ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-04-2024, 00:06
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  ข้อดีของการบัญญัติ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ข้อดีของการบัญญัติ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ  (อ่าน 5894 ครั้ง)
ชมรมเวบพระพุทธศาสนา
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 22-04-2007, 22:00 »

ข้อดีของการบัญญัติ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

๑. ได้ยืนยันความจริงทางประวัติศาสตร์ชาติไทยที่มีมายาวนาน
๒. ได้รักษาสถาบันทั้งสามอย่างเท่าเทียมกันโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
๓. ได้ให้ความสำคัญกับศรัทธาของประชาชนคนในชาติที่มั่นคงอยู่ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
๔. ได้แสดงออกซึ่งการยอมรับความจริงแบบประชาธิปไตยว่าเสียงของคนส่วนมากยอมรับสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ เท่าเทียมกัน
๕. ได้ยืนยันความเป็นคนไทยที่นิยมอิสระ เสรีภาพ โดยมีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นแกนกลางสร้างความสามัคคี
๖. ได้สร้างและยอมรับความสอดคล้องกับมติของประชาคมโลกที่ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาและประเทศไทย
๗. ได้ส่งเสริมความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นระหว่างประชาชนคนในชาติ
๘. ได้ยืนยันภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่เป็นดินแดนพระพุทธศาสนา ที่คนทุกคนในประเทศนี้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนาที่ตนศรัทธาได้โดยไม่ขัดแย้งกัน
๙. ได้แสดงออกซึ่งความที่พระพุทธศาสนาเป็นนวัตกรรมทางความคิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่คู่กับคนไทย ชาติไทย พระมหากษัตริย์ไทย ในสุวรรณภูมินี้มานานมากกว่าสองพันปี
๑๐. ได้ยกย่องพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกราชวงศ์ตั้งแต่เริ่มต้นเผ่าไทยมาถึงปัจจุบัน และประชาชนคนไทยปัจจุบันเกินกว่า ๙๔ % ยอม รับนับถือ เพราะมั่นใจว่าพระพุทธศาสนามีคุณูปการต่อชนชาติไทย
๑๑. ได้ส่งเสริมสนับสนุนมติชาวโลกที่ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาของโลก
๑๒. ได้หลักประกันทางกฎหมายว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยโดยถูกต้องชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมายบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
๑๓. ได้เครื่องมือปลูกจิตสำนึกร่วมกันของคนในชาติที่จะร่วมใจกันยกย่องสถาบันสูงสุดเป็นเอกลักษณ์ของชาติ
๑๔. ได้เครื่องมือส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติธรรมนำสู่หลักแห่งประชาธิปไตยที่ยึดความถูกต้อง ชอบธรรม มีภราดรภาพ มิตรภาพตามหลักธรรมคำสั่งสอนที่มีมาในพระพุทธศาสนา
๑๕. ได้หลักในการอบรมสั่งสอนลูกหลานไทยได้เกิดความภาคภูมิใจว่าตนมีศาสนาประจำชาติ ที่จะต้องตระหนักในการนำศาสนาสู่การปฏิบัติมากยิ่งขึ้น
๑๖. ได้หลักการกลางในการสร้างความสามัคคีระหว่างคน ในชาติ เพราะเมื่อพระพุทธศาสนาแข็งแกร่ง คนในชาติซึ่งนับถือศาสนาต่างกันก็จะอยู่อย่างสงบสุขทั่วถึงกัน เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่พุทธศาสนิกชนจะไปรังแกคนที่นับถือศาสนาอื่นจากที่ตนนับถือ ไม่เคยมีมาในอดีต ยังไม่มีในปัจจุบัน และ จักไม่มีในอนาคต ที่พุทธศาสนิกชนจะไปรังแก รบราฆ่าฟัน ขับไล่ไสส่งศาสนิกอื่น มีแต่ชาวพุทธเท่านั้นที่ถูกรังแกถูกทำลายมาตลอดทุกยุคที่ผ่านมา
๑๗. การบัญญัติข้อความข้างต้นนั้นไว้ในรัฐธรรมนูญ จะเป็นกุญแจสำคัญให้พระพุทธศาสนายิ่งมั่นคงขึ้น คือเป็นประเด็นให้ได้ออกกฎหมายคุ้มครอง ส่งเสริมให้เหมาะสมได้ในโอกาสต่อไป
๑๘. ประชาชนคนไทยในยุคต่อไปจะได้ตระหนักยิ่งขึ้นว่า ชาติ พระพุทธ- ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันสำคัญของชนชาติไทยที่จะต้องเทิดทูนไว้เหนือความขัดแย้งใด ๆและเหนือชีวิต
๑๙. การมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ มิได้หมายความว่า คนไทยที่นับถือศาสนาอื่นจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ เช่นเดียวกับการบัญญัติว่าที่นี่ประเทศไทย แต่คนจากประเทศไหน ๆ ก็สามารถมาอยู่ในประเทศไทยได้อย่างปกติสุข ภายใต้กฎหมายไทยที่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาอยู่แล้ว
๒๐. การบัญญัติข้อความข้างต้นนั้นไว้ในรัฐธรรมนูญ จะได้รัฐธรรมนูญที่ถูกต้องที่สุดในบริบทสังคมไทย จะไม่เป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดจากความชอบ ความชัง ความหลง ความกลัว คือจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ปราศจากอคติหรือความลำเอียงทั้งสี่ประการ เป็นบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่คนไทยเกินกว่า ๙๐ % ยอมรับแน่นอน

พระเทพวิสุทธิกวี
เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวางแผน
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
บันทึกการเข้า
thanes Oonsiri
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 22-04-2007, 22:02 »

การบัญญัติว่าพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ เหตุผลหลักที่ควรสำเหนียก
--------------------------------------------------------------------------------
โดย พระราชปัญญาเมธี (สมชัย กุสลจิตโต)
การบัญญัติว่าพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ เหตุผลหลักที่ควรสำเหนียก   
การบัญญัติว่าพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ
เหตุผลหลักที่ควรสำเหนียก
 พระราชปัญญาเมธี (สมชัย กุสลจิตฺโต)
จะขึ้นป้ายชื่อป้าย ทำรั้วบ้านให้เป็นขอบเขต เป็นสัดเป็นส่วนแน่นอนตามสมัยนิยม ทั้งนี้ เพื่อความอยู่สุขสบายของสมาชิกในบ้านนี้ทุกคน คงไม่มีสมาชิกที่แท้จริงของบ้านคนใด จะออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน นอกจากพวกคนร้าย หรือคนไม่ประสงค์ดีต่อบ้านหลังนี้
1)อันรัฐธรรมนูญ นับเป็นกฎหมายมหาชน หรือแม่บทพิเศษ จึงย่อมต้องบรรจุประเด็นเป็นข้อเท็จจริง

เช่น ประเทศไทยเป็นราชาอาณาจักรหนึ่งเดียวใครจะแบ่งแยกมิได้ และหลักการแห่งระบอบประชาธิปไตย เช่น เรื่องสิทธิ เสรีภาพ เรื่องหน้าที่ของคนไทย องค์การอิสระต่างๆ เช่น กกต. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น การจะเขียนว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ (ซึ่งขาดหายไปใน รธน.ของฉบับ คมช.) และเป็นองค์ศาสนูปถัมภกหรือแม้แต่ "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ก็ชอบในทางวิธีการทางกฎหมาย

การไม่บัญญัติไว้ให้ชัดเจนเช่นนี้ถือว่าเป็นการไม่ซื่อตรงต่อประวัติความเป็นมาแห่งพระราชาอาณาจักร หรือประเทศไทยนี้

ถ้าไม่มีเจตนาบิดเบี้ยวกัน ก็ถือว่าเป็นความเลินเล่อเผลอสติอย่างไม่น่าให้อภัยกันด้วย

2)พระพุทธศาสนา เป็นยิ่งกว่าศาสนาประจำชาติไทยเราเสียอีก เพราะประเทศนี้ ชาวพุทธได้มาก่อร่างสร้างไว้ พัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง และรักษาให้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงคนรุ่นพวกเรา

จึงเรียกอีกอย่างได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นทั้งศาสนาประจำชาติ พัฒนาทำชาติให้เจริญรุ่งเรืองและปกป้องคุ้มครองรักษาชาติ ควบคู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชนคนพุทธส่วนใหญ่

ส่วนพี่น้องคนศาสนาอื่นนั้น แม้จะมีอุปการคุณแก่ชาติบ้านเมืองของเราอยู่บ้าง แต่ก็เป็นพลังส่วนน้อยและอพยพมาเพิ่มเติมกันในตอนหลังเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรามาแต่เริ่มก่อตั้งประเทศแล้ว

ในกาลต่อมาพระมหากษัตริยาธิราชเกือบทุกๆ พระองค์ได้ทรงตรัสยืนเสมอว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" อย่างชัดเจน

3)จากข้อเท็จจริงดังกล่าว พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอยู่แล้ว โดยจารีตประเพณี ข้อนี้เป็นการรับรองโดยพระบรมราโชวาท พระราชนิพนธ์และพระราชหัตถเลขา ในพระเจ้าอยู่หัวหลายองค์ตามกาลตามเวลา

ซึ่งในทรรศนะของผู้เขียนถือว่าเป็นกฎหมาย บทบัญญัติแห่งรัฐเหมือนกัน และเมื่อยังไม่มีการออกกฎหมายมายกเลิกหรือลบล้างกันเช่นนี้ ก็ถือว่ายังคงมีผลบังคับใช้อยู่

ดังนั้น การไม่บัญญัติมาตรานี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ คงต้องถือว่ารัฐธรรมนูญฉบับนั้นแสดงข้อความขัดกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์

และเป็นการขัดต่อกฎหมายจารีตประเพณีซึ่งเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์แม้กว่าตัวเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใดๆ อีกด้วย

4)การที่คณะราษฎรและ ส.ส.ร.รุ่นต่อๆ มาไม่ได้เขียนว่าพระพุทธเป็นศาสนาประจำชาติใน ธรน.ฉบับก่อนๆ นั้น ก็มิได้หมายความว่าเป็นเรื่องถูกต้อง หรือยุติกันเพียงนั้น เพราะมีหลายสิ่งที่ไม่เคยเขียนไว้ใน รธน.ฉบับก่อนๆ พวกเราก็ได้พยายามนำมาใส่ไว้มากมายหลายเรื่อง เช่น เรื่องผู้ตรวจการรัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศาลรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น จะเป็นการดีมากถ้าพวกเราจะตรวจสอบกันอีกทีว่ามีเหตุผลหรือความจำเป็นอันใดหรือ? ที่ท่านๆ ทั้งหลายจึงไม่เขียนข้อความที่สำคัญมากอย่างนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ

ผู้เขียนคิดว่าน่าจะมีเหตุผลหรือความจำเป็นหลักๆ อยู่สัก 2 ประการคือ

หนึ่ง ด้วยความเกรงใจกรรมการคณะราษฎรที่นับถือศาสนาอื่น (อิสลาม)

และสองอาจจะเป็นไปได้ว่าคณะราษฎรที่เปลี่ยนการปกครองแผ่นดินครั้งนั้น อาจจะมีหลายท่านตั้งใจจะล้มระบอบกษัตริย์เสียสิ้นเชิง เมื่อทำไม่ได้ก็พยายามลดทอนพลังของสถาบันโดยตรงและสถาบันพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันคอยสนับสนุนส่งเสริมระบอบพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเหตุให้เกิดมีการบอนไซสถาบันพระพุทธศาสนาเรื่อยมา โดยการไม่บัญญัติยกย่องพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกๆ

และจำกัดสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งของพระภิกษุ สามเณร และแม่ชีด้วย

5)การบัญญัติไว้จะเป็นการกีดกันบุคคลศาสนาอื่น หรือแบ่งแยก หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งกันในทางศาสนาหรือไม่?

ข้อนี้ขอตอบว่า ไม่มีแน่นอน เพราะโดยธรรมชาติของพระพุทธศาสนามีความเป็นสากล ไม่คับแคบแบ่งแยกอยู่แล้ว ไม่ว่าด้านอุดมการณ์ เนื้อหาแห่งพระธรรมคำสั่งสอน ทัศนคติ หรือการบริหารการจัดการ ตลอดเวลากว่า 2500 ปีที่ผ่านมา แม้ชาวพุทธจะได้ครองความเป็นใหญ่ในบางกาลเวลา แต่ก็ไม่เคยเบียดเบียน หรือทำสงครามในนามศาสนา ให้ใครต้องเสียเลือดแม้เพียงสักหยดเดียวในนามศาสนาเลย

ดังการรับรองของท่านศาสตราจารย์ ริส เดวิดส์ อดีตปฐมนายกสมาคมบาลีปกรณ์ หรือ Pali Text Society ชาวอังกฤษ (ดูในพระพุทธเจ้าในสายตานักปราชญ์โลก ของผู้เขียน น.63)

แต่ในทางตรงกันข้าม พระพุทธศาสนาต่างหากที่ถูกศาสนาอื่นเบียดเบียนบีฑาตลอดเวลา จนถึงกับในหลายประเทศ ได้สาบสูญ เช่น อินเดีย อัฟกานิสถาน และอินโดนีเซีย ดังที่พวกเราทราบกัน

6)การบัญญัติพุทธเป็นศาสนาประชาตินี้ จึงเป็นประเด็นที่ชาวพุทธไม่ว่าพระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกาทุกคน ผู้ที่ต้องเห็นพ้องต้องกัน และพากเพียรพยายามทำให้เกิดเป็นมรรคเป็นผลจริง

เรียกว่าถ้าเป็นชาวพุทธแล้วจะเห็นเป็นอย่างอื่นจากประเด็นนี้ไม่ได้ ถ้าเกิดมีขึ้นมาบ้างก็คงต้องถือว่าเป็นพวกพระเทวทัตแห่งยุคสมัย มีความจงใจในการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศชาติ สถาบันพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่แท้

หากเมื่อ ส.ส.ร.และ สนช.ไม่กล้าเขียนข้อความนี้ลงใน รธน.ก็จะอาจเข้าข่ายข้อความข้างต้นนั้นได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เรื่องอย่างนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเคยตรัสยืนยันมาหลายครั้งแล้ว ล่าสุดตรัสต่อหน้าองค์สันตะปาปาจอห์นปอล ที่ 2 เมื่อคราวเสด็จมาเยือนประเทศไทย ครั้งล่าสุด (10 พ.ค.2527) ว่า

"ประชาชนคนไทยล้วนเป็นศาสนิกที่ดี แต่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ"

และผลการสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพล เมื่อไม่นานนักมานี้ ผลปรากฏว่า 70.94% เห็นว่าควรระบุ และมีเพียง 27.18% ไม่เห็นด้วย

ในจำนวนนี้กลุ่มชาวมุสลิมเห็นด้วยถึง 44.86% (เห็นว่าไม่ควรระบุ 40% ไม่ออกเสียง 05.14% ส่วนชาวคริสต์มีตัวเลขเป็น 43.29,51.90 และ 04.81% ตามลำดับ ส่วนศาสนาอื่นๆ เป็น 61.90 ต่อ 38.10%)

7)มาถึงเวลานี้ บ้านเมืองไทยกำลังประสบปัญหา และวิกฤตการณ์ค่อนข้างรุนแรงรอบด้านไม่ว่าปัญหาการก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ปัญหาวิกฤตการเมืองการปกครอง ที่คอร์รัปชั่น การซื้อสิทธิขายเสียง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งพรรคแบ่งพวก

ปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ

และวิกฤตการณ์ทางการศึกษา เป็นต้น

แม้แต่การปฏิรูปการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งยังหาสมรรถนะ-ความมั่นคงไม่ได้ ระบอบประชาธิปไตย มิใช่รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญมิใช่ประชาธิปไตย เพราะถ้ารัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย พวกเราคงมีประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบตั้งนานแล้ว และเป็นมากกว่าประเทศไหนๆ ด้วย เพราะเรามีการเขียนรัฐธรรมนูญกันถึง 16-17 ฉบับแล้ว แต่เรายังไม่มีประชาธิปไตยจริงกันเลยตลอดเวลา 75 ปีที่ผ่านมา

จึงดูเหมือนว่า พวกเราไม่มีแหล่งพลังอย่างอื่นมาช่วยเหลือกันหนักหนาสากรรจ์แล้ว คงถึงเวลานี้แล้วที่พวกเราจะอัญเชิญพระพุทธศาสนามาเป็นอุดมการณ์แห่งชาติโดยตราไว้ใน รธน.เพื่อจะได้ออกจากปัญหารุนแรงเหล่านี้เสียที

ดังกรณีพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ได้ทูลอาราธนาอัญเชิญพระพุทธศาสนามาเป็นขวัญ-กำลังใจทหาร จนสามารถตีกองทัพพม่าให้แตกกระเจิงไปกู้กรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ

ดังนั้น เห็นทีพวกเราจะต้องรีบเร่งบัญญัติคำว่า "พุทธฯเป็นศาสนาประจำชาติ" ใน รธน.ฉบับใหม่ ดีร้ายพลังแห่งพระพุทธานุภาพนั้น อาจช่วยปกป้องมิให้รัฐธรรมนูญฉบับต่อไปถูกทำลายลงได้ก็ได้นะ

Coolส่วนปัญหาเรื่องความไม่รู้ ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา และไม่ปฏิบัติธรรมจริงจังของชาวพุทธนั้น เมื่อบัญญัติคำนี้ไว้แล้ว จะมีอะไรดีขึ้นหรือไม่ ข้อนี้ขอเฉลยว่า เพราะไม่มีการรับรองพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการนี่เอง เราจึงไม่มีการสอนและปฏิบัติตามพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจัง ทั้งในบ้าน ในหน่วยราชการ และสถาบันการศึกษา

สื่อวิทยุเราก็มีตั้งราว 500-600 สถานี และโทรทัศน์กว่า 10 แห่ง ฝ่ายองค์กรพุทธศาสนาในประเทศ และพระเจ้าพระสงฆ์ก็เข้าไม่ถึง เพราะไม่มีทุน และแรงสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง

พร้อมกันนี้ นโยบายของรัฐหลายประการแม้ขัดแย้งหรือตรงกันข้ามกับศีลธรรมอันดีงาม เช่น ทำเหล้าสาโทของชาวบ้านให้ถูกกฎหมาย ขุดหวยใต้ดินขึ้นบนดิน เป็นต้น

บางเรื่องแม้ยังไม่รับรองด้วยกฎหมาย รัฐก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เช่น เรื่องบ่อน เรื่องซ่อง เรื่องการเรียกรับสินบน ฯลฯ จนภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายอย่างมากต่อสายตาของสื่อต่างประเทศ

เมื่อเอาพระพุทธศานาเป็นศาสนาประจำชาติ ชาวพุทธทั้งหลายมีกำลังใจแล้วก็จะพากันส่งเสริมการศึกษา ปฏิบัติธรรม เผยแผ่ และพิทักษ์รักษาพระศาสนากันอย่างจริงจัง

ส่วนภาครัฐก็จะระมัดระวังในเรื่องการออกนโยบายเกี่ยวกับศึกษา บริหารจัดการ และกวดขันเรื่องนี้อย่างจริงจัง เมื่อมีการกระทำอย่างนี้ศีลธรรมของคนไทยไม่กระเตื้องบ้างก็ให้มันรู้ไป

เรื่องนี้กุญแจสำคัญอยู่ที่พวกเราชาวไทยนี่แหละจะเอาจริงกันแค่ไหนเท่านั้น อย่าไปโทษปี่โทษกลองเลย?

9)เรื่องการยกย่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินี้ เป็นทั้งเรื่องเอกลักษณ์-อัตลักษณ์ เป็นทั้งความมั่นคงของประเทศไทย ซึ่งมีประชาชนราว 94.2% เป็นชาวพุทธมีพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเป็นพุทธมามกะ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย

เรามีมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาอยู่ 2 แห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฎราชวิทยาลัย และมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ และบางแห่งในต่างประเทศ

และล่าสุด สหประชาชาติยอมวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากล และเมื่อตัวแทนชาวพุทธทั่วโลกประชุมกันในกรุงเทพฯ เพื่อเฉลิมฉลองกันถึง 2-3 ครั้งติดต่อกันมานี้ ก็มีมติเห็นร่วมกันยกให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลก

ข้อนี้อาจมีคำถามตามมาว่าเมื่อชาวต่างประเทศยกย่องประเทศไทยว่าเป็นดินแดนแห่งผ้ากาสาวพัสตร์ (The Land of Yellow Rob) แต่เป็นว่า สนช.,ส.ส.ร.คนไทยแท้ๆ กลับไม่รับรองกันเสียฉิบ มันอนาถสามตลบเลยจริงไหม

10)ในการรณรงค์ให้มีการบัญญัติว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ถือว่าเป็นปัญหาเรื่องความมั่นคง หรือเป็นเรื่องความเหมาะสมของแต่ละประเทศ เมื่อพิจารณาว่าเป็นความจำเป็นแล้ว ก็ต้องรีบทำเลย ไม่ต้องรีรอหรือไปเกรงอกเกรงใจของคนที่นับถือศาสนาอื่นใด ในการเลือกสรรกันจัดกันเองของแต่ละประเทศนี้ เราก็มีตัวอย่างอยู่หลายประเทศ ดังเช่น ประเทศกัมพูชาเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของเรานี้แม้มีพลเมืองเป็นชาวพุทธน้อยกว่าประเทศของเราเสียอีก (ดูจะราว 85% เศษ) ก็บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ได้ และพระภิกษุ-สามเณร มีสิทธิในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร

แม้แต่ประเทศมาเลเซียที่มีพลเมืองเป็นมุสลิมอยู่ 50% เศษๆ ก็บัญญัติว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำสหพันธรัฐ (มาตรา 3)

เรื่องนี้เป็นเรื่องการรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ พระศาสนา และพระมหากษัตริย์ของเรา เป็นเรื่องของคนไทยส่วนใหญ่ที่กำลังรักษาบ้านเมืองของเรา จะขึ้นป้ายชื่อป้าย ทำรั้วบ้านให้เป็นขอบเขต เป็นสัดเป็นส่วนแน่นอนตามสมัยนิยม ทั้งนี้ เพื่อความอยู่สุขสบายของสมาชิกในบ้านนี้ทุกคน คงไม่มีสมาชิกที่แท้จริงของบ้านคนใด จะออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน นอกจากพวกคนร้าย หรือคนไม่ประสงค์ดีต่อบ้านหลังนี้ หรือคนทรยศที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ปะปนกับพวกเราเพื่อลักขโมยสมบัติ

มาถึงเวลานี้แล้วมีเหตุผล และความจำเป็นที่อย่างที่สุดแล้วที่ต้องบัญญัติคำว่า "พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ" เสียที

"ติฏฐตุ จิรัง พุทธัสสะ สาสนัง"
http://www.matichon.co.th/matichon/m...sectionid=0130

บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #2 เมื่อ: 23-04-2007, 01:31 »

ข้างบน 2 คน ถ้าเป็นคนจริงๆ กรุณาตอบด้วย
คน กด 1
หุ่นยนต์ กด 2
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
กร
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 23-04-2007, 01:59 »

เห็นถามกันซ้ำไปซ้ำมาว่ามีข้อดีอะไร พอมีคำตอบ ก็เข้ามาเสียดสีประชดประชัน 

 
บันทึกการเข้า
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #4 เมื่อ: 23-04-2007, 05:14 »

ข้อดีของการบัญญัติว่า "ผู้ชายคือคนที่มีควญ"

๑. ได้ยืนยันความจริงทางธรรมชาติที่มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
๒. ได้รักษาไว้ซึ่งเพศทั้งสามอย่างเท่าเทียมกัน ( ชาย หญิง และลักเพศ ) โดยกฎวิทยาศาสตร์
๓. ได้ให้ความสำคัญกับความมั่นใจของคนในโลกที่มั่นคงอยู่ในหลักธรรมชาติอันถูกต้องแท้จริง
๔. ได้แสดงออกซึ่งการยอมรับความจริงแบบธรรมชาติว่าคนทุกคนในโลกต่างยอมรับว่าชาย หญิง และลักเพศ ต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
...อ้าว  แม่ง  ซ้ำกับข้อ ๒. นี่หว่า
๕. ได้ยืนยันความเป็นคนธรรมดาบนโลกนี้ที่พอใจแนวทาง Free love & Free sex โดยมีหลักธรรมชาติเป็นแก่นแท้แห่งการสืบสานเผ่าพันธุ์
๖. ได้สร้างและยอมรับความสอดคล้องกับมติของคนทั้งโลกที่ให้ความสำคัญกับหลักธรรมชาติและทุกชนชาติ
...เพ้อเจ้อฉิบหาย  สักแต่ว่าเขียนใส่ ๆ เข้ามาให้ดูเยอะ ๆ ไปอย่างนั้น...อ่านแล้ว "ไม่มีเนื้อนาสารัตถะ" ใด ๆ สักนิด
๗. ได้ส่งเสริมความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นระหว่างผู้ทุกชาติ ( ควญของผู้ชายรายใด ๆ ล้วนไม่มีพรมแดน - ใช้อึ๊บ ญ ได้ทุกเผ่าพันธุ์...Interracial น่ะ  รู้จักมั้ย ? )
๘. ได้ยืนยันภาพลักษณ์ของโลกนี้ที่เป็นดินแดนแห่งโลกียวิสัย
ที่คนทุกคนในโลกนี้มีเสรีภาพในการเป็นผัวเป็นเมียกัน แบบที่ตนพอใจได้โดยไม่เห็นจะต้องขัดแย้งกันเลย
๙. ได้แสดงออกซึ่งความจริงที่ว่ากามคุณเป็นพัฒนาการทางพฤติกรรมของคนบนโลกทั้งหมด ที่อยู่คู่กับคนทั้งโลก  ทุกชนชั้นไม่ว่าจะเป็นศักดินาล้าหลัง หรือกฎุมพีจังไs  ทุกแห่งหนบนโลกนี้ ตั้งแต่ฮาเร็มสุดหรูของสุลต่านลงไปจนถึงถ้ำน้ำแข็งแถวขั้วโลก  มานานมากกว่า 2 แสนปี
๑๐. ได้ยกย่องหลักธรรมชาติอันเป็นแนวทางในการสืบสานเผ่าพันธุ์ของสรรพสัตว์ทุกสายพันธุ์ ตั้งแตหนอนตัวแบนขึ้นมาจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม  ซึ่งประชาชนคนเพศชายทั้ง 100% ล้วนยอมรับนับถือ เพราะมั่นใจว่าควญนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ชี้บ่งถึงความเป็น "ชาย" ได้อย่างถูกต้องชัดเจนที่ซู้ดดดด
๑๑. ได้ส่งเสริมสนับสนุนมติชาวโลกที่ยกย่องให้ประเทศไทยเป็น Sex Industrial Country
...มาไงหว่า ? เอาน่า...หรือใครจะเถียงกะ Longman ?
๑๒. ได้หลักประกันทางกฎวิทยาศาสตร์ว่าควญเป็นสัญลักษณ์ของเพศชายโดยถูกต้องชอบธรรมและชอบด้วยกฎวิทยาศาสตร์สากล อันเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ระดับสูงสุดของโลก
...ต้องเป็น "ควญ" เท่านั้น    มิใช่หัวนม  ลิ้นไก่  ลูกกระเดือก  เซี่ยงจี๊  ฯลฯ
๑๓. ได้เครื่องมือปลูกจิตสำนึกร่วมกันของคนเพศชายที่จะร่วมใจกันรักษาไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีของคนเพศชายทั้งโลก
...อันนี้เห็นควญด้วย  อิ ๆๆๆ
๑๔. ได้เครื่องมือส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติกามกิจ  นำสู่หลักแห่งธรรมชาติที่ยึดความถูกช่อง ชอบทำ มีสมรรถภาพ ราคะจริต ตามหลักธรรมชาติที่มีอยู่ในสัญชาติญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวล
๑๕. ได้หลักในการอบรมสั่งสอนลูกหลาน ได้เกิดความภาคภูมิใจว่าตนเป็นคนเพศชาย  ที่จะต้องตระหนักในการประพฤติปฏิบัติ และสำแดงตนตามเพศกำเนิด อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น
...ไม่เอาตุ๊ด เกย์ พรางชมพู นะยะ...
...แต่ตูว่ามันก็ซ้ำซ้อนกะข้อ ๑๓. อีกนั่นล่ะ
๑๖. ได้หลักการกลางในการสร้างความสามัคคีระหว่างคนทุกเพศ เพราะเมื่อความเป็นผู้ชายแข็งแกร่ง คนทั้งโลกซึ่งต่างเผ่าพันธุ์กันก็จะอยู่อย่างสงบสุขทั่วถึงกัน ( ...จริงเร้อ ??? พูดเองเออเองรึเปล่า ??? ) เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเพศชายจะไปรังแกคนเพศอื่น ไม่เคยมีมาในอดีต ยังไม่มีในปัจจุบัน และไม่ควรปล่อยให้มีในอนาคต  ที่ผู้ชายแท้ ๆ จะไปรังแก รบราฆ่าฟัน ขับไล่ไสส่งคนเพศอื่น   มีแต่คนเพศชายเท่านั้นมักที่ถูกรังแก - ถูกทำลายมาตลอดโดยตุ๊ด ( ด้วยการจิก - ตบ ? ) หรือโดย ( คนเพศ ) เมีย ( ด้วยสากกะเบือ และ/หรือคัทเตอร์ สนธิกำลังกับชักโครก )
ว้าว ๆๆๆ...แสดงให้เห็นว่ามี "อคติ" ต่อเพศอื่นนิ   มีเจ็บแค้น + อาฆาตแทนคนเพศชายที่ตายไปแล้วตั้งพันปีด้วยนิ...
๑๗. การบัญญัติข้อความข้างต้นนั้นไว้ในกฎวิทยาศาสตร์ จะเป็นลูกบิดสำคัญให้คนเพศชายยิ่งมั่นใจขึ้น คือเป็นประเด็นให้นำไปใช้ต่อยอด ( ...คำฮิตในระบอบทักษิณเชียวนะนี่ ) เพื่อวางหลักเกณฑ์คุ้มครอง ส่งเสริมให้เหมาะสมได้ ในโอกาสต่อไป
...อ้อ  ถ้าไม่ระบุไว้ว่าผู้ชายคือคนที่มีควญแล้ว  ผู้ชายมีสิทธิสูญพันธุ์ ??
...แล้วทุกวันนี้ผู้ชายเป็นสัตว์ในการคุ้มครองตามบัญชีไหนล่ะเนี่ย ?

๑๘. ประชาชนคนทั้งโลกในยุคต่อไปจะได้ตระหนักยิ่งขึ้นว่า เชื้อชาติ เพศ วัย และตัวเลขจำนวนเงินในบัญชีธนาคาร ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของคนทั้งโลกที่จะต้องรักษาไว้เหนือความขัดแย้งใด ๆและเหนือชีวิต
หาก "เซ็กส์ช่วล เครดิต บูโร" ไม่ดีพวกเมิง "อดสืบพันธุ์นะว้อยยยย"
๑๙. การระบุว่าผู้ชายคือคนที่มีควญไว้ในกฎทางวิทยาศาสตร์ มิได้หมายความว่า คนเพศอื่นที่มีอวัยวะอื่นหรือมีควญแต่ไม่สมบูรณ์ จะร่วมกันบนโลกไม่ได้  เช่นเดียวกับการระบุว่าสิ่งนี้เป็นกุงเกงใน ต่อให้คนเพศไหน ๆ ก็สามารถนำไปสวมใส่ได้อยู่แล้ว
...เออ  ข้อนี้สรุปว่า "ถึงระบุหรือไม่ระบุไว้ก็ไม่มีผลอะไรหรอก"
...อ้าว..งั้นไอ้ข้ออื่น ๆ ที่ผ่านมาก็ "เพ้อเจ้อ" ล้วน ๆ สิวะ !!

๒๐. การบัญญัติข้อความข้างต้นนั้นไว้ในกฎวิทยาศาสตร์ จะได้หลักธรรมชาติที่ถูกต้องที่สุดในบริบททางสังคมของมนุษยชาติ จะไม่เป็นหลักธรรมชาติที่เกิดจากความชอบ ความชัง ความหลง ความกลัว ( อ้าว  แล้วข้อ ๑๖. ล่ะ...จะ "อ้าง" ถึงเรื่องในอดีตทำเงาะง่ามขาไปทำไม ? ) คือจะเป็นกฎวิทยาศาสตร์ที่ปราศจากอคติหรือความลำเอียงทั้งสี่ประการ เป็นกฎวิทยาศาสตร์ที่คนทั้งโลกไม่ว่าชาย หญิง ลักเพศ ทั้ง ๑๐๐ % ต่างให้การยอมรับอย่างแน่นอน...วี้ดวิ่ววว !!


qazwsx
ชมรมคนกวนตีนสุด ๆ แห่งสมาพันธโลก
ตาแก่นอนเช้า - ตาสว่างช่วงดึก
นักดาวน์โหลดหนังโป๊ทางอินเตอร์เน็ตระดับเกจิอาจารย์
และคนที่เกลียดการใช้ "ข้ออ้างแบบแถกสีข้าง" ของบรรดานักอัตตานิยมทุกสถานภาพ เป็นที่สุด

**************************************
**************************************

ที่โพสอย่างแปลงสาร เช่นนี้
ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า 
ทั้งหมดที่ "กล่าวอ้าง" มา 
ล้วนมิได้ "เป็นแก่นสารสาระ" อันใด  ว่าเมื่อทำไปแล้ว "ตราไว้ใน รธน.แล้ว" จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน อย่างแท้จริงเลย
ทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนเป็นเพียง "การเรียงร้อยถ้อยคำหรู ๆ" ด้วย "ภาษาดัดจริตเชิงรัฐศาสตร์" เพื่อตอบสนอง "อัตตาทิฐิ" ของเจ้ากูทั้งนั้น

ผลดี - ผลเสียแบบที่ใช้ได้หมดกับทุกเรื่อง - ทุกสิ่ง นั้น  ไม่เรียกว่าเหตุผล
ด้วยการที่คนเราจะปฏิบัติการงานอันใดขึ้นมา นั้น
ย่อมต้อง "มาจากหลักอริยสัจจ์" คือ
ต้องมี "เรื่อง" แล้วก็ดูว่า "เรื่องนั้นมาจากเหตุใด" อันเป็นฐานไปสู่แนวทาง "ระงับ" ก่อนจบลงที่ "ผล"
มิใช่
กูอยากให้มีผลอย่างไร  กูก็ "ตั้งธงไว้ก่อน"
จากนั้นกูก็อ้างไปเรื่อยเจื้อย  ชักแม่น้ำทั้งห้า  ชายหาดทั้งหก ( อาจมีชายหาดริเวียร่า + พัทยาร่วมด้วย ) จนย้อนกลับไปสู่ขี้ผงสกปรกบริเวณปากท่อส้วม
...แบบนั้นมันเรียกว่า "เอาแต่ได้"
เรี่ยราด รกเรื้อ กะเร้อกะรัง ถูลู่ถูกัง  แถกไถเอาชนะด้วยสีข้างลำตัวแดง ๆ
เป็น "มานะ" ในหนทางอันทุเรศ  เพื่อสนองตอบ "อัตตาทิฐิ" ที่จมปลักอยู่ในโมหจริต เท่านั้นเอง



ขอประทานอภัยนะท่านวิสุทธิกวี
อันที่จริงแล้ว  ผมน่ะเห็นด้วยกับการระบุเรื่องพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่ผมพิจารณาว่า การนี้ - เรื่องนี้ ยังไม่เหมาะ - ไม่สมควร ด้วยเหตุแห่งกาละเทศะ
เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะ "ขยายปม" หรือ "สร้างปม" อันใดที่สามารถนำไปสู่ความขัดแย้งได้อีก

อุทธาหรณ์ดั่งมีชายชราจูงม้าแก่ที่เพียบแปร้ไปด้วยสัมภาระเต็มหลัง  เดินโซซัดโซเซมาบนถนนหนทางอันทุรกันดาร
...แล้วอยู่ ๆ จู่ ๆ เจ้ากูท่านหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา  พลางร้องตะโกนว่า
"เฮ้ย ๆๆๆ  อาตมาขอไปด้วยสิ  จะให้ขี่ม้า  หรือโยมตาแก่จะแบกอาตมาไป  อาตมาก็ไม่ขัดหรอกนะ"

...อย่างนี้แล้วเจ้้ากูผู้ทรง "ฐานันดรศักดิ์" แห่งมกุฎราชวิทยาลัย เห็นว่าสมควรกระทำไหม ??

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2007, 05:27 โดย qazwsx » บันทึกการเข้า

morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #5 เมื่อ: 23-04-2007, 05:19 »

บรรจุลงไปเหอะ...ชักรำคาญแล้ว
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #6 เมื่อ: 23-04-2007, 05:22 »

เห็นถามกันซ้ำไปซ้ำมาว่ามีข้อดีอะไร พอมีคำตอบ ก็เข้ามาเสียดสีประชดประชัน 

 

ไม่ได้ประชดประชัน สงสัยจริงๆ
ว่าถ้าคุยด้วยแล้วจะมีคนฟังหรือเปล่า



ซีเรียสกันจัง 
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #7 เมื่อ: 23-04-2007, 05:36 »

ข้อดีของการบัญญัติว่า "ผู้ชายคือคนที่มีควญ"

^
^
^
เอางั้นเลยเหรอครับ
โหดจิง
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #8 เมื่อ: 23-04-2007, 05:54 »

คลำเตือน : ความคิดเห็นนี้
เด็ก ๆ ไม่ควรอ่าน  ส่วนสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษมีครรภ์ไม่ควรอ่านเกินวันละ 2 เที่ยว




อันนี้เป็นการ "ตัด & แปะ" จากกระทู้นึงในเว็บที่ชื่อ "ดักเxี้ย"
ซึ่งเป็นการโพสโดย "หญิงสาว" นางนึง  ผู้ใช้ชื่อในเว็บ ฯ ว่า "กระต่าย"


ขออภัย ( อีกครั้ง ) นะท่านวิสุทธิกวี
ผมพิจารณาว่าความคิดเห็น - การให้เหตุผลว่า ทำไมจึงสมควรระบุว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ( ไทย ) ของสตรีผู้นี้
"กลับดูดี - มีสาระ" มากกว่า "ข้ออ้างเรื่อยเจื้อย อันดารดาษไปด้วยภาษาทางการเมือง" ของท่าน  ซะอีก


(1) จากกระทู้นี้
http://www.xxxxxxxx.com/board/view.php?qID=5519
...คมสัน เราตอบกระทู้เรื่องศาสนาพุทธประจำชาติไว้แล้วนะ ลองอ่านดู . . .

    อยู่ในกระทู้นี้
    เป็นความเห็นส่วนตัวของกระต่ายเอง...

    http://www.xxxxxxxx.com/board/view.php?qID=5509

    ..........................................................................................

    ..

    ............................................................................
    จำไว้ว่าเราชื่อกระต่าย... และเราถือตัวพอประมาณ ...*

Post by : กระต่าย [2007-4-22 16:19:18] 124.121.30.174

( * เป็น "Signature" ของผู้โพสท่านนี้ )

---------------------------
Comment : 1

Post by : เป็นปกติ [2007-4-22 16:41:31] 202.91.19.192

---------------------------
Comment : 2

    ไอ้ต่าย
    ยาวว่ะ
    กูอ่านวันละนิดแล้วกัน



    อะจ๊าก อะจ๊าก

Post by : เป็ดแดง [2007-4-22 20:20:11] 125.25.81.197
---------------------------
Comment : 3

    กระต่าย ช่วยเอาเรื่อง ธรรมะ มาลงที่นี่หน่อย
    dhamma.mitdb.com
    (ถ้ามีนะ)
    อยากเก็บรวมรวบ อิๆๆ

Post by : Kamman [2007-4-22 20:23:58] 125.25.81.197
---------------------------
Comment : 4

    สงฆ์มานั่งประท้วง

    นี่กิจของสงฆ์เหรอไอ้สัด
---------------------------
Post by : โยโบ มือขวาบ๋อแบ๋ [2007-4-22 24:11:38] 222.123.168.239


**************************************
(2) จึงนำไปสู่กระทู้ที่ http://www.xxxxxxxx.com/board/view.php?qID=5509 ที่ (1) อ้างไว้
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ


    แล้วโรงเบียร์ ซ่องฯลฯจะทำกันยังไงล่ะ!!! ทุกศาสนาสอนคนป็นคนดีหมดอยู่ที่ว่าคุณจะทำตามคำสอนอะป่าว

Post by : คมสัน [2007-4-21 22:51:53] mail not show 58.10.9.89
---------------------------
Comment : 1

    ถ้าเคยศึกษาแต่ละศาสนาเขาจะมีวิธีที่คล้ายกัน(คำสอนที่ถูกต้องนะ)

Post by : คมสัน [2007-4-21 22:58:04] mail not show 58.10.9.89
---------------------------
Comment : 2

    พิธีโล้ชิงช้าเป็นพิธีทางพราหม แรกนาขวัญเป็นพราหม พระภูมิเจ้าที่เป็นพราหม
    จตุคามอยู่ศาสนาใด?ใครตอบได้
    อะไรคือพุทธังสะระณังคัจฉามิ{ข้าพเจ้าขอน้อมเอา(ยึดเอา)พระพุทธเป็นที่พึ่ง} ธรรมมังสะระณังคัจฉามิ
    คืออะไร สังฆังสะระณังคัจฉามิคืออะไรพระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม คือเทพเจ้าของศาสนาใด

Post by : คมสัน [2007-4-22 12:22:30] mail not show 58.9.194.199
---------------------------
Comment : 3

    ทุกวันนี้คนไทยยึดอะไร อะไรคือพุทธอะไรคือพราหมณ์เคยแยกกันบ้างไหม
    หรือถ้ามีการจอยกันแบบมั่วๆอย่างทุกวันนี้แล้วจะบันญัติในรัฐะรรมนูญทำไมว่า"ศาสนาพุทธป็นศาสนาประ
    จำชาติ"

Post by : คมสัน [2007-4-22 12:27:48] mail not show 58.9.194.199
---------------------------
Comment : 5

    การเดินประท้วงคือกิจของสงฆ์หรือไม่
    ผมไม่ได้ตำหนิเพียงแต่ไม่เข้าใจเพราะพระที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ(สมัยก่อน)มิได้ทำตัวแบบนี้แล้วสมัยนี้คือ
    อะไรทั้งๆที่เป็นเรื่องของทางโลก

Post by : คมสัน [2007-4-22 12:32:48] mail not show 58.9.194.199
---------------------------
Comment : 6

    ถ้าบันญัติในรัฐะรรมนูญแล้วได้อะไร ทั้งๆที่รู้กันอยู่ แล้วเสียอะไรบ้างถ้าไม่บันญัติ
    แล้วนายกจะต้องเป็นไทยพุทธอย่างเดียวหรือไม่ จะเป็นไทยคริส ไทยมุสลิม ไทยฮินดู ไทยซิก ได้หรือไม่
    พุทธเป็นศาสนาประจำชาติมีศีล5ป็นของคฤหัสผู้ครองเรือน
    โรงเบีย
    ซ่อง
    สถานเริงรมณ์ที่ขายเหล้าขายเนื้อ
    โชห่วยเล็ก ใหญ่ขายเหล้า
    คนกินเหล้าเที่ยวซ่อง จะทำอย่างไร!!?!!

Post by : คมสัน [2007-4-22 12:43:35] mail not show 58.9.194.199
---------------------------
Comment : 7

    อันนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่เข้าจัย
    มันเป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่ไม่เข้าจัยว่าทำมัยต้องบันญัติให้มันวุ่นวายด้วยเหตุผลข้างบน
    ซึ่งปกติผมก้อไม่คิดที่จะตั้งกระทู้ให้คนที่มีความคิดต่างกันเข้ามาด่าอยู่แล้ว เพียงแต่สงสัย
    และมองดูสังคมที่วุ่นวายว่าทำอะไรกัน
    "ถ้าจอยกันระหว่างศาสนาจนแยกกันไม่ออกแล้วจะบันญัติทำไมให้แตกแยกความสามัคคี!!??"

Post by : คมสัน [2007-4-22 12:51:14] mail not show 58.9.194.199
---------------------------
Comment : 8

    อ่านแล้วสรุปว่าคมสันพูดออกมา 7 ประเด็นสินะ

    1. โรงเบียร์ ซ่อง จะทำยังไง ศาสนาพุทธห้าม
    2. ทุกศาสนาสอนเป็นคนดีหมด เหมือนกันหมด
    3. จตุคามอยู่ศาสนาใด
    4. อะไรคือพุทธังสะระณังคัจฉามิ
    5. ไทยใช้พุทธ พราหมณ์ มากจนแยกไม่ออก
    6. พระเดินประท้วงใช่กิจของสงฆ์หรือ
    7. พุทธเป็นหลักใน รธน. แล้วได้อะไร

    ........................................................................................

    ..

    ............................................................................
    จำไว้ว่าเราชื่อกระต่าย... และเราถือตัวพอประมาณ ...

Post by : กระต่าย [2007-4-22 15:38:35] 124.121.30.174
---------------------------
Comment : 9

    อันนี้เห็นจะต้องใช้ความเข้าใจ 2 เรื่องจึงจะตอบทุกอย่างได้หมด

    1. เรื่องลำดับความสำคัญ
    2. เรื่องเรือ

    .............................................................................................

    ลำดับความสำคัญ แปลว่าสิ่งใดมีคุณค่า ความหมาย ประโยชน์
    ความสำคัญมากกว่า ควรทำก่อน ควรให้ความเป็นใหญ่

    ..

    เรือ แปลว่า สิ่งที่ใช้เดินทางน้ำจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ในที่นี้
    คือการเดินทางไปยังเป้าหมายที่ต้องการและเป็นเป้าหมายที่ดีขึ้น
    จำเป็นต้องอาศัยเรือ จะกระโดดวาร์ปไปเลยไม่ได้ ต้องอยู่อาศัยใน
    เรือก่อน 3 วัน 7 วัน หรือแรมปีก็ว่ากันไป พอถึงเป้าหมายก็ไม่ต้อง
    ใช้เรือนั้นอีก เมื่อมีเป้าหมายใหม่ก็ใช้เรือลำใหม่ต่อไป

    ............................................................................................

Post by : กระต่าย [2007-4-22 15:43:19] 124.121.30.174
---------------------------
Comment : 10

    ข้อ 1

    โรงเบียร์ ซ่อง ค้าน้ำเมา ค้ามนุษย์ ศาสนาพุทธห้ามทำไมยังมีอยู่

    ตอบ

    พระพุทธเจ้าบอกว่าหน้าที่ของนักบวชคือเพียรกำจัดกิเลส
    หน้าที่ของปุถุชนคือเพียรแสวงหาทรัพย์และรักษาทรัพย์ไว้
    (อันนี้คือหน้าที่หลัก)

    หน้าที่หลักแปลว่าหากไม่ทำดังนี้จะดำรงชีพต่อไปได้ยากหรือไม่ได้เลย

    ส่วนเรื่องมีศีล 5 อะไรนั้นเป็นหน้าที่รอง ต้องศึกษาคำสอนให้มั่นคง
    ก่อนแล้วจะเข้าใจ

    ลำดับต่อมาพระองค์ทรงแสดงธรรมอันเป็นเรือพาไปสู่จุดหมาย

    เรือของการกำจัดกิเลสคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    และยังมีเรือลำอื่นๆ ให้เลือกอีกเช่น มรรค 8 และ โพชชงค์ 7

    เรือของการแสวงหาทรัพย์และรักษาทรัพย์คือธรรมหมวดคิหิปฏิบัติ
    เช่น อิทธิบาท 4, สัปปุริสธรรม 7, พละ 5

    ........................................................................................

    ผู้ที่เลือกค้าน้ำเมา ค้ามนุษย์ แปลว่าเรียงลำดับความสำคัญในทรัพย์
    มากกว่าศีล มากกว่าการกำจัดทุกข์ จึงได้รับทรัพย์แต่ก็ได้รับทุกข์
    และกรรมจากงานนั้นๆ

    แต่เรือก็คือเรือ หากเขาค้าน้ำเมาด้วยหลักอิทธิบาท 4 เขาย่อมสำเร็จ
    ในการหาทรัพย์ เมื่อบรรลุแล้วอาจสละงานนี้ทิ้ง ไปจับงานสุจริตก็ได้

    ตรงนี้แหละที่สำคัญ... หากศาสนาพุทธเป็นหลักใน รธน.
    ก็จะมีสิทธิมากขึ้น มีความสำคัญขึ้น อาจสามารถจำกัดให้กิจการงาน
    กิจกรรมทางโลก อยู่ในศีลในธรรมมากขึ้น กิเลสและทุกข์ลดน้อยลง
    ทุกคนพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ได้ง่ายขึ้น ไม่คิดลักขโมยทุจริตใครก็ได้

    ดังนั้นจึงควรให้ลำดับความสำคัญศาสนาพุทธเป็นอันดับต้น
    คือเข้าเป็นหลักใน รธน. นั่นเอง

Post by : กระต่าย [2007-4-22 15:54:42] 124.121.30.174
---------------------------
Comment : 11

    ข้อ 2
    ทุกศาสนาสอนให้คนดีเหมือนกันหมด อยู่ที่การทำตามได้แค่ไหน

    ตอบ...
    ไม่เหมือนกัน คนดีของพุทธ กับของพราหมณ์ ของศาสนาต่างๆ
    นั้นมีแก่นแท้ที่ต่างกัน

    ....................................................................................

    ข้อ 3
    จตุคามอยู่ศาสนาใด

    ตอบ
    การแขวนเครื่องรางของขลัง คือการทำให้จิตมีสติยึดในความดีงาม
    ศาสนาพุทธสอนให้มีสติและให้หลัก 10 อย่าง ดังนี้

    ระลึกถึง พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์, ศีล, ทาน,
    เทวดาธรรม, ลมหายใจ, ความตาย, ร่างกาย, นิพพาน


    ดังนั้นจตุคาม คือการบูชาเพื่อให้มีสติโดยใช้ "เรือ" คือการยึด
    อนุสสติหมวดเทวดาธรรม เพราะจตุคามรามเทพเป็นเทวดา
    นับเป็นหนึ่งในคำสอนศาสนาพุทธด้านสติอย่างหนึ่ง

Post by : กระต่าย [2007-4-22 16:03:04] 124.121.30.174
---------------------------
Comment : 12

    ข้อ 4
    อะไรคือพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

    ตอบ
    คือการยกลำดับความสำคัญของสิ่งยึดใจไว้เป็นลำดับ 1 - 2 -3 - ...
    โดยให้ความดีของพระพุทธเป็นลำดับแรก
    ความดีของพระธรรมเป็นลำดับสอง
    ความดีของพระสงฆ์เป็นลำดับสาม

    คนที่อกหักแล้วกินยาตาย แปลว่ายึดเอาคนรัก เอาแฟนเป็นที่ยึดใจ
    ลำดับแรก สูงกว่าพระธรรม เพราะพระธรรมกล่าวว่าการฆ่าคน
    จะฆ่าตัวหรือฆ่าคนอื่น นับเป็นบาปขั้นสูง

    คนที่ยกความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    เป็นที่ยึดใจลำดับต้น ตามด้วยพ่อแม่ ครูอาจารย์
    ต่อด้วยครอบครัว ต่อด้วยสิ่งอื่นๆ คือคนที่จะดำเนินชีวิตในทางที่
    เจริญและประเสริฐ แต่หลายคนยังเรียงลำดับผิด

    จึงควรส่งเสริมให้ศาสนาพุทธเป็นหลักใน รธน.

Post by : กระต่าย [2007-4-22 16:06:21] 124.121.30.174
---------------------------
Comment : 13

    ข้อ 5
    ไทยใช้พราหมณ์ และศาสนพิธี เป็นเรือ
    เป็นเรือรักษาวัฒนธรรมและสื่อความหมายต่างๆ สู่ประชาชน
    ทั้งขวัญกำลังใจและความดีงาม

    ข้อ 6
    พระเดินประท้วงมิใช่กิจของสงฆ์ แต่เป็นเรือเป็นสะพานไปสู่การ
    รักษาศาสนาพุทธไว้ เพราะต่างรู้ดีว่าคำสอนของพุทธเป็นความ
    มักน้อย บ้านเมืองใดยึดไว้เป็นหลักจักอยู่ในความสงบสามัคคี

    เหมือนที่ว่าพระย่อมพอใจในที่นอนเล็กๆ แต่ทำไมสร้างวัดใหญ่ๆ

    พระพุทธเจ้าไม่ได้มีแต่ความบริสุทธิ์
    พระองค์มีความกรุณาด้วย

    หากจะนิพพานไปคนเดียวก็ไปได้ หรือมีวัดเล็กๆ ก็ได้
    แต่พระองค์กรุณาและมีปัญญาทราบว่า วัดและเจดีย์ พระพุทธรูป
    เป็นเรือพาให้ปุถุชนศรัทธาและใช้เป็นที่รักษาใจ ทั้งทางโลกทางธรรม
    จึงไม่เคยห้ามถ้าจะมีใครสร้างวัดถวายใหญ่ๆ

    พระองค์ก็ไม่เคยอยู่วัดไหนนานๆ
    เดินธุดงค์ไปเรื่อย แต่ไม่เคยห้าม สุดท้ายท่านก็ปรินิพพานไป
    แต่กรุณาทิ้งเรือทิ้งคำสอนไว้มากมาย

    แต่ยอมรับว่าสงฆ์บางคนเห็นแก่ลาภสักการะมีอยู่จริงต้องกำจัดออก
    แต่แก่นแท้ของพุทธคือความมักน้อยก็มีอยู่จริงเช่นกัน

Post by : กระต่าย [2007-4-22 16:12:19] 124.121.30.174
---------------------------
Comment : 14

    ข้อ 7
    พุทธเป็นหลักใน รธน. แล้วได้อะไร

    ตอบ
    ได้ลำดับความสำคัญเป็นอันดับต้น
    ธรรมมะของศาสนาพุทธเน้นความสันโดษ มักน้อย ความสงบ
    ความดับกองทุกข์กองกิเลส ความปรองดอง ความกรุณา ความเมตตา
    ความกินง่ายอยู่ง่าย ความสำรวม

    การที่เราจะให้กุศลธรรมเหล่านี้เป็นหลักใน รธน. เป็นสิ่งดีมากๆ

    ศาสนาที่บอกว่าการฆ่าสัตว์ ทารุณสัตว์แม้เพียงสัตว์เล็กก็บาป
    จะมีเหตุผลไม่มีเหตุผลก็บาปไม่ควรทำ หลักนี้ยึดเป็นหลักใน รธน.
    จะดีแค่ไหน สงครามย่อมไม่เกิดใช่ไหมคะ ?...

Post by : กระต่าย [2007-4-22 16:15:02] 124.121.30.174
---------------------------
Comment : 16

    ถามกระต่ายหน่อยเหอะ

    ถ้าในรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

    จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างไร แตกต่างจากอดีตและปัจจุบันตรงไหน

Post by : เฮียxมอย [2007-4-22 17:55:10] 217.36.109.164
---------------------------
Comment : 18

    หน้าที่ของสงฆ์เหรอไอ้สัด

Post by : โยโบ มือขวาบ๋อแบ๋ [2007-4-22 24:11:06] 222.123.168.239
---------------------------
Comment : 19

    ขอบพระคุณที่ชี้ทางสวางให้เสียที คุณกระต่าย ผู้ถือตัวพอประ..มาณ

Post by : FuกingHead [2007-4-22 25:09:53] mail not show 192.168.50.213
---------------------------
Comment : 20

    แล้วเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญมันจะเป็นไรวะ
    พระอยู่ในโลกในสังคม ก็ต้องรับรู้โลกรู้สังคมซิวะ
    สมเด็จโตฯ ยังเคยจุดเทียนหรือใต้เลย เมื่อบ้านเมืองมืดมัว
    เดินขบวน ในพระธรรมวินัย ไม่ได้ห้ามหรือบอกว่าต้องทำ

Post by : ถอกกาดออออ [2007-4-22 25:58:47] 125.25.195.101


******************************************************************

ต้องขออภัยท่านผู้อ่า่นทุก ๆ ท่านนะครับ
บังเอิญข้อความต่าง ๆ ในเว็บดักเxี้ย มักเต็มไปด้วยคำสุภาพมากมาย
ยิ่งถ้าเป็นกระทู้อื่น ๆ ที่ไม่ใช่กระทู้อันเกี่ยวข้องกับศาสนา หรือ K แล้วล่ะก็
...สุภาพสุด ๆ เชียวล่ะครับ
 


อย่าว่าข้อยเด้อ...
บันทึกการเข้า

Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #9 เมื่อ: 23-04-2007, 06:08 »

อ่านของน้องกระต่ายก็น่ารับฟัง

แต่เรือของเธอ ผมเห็นคนเอาแต่พายๆๆ

วนอยู่ในอ่าง ไม่ไปถึงไหนกันซักที




ปล.เรียกน้องกระต่ายได้เปล่า เค้าถือตัวซะด้วยยย
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
(ก้อนหิน) ละเมอ
Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,041



เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 23-04-2007, 07:01 »

ความเห็นของกระต่าย แม้จะหยาบคาย แต่ก็ยังดูมีเหตุมีผลมากกว่าเสียอีก
บันทึกการเข้า

login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #11 เมื่อ: 23-04-2007, 09:51 »

มีแต่จับอะไรต่อมิอะไรยัดเข้าไปจนรกรุงรังไปหมด
ผลที่ได้ก็แค่ รธน.ที่มีช่องว่างมากมายให้บิดพลิ้วโดยผู้มีอำนาจ
และไม่เคยเห็นหัวประชาชนเหมือนเดิม

ทำไมรธน.สหรัฐจึงมีแค่หน้ากระดาษเดียว
เพราะเขาให้ความสำคัญที่คน
เพราะเขามีหลักที่ชัดเจน
เพราะเขาบังคับใช้ได้จริง
กฎหมายอื่นๆที่ออกตามมาแค่ทำตามรธน.ที่ว่า
ยุดสมัยจะเปลี่ยนกี่รอบ กฎหมายจะแก้กี่ครั้ง
แต่ก็ไม่ข้ามหัวประชาชนซํกที
บันทึกการเข้า
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #12 เมื่อ: 23-04-2007, 10:49 »

ดีครับ คุยกันด้วย เหตุผลดีกว่า

1. ผมอยากจะถามว่า ถ้าไม่มีบัญญัติ ใน รัฐธรรมนูญ จะเกิด ผลเสียอย่างไร

2. ใครเป็นผู้เสียผลประโยชน์ ถ้าไม่มีบัญญัติ แต่เราทำนุบำรุงศาสนาพุทธ ให้ได้ ตามที่บรรยายมา โดยที่ไม่ต้องบัญญัติ ไว้ได้หรือไม่

3. ผลเสียของการบัญญัติ คืออะไร

4. ข้อดี ของการ ไม่บัญญัติ คืออะไร

อยากรู้จริงๆ นะครับ

รัฐธรรมนูญ จะสำคัญเท่าสัมมาปัญญา ของคนไทยทุกคนจริงๆเหรอ 
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #13 เมื่อ: 23-04-2007, 21:40 »

ก็มีเหตุผลดีครับ ที่จะให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธในลำดับต้น ๆ ...
แต่ก็สงสัยนะครับ ว่าความสำคัญในลำดับต้น ๆ ของศาสนาพุทธคืออะไร...

เรื่องจตุคามรามเทพฯ จะเป็นส่วนนึงของพุทธหรือไม่ ผมไม่อยากเถียงหรอก เพราะผมรู้ว่า"พุทธ"นั้น มีเชื่อกันไปต่าง ๆ นา ๆ แม้กระทั่งเถรวาทบ้านเรายังถือไม่เหมือนกันทั้งที่ได้ชื่อว่าพุทธเหมือนกัน และป่วยการจะไปเถียงกับพวกที่เก่งบาลี

ในทัศนะของผม เป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธ คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย และถ้าจะให้ดี ช่วยบอกให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ด้วยก็จะดี..แต่ การจะพ้นหรือไม่คงเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล เพียงแค่บอกก็ไม่ทำให้คนพ้นทุกข์ไปได้

ฉะนั้นตอนนี้ใครจะนับถือพุทธกันแบบไหนก็ตามแต่ เชิญเลือกนับถือไป (แม้วัชรยาน บ้านเราก็มีนับถือกันอยู่)

แต่ถ้าบรรจุลงไปในรัฐธรรมนูญ ให้ช่วยบอกให้ชัดด้วยว่า ตอนนี้เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแบบไหน?
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
(ก้อนหิน) ละเมอ
Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,041



เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 23-04-2007, 21:44 »

1. ผมอยากจะถามว่า ถ้าไม่มีบัญญัติ ใน รัฐธรรมนูญ จะเกิด ผลเสียอย่างไร
ไม่น่จะมีผลเสียนี่ครับ แต่ผมคิดว่าการที่มีบัญญัติจะเกิดผลเสียมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งของศาสนาต่างๆ

2. ใครเป็นผู้เสียผลประโยชน์ ถ้าไม่มีบัญญัติ แต่เราทำนุบำรุงศาสนาพุทธ ให้ได้ ตามที่บรรยายมา โดยที่ไม่ต้องบัญญัติ ไว้ได้หรือไม่
ใครเสียประโยชน์ --> ไม่ทราบครับ
การทำนุบำรุงศาสนา โดยไม่ต้องบัญญัติก็ได้นี่ครับ ที่ผ่านๆ มาก็ไม่มีบัญญัติ ศาสนาพุทธก็ไม่เห็นจะล่มสลายเลยนี่ครับ

3. ผลเสียของการบัญญัติ คืออะไร
จะเกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนาในประเทศไทยครับ

4. ข้อดี ของการ ไม่บัญญัติ คืออะไร
ไม่เกิดความขัดแย้งครับ
บันทึกการเข้า

(ก้อนหิน) ละเมอ
Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,041



เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 23-04-2007, 21:48 »

ก็มีเหตุผลดีครับ ที่จะให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธในลำดับต้น ๆ ...
แต่ก็สงสัยนะครับ ว่าความสำคัญในลำดับต้น ๆ ของศาสนาพุทธคืออะไร...

เรื่องจตุคามรามเทพฯ จะเป็นส่วนนึงของพุทธหรือไม่ ผมไม่อยากเถียงหรอก เพราะผมรู้ว่า"พุทธ"นั้น มีเชื่อกันไปต่าง ๆ นา ๆ แม้กระทั่งเถรวาทบ้านเรายังถือไม่เหมือนกันทั้งที่ได้ชื่อว่าพุทธเหมือนกัน และป่วยการจะไปเถียงกับพวกที่เก่งบาลี

ในทัศนะของผม เป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธ คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย และถ้าจะให้ดี ช่วยบอกให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ด้วยก็จะดี..แต่ การจะพ้นหรือไม่คงเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล เพียงแค่บอกก็ไม่ทำให้คนพ้นทุกข์ไปได้

ฉะนั้นตอนนี้ใครจะนับถือพุทธกันแบบไหนก็ตามแต่ เชิญเลือกนับถือไป (แม้วัชรยาน บ้านเราก็มีนับถือกันอยู่)

แต่ถ้าบรรจุลงไปในรัฐธรรมนูญ ให้ช่วยบอกให้ชัดด้วยว่า ตอนนี้เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแบบไหน?

นั่นสิครับ
เรื่องจตุคามฯ ผมยังเชื่อว่า เกิดจากการที่คนเราขาดที่พึ่งทางใจ
ทั้งๆ ที่ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นชาวพุทธแล้ว ที่มีหลักอยู่ว่า
"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
ถามหน่อยว่า... ถ้าไม่ทำมาหากิน มันจะรวยไหม
นอนกอดเหรียญอยู่เฉยๆ มันจะรวยไหม
บันทึกการเข้า

buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #16 เมื่อ: 24-04-2007, 09:25 »

1. ผมอยากจะถามว่า ถ้าไม่มีบัญญัติ ใน รัฐธรรมนูญ จะเกิด ผลเสียอย่างไร
ไม่น่จะมีผลเสียนี่ครับ แต่ผมคิดว่าการที่มีบัญญัติจะเกิดผลเสียมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งของศาสนาต่างๆ

2. ใครเป็นผู้เสียผลประโยชน์ ถ้าไม่มีบัญญัติ แต่เราทำนุบำรุงศาสนาพุทธ ให้ได้ ตามที่บรรยายมา โดยที่ไม่ต้องบัญญัติ ไว้ได้หรือไม่
ใครเสียประโยชน์ --> ไม่ทราบครับ
การทำนุบำรุงศาสนา โดยไม่ต้องบัญญัติก็ได้นี่ครับ ที่ผ่านๆ มาก็ไม่มีบัญญัติ ศาสนาพุทธก็ไม่เห็นจะล่มสลายเลยนี่ครับ

3. ผลเสียของการบัญญัติ คืออะไร
จะเกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนาในประเทศไทยครับ

4. ข้อดี ของการ ไม่บัญญัติ คืออะไร
ไม่เกิดความขัดแย้งครับ

ขอบคุณ คุณ ก้อนหินมากครับ ที่ตอบคำถาม

อยากให้ จขกท มาตอบคำถามผมด้วยนะครับ

ข้อดีของการบัญญัติไว้หน่ะ ที่ท่านบอกมาผมก็เห็นด้วยบ้างไม่เห็นด้วยบ้างนะครับ

แต่ถ้าตอบคำถามทั้งหมดได้ ก็จะสามารถมีข้อมูลที่ดีเพื่อที่จะพิจารณาว่า เราควรทำอย่างไรนะครับ 
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
ขอคุยกับพวกบ้าลัทธิด้วคน
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #17 เมื่อ: 24-04-2007, 17:17 »

ถ้าจะเขียนว่า ศาสนาพุืธศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลามศาสนาซิก  เป็นศาสนาประจำชาติ  จะมีปัญหาอะไรไหม

อ้างเรื่องประวัติศาสตร์ ทั้งๆที่ไม่รู้อะไร  ยังคิดอยู่เหรอว่า คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต  ดักดาน

ไทยก็คือ  เำหนือสุดเชียงราย ใต้สุดนราธวาส   ที่จขกทพร่ามมานั่น มันเเค่คนไทยภาคกลาง  ไม่ใช่คนไทยทั้งหมด

เพราะความไม่ยอมรับกันนี่เเระ  ปัญหาอะไรมันก็เลยเเก้ไม่ได้

วันนี้จะมาเพิ่มปัญหาอีกเเหะ   
บันทึกการเข้า
ประกาศ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #18 เมื่อ: 24-04-2007, 21:57 »

สาวกศาสนาอื่นด่าว่าพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องที่ชาวพุทธจะต้องเสียใจ(เพราะเป็นเรื่องธรรมดา) แต่ชาวพุทธเองทั้งไม่สนับสนุน แต่ประจานตนเองนี่น่าเสียใจเป็นที่สุด (ผมไม่ใช่พุทธศาสนา แต่ผมอยากจะเห็นประชาธิปไตยสมบูรณ์มากกว่า เพราะผมเชื่อว่า ตัวอย่างแรกของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุดก็คือเรื่องนี้ เมื่อไม่ยอมรับมติหรือประเด็นนี้ ก็ไม่ควรบอกว่าเป็นประชาธิปไตยเลย
บันทึกการเข้า
กร
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #19 เมื่อ: 25-04-2007, 00:31 »

ถ้าจะเขียนว่า ศาสนาพุืธศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลามศาสนาซิก  เป็นศาสนาประจำชาติ 
เหตุผล ?

บอกตามตรงเห็นความหยาบคายที่ยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบแล้ว เหมือนจงใจทำลายกระทู้ผู้อื่น กระทู้อื่นก็ตัดแปะไปแล้ว กระทู้นี้หัวข้อชัดเจนก็ยังมีการตัดแปะ อีก กระทู้ในห้องสถากาแฟที่ขึ้นหัว รุนแรง หยาบคายเรื่องนี้ก็มีแล้ว คนนอกตอบไม่ได้ก็ยังไม่พอ  แทนที่จะได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างมีสาระ กระทู้เกี่ยวกับศาสนาก็เอาเรื่องอวัยวะเพศมาถกดัดแปลงเป็น
ที่ลดคุณค่า และเพื่อความสะใจ สนุกปาก ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย 

บันทึกการเข้า
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 25-04-2007, 00:58 »



การเขียนข้อดีข้อเสีย จะเขียนแยกย่อยเป็นหมื่นๆข้อก็ย่อมได้ครับ

แต่ทว่าแนวคิดหลักในการใช้กฎหมายบังคับความเชื่อนั้น ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกครับ

สังคมและครอบครัวต่างหากที่สืบทอด สอนกันต่อๆมา หากเพียงระบุในรัฐธรรมนูญด้วยความคิดพื้นฐานเช่นนี้

ปัญหาต่างๆก็คงตามมาแน่นอนครับ...เพราะขัดหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว..
บันทึกการเข้า

นายเกตุ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,289



« ตอบ #21 เมื่อ: 25-04-2007, 07:58 »

ก็ไม่ได้ต่อต้านกับความเห็นที่จะเอาศาสนามาบรรจุหรอก แต่ก็อยากจะถามว่า

1.ปัญหาของประเทศชาติตอนนี้เกิดจากเพราะเราไม่ได้เอาศาสนาพุทธบรรจุเป็นกฏหมายเหรอ
2.แล้วถ้าพระทำผิดจับติดคุกได้เปล่า ถ้าได้ก็บรรจุไปเลย
บันทึกการเข้า
ปรีชา
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #22 เมื่อ: 25-04-2007, 11:41 »

ข้อดีของการบัญญัติ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

๑. ได้ยืนยันความจริงทางประวัติศาสตร์ชาติไทยที่มีมายาวนาน
๒. ได้รักษาสถาบันทั้งสามอย่างเท่าเทียมกันโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
๓. ได้ให้ความสำคัญกับศรัทธาของประชาชนคนในชาติที่มั่นคงอยู่ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
๔. ได้แสดงออกซึ่งการยอมรับความจริงแบบประชาธิปไตยว่าเสียงของคนส่วนมากยอมรับสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ เท่าเทียมกัน
๕. ได้ยืนยันความเป็นคนไทยที่นิยมอิสระ เสรีภาพ โดยมีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นแกนกลางสร้างความสามัคคี
๖. ได้สร้างและยอมรับความสอดคล้องกับมติของประชาคมโลกที่ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาและประเทศไทย
๗. ได้ส่งเสริมความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นระหว่างประชาชนคนในชาติ
๘. ได้ยืนยันภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่เป็นดินแดนพระพุทธศาสนา ที่คนทุกคนในประเทศนี้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนาที่ตนศรัทธาได้โดยไม่ขัดแย้งกัน
๙. ได้แสดงออกซึ่งความที่พระพุทธศาสนาเป็นนวัตกรรมทางความคิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่คู่กับคนไทย ชาติไทย พระมหากษัตริย์ไทย ในสุวรรณภูมินี้มานานมากกว่าสองพันปี
๑๐. ได้ยกย่องพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกราชวงศ์ตั้งแต่เริ่มต้นเผ่าไทยมาถึงปัจจุบัน และประชาชนคนไทยปัจจุบันเกินกว่า ๙๔ % ยอม รับนับถือ เพราะมั่นใจว่าพระพุทธศาสนามีคุณูปการต่อชนชาติไทย
๑๑. ได้ส่งเสริมสนับสนุนมติชาวโลกที่ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาของโลก
๑๒. ได้หลักประกันทางกฎหมายว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยโดยถูกต้องชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมายบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
๑๓. ได้เครื่องมือปลูกจิตสำนึกร่วมกันของคนในชาติที่จะร่วมใจกันยกย่องสถาบันสูงสุดเป็นเอกลักษณ์ของชาติ
๑๔. ได้เครื่องมือส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติธรรมนำสู่หลักแห่งประชาธิปไตยที่ยึดความถูกต้อง ชอบธรรม มีภราดรภาพ มิตรภาพตามหลักธรรมคำสั่งสอนที่มีมาในพระพุทธศาสนา
๑๕. ได้หลักในการอบรมสั่งสอนลูกหลานไทยได้เกิดความภาคภูมิใจว่าตนมีศาสนาประจำชาติ ที่จะต้องตระหนักในการนำศาสนาสู่การปฏิบัติมากยิ่งขึ้น
๑๖. ได้หลักการกลางในการสร้างความสามัคคีระหว่างคน ในชาติ เพราะเมื่อพระพุทธศาสนาแข็งแกร่ง คนในชาติซึ่งนับถือศาสนาต่างกันก็จะอยู่อย่างสงบสุขทั่วถึงกัน เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่พุทธศาสนิกชนจะไปรังแกคนที่นับถือศาสนาอื่นจากที่ตนนับถือ ไม่เคยมีมาในอดีต ยังไม่มีในปัจจุบัน และ จักไม่มีในอนาคต ที่พุทธศาสนิกชนจะไปรังแก รบราฆ่าฟัน ขับไล่ไสส่งศาสนิกอื่น มีแต่ชาวพุทธเท่านั้นที่ถูกรังแกถูกทำลายมาตลอดทุกยุคที่ผ่านมา
๑๗. การบัญญัติข้อความข้างต้นนั้นไว้ในรัฐธรรมนูญ จะเป็นกุญแจสำคัญให้พระพุทธศาสนายิ่งมั่นคงขึ้น คือเป็นประเด็นให้ได้ออกกฎหมายคุ้มครอง ส่งเสริมให้เหมาะสมได้ในโอกาสต่อไป
๑๘. ประชาชนคนไทยในยุคต่อไปจะได้ตระหนักยิ่งขึ้นว่า ชาติ พระพุทธ- ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันสำคัญของชนชาติไทยที่จะต้องเทิดทูนไว้เหนือความขัดแย้งใด ๆและเหนือชีวิต
๑๙. การมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ มิได้หมายความว่า คนไทยที่นับถือศาสนาอื่นจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ เช่นเดียวกับการบัญญัติว่าที่นี่ประเทศไทย แต่คนจากประเทศไหน ๆ ก็สามารถมาอยู่ในประเทศไทยได้อย่างปกติสุข ภายใต้กฎหมายไทยที่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาอยู่แล้ว
๒๐. การบัญญัติข้อความข้างต้นนั้นไว้ในรัฐธรรมนูญ จะได้รัฐธรรมนูญที่ถูกต้องที่สุดในบริบทสังคมไทย จะไม่เป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดจากความชอบ ความชัง ความหลง ความกลัว คือจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ปราศจากอคติหรือความลำเอียงทั้งสี่ประการ เป็นบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่คนไทยเกินกว่า ๙๐ % ยอมรับแน่นอน

พระเทพวิสุทธิกวี
เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวางแผน
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: