาก----


.....   " ผมเป็นคนนับถือศาสนาพุทธ  ขอส่งความสุข ความรักในวัน

มาฆบูชาก็แล้วกัน. "......


อีกประโยคหนึ่ง


...  "  หัวใจที่เป็นธรรม  หัวใจที่เป็นสุภาพบุรุษ  หัวใจที่เป็นสุภาพสตรี  "....

......................................................................................................


    ทุกวันนี้  ที่เราบอกว่า  เรานับถือศาสนาพุทธ  เราสัญชาติไทย  เชื้อชาติไทย

เราเป็นแค่ในนามตามตัวอักษรในทะเบียนบ้านหรือเปล่า   และยิ่งปัจจุบันนี้  จะพยายาม

ให้ใส่ คำว่า  ศาสนาพุทธ  เป็นศาสนาประจำชาติไทยเข้าไปอีก  ตกลงตัวศาสนา

 คือตัวพระธรรม  ที่จะต้องนำมาปฏิบัติ ให้เกิดขึ้นกับตัวบุคคล  หรือเป็นกฏหมายใช้

มาบังคับตน  ให้เป็นคนดี  จะเป็นคนดีทั้งที  ต้องเอากฏหมายมาบังคับ  ใช่คนหรือนี่

ชักงง  เหมือนกันนะ

 

 คำว่า  อินเตอร์ ฯ

คำว่า  อินเทร็น   ที่เรามักจะนำมากล่าวอ้างกัน  ทำให้ชาติตะวันตกกลืนพวกเรา

ไปโดยไม่รู้ตัว  ประเพณีไทยๆ  เช่น วันสาร์ท  การทำบุญเดือนสิบ  วันมาฆบูชา

วันวิสาขบูชา  วันอาสาฬหบูชา  ฯลฯ  เราเคยให้ความสำคัญเท่ากับวันวาเลนไทม์

วันคริสตมาส  หรือเปล่า  ลองทบทวนดู  การที่ผู้นำระดับประเทศ  กล้าหาญชาญ

ชัย  ออกมาให้สัมภาษณ์เช่นนี้  ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีมาก  เมื่อหัวเน้นย้ำอย่างนี้

ดูซิว่าใครคนไหน  ยังไม่ให้ความสำคัญของความเป็นไทยๆๆ  หัวใจเป็นธรรม

บ้าง
-

-----------------------------------------------------------------------------------

อะไรๆ  ก็ต้องเอากฏหมายมาบังคับซะหมด  ต้องถามใจตนเองว่า  ทุกวันนี้

เราเป็นคน  ที่เป็นธรรมชาติ  เป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งที่อยู่ในโลก  หรือหุ่นยนต์

ที่ต้องมีกลไกมาบังคับ  ให้เดิน  ให้นั่ง  ให้ยืน  เรายืน  เรานั่ง  เราเดิน  ด้วย

สติสะมปชัญญะของเรามิใช่เหรอ

 

---------------------------------------------------------------------------------------

 

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพลเอกธงชัย เกื้อสกุล เลขาธิการของกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนา
เป็นศาสนาประจำชาติ ที่ได้ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงว่าเครือข่ายธรรมกายเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน เสบียงอาหาร และผู้คน
 ในการชุมนุมเรียกร้องครั้งนี้
       
       เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวธรรมกายได้ชี้แจงว่าสิ่งที่นำมาเปิดเผยนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีเสียงจากธรรมกาย
ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
       
       ความกังขาสงสัยจึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในยุครัฐบาลก่อนนั้นก็เคยปรากฏว่ามีการใช้บริเวณวัดพระธรรมกายเป็นแหล่ง
ชุมนุมหรือการจัดสัมมนาให้กับกลไกเครือข่ายของพรรคไทยรักไทย
       
       ดังนั้นเรื่องนี้วัดพระธรรมกายจึงต้องอยู่ในข่ายที่จะถูกเพ่งเล็งว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ส่วนจะเป็นเรื่อง
ที่เป็นผลดีหรือไม่เป็นผลดีก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่ากันต่อไป
       
       ถัดมาก็ต้องติงเกี่ยวกับวิธีการในการชุมนุมเรียกร้องที่ไปกะเกณฑ์เอาพระสงฆ์จำนวนหนึ่งมาเดินขบวน ตลอดจนขี่ช้างทำนอง
จะออกศึก จนกระทั่งการพูดจาไฮปาร์คด้วยถ้อยคำที่รุนแรงว่าเป็นเรื่องที่คณะสงฆ์ไทยจะต้องพิจารณาว่าการกระทำเช่นนี้เป็นวิถีทาง
ในพระพุทธศาสนาหรือไม่
       
       มหาเถรสมาคมและคณะสงฆ์จะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร จะเห็นว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยคำสอนในพระพุทธศาสนาที่
จะต้องสนับสนุนกัน หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอันจะต้องได้รับการแก้ไข
       
       เพราะเป็นเรื่องค้างคาใจในหมู่ชาวพุทธ เนื่องจากความตระหนักในคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่าพระพุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์
และความดับทุกข์ ยิ่งเป็นพระสงฆ์แล้วต้องห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับการเมือง
       
       พระพุทธเจ้าทรงตำหนิติเตียนพระสงฆ์ที่พูดจาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองว่าเป็นการพูดแบบเดรัจฉาน คือเป็นการกล่าวเดรัจฉานกถา
 หรือเป็นเดรัจฉานกิริยา เป็นต้น
       
       ดังนั้นชาวพุทธแท้จึงไม่สบายใจในการที่พระไปไฮปาร์คหรือขี่ช้างประท้วงราวกับจะทำศึก เพราะตรงกับคำติเตียนของพระพุทธ
เจ้าว่านี่คือการกล่าวเดรัจฉานกถา หรือเป็นการกระทำเดรัจฉานกิริยา แล้วคณะสงฆ์ตลอดจนมหาเถรสมาคมจะว่าอย่างไร?
       
       เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวพุทธจะปล่อยให้ผ่านไปตามสายลมไม่ได้อีกแล้ว มิฉะนั้นพระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมเสียหายในราชอาณา
จักรไทยนี้เป็นแน่แท้
       
       พระสงฆ์มาเที่ยวเดินขบวนเป็นเรื่องของเดรัจฉานกิริยา แต่กลับบิดเบือนเป็นว่าการกระทำเช่นนั้นคือธรรมยาตรา
 ซึ่งเป็นคนละเรื่อง ธรรมยาตราเป็นเรื่องของการเดินทางประกาศพระศาสนา เผยแผ่พรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ในพระพุทธศาสนา
 เป็นเรื่องของการปล่อยปละละวาง ไม่ใช่การแสวงหาเรียกร้องดังที่ทำอยู่
       
       ถัดมาก็เป็นเรื่องเนื้อหาของเรื่อง คือการบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ ราวกับว่าการที่
บัญญัติหรือไม่บัญญัติเกี่ยวกับความมั่นคงรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด
       
       พระบรมศาสดาตรัสไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองหรือร่วงโรยดับสูญ ไม่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอื่น
 แต่ขึ้นอยู่กับบริษัทสี่ว่ายังปฏิบัติตรงมั่นคงในพระธรรมวินัยหรือไม่ หากมีอยู่ พระพุทธศาสนาและพระอรหันต์ก็ไม่สิ้นไปจากโลก
แต่หากไม่มีอยู่แล้วนั่นแหละคือความสิ้นสลายของพระพุทธศาสนา
       
       ตลอดโพธิกาลและนับแต่ปรินิพพานกาลเป็นต้นมา ชาวพุทธก็ไม่เคยปรารถนาต้องการให้มีการบัญญัติรองรับไว้ในรัฐธรรม
นูญหรือกฎหมายว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่มุ่งเน้นในการเผยแพร่ ในการศึกษา ในการประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์
อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ตามคำสอนแห่งพระบรมศาสดา
       
       เหตุนี้พระพุทธศาสนาจึงสืบทอดต่อเนื่องมามิขาดสาย แต่ไฉนเล่าชาวพุทธบางกลุ่มจึงไม่ตระหนัก ไม่คำนึงถึงเรื่องนี้
ละเสียซึ่งสมณะวิสัยและพระธรรมวินัย ไปประพฤติตามแบบอย่างของฆราวาสอันเป็นฝ่ายต่ำ ทำให้เสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา
เป็นอย่างยิ่ง
       
       รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ การจะมีบัญญัติหรือไม่บัญญัติเรื่องใดต้องมีผลบังคับใช้และมีความหมายที่ชัดเจน
 ทั้งปฏิบัติได้จริง มิฉะนั้นแล้วก็จะกลายเป็นบัญญัติแบบไร้ความหมายเหมือนกับการผายลม ซึ่งเป็นไปไม่ได้
       
       เรามาดูกันว่าหากมีบัญญัติว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว จะมีความหมายอย่างไร จะประพฤติปฏิบัติได้หรือไม่
 และมีผลบังคับอย่างไร
       
       ในเรื่องความหมาย จะหมายความว่าอย่างไร คือจะหมายความว่าประชาชนทั้งประเทศนี้ต้องเป็นชาวพุทธทั้งหมด หรือว่า
ต้องบวชเป็นพระทั้งหมด หรือว่าต้องใช้ศีลแทนกฎหมาย หรือว่าการปกครองประเทศต้องอาศัยพระธรรมวินัย หรือใช้ศีล 227 เป็นกฎหมาย
       
       ช่วยตอบถึงความหมายกันหน่อยว่าจะให้หมายความว่าอย่างไร เพราะถ้อยคำใดที่มีบัญญัติในกฎหมายนั้นต้องมีความหมาย
ที่ชัดเจน จะบัญญัติเพียงแค่ตอบสนองต่ออารมณ์หรือความอยาก โดยที่อารมณ์หรือความอยากนั้นก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
 ย่อมเป็นไปไม่ได้
       
       จากนั้นก็มาพิจารณาดูกันว่าจะมีบทบังคับอย่างไรที่จะให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
       
       คือจะบังคับการเรียน การสอน การกำหนดระเบียบแบบแผนทั้งหลายให้ใช้พระธรรมวินัยหรือให้ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์
อันบริสุทธิ์ หรือบังคับให้แนวนโยบายแห่งรัฐต้องไปสู่พระนิพพานหรืออย่างไร
       
       จะบังคับพระสงฆ์องคเจ้าอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับความหมายที่จะบัญญัติว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
       
       การต้องอาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส และอาบัติปาจิตตี ซึ่งเป็นอาบัติหนัก จะว่ากันอย่างไร จะแค่ให้หมดภาวะภิกษุใ
นกรณีปาราชิก หรือเอากันแค่ลงโทษทางพระวินัย หรือจะให้มีบทลงโทษทางอาญา และจะเอากันถึงขนาดไหน ไหนลองว่ากันดูหน่อยเถิด
       
       จะบังคับอย่างไรเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกฎหมายหากไร้ผลบังคับก็ไม่ใช่กฎหมาย และไม่มีประโยชน์ที่จะบัญญัติไว้
       
       ในประการสุดท้าย ก็ต้องพิจารณากันที่ผลซึ่งจะเกิดขึ้นว่าจะเป็นอย่างไร เพราะความจริงของประเทศไทยนั้นประกอบขึ้น
จากชนหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา จะบัญญัติสิ่งใดก็ต้องมีลักษณะทั่วไป จะไปแบ่งแยกหรือกีดกันไม่ได้
       
       หากจะถือว่าประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธแล้ว เหตุผลเดียวกันนี้หากเกิดมีคนอ้างขึ้นในพื้นที่ชายแดน
ภาคใต้ว่าพื้นที่นั้นประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ขอให้มีบัญญัติบ้างว่าพื้นที่นั้นมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำถิ่น
 แล้วจะตอบกันว่าอย่างไร
       
       การบัญญัติเรื่องนี้จะได้ผลอะไรบ้าง จะทำให้พระอรหันต์บังเกิดขึ้นได้หรือ จะทำให้พระสงฆ์เกรงกลัวละเว้นการกระทำอัน
เป็นอาบัติตามพระวินัยหรือ จะทำให้พระสงฆ์ศึกษาปฏิบัติพระธรรมวินัยและมีความบริสุทธิ์บริบูรณ์ในพรหมจรรย์กระนั้นหรือ
       
       ไม่ใช่เลย ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กันเลย เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนมีเหตุมีปัจจัยและเกิดขึ้นจากการศึกษาปฏิบัติตาม
แนวทางที่พระบรมศาสดาได้ทรงวางหลักไว้แล้ว ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับรัฐธรรมนูญเลย
       
       อย่าเที่ยวอ้างประเทศลังกาเป็นแบบอย่างว่าเขาก็มีบัญญัติในเรื่องนี้ แล้วผลเป็นอย่างไรล่ะ? ไม่เห็นหรือว่าสงคราม
กลางเมืองกำลังเกิดขึ้นในลังกาและกำลังจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศอยู่แล้ว
       
       ที่กล่าวมาทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะคัดค้านหรือสนับสนุนในเรื่องนี้ แต่ในฐานะที่เป็นชาวพุทธที่มั่นคงอยู่ในคำสอนของ
พระบรมศาสดา ก็ต้องหมั่นใคร่ครวญพิจารณาหาเหตุหาปัจจัย หาเหตุหาผลของเรื่องที่จะทำกันว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่
ปล่อยให้กระแสหรือโมหะจริตของบางคนชักพาไปจนเกิดความเสียหายใหญ่หลวงขึ้นในบ้านเมือง.

ที่มาจาก

ผู้จัดการ

http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2007/05/03/entry-1
 


 

           
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2007, 10:11 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #1 เมื่อ: 03-05-2007, 15:22 »

คุยกับคุณรวงข้าวค่ะ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่มีผู้ประกาศตนเป็นเจ้าของ แม้แต่พระพุทธองค์เองก็มิได้ประกาศตนว่าเป็นผู้สร้างศาสนา และเมื่อจะดับขันธ์ปรินิพาน พระสาวกได้ทูลถามว่า หากพระองค์ปรินิพานไปแล้ว จะให้ใครเป็นผู้นำทางศาสนา พระองค์ทรงตรัสให้ ธรรม เป็นผูนำศาสนา ดังพุทธพจน์ที่ว่า "ผู้ใดเห้นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"

ในศาสนาที่มีผู้สร้าง มีพระเจ้า ย่อมไม่เป็นปัญหาที่จะติดต่อกับท่านเหล่านั้น เพื่อขอมติในเรื่องต่างๆ องค์กรหลักของศาสนานั้นๆ สามารถกำหนดได้ว่า จะเอาอย่างไรกับเรื่องที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในศาสนานั้นๆ เพราะผู้สร้างหรือพระเจ้าในศาสนานั้นๆ ยังติดต่อกับบรรดาผูนับถือได้อยู่ โดยผ่านนักบวชหรือบุคคลในศาสนานนั้น จะด้วยการดลใจ อย่างเช่นกรณีการเขียนพระคำภีร์ของศาสนา หรือด้วยวิธีใดก็ตามแต่ ดังนั้นหากปัญหาการจะบรรจุถ้อยคำระบุว่าศาสนานั้นๆเป็นศานาประจำชาติไหนๆเกิดขึ้นมา ก็ย่อมมีผู้ตัดสิน ชี้ขาด ฟันธงได้ ว่าจะเอาอย่างไร อย่างไรผิด อย่างไรถูก

แต่ในศาสนาพุทธนั้น การจะทำสิ่งใดแล้วขัดกับศาสนาหรือไม่ ก็หาคำตอบได้เพียงใน พระธรรม ที่ได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้แล้วนานกว่าสองพันห้าร้อยปี ไม่มีผู้ใดจะอวดอ้างได้ว่า สามารถติดต่อกับพระพุทธเจ้า เพื่อรับทราบคำตอบที่ถูกต้องได้ เนื่องจาก ท่าน ดับขันธ์ ไปแล้ว และตามหลักของศาสนาพุทธ นิพพานคือความว่างอย่างยิ่ง เมื่อว่างแล้ว จึงไม่มีใครจะเหาะเหินเดินอากาศไปถวายข้าวให้พระพุทธเจ้าทรงฉันได้ในพระนิพพาน ดังความเชื่อของกลุ่มคนบางกลุ่ม
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #2 เมื่อ: 03-05-2007, 15:35 »

ศาสนาพุทธนั้น มีกฎของศาสนา มีระเบียบของศาสนา และแน่ชัดถึงจุดมุ่งหมายของศาสนา พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า

อ้างถึง
๔.สีสปาวนวรรค
หมวดที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนาที่สีสปาวัน
๑.สีสปาวนสูตร
ว่าด้วยพระธรรมเทศนาที่สีสปาวัน
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวัน ใกล้เมืองโกสัมพี
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบ
ประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มี
ประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า.
พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก
ก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น
ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้
นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ ...
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็น
พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน
เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์
ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก ( สุตตันต.๑๑ ) สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค หน้า ๖๑๓

จะเห็นได้ว่าหลักการนั้นแน่นอน และชาวพุทธไม่ว่านิกายใดก็ยังยึดถือหลักการนี้อยู่อย่างเหนียวแน่น นั่นคือจะกระทำสิ่งไรก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของศาสนาน นั่นคือปลายทางที่นิพพาน

แต่การไปถึงนิพพานนั้นเป็นเรื่องยาก ชาวพุทธไม่อาจไปถึงได้ทุกคนหรอกค่ะ แต่เราก็พยายามทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ มากบ้างน้อยบ้างก็ตามแต่บุญกรรมที่สั่งสมกันมา ดังนั้นระหว่าที่ยังไปไม่ถึงนิพพานกันนี้ ชาวพุทธบางกลุ่มก็เลยอยากจะให้กฎหมายเป็นตัวช่วย อาจจะเป็นแนวคิดที่ว่า หากกฎหมายบังคับให้ประเทศเป็นพุทธศาสนา เส้นทางไปนิพพานอาจสะดวกสบายขึ้น อาจมีการอนุมัตงบประมาณในการสร้างเส้นทางไปสู่นิพพานให้สะดวกสบายขึ้น อาจมีทางด่วนหรือระบบขนส่งมวลชน ที่อาจจะพาชาวพุทธไปนิพพานกันได้ง่ายๆ ขอเพียนงมีเงินจ่ายค่าผ่านทางหรือค่าโดยสารเท่านั้น

หินยาน แปลอย่างคนเถรวาทก็แปลว่ายานลำเล็ก (อาจาริยวาทเขาแปล หินะ ว่า ต่ำ ต่ำช้า) มหายาน แปลได้ว่ายานลำใหญ่

ความเชื่อของหินยานหรือเถรวาทนั้น เชื่อว่าการไปถึงนิพพานนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน ต้องกระทำตนเองให้อยู่ในศีลในธรรม ในพรหมจรรย์ จึงจะไปถึงได้ ผู้ใดไปได้แล้วก็รอดไปคนเดียว ทำได้เพียงสั่งสอนผู้อื่นให้ดำเนินรอยตามตน แต่ก็ห้ามอวดอ้างคุยโวโพนทนา ว่าได้ไปแล้วเป็นอย่างไร นั่นเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม การไปได้ลำพังเพียงคนเดียวเฉพาะตนนี้ เปรียบได้กับยานลำเล็กๆพอตนเท่านั้น

แต่ฝ่ายมหายานหรือาจาริยวาท มียานลำใหญ่กว่ามาก ผู้ที่จะพายานไปยังฝั่งหรือนิพพานนั้น ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรได้ตามหลักธรรม แต่เมื่อไปได้แล้ว ก็อาจจะยังพาญาติโยมให้โดยสารไปยังนิพพานด้วยกันได้ เพราะมียานลำใหญ่กว่า ในนิกายนี้จึงเน้นการบูชา อามิสบูชา เพราะการบูชานั้นก็อาจพาให้ผู้บูชาได้ขึ้นยานไปกับเขาด้วย
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #3 เมื่อ: 03-05-2007, 15:47 »

การกราบพระ บูชาด้วยเครื่องเซ่นไหว้กับเทวรูป หรือพระ หรือสิ่งเคารพต่างๆ เซียน ฯลฯ แต่ไม่ได้ถือศีลประพฤติธรรม แต่อยากพ้นทุกข์ ไปนิพพาน จึงต้องเลือกยานโดยสารให้ถูกลักษณะ หากคิดจะมาเซ่นใหว้อามิสบูชา แต่ไม่ปฎิบัตบูชาในฝ่ายเถรวาท เรือของตนก็คงจะล่มอยู่แถวๆกอกิเลส หาได้ข้ามฝั่งแม่น้ำแห่งวัฎฎะสงสาร ไปยังฝั่งนิพพานได้ไม่ นี่เป็นเรื่องที่ชาวพุทธควรใส่ใจพิจารณา ว่าตนนั้นจริตต้องไปทางไหน

หากรักที่จะเดินขบวนให้จีวรปลิว โมหะโทสะฝังแน่นคิดตอบโต้ รักการจองเวร แต่พอมีกำลังทรัพย์ที่จะทำอามิสบูชา ออกเหรียญปั๊มรูปเคารพ ใหว้พระราหู ประพฤติกรรมลามกจกเปรตในเขตพุทธาวาส แล้วยังอยากไปถึงฟากข้างโน้น ก็ควรเลือกนิกายเสียให้ถูกต้อง จะประกาศตนเป็นเถรวาท แต่ประพฤติเยี่ยงอาจาริยวาท มันผิดฝาผิดตัว เหมือนซื้อตั๋วเรือแต่จะโดยสารรถไฟ นายตรวจเขาจะไล่ลงเสียเปล่าๆ

รัฐธรรมนูญจะประกาศศาสนาพุทธไว้เป็นศานาประจำชาติหรือไม่ ก็ไม่อาจทำให้คนพุทธที่ประพฤติธรรมของพระพุทธองค์สะเทือนหรือเดือดร้อนได้ เพราะเราก็ยังคงนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ที่นับถือธรรมเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต นับถือพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา

ใครอยากจะไปนิพพานด้วยจานบิน ก็เชิญ ไม่ต้องมาชวน ค่ะ 

บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 03-05-2007, 16:31 »

ขอบคุณมากค่ะ  น้องพรรณชมพู  ชัดเจนค่ะ  คงไม่แสดงความคิดเห็นล่ะนะ
น้องพรรณชมพู  อธิบายชัดเจนแล้ว
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 03-05-2007, 16:39 »

........................

ใครอยากจะไปนิพพานด้วยจานบิน ก็เชิญ ไม่ต้องมาชวน ค่ะ 



ตั้งแต่อ่านมา ชอบประโยคนี้สุดๆเลยครับ 
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
หน้า: [1]
    กระโดดไป: