เหน็บผู้ปกครองไทยฝรั่งตัวแสบซัด'แอ้ด-คมช.'คอรัปชั่น/สอบแม้วมีเอี่ยว
3 พฤษภาคม 2550 กองบรรณาธิการ
รัฐบาลสั่งตรวจสอบ "ทักษิณ" มีเอี่ยวล็อบบี้สหรัฐขึ้นบัญชีดำไทยหรือไม่ เปิดจ๊อบ USA For Innovation อ้างสิทธิบัตรยาบังหน้า เน้นเล่นงานไทยประเทศเล็กๆ
ที่อยู่คนละซีกโลกอย่างต่อเนื่องจนผิดสังเกต ฟ้องรัฐบาลสหรัฐแทบให้ตัดความสัมพันธ์กับไทย ถล่มรัฐบาลสุรยุทธ์-คมช. คอรัปชั่นไม่เป็นประชาธิปไตย Ken Adelman ตัวแสบเหน็บผู้ปกครองไทย แบบ "The King and I" โฆษกรัฐบาลเชื่อจะมีข่าวเชิงลบกับรัฐบาลออกมาเป็นระยะๆ เอ็นจีโอทั้งเทศและไทยหนุน สธ.สู้ ขวางวงจรอุบาทว์ของสหรัฐการที่สำนักผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เผยแพร่รายงานประจำปี ตามมาตรา 301 พิเศษ ย้ายประเทศไทยไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List : PWL)
โดยอ้างว่าการดำเนินการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา (Compul-sory Licensing หรือ CL) ของรัฐบาลไทยไม่โปร่งใสนั้น พบความโยงใยที่น่าสนใจกับการเมืองในประเทศของไทยเอง หลังก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาเป็นระยะๆ โดย USA For Innovation ที่ระบุว่าเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร แต่โจมตีประเทศไทยในเรื่องการเมืองว่าเหมือนพม่า เป็นเผด็จการ ละเมิดสิทธิบัตรยา และส่งจดหมายไปยังประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และสภาคองเกรส ให้ตอบโต้ไทย ขณะที่กลุ่มเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอดส์ในประเทศไทยออกมาขุดคุ้ยข้อมูลพบว่า Ken Adelman, Executive Director ของ USA For Innovation เป็นที่ปรึกษาอาวุโส (senior counselor) ของบริษัทประชาสัมพันธ์ Edelman (Edelman Public Relations) บริษัทประชาสัมพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีลูกค้าสำคัญๆ อาทิ PhRMA (The Pharmaceutical Research and Manufacturers of America) สมาคมบริษัทยาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสหรัฐ, Abbott Laboratories, Merck, Sanofi-Aventis สามบริษัทยาที่กระทรวงสาธารณสุขไทยประกาศบังคับใช้สิทธิ
นอกจากนี้ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัท Edelman ยังได้ลูกค้ารายใหญ่อีกรายคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังสร้างบทบาทเพื่อต่อรองในการเดินทางกลับประเทศไทยในเว็บไซต์ wikipedia ระบุว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2549 นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า มีความเป็นไปได้ที่บริษัท Edelman สร้างบล็อกเก๊ขึ้นมาเพื่อช่วยในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ Wal-mart ลูกค้ารายใหญ่อีกราย บริษัท Edelman ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ชี้แจงว่ากำลังร่วมทำงานกับบรรดาบล็อกเกอร์ และ Wal-mart อย่างโปร่งใส
เครือข่ายจึงตั้งคำถามถึงความเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ USA For Innovation องค์กรนี้ทำหน้าที่เหมือนหรือเป็นแขนขาของบริษัทประชาสัมพันธ์ ดังนั้น ข้อมูลที่เผยแพร่ออกมา มีคำถามในความน่าเชื่อถือว่าตรงไปตรงมาแค่ไหน
ล่าสุด เมื่อตรวจสอบไปยังเว็บไซต์ของ USA For Innovation พบว่าการที่รัฐบาลสหรัฐบรรจุให้ประเทศไทยอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ต้องจับตาปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์มากที่สุดนั้น เป็นผลงานการล็อบบี้ของนาย Ken Adelman, Executive Director ของ USA For Innovation (ผู้อำนวยการบริหารยูเอสเอฟอร์อินโนเวชั่น) ซึ่งลงเคยลงโฆษณาในวอลล์สตรีทเจอร์นัลโจมตีไทย โดยทำหนังสือส่งถึง น.ส.คอนโดลีซซา ไรซ์ รมว.ต่างประเทศ, นายคาร์ลอส กูเตียร์เรซ รมว.พาณิชย์, นายไมเคิล ลีวิตต์ รมว.สาธารณสุขและบริการมนุษย์ และนางซูซาน ชวอบ ผู้แทนการค้าสหรัฐ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2550ประเด็นที่เป็นผลให้ไทยถูกจัดอันดับอยู่ใน "รายชื่อประเทศที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ" อยู่ในข้อ 3 ของจดหมาย มีความว่า สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐควรจะเขยิบฐานะประเทศไทยเข้าไปอยู่ในบัญชีต้องจับตาเป็นพิเศษ ในรายงานฉบับพิเศษเลขที่ 301 ประจำปี 2007 สืบเนื่องจากปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นในด้านการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในไทย และการดำเนินการใหม่ของรัฐบาลไทยที่ใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข่าวในเว็บไซต์นี้ ยังพบว่าพุ่งเข้ามาที่ประเทศไทยเป็นการเฉพาะ ในกระดานข่าวแทบทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของประเทศไทยอย่างผิดสังเกต เช่นเมื่อวันที่ 23 เมษายน USA For Innovation ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกกับตัวแทนการค้า Susan Shwad และเลขาธิการการค้าสหรัฐ Carlos Gutierrez เพื่อย้ำเตือนประเด็นสำคัญด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของชาวอเมริกัน และให้ทั้งสองเข้าพบ นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทย
จดหมายระบุว่า ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา และหลังจากที่มีการจัดทำบัญชีรายชื่อประจำปี ตามมาตรา 301 พิเศษ เสร็จสิ้นลงประมาณปลายเดือนเมษายน USTR ระบุว่าประเทศไทยยังคงอยู่ในกลุ่ม "ประเทศที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างกว้างขวาง" คณะปกครองโดยทหารซึ่งปฏิวัติยึดอำนาจขึ้นเมื่อเดือนกันยายนตอกย้ำปัญหาระหว่างประเทศ ในส่วนของนวัตกรรมโดยชาวอเมริกัน ซึ่งส่งผลด้านความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างไทยและสหรัฐ ด้วยการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ์โดยรัฐบาล ยาสามชนิดที่ผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทชาวอเมริกันและชาวยุโรป
นอกจากนี้ ยังมีบทคัดแยกจากเนื้อหาในจดหมาย ระบุว่ารัฐบาลจากการรัฐประหารของไทย มีความผิดพลาดในการดำเนินมาตรการอยู่หลายด้าน "ข้อแตกต่างระหว่างการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ ที่เห็นกันทั่วไปตามท้องถนน กับกรณีการละเมิดโดยกระทรวงสาธารณสุขของไทยอยู่ที่กรณีหลังได้รับการอนุมัติรับรองและส่งเสริมโดยรัฐบาลไทยเอง"
"รัฐมนตรีสาธารณสุขของไทยกล่าวย้ำหลายครั้งว่ามาตรการบังคับใช้สิทธิมีความจำเป็น เนื่องจากรัฐบาลไม่มีเงินเพียงพอที่จะจัดซื้อตัวยาที่มีความปลอดภัยและมีความจำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิ์รักษาสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล" บทคัดแยกนี้โยงว่าคำกล่าวอ้างนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ผู้นำคณะทหารชุดใหม่เพิ่มเงินเดือนให้กับกลุ่มของตนเองเป็นมูลค่ารวมถึง 9 ล้านเหรียญฯ และเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายทางทหารขึ้นกว่า 30% หรือประมาณ 1,100 ล้านเหรียญฯ
สี่งที่ USA For Innovation ที่อ้างว่าเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรเรียกร้องคือ 1.การยกเลิกผลประโยชน์สำหรับประเทศไทยภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป 2.การใช้มาตรการภาษีนำเข้าเพื่อชดเชยการเอารัดเอาเปรียบของประเทศไทย และ 3.การยกเลิกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่รัฐบาลปัจจุบัน เนื่องจากประเด็นปัญหาด้านประชาธิปไตยและการทุจริตคอรัปชั่น
เหน็บผู้ปกครองไทย
Adelman ยังเขียนบทความโจมตีประเทศไทยในหัวข้อ "ปัญหาจากประเทศไทย" ลงในเว็บไซต์นี้เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา เขาตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ประเทศที่สหรัฐมองว่าเป็นชาติเล็กๆ ที่เป็นมิตรกับอเมริกา มีผู้ปกครองที่ดี จำพวก "The King and I"Ken
เขาบรรยายว่า หลายปีก่อนไทยเคยเป็นหนึ่งในเสือเศรษฐกิจของเอเชีย มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยตักตวงประโยชน์จากระบบการค้าโลก นับแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เมื่อประเทศไทยกลายเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาและผูกพันธุรกิจและการค้าของตนกับโลกตะวันตกอย่างแนบแน่น ไทยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละเกือบร้อยละ 8 จนกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยกลับถูกกองทัพก่อรัฐประหารโค่นอำนาจ นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ถูกถอดจากตำแหน่งขณะที่เขากำลังกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมัชชาสหประชาชาติ จากนั้นรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารก็ริเริ่มนโยบายหลายอย่างที่เป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของไทย และรวมไปถึงงานและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของคนอเมริกัน
Ken Adelman กล่าวว่า ไม่นานหลังการยึดอำนาจ พวกแกนนำรัฐประหารได้ประกาศมาตรการควบคุมเงินทุนต่างชาติอย่างรีบร้อนและมองการณ์แคบ และสิ่งหนึ่งซึ่งเข้าข่ายชาตินิยมทางเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยยังสร้างความตกอกตกใจนอกเหนือจากการลงทุนในประเทศ โดยการเพิ่มมาตรการสอดส่องการทำธุรกรรม จำกัดการโฆษณาทางธุรกิจและผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นบริษัทไทย ความบุ่มบ่ามทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจเช่นนี้ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแล้ว นักลงทุนจากต่างชาติพากันขวัญเสีย และมีการประเมินจากหลายฝ่ายว่าปีนี้ไทยจะเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน้อยว่าที่ธนาคารโลกทำนายสำหรับเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกว่าจะอยู่ที่ 7.3%
เขายังระบุว่า การโจมตีทรัพย์สินทางปัญหาของสหรัฐครั้งใหม่นี้เกิดขึ้นหลายรูปแบบ ข้อมูลของกลุ่มพันธมิตรทรัพย์สินทางปัญหาระหว่างประเทศส่งถึงสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐในปีที่ผ่านมาชี้ว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของสหรัฐ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค, ดาวเทียม, สัญญาณโทรคมนาคมและเคเบิลที่เติบโต โดยที่ส่วนใหญ่ไม่มีการตรวจสอบจากรัฐบาลไทย ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลไทยยังประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาที่ผลิตโดยบริษัทเวชภัณฑ์ตะวันตก การกระทำนี้นอกจากสอดคล้องกับการขโมยนวัตกรรมของสหรัฐที่แพร่หลายมากขึ้นในไทย ยังเป็นการเข้าข้างตนเองอย่างโจ่งแจ้ง โฆษกของรัฐบาลไทยรายหนึ่งยอมรับเองว่า การล้มเลิกสิทธิบัตรยา "จะเป็นผลดีต่อบริษัทยาท้องถิ่นในการปรับปรุงศักยภาพของตน" และไม่น่าแปลกใจที่ผู้ผลิตยาท้องถิ่นเจ้าหนึ่งคือองค์การเภสัชกรรมที่รัฐบาลไทยเป็นเจ้าของ
เขาตบท้ายว่า เจ้าหน้าที่ไทยในกรุงวอชิงตันย่อมต้องมีข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น กระทรวงสาธารณสุขของไทยจะอ้างว่ารัฐบาลของตนจำต้องล้มสิทธิบัตรของสหรัฐ เนื่องจากไทยไม่มีปัญญาจ่ายเงินซื้อสิทธิบัตรยาได้ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบรัฐบาลไทยกลับสามารถเพิ่มงบประมาณให้กองทัพอีก 9 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังเพิ่มงบประมาณด้านการทหารถึง 1 พันล้านเหรียญฯ
ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เรื่องนี้รัฐบาลจะต้องดำเนินการชี้แจง ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุขด้วย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อปรับความเข้าใจ ซึ่งเรื่องการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร อยู่ในช่วงของการพูดคุยเจรจากับบริษัทยาต่างๆ รัฐมนตรีว่าการกระทวงสาธารณสุขยืนยันแล้วว่า ทั้งการประกาศ CL และการใช้ CL ไปแล้วกับยาบางตัวเป็นเรื่องที่มีความโปร่งใส และเป็นสิทธิ์ที่ไทยเราสามารถได้เพื่อประโยชน์สาธารณะและประชาชนส่วนรวม คิดว่าช่วงนี้เป็นเรื่องการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสหรัฐอเมริกา ในระดับนี้ยังไม่มีมาตรการอะไรออกมา หากเราทำความเข้าใจที่ชัดเจนกับทางสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าน่าจะเข้าใจกันได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลประเมินหรือไม่เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไร โฆษกรัฐบาลตอบว่า ตอนนี้คงเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาต่อไป หลังจากที่มีการชี้แจงทำความเข้าใจกับทางสหรัฐอเมริกาไปแล้ว ขณะนี้เน้นเรื่องการพูดจากันยังไม่มีการตอบโต้
สั่งสอบ "แม้ว" มีเอี่ยว?
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปเคลื่อนไหวให้มีผลต่อมาตรการต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา รัฐบาลได้มีการตรวจสอบหรือไม่ เขาตอบว่า อันนี้ยังคงเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกำลังดูกันอยู่ว่าเกี่ยวข้องหรือเปล่า
"คิดว่าวันที่ 3 พฤษภาคมนี้อาจจะมีข่าวเชิงลบของรัฐบาลในส่วนต่างๆ ออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับใครอย่างไร คงพูดยาก เป็นเรื่องของหน่วยงานที่จะต้องทำการชี้แจงทำความเข้าใจกันต่อไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะการนำเสนอมาจากสื่อต่างประเทศ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเราพอสมควร และไม่เข้าใจบรรยากาศภายในของประเทศเรา คงต้องพึ่งสื่อไทยของเราเป็นหลักในการช่วยสะท้อนสถานการณ์ที่แท้จริงออกไปให้สังคมในเวทีโลกได้ทราบกัน" ร.อ.นพ.ยงยุทธกล่าวขณะที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกันว่าผลที่ออกมาในลักษณะเช่นนี้มีเหตุจากอะไร ซึ่งเราก็คงจะต้องหารือและพิจารณาแนวทางที่จะดำเนินการกันต่อไป เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาต่อทางด้านเศรษฐกิจของเราต่อไปในอนาคต
ส่วนนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่าที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำหน้าที่โดยไม่ได้ละเลย เนื่องจากมีการจับกุมคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามาโดยตลอด ซึ่งผู้ประกอบการและเจ้าของลิขสิทธิ์ก็มีความพึงพอใจในบทบาทของดีเอสไอ ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์รายเล็กหรือรายใหญ่ก็ไม่เคยละเว้น และพร้อมจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับแหล่งผลิตสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง แต่การจัดลำดับประเทศไทยในแง่ลบ อาจเกิดจากข้อกังวลที่สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่ยังไม่หมดไป แม้จะมีการปราบปรามและจับกุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเด็นดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์จะเร่งชี้แจงทำความเข้าใจในระดับประเทศต่อไป
ขณะที่องค์กรพัฒนาเอกชนสากล อ็อกแฟม (Oxfam) วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐ ที่ใช้มาตรการลงโทษทางการค้าขู่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ที่พยายามจัดหายาช่วยชีวิตในราคาที่เป็นธรรมให้แก่ประชาชนที่ยากไร้ โดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญๆ ที่สหรัฐได้ลงนามไป เช่น ข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (ทริปส์) และปฏิญญาโดฮา ซึ่งระบุชัดเจนว่าประเทศกำลังพัฒนามีสิทธิในเรื่องสาธารณสุขมาก่อนกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
"ในปีนี้รายงานได้กดดันให้รัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ เร่งนำกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวดยิ่งกว่าข้อตกลงระหว่างประเทศมาบังคับใช้ ซึ่งจะส่งผลให้ยามีราคาสูงขึ้น" โรหิต มัลพานี ที่ปรึกษาด้านนโยบายของอ็อกแฟมกล่าว
อ็อกแฟมยังระบุว่า ประเทศไทยได้รับคำยกย่องที่ตัดสินใจอย่างถูกต้อง โดยนำมาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐบาลอย่างไม่แสวงหากำไรมาใช้ เพื่อสร้างหลักประกันการเข้าถึงยาให้กับกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อย การที่ USTR อ้างว่าการใช้มาตรการดังกล่าวไม่มีความโปร่งใส เป็นการบิดเบือน แท้จริงแล้วประเทศไทยได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดและขั้นตอนของข้อตกลงทริปส์ของ WTO ทุกประการ
"ประเทศไทยกำลังใช้สิทธิของตนเองอย่างถูกต้องในการนำข้อตกลงทางการค้าของ WTO มาใช้เพื่อสร้างหลักประกันให้กับสุขภาพของประชาชน โดยเป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศและข้อตกลงระหว่างประเทศ" เยาวลักษณ์ เธียรเชาว์ ผู้จัดการโครงการของอ็อกแฟม อังกฤษ กล่าว
เธอยังระบุว่ารายงานของ USTR ฉบับนี้ เป็นการข่มขู่และคุกคามประเทศกำลังพัฒนา การปรับเปลี่ยนสถานะประเทศไทยถือเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่กดดันรัฐบาลไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆเอ็นจีโอหนุน สธ.
ส่วนกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA WATCH) ออกแถลงการณ์ อย่ายอมให้สหรัฐทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ไปตลอดชาติ โดยระบุว่า เมื่อปี 2535 ช่วงรัฐบาล รสช. สหรัฐเคยใช้มาตรา 301 พิเศษ บีบให้ไทยแก้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อขยายเวลาคุ้มครองสิทธิบัตร และรับสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ ก่อนหน้าความผูกพันใน WTO ถึง 8 ปี โดยใช้ยุทธวิธีสร้างความแตกแยกในประเทศไทย ระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้ากับชีวิตประชาชน ในที่สุดรัฐบาลรัฐประหารขณะนั้นซึ่งแสวงหาการยอมรับจากนานาประเทศอย่างมาก ต้องยอมตามเกมขู่กรรโชก ส่งผลให้อุตสาหกรรมยาในประเทศอ่อนแอ และมียาราคาแพงขึ้นอย่างมากเอฟทีเอวอตช์เรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขหนักแน่น และยืนหยัดในจุดที่ถูกต้อง อย่าถอดใจ ให้ชี้แจงความถูกต้องในการใช้สิทธิตามสิทธิบัตร เพื่อปกป้องคนไทย
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบล็อบบี้ยิสต์ที่บริษัทยาที่ถูกรัฐบาลไทยประกาศใช้มาตรการสิทธิหนือสิทธิบัตรยา จ้างให้ทำข่าวที่ไม่ป็นความจริง เช่น ระบุว่าไทยจะประกาศซีแอลยา 30 ตัว พบว่าเป็นบริษัทล็อบบี้ยิสต์เดียวกันที่ พ.ต.ท.ทักษิณจ้างทำประชาสัมพันธ์ให้กับตนเองเพื่อใช้ตอบโต้รัฐบาลไทย อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถระบุลึกลงไปได้ว่ากรณีมีซีแอลนี้มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้จ้างร่วมด้วยหรือไม่
วันเดียวกันนี้ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์แห่งประเทศไทย กว่า 50 คน นำโดยนายวิรัตน์ ภู่ระหงษ์ ประธานเครือข่ายฯ เข้าพบ นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้กำลังใจ กรณีการอ้าง CL ขึ้นบัญชีดำประเทศไทย
นายวิรัตน์ขอให้ นพ.มงคลคงจุดยืนที่ถูกต้อง และเดินหน้าผลักดันใช้มาตรการสิทธิเหนือสิทธิบัตรยาต่อไป เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้มากขึ้น ซึ่งหากประเทศไทยยอมแพ้ จะทำให้ประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศไม่กล้าต่อรองกับบริษัทยาเหล่านี้ ทั้งนี้ หากสหรัฐอเมริกาอ้างว่าการเปลี่ยนสถานะประเทศไทยในครั้งนี้เพราะไทยไม่คุ้มครองสิทธิทางปัญญาของผลิตภัณฑ์ของสหรัฐ เช่น รองเท้า เทป ซีดี สัญญาณเคเบิลนั้นตนเห็นด้วย แต่ไม่ควรนำเรื่องการบังคับใช้สิทธิยาที่มีสิทธิบัตรมาเป็นข้ออ้าง
"จุดประสงค์หลักของสหรัฐก็เพื่อกดดันและตอบโต้รัฐบาลไทยที่ทำ CL แต่ไม่กล้าเอาเรื่องนี้มาพูดโดยตรง จึงเอาเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเรื่องอื่นมาอ้าง เพราะกลัวว่าสังคมโลกจะประณาม เนื่องจากเราทำถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน"นายวิรัตน์กล่าวว่า อยากให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งให้บริษัทประชาสัมพันธ์ของสหรัฐ ที่รัฐบาลไทยจ้างมาให้ข้อมูลกับประชาชนในสหรัฐ ถึงความจำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องประกาศสิทธิเหนือสิทธิบัตรยาเป็นการด่วน เพื่อทำให้ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยกลับคืนมา
เขาแจ้งว่าวันที่ 3 พฤษภาคม เวลา 09.00 น. เครือข่ายฯ จะเดินทางไปยังสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เพื่อแสดงจุดยืนว่าประเทศไทยยังเดินหน้าผลักดันการบังคับใช้มาตรการสิทธิเหนือสิทธิบัตรยาต่อไป
ขณะที่ นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าจะเดินหน้าผลักดันมาตรการสิทธิเหนือสิทธิบัตรยาต่อไป และจะไม่ถอดใจ ทั้งนี้ การประกาศใช้มาตรการดังกล่าวไม่ได้อวดดีหรืออวดเก่ง แต่เพื่อต้องการให้ประชาชนได้เข้าถึงยาได้มากขึ้น
รมว.สาธารณสุขกล่าวว่า ในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ ได้มอบหมายให้ นพ.วิชัย โชควิวัฒน นักวิชาการสาธารณสุข 11 ในฐานะประธานคณะกรรมการสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐ เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อลงนามร่วมกับมูลนิธิคลินตัน ที่มีนายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐเป็นประธาน เพื่อความร่วมมือกับอีก 16 ประเทศกำลังพัฒนาในการสั่งซื้อยารวม เพื่อให้ได้ยาที่มีราคาถูก ทั้งนี้ยาที่ได้มีการซื้อร่วมกันนั้น จะรวมไปถึงยาที่ไทยได้บังคับใช้สิทธิ์ด้วย โดยมูลนิธิคลินตันได้มีการสำรวจหาโรงงานที่มีความสามารถในกรผลิตยาที่องค์การอนามัยโลก (WTO) ให้การรับรอง ซึ่งมีอยู่มาก และการลงนามในครั้งนี้จะไม่มีผลผูกพันกับประเทศแต่อย่างใด เพราะหากประเทศที่ลงนามต้องการซื้อยาจากแหล่งอื่นก็สามารถทำได้
นพ.มงคลบอกว่า วันที่ 21-22 พฤษภาคมนี้จะเดินทางไปยังประเทศสหรัฐเพื่อชี้แจงต่อกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา วุฒิสมาชิก องค์กรพัฒนาเอกชน และผู้แทนการค้าสหรัฐบางกลุ่ม ถึงกรณีการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาของรัฐบาลไทย โดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้เตรียมการและประสานงานให้
นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาหลังสหรัฐปรับอันดับประเทศไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตาเป็นอันดับแรกในเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ คงต้องไปหารือกับทางการสหรัฐในเรื่องของข้อมูล เพื่อปรับให้ตัวชี้วัดสอดคล้องกับที่ทางการสหรัฐต้องการ ทั้งนี้ ยอมรับว่าการถูกปรับอันดับจากประเทศที่ต้องจับตา มาเป็นประเทศที่ต้องจับตาเป็นอันดับแรก จะส่งผลต่อจีเอสพี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของประเทศ
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในกระทรวงการต่างประเทศให้ข้อมูลไปอีกทางว่า การปรับอันดับดังกล่าวไม่ได้มาจากการบังคับใช้สิทธิบัตรยา เพราะที่ผ่านมาสหรัฐพร้อมให้การสนับสนุนไทย และเห็นว่าเรื่องการบังคับใช้สิทธิบัตรยาเป็นสิทธิของไทยในการเจรจาตกลงกับบริษัทยา และสหรัฐพอใจกับการหารือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับบริษัทยาที่มีการหารืออย่างต่อเนื่อง.........
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=3/May/2550&news_id=141713&cat_id=5011. รัฐบาลไทยยุคนี้จะต้องยอมให้สหรัฐอเมริกาเหมือนรัฐบาลอานันท์ หรือไม่........
2. รัฐบาลนี้และเอกชนไทย จะเอา"ชีวิต" และ "ศักดิ์ศรี" ไปแลกสิทธิทางธุรกิจ หรือไม่....