"ปาฐกถา ‘นิธิ เอียวศรีวงศ์’ : ชำแหละรัฐธรรมนูญ’50 ฉบับไม่ใช่ของ ‘เรา’ "

[morning star]

http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=7804&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai

เข้าไปดูหน่อยนะครับ คืออยากให้พวกเราคิด และติดตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไปครับ ยอมรับว่า ประชาไท ก็จั่วหัวไว้ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ เพราะยังไงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ยังเป็นของ "เรา" กันทั้งหมดนี่แหละ เพียงแต่เราจะเข้าไปมีส่วนร่วมกำหนดแนวทาง และ ผลักดันมันมากน้อยแค่ไหน..อย่านั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วรอ "เขา" คิด แล้วมาล้ม หรือ หนุน รัฐธรรมนูญ โดยไม่มีส่วนร่วมเลย

[morning star]

http://www.komchadluek.net/2007/04/21/a001_109241.php?news_id=109241

อีกลิงค์นึงครับ

[********Q********]

เข้ามาร่วมสังเกตการ์ณครับ..และร่วมเสนอความเห็นครับ  ผมว่าคุณสโนว์คงเหนื่อยน้อยลง 

คนดีไม่ได้กลัวคำถามหรอกครับ คนดีกลัวการใส่ร้ายป้ายสี..และพวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย ศรีธนญชัย..

ยิ่งกว่านั้นก็คือพวกมากลากไปเลอะเทอะครับ..

ดังนั้นคำถามที่เข้าลักษณะคำถามไม่สร้างสรรค์สังคม ขาดการให้เกียรติหรือมีสัมมาคารวะตามข้อเท็จจริงจึงสมควรมีโทษทัณฑ์จึงจะถูกต้องครับ...


หากเราเป็นคนไทย จะปฏิเสธบอกว่ารัฐธรรมนูญไม่ใช่ของเรา ก็เท่ากับพวกเกลียดตัวกินไข่..กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง..


การแก้ไข คอร์รัปชัน และต่อด้วยยุติธรรมมาภิวัฒน์ ข้าประชาชนภิวัฒน์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสังคมไทยเรา

[นทร์]

รัฐธรรมนูญ ปี 40 ก็ไม่ใช่ของ ‘เรา’ 

เพราะ แม้วเอาไปยำซะเละเทะไม่เหลือซากเลย 

[ไทมุง]

แต่แม้วก็ยังมีประโยชน์ตรงที่ ทำให้เราทราบจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ

แต่ก็ทำเอาประเทศชาติอ่วมไปเลย 

ปล.เจ็บเพื่อเข้าใจ

[อยากประหยัดให้ติดแก๊ส]

รัฐธรรมนูญฉบับมูนวอล์คเดินไปข้างหน้าแต่ดันถอยไปข้างหลัง บางข้อก็แสดงวุฒิภาวะคนร่างว่า
แก่แล้วทำตัวเหมือนเด็กเล่นยอดมนุษย์ โดนด่ามากก็โตขึ้นมาหน่อยเป็นประมุขหนังจีน แกคงรู้
ว่าร่างแบบนี้มันน่าอายไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่ความกลัวเสียหน้าเรื่องโค่นทักษิณโดยไม่มีเหตุผล
อันสมควรคงเป็นตัวบีบให้ทำ ส่วนข้อที่เป็นการนิรโทษกรรมแบบใช้บ๋อยไปที่อันชั่วคราว นับเป็น
รอยแผลเป็นหรือจุดด่างขาวอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ควรจะให้มีเลย มันไม่สง่างามอย่างมาก คือ แรก
เกิดก็หน้าตาทุเรศมีตำหนิแล้ว การเขียนอะไรที่มันล็อคซ้ายล็อคขวาไม่ให้มีผู้นำที่เข้มแข็งอย่าง
ทักษิณ แล้วเปิดช่องทางวิกฤตไว้ ในความเป็นจริงไม่คิดว่าจะมีคนที่พร้อมและฉลาดอย่างทักษิณ
เป็นคนที่สองในโลก ไม่ต้องพูดถึงเฉพาะแค่เมืองไทย ถ้าเกิดมีขึ้นมาจริงย่อมเป็นการบีบให้การ
เมืองเข้าสู่ภาวะศรีธนญชัยเพื่อการแก้ปัญหาอีก และจะต้องทะเลาะกันไม่เลิกกับคำว่า "วิกฤต"
ทั้งแปดประมุขก็มีส่วนได้เสียในการเมือง จะมาทำตัวเป็นคนกลางแก้ปัญหาดูตลก สุดท้ายคนบ้า
อำนาจก็มีข้ออ้างลากรถถังมาให้เด็กถ่ายรูปได้อีกอยู่ดี ฉบับงี่เง่าแบบนี้ไม่เป็นของ "เรา" ดีแล้ว

[morning star]

เข้าไปอ่านดู ก็รู้สึกว่ามีหลายอย่างต้องแก้ไข ได้แต่หวังว่า ร่างนี้ จะไม่ล้มไปเสียก่อน เพราะคงทำให้การเลือกตั้งต้องช้าออกไปอีก

[meriwa]

อ่านแล้วมีหลายอย่างเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย

รัฐธรรมนูญฉบับนี้จริงๆ แล้วแทบไม่ต่างจากฉบับอื่นๆ เลย ในแง่ที่ว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ตอบโจทย์ของสังคมจริงๆ โจทย์ที่รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับพยายามตอบ จริงๆ แล้วเป็นโจทย์ของกลุ่มชนชั้นกลางกับชนชั้นนำที่คิดว่านี่คือโจทย์ แล้วก็พยายามที่จะออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อจะตอบโจทย์เหล่านั้น แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ของสังคมส่วนใหญ่


ความจริงถ้าจะบอกว่า รัฐธรรมนูญปี 50 ฉบับนี้ไม่ใช่ของเรา  ถ้าอย่างนั้นของปี 40 เป็นของเราหรือไม่  เพราะมันก็เขียนลอกๆ กันมา  ถ้าจะไม่รับปี 50 งั้นปี 40 ทำไมจึงรับกันได้
หรือเพียงเพราะว่าคนเขียนคนละคนกัน  แต่เนื้อหามันก็แทบไม่ต่างกัน

เมื่อเช้านี้พ่อสมเกียรติ (สมเกียรติ พ้นภัย ตัวแทนคณะทำงานปฏิรูปการเมืองสมัชชาคนจน) พูดว่า พรรคพวกด้วยกัน พอได้รับเลือกให้เป็น อบต. กลับมาชี้หน้าด่าประชาชนแทน เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นทั้งประเทศไทย พรรคพวกที่ต่อสู้ด้วยกัน ต่อสู้กับโรงไฟฟ้าเพื่อรักษาทรัพยากรท้องถิ่น พอได้รับเลือกมาเป็นนายกเทศมนตรีกลับไปร่วมกับฝ่ายที่จะเอาโรงไฟฟ้ามาตั้งในพื้นที่ หรือไปแย่งชิงทรัพยากร ไล่พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นคนจนออกจากเขตพื้นที่สาธารณะของเทศบาลด้วยซ้ำไป อย่างนี้เป็นต้น

อันนี้คงต้องลองให้ อ.นิธิ ฯ ลองไปสมัครเป็น อบต. บ้าง เผื่อจะได้เข้าใจว่าทำไมพรรคพวกที่เคยทำงานร่วมกันมา ถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังมือ
มุมมองมันต่างกัน เถียงอย่างไรก็ไม่จบ  ถ้ายังมองกันคนละมุม ถ้าผมมองในส่วนของภาครัฐ ก็เห็นว่าเป็นเพราะอำนาจมันพาไป ระเบียบข้อบังคับต่างๆ อาจทำให้เค้าเหล่านั้นต้องทำตาม
สิ่งสำคัญคือประชาชนในพื้นที่เอง ต้องรวมตัวกันให้ได้  ต้องฉลาดเท่าทัน ติดตามข่าวสาร ว่าคนที่ตัวเองเลือกมาเป็นคนอย่างไร  สนใจกันให้มากกว่านี้  จะมาบอกว่าเป็นปัญหากฏหมายอย่างเดียวก็ไม่ได้
ก็เล่นเลือกตั้งเสร็จก็บอกจบหมดหน้าที่ตัวเอง  พอเดือดร้อนก็ถึงจะออกมาโวยวาย   แต่พอเลือกตั้งอีกก็ดันไปเลือกคนเดิมอีก  แล้วมันจะมีอะไรดีขึ้นมา


รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เช่นกัน ในเมื่อเค้าให้แก้ไข ก็ควรร่วมเสนอความคิดว่าควรทำอย่างไรมากกว่า  ไม่ใช่พอเค้าทำเสร็จก็ออกมาวิจารณ์อย่างเดียว บอกจะไม่รับท่าเดียว
มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ใครร่างเค้าก็คิดได้แต่ปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้น    คนที่มีปัญหาแต่ไม่ยอมบอกไม่ยอมเสนอแล้วจะไปเรียกร้องอะไร การทำงานมันมีขึ้นมีตอนอยู่
ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำ จะแก้ตอนไหนก็แก้


เรื่องการใช้ทรัพยากร ก็ต้องมาคุยกัน  จะบอกว่าห้ามทำอะไรเลยมันก็ไม่ใช่  บางทีภาครัฐ เค้ามองภาพรวมทั้งประเทศ   แต่คน่ในพื้นที่มองเพียงพื้นที่ของตัวเอง  ก็ต้องเอาเหตุผลมาคุยกันถึงข้อดีข้อเสียที่จะเกิดขึ้นว่าอะไรจะมากน้อยกว่ากัน  หากทำแล้วคนในพื้นที่เสียประโยชน์รัฐก็ควรชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม

ในแง่ความคิดอื่นก็เห็นด้วยว่าปัญหาที่ อ.แกว่ามามันก็เป็นเรื่องจริง  แต่สิ่งสำคัญคือประชาชนอีกนั่นละ  ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่รู้เพียงแต่ว่าเค้าให้ออกมาเดินประท้วงเย้วๆ
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม  ทำแล้วจะได้อะไร  มันก็เลยมีแต่ความวุ่นวาย   มองแต่ประโยชน์ส่วนตัวไม่ฟังเหตุและผลกัน

สิ่งที่นักวิชาการเหล่านี้ไม่ได้พูดถึงกันเลยคือ เรื่องของภาคประชาชน ที่ควรจะปรับเปลี่ยนนิสัย หรือพฤติกรรมบางอย่าง ให้สอดคล้องกับ ระบบประชาธิปไตย  เพื่อให้มีพลังต่อลองกับกลุ่มอำนาจต่างๆได้ควรจะทำอย่างไร
การไปบอกให้กลุ่มอำนาจอื่นๆ มาเห็นใจภาคประชาชน(บางกลุ่ม)ที่ไม่ยอมสนใจตัวเอง   มันเป็นไปได้ยากอยู่แล้ว   เพราะคนเราต่างๆ ก็เห็นแก่ตัวเป็นธรรมดา เป็นกฏแห่งธรรมชาติที่คนอ่อนแอกว่าก็ต้องแพ้คนแข็งแรงกว่า