ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 13:30
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  บรรจุ "พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ไว้ใน รธน. แล้วจะอธิบายอย่างไร... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
บรรจุ "พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ไว้ใน รธน. แล้วจะอธิบายอย่างไร...  (อ่าน 2285 ครั้ง)
เพื่อนร่วมชาติ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 777


« เมื่อ: 21-04-2007, 11:13 »

หากมีการบรรจุคำว่า "พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ไว้ในรัฐธรรมนูญจริง ๆ แล้วจะอธิบายให้คนในจังหวัด อำเภอ หรือตำบลที่ประชากรส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธฟังอย่างไร???

หรือฝ่ายที่เรียกร้องเรื่องนี้จะขันอาสาไปอธิบายให้ประชาชนในยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล บางพื้นที่ของสงขลา ฯลฯ ฟัง

หรือจะเรียกร้องเสร็จแล้ว ก็ปล่อยให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นฝ่ายไปอธิบายให้ชาวบ้านเหล่านี้เอง

ผมรับรองได้ว่าพวกเขาจะยกประเด็นนี้ไปอธิบายแน่

คนในพื้นที่นี้กว่า 90% ไม่เห็นด้วยกับขบวนการก่อความไม่สงบ แล้วการเรียกร้องเรื่องเปราะบางแบบนี้ในเวลานี้มันเหมาะกับกาลเทศะแล้วหรือ

เหตุผลที่ยกกันเหลือเกินก็คือ ประชากรส่วนใหญ่นับถือพุทธ แต่ขอโทษ นั่นมันที่อื่น ไม่ใช่ แถวชายแดนไทย-มาเลเซีย

และถามจริง ๆ คนไทยเวลาไปวัด เข้าพิธีศาสนา จริง ๆ แล้วหวังอะไร

หวังโชคลาภ หรือหวังขัดเกลาชีวิต

ถ้าส่วนใหญ่หวังโชคลาภ ก็แปลว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้นับถือศาสนา แต่นับถือเงิน นับถือความโลภ และเห็นศาสนาเป็นเครื่องมือ

ถ้าคนส่วนใหญ่ยังมีท่าทีแบบนี้ แล้วยังมีคนเอาศาสนามาเป็นเหตุให้เกิดความร้าวฉาน ก็น่าอนาถใจจริง ๆ

เหตุผลถัดมาที่ฟังแล้วน่าสังเวชก็คือ ถ้าไม่ใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กลัวจะไม่มีโอกาสใส่ในฉบับต่อ ๆ ไป เพราะศาสนาพุทธกำลังมีปัญหา

ถามจริง ๆ ว่าปัญหาที่ว่ามันเกิดจากรัฐธรรมนูญไม่ใส่ไว้ หรือมันเกิดจากสาเหตุอื่น

ทำไมไม่ตรองกันด้วยหลักอริยสัจสี่ มีปัญหาก็ต้องแก้ที่เหตุ ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ใช่เหตุ แก้รัฐธรรมนูญไปก็ไม่แก้ปัญหา

ทำไมไม่ไปแก้ที่ต้นเหตุ ไปแก้ที่พฤติกรรมนอกหลักคำสอน ไปแก้ที่การใบ้หวย ทำเสน่ห์ ปลุกเศกเครื่องรางของขลัง ไปแก้ที่กิจซึ่งเอาแต่สนองความละโมบ แทนที่จะขัดเกลาคนให้สมถะ ประพฤติดีงาม

เรื่องพวกนี้ต่างหากคือปัญหา (ใครว่าเรื่องสัมพันธ์กับสีกาเป็นปัญหา ผมว่าไม่ นั่นมันเรื่องเล็ก อย่างน้อยนิกายมหายานก็อนุญาติให้มีภรรยาได้)

ประเทศมีปัญหาความขัดแย้งยังไม่พออีกหรือครับ

ถ้าศาสนาพุทธมีปัญหาก็ไปแก้ที่เหตุสิครับ

อย่าลากประเทศเข้าไปเสี่ยงด้วยเลย

บันทึกการเข้า
montasavi
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8


« ตอบ #1 เมื่อ: 25-04-2007, 10:39 »

ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องศาสนาประจำชาติ

ข้าพเจ้าเคยได้ยินหลักสูตรภาษาไทยของพี่น้องมุสลิมในจังหวัดภายได้ เขาเริ่มสอนว่า " กอ ไก่ พระเจ้าสร้างมา" แทนที่จะสอนว่า กอ เอ๋ย กอ ไก่ นั่นแสดงว่าเป็นเรื่องดีที่เขาสนใจปลูกฝังหลักศาสนาให้แก่ลูกหลานตั้งแต่เยาว์วัย โดยที่พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์เป็นผู้สอนเอง ไม่ต้องรอให้นักการศาสนามาสอน  แต่พอหันมาดูพี่น้องชาวพุทธด้วยกัน จะมีสักกี่คนที่เคยสอนศาสนาให้กับลูกหลานด้วยตนเอง  เพราะแม้แต่พ่อ-แม่เองก็ทำตัวเหินห่างจากศาสนามาโดยตลอด

ขอถามหน่อยนะครับ
1. ท่านคิดว่า พุทธศาสนิกชนทั่วโลก ในปัจจุบันนี้มีมากขึ้นหรือน้อยลงครับ? ลองเข้าไป
ที่นี่ดู http://www.newmana.com/yabb/index.php?board=1.0 และ http://www.muslimthai.com/forum/index.php?board=9.0 ก็จะทราบว่าเยาวชนของเราเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ที่กล่าวกันว่า ประเทศไทยมีประชากรนับถือศาสนาพุทธ กว่า 90 % คงไม่เป็นความจริงอีกต่อไปแล้ว

2. เป็นคำถามเชิงเปรียบเทียบนะครับ
เด็กเล็กๆที่ป่วย ไม่ยอมรับประทานยาขม แต่เพราะกลัวคำสั่งของพ่อ-แม่จึงยอมทานยา สุดท้ายท่านคิดว่าเขาจะหายป่วยมั๊ยครับ..   การบัญญัติพุทธศาสนาก็เช่นกัน  เมื่อบัญญัติแล้ว ก็จะสามารถออกกฎหมายมาบังคับไม่ให้มีการฆ่าสัตว์และดื่มสุราในวันพระ   นักเรียนนักศึกษาต้องปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนาภาวนา ปีละ 10 วัน เป็นต้นได้...
(...ศาสนาอิสลามห้ามดื่มสุรา และเล่นการพนันโดยเด็ดขาด..)

3. เมื่อก่อนนี้   ข้าพเจ้าไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่กับการให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ   แต่เนื่องด้วย ขณะนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่ทำตัวห่างเหินจากศาสนาที่พ่อแม่นับถือมากขึ้นทุกวัน   พ่อ-แม่ก็ไม่สามารถชักจูงลูกหลานให้เข้าหาศาสนาได้ เพราะตนเองก็เคยถูกคนรุ่นปู่-ย่า ละเลยในเรื่องนี้เช่นกัน   เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ อีก ๕๐ ปีข้างหน้าพระพุทธศาสนาจะเป็นเช่นไรละครับ   มันน่าจะถึงเวลาแล้วนะครับ ก่อนที่จะปล่อยให้ศาสนิกของศาสนาอื่นมีมากขึ้นกว่านี้  จนแก้ไขอะไรไม่ทัน ..

...ศาสนาอิสลามไม่เหมือนศาสนาอื่นนะครับ   อย่าได้หวังว่า เมื่อเขาขึ้นเป็นใหญ่แล้วเราจะขอร้องอะไรเขาได้ ประเทศอินโดเนเซีย มาเลเซีย เคยเป็นประเทศพุทธศาสนา 100 % มาก่อน แต่เดี่ยวนี้ ชาวพุทธจะขอเช่าสถานีวิทยุออกอากาศรายการธรรมสอนชาวพุทธด้วยกันก็ยังไม่ได้เลยครับ.. ประเทศมุสลิมแถบอาหรับจะเอาเทปธรรมเข้าประเทศเขาก็ยังไม่ได้เลยนะครับ...
...จะทำกันประการใด  ก็โปรดพิจารณากันให้ถี่ถ้วน   ส่วนตัวข้าพเจ้าเองอีกไม่เกิน 50 ปี ก็คงไม่อยู่แล้ว ลูกหลานก็ไม่มี จึงไม่เดือนร้อนในประเด็นนี้เท่าไหร่นัก แต่พวกท่านทั้งหลายยังมีลูกหลานสืบสกุลกันอยู่มิใช่หรือ

... ขอให้เป็นชะตากรรมของสัตว์ก็แล้วกัน     ถ้าจะให้อาตมาไปร่วมประท้วงด้วย..คงจะไม่ไป?


ประเด็นหลัก
ประเด็นที่แท้จริงในเรื่องนี้ ก็คือ สถานการณ์ที่เป็นไปในปัจจุบันนี้ จะต้องมีกฎเกณฑ์ หรือมาตรการข้อบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งมาแก้ไขโดยด่วน ได้แก่
1. จะต้องมีกฎหมายที่แน่นอน ที่จะมาบีบบังคับให้ผู้ที่ประพฤติเสื่อมเสียออกไปเสียจากศาสนาให้เร็วที่สุด และมากที่สุด เท่าที่จะทำได้
2. จะต้องมีกฎข้อบังคับให้ชาวพุทธทุกคนต้องปฏิบัติวิปัสสนาอย่างน้อย ๑๐ วัน ในชาตินี้ หลังจากนั้นทุก ๆ อย่างก็จะเข้าสู่ระบบของมันเอง
เมื่อถึงตรงนี้ ขอถามว่า จะมีสิ่งใดที่จะช่วยผลักดันให้สองข้อข้างต้นเป็นไปได้จริง ยิ่งไปกว่ากันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือท่านมีข้อคิดเห็นที่เป็นไปได้ และน่าสนใจยิ่งไปกว่านี้..?

ศาสนาพุทธ มีจุดอ่อนตรงที่ให้อิสรเสรีแก่ทุกๆคนที่จะปฏิบัติตาม  แต่ในเมื่อพวกเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่รู้แจ้งแก่ใจว่า หากใครปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาจะต้องได้ดีทุกคน  แล้วพวกเราจะมัวมาลังเลอะไรกัน กับการช่วยกันออกกฎข้อบังคับ เพื่อบีบบังคับให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตาม

ขอถามย้ำอีกครั้งว่า ในสถานการณ์ที่สื่อโหมโฆษณาชวนชื่อดึงจิตคนรุ่นใหม่ให้ห่างไกลศาสนาออกไปทุกนาที ทุกชั่วโมง และยั่วยุ-เย้ายวนจิตใจให้พระหนุ่ม เณรน้อยมีพฤติกรรมที่เสื่อมเสีย มากขึ้น ๆๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้    จะมีวิธีการใดที่เป็นไปได้จริงมิใช่แค่บ่น ที่จะทำให้พระไม่ดีออกไปจากศาสนา และส่งเสริมให้ชาวพุทธทุกคนได้ลิ้มรสชาติแห่งพระสัทธรรมอย่างน้อย ๑๐ วันในชาตินี้ ได้ดีและเป็นไปได้จริงยิ่งไปกว่าการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับ

ถ้าหากมีวิธีการอื่นที่ทำได้ และเป็นไปได้จริงด้วยนะ ก็โปรดนำมาเสนอด้วย

.. ที่ว่าประเทศภูฐาน ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญนั้น   ก็เพราะเขายังไม่มีสิ่งยั่วยุมากมายเหมือนบ้านเรา คนในชาติและพระสงฆ์ยังยึดมั่นในศาสนากันดีอยู่ 
...ที่ว่า ถึงบัญญัติไว้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้   แต่ที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร ปัจจุบันนี้มิได้บัญญัติไว้มิใช่หรือ จึงไม่สามารถออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับพระสงฆ์และข้าราชารได้ สิ่งเลวร้ายต่างๆจึงเกิดขึ้นทั้งแก่พระศาสนาและสังคม จนแทบจะหาทางแก้ไม่ได้แล้ว   รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อาจจะเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย ที่จะมาช่วยให้พุทธศาสนาอยู่รอดในสังคมไทยก็ได้นะ..โปรดพิจารณาดู
..สิ่งที่ต้องการจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับพระอลัชชีและข้าราชการในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาโดยเฉพาะ   ..ท่านก็รู้ดีนี่หน่า ว่า..แค่พระธรรมวินัยเอาแทบไม่อยู่แล้ว   

ปฏิบัติวิปัสสนาปีละ ๑๐ วัน
ที่อาตมากล้าพูดเรื่องวิปัสสนา ๑๐ วันนั้น เนื่องจาก เมื่อ ๗ เดือนที่ผ่านมา อาตมาได้ไปปฏิบัติวิปัสสนา ๗ เดือนเต็ม  เป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน ๆ ซึ่งถูกต้องตามหลักคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถาและฎีกาทุกประการจึงกล้าที่จะยืนยันว่า หากใครปฏิบัติด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ผ่าน ๑๐ วันแรกของชีวิตไปได้ หลังจากนั้นเขาจะปฏิบัติต่อเองโดยไม่ต้องบังคับ  แต่มีเงือนไขว่า ต้องเป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน ๆ นะครับ จึงจะได้ผลเช่นนี้  แต่ถ้าปฏิบ้ติแบบปุพพังคมนัย ก็จะได้ผลเช่นกัน แต่ต้องใช้เวลานากว่านี้มาก แค่ ๑๐ วันยังไม่ได้อะไรเลย   การปฏิบัติทั้ง ๒ แบบนี้มีข้อแต่ต่างดังนี้
.. วิปัสสนาล้วน(สุทธวิปัสนา) ทำให้กิเลสลดและเข้าใจชีวิตมากขึ้นเท่านั้น แต่สมาธิไม่ดิ่งลึกมาก
..ปุพพังคมนัย(สมถนำหน้า) ช่วงแรกจะฟุ้งซ่านมาก แต่พอผ่านไปสมาธิจะดิ่งลึกมาก สุขสงบมากเกินไป ช่วงแรกๆ ยิ่งปฏิบัติยิ่งยึดติด จนบางคนหลงไปเลยก็มี   

...ที่อาตมาสามารถปฏิบัติวิปัสสนาติดต่อกัน ๗ เดือนเต็มได้ ก็เนื่องมาจาก ตอนเรียนปริญญาตรี ถูกมหาวิทยาลัยบังคับให้ปฏิบัติ ปีละ ๑๐ วันนี้แหละ
บันทึกการเข้า
-3-
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,186


« ตอบ #2 เมื่อ: 25-04-2007, 10:59 »

ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องศาสนาประจำชาติ

ข้าพเจ้าเคยได้ยินหลักสูตรภาษาไทยของพี่น้องมุสลิมในจังหวัดภายได้ เขาเริ่มสอนว่า " กอ ไก่ พระเจ้าสร้างมา" แทนที่จะสอนว่า กอ เอ๋ย กอ ไก่ นั่นแสดงว่าเป็นเรื่องดีที่เขาสนใจปลูกฝังหลักศาสนาให้แก่ลูกหลานตั้งแต่เยาว์วัย โดยที่พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์เป็นผู้สอนเอง ไม่ต้องรอให้นักการศาสนามาสอน  แต่พอหันมาดูพี่น้องชาวพุทธด้วยกัน จะมีสักกี่คนที่เคยสอนศาสนาให้กับลูกหลานด้วยตนเอง  เพราะแม้แต่พ่อ-แม่เองก็ทำตัวเหินห่างจากศาสนามาโดยตลอด

ขอถามหน่อยนะครับ
1. ท่านคิดว่า พุทธศาสนิกชนทั่วโลก ในปัจจุบันนี้มีมากขึ้นหรือน้อยลงครับ? ลองเข้าไป
ที่นี่ดู http://www.newmana.com/yabb/index.php?board=1.0 และ http://www.muslimthai.com/forum/index.php?board=9.0 ก็จะทราบว่าเยาวชนของเราเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ที่กล่าวกันว่า ประเทศไทยมีประชากรนับถือศาสนาพุทธ กว่า 90 % คงไม่เป็นความจริงอีกต่อไปแล้ว

มันน้อยลงเพราะอะไรล่ะครับ ไม่ใช่เพราะข่าวที่พระมั่วสีกา เล่นการพนันหรือเสพยาเหรอ?

2. เป็นคำถามเชิงเปรียบเทียบนะครับ
เด็กเล็กๆที่ป่วย ไม่ยอมรับประทานยาขม แต่เพราะกลัวคำสั่งของพ่อ-แม่จึงยอมทานยา สุดท้ายท่านคิดว่าเขาจะหายป่วยมั๊ยครับ..   การบัญญัติพุทธศาสนาก็เช่นกัน  เมื่อบัญญัติแล้ว ก็จะสามารถออกกฎหมายมาบังคับไม่ให้มีการฆ่าสัตว์และดื่มสุราในวันพระ   นักเรียนนักศึกษาต้องปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนาภาวนา ปีละ 10 วัน เป็นต้นได้...
(...ศาสนาอิสลามห้ามดื่มสุรา และเล่นการพนันโดยเด็ดขาด..)

ในทำนองเดียวกันหากคนไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้วไปบังคับให้พวกเขามานับถือศาสนาพุทธ คิดว่าเขาจะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีเหรอครับ?

3. เมื่อก่อนนี้   ข้าพเจ้าไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่กับการให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ   แต่เนื่องด้วย ขณะนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่ทำตัวห่างเหินจากศาสนาที่พ่อแม่นับถือมากขึ้นทุกวัน   พ่อ-แม่ก็ไม่สามารถชักจูงลูกหลานให้เข้าหาศาสนาได้ เพราะตนเองก็เคยถูกคนรุ่นปู่-ย่า ละเลยในเรื่องนี้เช่นกัน   เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ อีก ๕๐ ปีข้างหน้าพระพุทธศาสนาจะเป็นเช่นไรละครับ   มันน่าจะถึงเวลาแล้วนะครับ ก่อนที่จะปล่อยให้ศาสนิกของศาสนาอื่นมีมากขึ้นกว่านี้  จนแก้ไขอะไรไม่ทัน ..

...ศาสนาอิสลามไม่เหมือนศาสนาอื่นนะครับ   อย่าได้หวังว่า เมื่อเขาขึ้นเป็นใหญ่แล้วเราจะขอร้องอะไรเขาได้ ประเทศอินโดเนเซีย มาเลเซีย เคยเป็นประเทศพุทธศาสนา 100 % มาก่อน แต่เดี่ยวนี้ ชาวพุทธจะขอเช่าสถานีวิทยุออกอากาศรายการธรรมสอนชาวพุทธด้วยกันก็ยังไม่ได้เลยครับ.. ประเทศมุสลิมแถบอาหรับจะเอาเทปธรรมเข้าประเทศเขาก็ยังไม่ได้เลยนะครับ...
...จะทำกันประการใด  ก็โปรดพิจารณากันให้ถี่ถ้วน   ส่วนตัวข้าพเจ้าเองอีกไม่เกิน 50 ปี ก็คงไม่อยู่แล้ว ลูกหลานก็ไม่มี จึงไม่เดือนร้อนในประเด็นนี้เท่าไหร่นัก แต่พวกท่านทั้งหลายยังมีลูกหลานสืบสกุลกันอยู่มิใช่หรือ

... ขอให้เป็นชะตากรรมของสัตว์ก็แล้วกัน     ถ้าจะให้อาตมาไปร่วมประท้วงด้วย..คงจะไม่ไป?

มันไม่มีประโยชน์หรอกครับที่จะบัญญัติไว้ แต่ไม่มีคนปฏิบัติตาม

ศาสนาคริสต์เขาสอนให้เคร่งเรื่องพระเจ้า ทุกสิ่งล้วนเกิดจากพระเจ้า ไม่ให้เคารพวัตถุบูชาต่างๆ
ศาสนาอิสลามเขาบังคับให้คู่สมรสต้องมานับถือศาสนาเดียวกันด้วยนี่ครับ

(หากผิดพลาดขออภัย ณ ที่นี้ด้วย)


ประเด็นหลัก
ประเด็นที่แท้จริงในเรื่องนี้ ก็คือ สถานการณ์ที่เป็นไปในปัจจุบันนี้ จะต้องมีกฎเกณฑ์ หรือมาตรการข้อบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งมาแก้ไขโดยด่วน ได้แก่
1. จะต้องมีกฎหมายที่แน่นอน ที่จะมาบีบบังคับให้ผู้ที่ประพฤติเสื่อมเสียออกไปเสียจากศาสนาให้เร็วที่สุด และมากที่สุด เท่าที่จะทำได้
2. จะต้องมีกฎข้อบังคับให้ชาวพุทธทุกคนต้องปฏิบัติวิปัสสนาอย่างน้อย ๑๐ วัน ในชาตินี้ หลังจากนั้นทุก ๆ อย่างก็จะเข้าสู่ระบบของมันเอง
เมื่อถึงตรงนี้ ขอถามว่า จะมีสิ่งใดที่จะช่วยผลักดันให้สองข้อข้างต้นเป็นไปได้จริง ยิ่งไปกว่ากันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือท่านมีข้อคิดเห็นที่เป็นไปได้ และน่าสนใจยิ่งไปกว่านี้..?

ตรงนี้คือประเด็นจริงๆ มากกว่า ผมก็เห็นด้วย แต่ไม่ใช่มาเรียกร้องให้บัญญัติแค่ว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ"
มันน่าจะเป็นประเด็นเรียกร้อง "ข้อบังคับ" ของการนับถือศาสนาพุทธมากกว่า ให้มันจริงจัง ไม่ใช่แค่อาศัยผ้าเหลืองมาห่มเพราะถูกแฟนทิ้ง


ศาสนาพุทธ มีจุดอ่อนตรงที่ให้อิสรเสรีแก่ทุกๆคนที่จะปฏิบัติตาม  แต่ในเมื่อพวกเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่รู้แจ้งแก่ใจว่า หากใครปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาจะต้องได้ดีทุกคน  แล้วพวกเราจะมัวมาลังเลอะไรกัน กับการช่วยกันออกกฎข้อบังคับ เพื่อบีบบังคับให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตาม

ขอถามย้ำอีกครั้งว่า ในสถานการณ์ที่สื่อโหมโฆษณาชวนชื่อดึงจิตคนรุ่นใหม่ให้ห่างไกลศาสนาออกไปทุกนาที ทุกชั่วโมง และยั่วยุ-เย้ายวนจิตใจให้พระหนุ่ม เณรน้อยมีพฤติกรรมที่เสื่อมเสีย มากขึ้น ๆๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้    จะมีวิธีการใดที่เป็นไปได้จริงมิใช่แค่บ่น ที่จะทำให้พระไม่ดีออกไปจากศาสนา และส่งเสริมให้ชาวพุทธทุกคนได้ลิ้มรสชาติแห่งพระสัทธรรมอย่างน้อย ๑๐ วันในชาตินี้ ได้ดีและเป็นไปได้จริงยิ่งไปกว่าการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับ

ถ้าหากมีวิธีการอื่นที่ทำได้ และเป็นไปได้จริงด้วยนะ ก็โปรดนำมาเสนอด้วย

.. ที่ว่าประเทศภูฐาน ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญนั้น   ก็เพราะเขายังไม่มีสิ่งยั่วยุมากมายเหมือนบ้านเรา คนในชาติและพระสงฆ์ยังยึดมั่นในศาสนากันดีอยู่ 
...ที่ว่า ถึงบัญญัติไว้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้   แต่ที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร ปัจจุบันนี้มิได้บัญญัติไว้มิใช่หรือ จึงไม่สามารถออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับพระสงฆ์และข้าราชารได้ สิ่งเลวร้ายต่างๆจึงเกิดขึ้นทั้งแก่พระศาสนาและสังคม จนแทบจะหาทางแก้ไม่ได้แล้ว   รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อาจจะเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย ที่จะมาช่วยให้พุทธศาสนาอยู่รอดในสังคมไทยก็ได้นะ..โปรดพิจารณาดู
..สิ่งที่ต้องการจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับพระอลัชชีและข้าราชการในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาโดยเฉพาะ   ..ท่านก็รู้ดีนี่หน่า ว่า..แค่พระธรรมวินัยเอาแทบไม่อยู่แล้ว   

ปฏิบัติวิปัสสนาปีละ ๑๐ วัน
ที่อาตมากล้าพูดเรื่องวิปัสสนา ๑๐ วันนั้น เนื่องจาก เมื่อ ๗ เดือนที่ผ่านมา อาตมาได้ไปปฏิบัติวิปัสสนา ๗ เดือนเต็ม  เป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน ๆ ซึ่งถูกต้องตามหลักคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถาและฎีกาทุกประการจึงกล้าที่จะยืนยันว่า หากใครปฏิบัติด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ผ่าน ๑๐ วันแรกของชีวิตไปได้ หลังจากนั้นเขาจะปฏิบัติต่อเองโดยไม่ต้องบังคับ  แต่มีเงือนไขว่า ต้องเป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน ๆ นะครับ จึงจะได้ผลเช่นนี้  แต่ถ้าปฏิบ้ติแบบปุพพังคมนัย ก็จะได้ผลเช่นกัน แต่ต้องใช้เวลานากว่านี้มาก แค่ ๑๐ วันยังไม่ได้อะไรเลย   การปฏิบัติทั้ง ๒ แบบนี้มีข้อแต่ต่างดังนี้
.. วิปัสสนาล้วน(สุทธวิปัสนา) ทำให้กิเลสลดและเข้าใจชีวิตมากขึ้นเท่านั้น แต่สมาธิไม่ดิ่งลึกมาก
..ปุพพังคมนัย(สมถนำหน้า) ช่วงแรกจะฟุ้งซ่านมาก แต่พอผ่านไปสมาธิจะดิ่งลึกมาก สุขสงบมากเกินไป ช่วงแรกๆ ยิ่งปฏิบัติยิ่งยึดติด จนบางคนหลงไปเลยก็มี   

...ที่อาตมาสามารถปฏิบัติวิปัสสนาติดต่อกัน ๗ เดือนเต็มได้ ก็เนื่องมาจาก ตอนเรียนปริญญาตรี ถูกมหาวิทยาลัยบังคับให้ปฏิบัติ ปีละ ๑๐ วันนี้แหละ

ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก เอาแค่โครงการง่ายๆ อย่าง "พุทธศาสนาวันอาทิตย์" ก็พอแล้ว ให้เด็กนักเรียนเข้าวัดทุกวันอาทิตย์ ช่วงเช้าไปทำบุญตักบาตร ฟังพระเทศน์ ไปนั่งสมาธิ สวดมนต์ยาว ผมก็ว่าน่าจะช่วยได้มากนะ

บันทึกการเข้า



ประชาธิปไตยตัดสินความต้องการได้ แต่ตัดสินความถูกต้องไม่ได้!!
best
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 201


« ตอบ #3 เมื่อ: 25-04-2007, 11:32 »

ก็ไม่เห็นว่าจะต้องไปอธิบายอะไร

เพราะคำว่าศาสนาประจำชาติ ไม่ได้หมายถึงว่าทุกคนที่อยู่ในชาติ จะต้องนับถือพุทธ

ใครจะนับถือคริสต์ อิสลาม พราหมณ์หรืออื่นๆ ก็ได้ทั้งนั้น ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครบังคับ

ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจ ก็คงไม่ต้องพูดเรื่องอื่นแล้ว

บันทึกการเข้า
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #4 เมื่อ: 25-04-2007, 11:51 »

ณ เวลา นี้ สมควรแล้วหรือ

แล้ว โจรที่อยู่ชายแดนภาคใต้ คุณ best เคยพูดแล้วเค้าฟังไหมครับ

ถ้าเกิดผลเสียตรงนี้ขึ้นจริงๆ จะมีใครรับผิดชอบและ รับผิดชอบไหวหรือไม่

ขณะที่บางคนพยายามที่จะแก้ปัญหา แต่ กลับ มีการเพิ่มปัญหาขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะแก้หมดกัน

จริงๆ ผมก็ไม่ได้ คัดค้านเลย ผมอยากทำนุบำรุง ศาสนาพุทธ ในประเทศไทยให้มากถึงมากที่สุดอยู่แล้ว

แต่ว่าหากเป็นการสร้างปัญหา หรือ เป็นการไม่ถูกที่ถูกเวลา ก็น่าจะพิจารณาดูใหม่ได้นะครับ รอได้หรือเปล่า หรือ ใช้ศาสนาพุทธ มาช่วยแก้ปัญหาได้หรือเปล่า

ถ้าใครกล้ารับผิดชอบ ว่าไม่เกิดปัญหาแน่นอน แล้วถ้าเกิดปัญหาก็บอกว่าจะรับผิดชอบยังไง อันนี้ บอกมาได้เลยนะครับ เผื่อจะเป็นทางออกให้ประเทศไทย ไม่ใช่แค่พูดแล้วก็ไม่คิดถึงสิ่งที่ตามมา
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
เพื่อนร่วมชาติ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 777


« ตอบ #5 เมื่อ: 25-04-2007, 12:15 »

ขอตอบคุณเบสท์ด้วยตรรกะง่าย ๆ ที่ผมแน่ใจว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนจะเอาไปอธิบายให้ชาวบ้านฟัง

"ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำประเทศไทย เพราะคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ

พื้นที่ชายแดนมาเลย์ไม่ใช่ประเทศไทย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ"

เรามองจากมุมมองของคนส่วนใหญ่อย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ พวกเขาไม่ได้ใช้ตรรกะเดียวกัน

และถ้าไม่รู้เขารู้เรา ถ้าได้ตามข้อเรียกร้องคราวนี้ ก็เข้าทางพวกเขาพอดี
บันทึกการเข้า
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 25-04-2007, 12:54 »

ขอตอบคุณเบสท์ด้วยตรรกะง่าย ๆ ที่ผมแน่ใจว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนจะเอาไปอธิบายให้ชาวบ้านฟัง

"ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำประเทศไทย เพราะคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ

พื้นที่ชายแดนมาเลย์ไม่ใช่ประเทศไทย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ"

เรามองจากมุมมองของคนส่วนใหญ่อย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ พวกเขาไม่ได้ใช้ตรรกะเดียวกัน

และถ้าไม่รู้เขารู้เรา ถ้าได้ตามข้อเรียกร้องคราวนี้ ก็เข้าทางพวกเขาพอดี

โอ.............

เห็นด้วยกับความคิดนี้มากๆเลยครับ
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 25-04-2007, 16:21 »

ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องศาสนาประจำชาติ

ข้าพเจ้าเคยได้ยินหลักสูตรภาษาไทยของพี่น้องมุสลิมในจังหวัดภายได้ เขาเริ่มสอนว่า " กอ ไก่ พระเจ้าสร้างมา" แทนที่จะสอนว่า กอ เอ๋ย กอ ไก่ นั่นแสดงว่าเป็นเรื่องดีที่เขาสนใจปลูกฝังหลักศาสนาให้แก่ลูกหลานตั้งแต่เยาว์วัย โดยที่พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์เป็นผู้สอนเอง ไม่ต้องรอให้นักการศาสนามาสอน  แต่พอหันมาดูพี่น้องชาวพุทธด้วยกัน จะมีสักกี่คนที่เคยสอนศาสนาให้กับลูกหลานด้วยตนเอง  เพราะแม้แต่พ่อ-แม่เองก็ทำตัวเหินห่างจากศาสนามาโดยตลอด

ขอถามหน่อยนะครับ
1. ท่านคิดว่า พุทธศาสนิกชนทั่วโลก ในปัจจุบันนี้มีมากขึ้นหรือน้อยลงครับ? ลองเข้าไป
ที่นี่ดู http://www.newmana.com/yabb/index.php?board=1.0 และ http://www.muslimthai.com/forum/index.php?board=9.0 ก็จะทราบว่าเยาวชนของเราเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ที่กล่าวกันว่า ประเทศไทยมีประชากรนับถือศาสนาพุทธ กว่า 90 % คงไม่เป็นความจริงอีกต่อไปแล้ว

2. เป็นคำถามเชิงเปรียบเทียบนะครับ
เด็กเล็กๆที่ป่วย ไม่ยอมรับประทานยาขม แต่เพราะกลัวคำสั่งของพ่อ-แม่จึงยอมทานยา สุดท้ายท่านคิดว่าเขาจะหายป่วยมั๊ยครับ..   การบัญญัติพุทธศาสนาก็เช่นกัน  เมื่อบัญญัติแล้ว ก็จะสามารถออกกฎหมายมาบังคับไม่ให้มีการฆ่าสัตว์และดื่มสุราในวันพระ   นักเรียนนักศึกษาต้องปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนาภาวนา ปีละ 10 วัน เป็นต้นได้...
(...ศาสนาอิสลามห้ามดื่มสุรา และเล่นการพนันโดยเด็ดขาด..)

3. เมื่อก่อนนี้   ข้าพเจ้าไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่กับการให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ   แต่เนื่องด้วย ขณะนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่ทำตัวห่างเหินจากศาสนาที่พ่อแม่นับถือมากขึ้นทุกวัน   พ่อ-แม่ก็ไม่สามารถชักจูงลูกหลานให้เข้าหาศาสนาได้ เพราะตนเองก็เคยถูกคนรุ่นปู่-ย่า ละเลยในเรื่องนี้เช่นกัน   เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ อีก ๕๐ ปีข้างหน้าพระพุทธศาสนาจะเป็นเช่นไรละครับ   มันน่าจะถึงเวลาแล้วนะครับ ก่อนที่จะปล่อยให้ศาสนิกของศาสนาอื่นมีมากขึ้นกว่านี้  จนแก้ไขอะไรไม่ทัน ..

...ศาสนาอิสลามไม่เหมือนศาสนาอื่นนะครับ   อย่าได้หวังว่า เมื่อเขาขึ้นเป็นใหญ่แล้วเราจะขอร้องอะไรเขาได้ ประเทศอินโดเนเซีย มาเลเซีย เคยเป็นประเทศพุทธศาสนา 100 % มาก่อน แต่เดี่ยวนี้ ชาวพุทธจะขอเช่าสถานีวิทยุออกอากาศรายการธรรมสอนชาวพุทธด้วยกันก็ยังไม่ได้เลยครับ.. ประเทศมุสลิมแถบอาหรับจะเอาเทปธรรมเข้าประเทศเขาก็ยังไม่ได้เลยนะครับ...
...จะทำกันประการใด  ก็โปรดพิจารณากันให้ถี่ถ้วน   ส่วนตัวข้าพเจ้าเองอีกไม่เกิน 50 ปี ก็คงไม่อยู่แล้ว ลูกหลานก็ไม่มี จึงไม่เดือนร้อนในประเด็นนี้เท่าไหร่นัก แต่พวกท่านทั้งหลายยังมีลูกหลานสืบสกุลกันอยู่มิใช่หรือ

... ขอให้เป็นชะตากรรมของสัตว์ก็แล้วกัน     ถ้าจะให้อาตมาไปร่วมประท้วงด้วย..คงจะไม่ไป?


ประเด็นหลัก
ประเด็นที่แท้จริงในเรื่องนี้ ก็คือ สถานการณ์ที่เป็นไปในปัจจุบันนี้ จะต้องมีกฎเกณฑ์ หรือมาตรการข้อบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งมาแก้ไขโดยด่วน ได้แก่
1. จะต้องมีกฎหมายที่แน่นอน ที่จะมาบีบบังคับให้ผู้ที่ประพฤติเสื่อมเสียออกไปเสียจากศาสนาให้เร็วที่สุด และมากที่สุด เท่าที่จะทำได้
2. จะต้องมีกฎข้อบังคับให้ชาวพุทธทุกคนต้องปฏิบัติวิปัสสนาอย่างน้อย ๑๐ วัน ในชาตินี้ หลังจากนั้นทุก ๆ อย่างก็จะเข้าสู่ระบบของมันเอง
เมื่อถึงตรงนี้ ขอถามว่า จะมีสิ่งใดที่จะช่วยผลักดันให้สองข้อข้างต้นเป็นไปได้จริง ยิ่งไปกว่ากันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือท่านมีข้อคิดเห็นที่เป็นไปได้ และน่าสนใจยิ่งไปกว่านี้..?

ศาสนาพุทธ มีจุดอ่อนตรงที่ให้อิสรเสรีแก่ทุกๆคนที่จะปฏิบัติตาม  แต่ในเมื่อพวกเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่รู้แจ้งแก่ใจว่า หากใครปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาจะต้องได้ดีทุกคน  แล้วพวกเราจะมัวมาลังเลอะไรกัน กับการช่วยกันออกกฎข้อบังคับ เพื่อบีบบังคับให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตาม

ขอถามย้ำอีกครั้งว่า ในสถานการณ์ที่สื่อโหมโฆษณาชวนชื่อดึงจิตคนรุ่นใหม่ให้ห่างไกลศาสนาออกไปทุกนาที ทุกชั่วโมง และยั่วยุ-เย้ายวนจิตใจให้พระหนุ่ม เณรน้อยมีพฤติกรรมที่เสื่อมเสีย มากขึ้น ๆๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้    จะมีวิธีการใดที่เป็นไปได้จริงมิใช่แค่บ่น ที่จะทำให้พระไม่ดีออกไปจากศาสนา และส่งเสริมให้ชาวพุทธทุกคนได้ลิ้มรสชาติแห่งพระสัทธรรมอย่างน้อย ๑๐ วันในชาตินี้ ได้ดีและเป็นไปได้จริงยิ่งไปกว่าการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับ

ถ้าหากมีวิธีการอื่นที่ทำได้ และเป็นไปได้จริงด้วยนะ ก็โปรดนำมาเสนอด้วย

.. ที่ว่าประเทศภูฐาน ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญนั้น   ก็เพราะเขายังไม่มีสิ่งยั่วยุมากมายเหมือนบ้านเรา คนในชาติและพระสงฆ์ยังยึดมั่นในศาสนากันดีอยู่ 
...ที่ว่า ถึงบัญญัติไว้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้   แต่ที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร ปัจจุบันนี้มิได้บัญญัติไว้มิใช่หรือ จึงไม่สามารถออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับพระสงฆ์และข้าราชารได้ สิ่งเลวร้ายต่างๆจึงเกิดขึ้นทั้งแก่พระศาสนาและสังคม จนแทบจะหาทางแก้ไม่ได้แล้ว   รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อาจจะเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย ที่จะมาช่วยให้พุทธศาสนาอยู่รอดในสังคมไทยก็ได้นะ..โปรดพิจารณาดู
..สิ่งที่ต้องการจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับพระอลัชชีและข้าราชการในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาโดยเฉพาะ   ..ท่านก็รู้ดีนี่หน่า ว่า..แค่พระธรรมวินัยเอาแทบไม่อยู่แล้ว   

ปฏิบัติวิปัสสนาปีละ ๑๐ วัน
ที่อาตมากล้าพูดเรื่องวิปัสสนา ๑๐ วันนั้น เนื่องจาก เมื่อ ๗ เดือนที่ผ่านมา อาตมาได้ไปปฏิบัติวิปัสสนา ๗ เดือนเต็ม  เป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน ๆ ซึ่งถูกต้องตามหลักคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถาและฎีกาทุกประการจึงกล้าที่จะยืนยันว่า หากใครปฏิบัติด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ผ่าน ๑๐ วันแรกของชีวิตไปได้ หลังจากนั้นเขาจะปฏิบัติต่อเองโดยไม่ต้องบังคับ  แต่มีเงือนไขว่า ต้องเป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน ๆ นะครับ จึงจะได้ผลเช่นนี้  แต่ถ้าปฏิบ้ติแบบปุพพังคมนัย ก็จะได้ผลเช่นกัน แต่ต้องใช้เวลานากว่านี้มาก แค่ ๑๐ วันยังไม่ได้อะไรเลย   การปฏิบัติทั้ง ๒ แบบนี้มีข้อแต่ต่างดังนี้
.. วิปัสสนาล้วน(สุทธวิปัสนา) ทำให้กิเลสลดและเข้าใจชีวิตมากขึ้นเท่านั้น แต่สมาธิไม่ดิ่งลึกมาก
..ปุพพังคมนัย(สมถนำหน้า) ช่วงแรกจะฟุ้งซ่านมาก แต่พอผ่านไปสมาธิจะดิ่งลึกมาก สุขสงบมากเกินไป ช่วงแรกๆ ยิ่งปฏิบัติยิ่งยึดติด จนบางคนหลงไปเลยก็มี   

...ที่อาตมาสามารถปฏิบัติวิปัสสนาติดต่อกัน ๗ เดือนเต็มได้ ก็เนื่องมาจาก ตอนเรียนปริญญาตรี ถูกมหาวิทยาลัยบังคับให้ปฏิบัติ ปีละ ๑๐ วันนี้แหละ


หลักศาสนาก็มีบัญญัติไว้อยู่แล้วมิใช่หรือว่าทำอย่างไรผิดอย่างไรถูก  อยู่ที่ว่าจะปฏิบัติหรือเปล่าก็เท่านั้น

พระทำผิดก็มีกฏเกณอยู่แล้วนี่  ไม่เห็นต้องออกกฏหมาย  จะกลายเป็นว่ากฏหมายอยู่เหนือพระธรรมอย่างนั้นหรือ

ออกกฏหมายมา แล้วคิดหรือคนจะทำตาม  ถ้ามันยุ่งยากมากนักเค้าก็ไปนับถือศาสนาอื่นกันหมด  คิดกันบ้างมั้ย

แค่พระธรรมคนยังไม่รู้จักเลย  นี่ยังมาเพิ่มกฏหมายเข้าไปอีก    ไม่อยากจะคิดว่ามันจะวุ่นแค่ไหน
บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #8 เมื่อ: 25-04-2007, 18:43 »

ถึงคราวแล้วที่พระพุทธศาสนาหินยานหรือเถรวาท จะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนถาวร มีเกิดย่อมมีดับ

หลังจากพระเครื่องลางของขลัง เข้าครอบงำวัดและชาวพุทธในประเทศไทยมานานหลายร้อยปี ก็ถึงคราวที่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์จะสูญสิ้น จำต้องใช้กฎหมายเข้ามาบริหารจัดการศาสนาแทน ด้วยการบังคับข่มขืนจิตใจ ประกาศศักดาว่าข้านี่แหละเฮ้ย เมืองพุทธ

หากมันผู้ใดบังอาจกล่าวหาว่า วัดของข้าปลุกเสกเศษหินดินทราย สร้างจตุจักรสวนรถไฟ บูชาพระราหู สักยันต์กระทำลามกอนาจาร กระทำพุทธพานิชย์ ไม่สมกับเป็นพุทธศาสนา ข้าก็จะตอบว่า ไปแหกตาดูในรัฐธรรมนูญ เค้าเขียนไว้ชัดเจนว่า นี่และเมืองไทย เมืองพุทธ ดงนั้นตมกฎหายแล้ว นี่คือพุทธ


ตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล พระศาสนาจะเรียวลง และสูฐสิ้นไปเมื่อมีอายุครบ 5000 ปี  นี่เลยกึ่งพุทธกาลมา 50 ปี ศาสาพุทธก็เรียวจนเหลือเท่าปลายดินสอแล้วในแผ่นดินไทย

ประกาศไว้ได้เลยว่า พุทธศาสนานิกายเถรวาท มีศูนย์กลางเหลืออยู่ที่ประเทศลังกา และที่นั่นจะเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายของพระศาสนา ส่วนในแผ่นดินสุวรรณภูมินี้

อลัชชี ครองเมือง
บันทึกการเข้า
Kittinunn
Aloha007
Global Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,127


ไปได้สวย...ด้วยเกียร์ต่ำ!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 25-04-2007, 18:50 »

ถึงคราวแล้วที่พระพุทธศาสนาหินยานหรือเถรวาท จะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนถาวร มีเกิดย่อมมีดับ

หลังจากพระเครื่องลางของขลัง เข้าครอบงำวัดและชาวพุทธในประเทศไทยมานานหลายร้อยปี ก็ถึงคราวที่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์จะสูญสิ้น จำต้องใช้กฎหมายเข้ามาบริหารจัดการศาสนาแทน ด้วยการบังคับข่มขืนจิตใจ ประกาศศักดาว่าข้านี่แหละเฮ้ย เมืองพุทธ

หากมันผู้ใดบังอาจกล่าวหาว่า วัดของข้าปลุกเสกเศษหินดินทราย สร้างจตุจักรสวนรถไฟ บูชาพระราหู สักยันต์กระทำลามกอนาจาร กระทำพุทธพานิชย์ ไม่สมกับเป็นพุทธศาสนา ข้าก็จะตอบว่า ไปแหกตาดูในรัฐธรรมนูญ เค้าเขียนไว้ชัดเจนว่า นี่และเมืองไทย เมืองพุทธ ดงนั้นตมกฎหายแล้ว นี่คือพุทธ


ตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล พระศาสนาจะเรียวลง และสูฐสิ้นไปเมื่อมีอายุครบ 5000 ปี  นี่เลยกึ่งพุทธกาลมา 50 ปี ศาสาพุทธก็เรียวจนเหลือเท่าปลายดินสอแล้วในแผ่นดินไทย

ประกาศไว้ได้เลยว่า พุทธศาสนานิกายเถรวาท มีศูนย์กลางเหลืออยู่ที่ประเทศลังกา และที่นั่นจะเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายของพระศาสนา ส่วนในแผ่นดินสุวรรณภูมินี้

อลัชชี ครองเมือง

ดูเผินๆ เหมือนจะขัดแย้ง แต่มองลึกๆ แล้วคิดตาม
นี่ล่ะอาการ "หน้ามึน" ของจริง 
ศาสนาพุทธในตำรา แต่บ้านเมืองมีแต่อลัชชี
เวรกรรมประเทศไทย

แล้วจะร่างหาพระแสงอะไร 
บันทึกการเข้า

“ผมเขียนไปในบล็อกนั้น แบบข้างบนนี้เหมือนกัน นึกว่า จะโพสต์ ปรากฏว่า เขาบอกว่า ต้อง สมัครสมาชิกก่อน ผมขี้เกียจ เลยมาโพสต์ที่นี่แทน อ้อ ตอนเขียน ผมใส่คำว่า ทุเรศ และ น่าสมเพช ไปด้วย” (อ.สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล-เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน - ข้อความในเสรีไทย โดย Snowflake)

montasavi
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8


« ตอบ #10 เมื่อ: 25-04-2007, 19:25 »

พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

“The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogmas and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising , from the experience of all things, natural and spiritual as a meaningful unity.
Buddhism answers this description.. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism.”

“ศาสนาในอนาคตจะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือ พระเจ้าที่มีตัวตนและควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุม ทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจาก ประสบการณ์ตรงต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวม ที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้ ..
ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัย ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา ”

Albert Einstein ( อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ )
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฎีสัมพันธภาพ

อ้างอิง. Eistien , 1879- 1955,
Great personalities on Buddhism, By K. Dhammananda,Thera , Kuala Lumpur, Malaysia : Buddhist Missionary Society, 1965, p.87.



ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธ เกิดจากความกลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย ต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง และต้องการเข้าถึงสุขแท้สุขถาวรที่ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก (1)

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษาพระองค์เสด็จออกประพาสอุทยาน ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น พระองค์ได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนั่นคือ คนแก่ คนเจ็บและคนตาย ทำให้พระองค์ทรงหวั่นวิตกว่า  “อีกไม่นานเราเองก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ  ต้องตายอย่างนี้เหมือนกัน ทำอย่างไรหนอ เราจะรอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้? เมื่อมีร้อนก็มีหนาวแก้ เมื่อมีมืดก็มีสว่างแก้ เมื่อมีความแก่ความเจ็บและความตาย ก็ต้องมีวิธีแก้อย่างแน่นอน เราจะหาวิธีการนั้นให้พบให้จงได้” จากนั้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยทิ้งราชสมบัติ ทิ้งกองเงินกองทองออกจากพระราชวังไปนั่งให้ยุงกัดอยู่กลางป่า(2)


พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?

พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน(3) ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(4) บางชาติเกิดเป็นเทวดา บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ  ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(5)

เมื่อเรายังต้องเกิดอีก สิ่งที่จะตามมาด้วย คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์กายทุกข์ใจ ดั่งพระจาลาภิกษุณีกล่าวว่า “ ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว ผู้ที่เกิดมาแล้วย่อมประสบทุกข์ เพราะเหตุนี้แลเราจึงไม่ชอบความ เกิด”(6)
ฉะนั้น วิธีที่จะรอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์ทั้ง ปวงได้ ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ“การไม่เกิดอีก” เพราะเมื่อไม่เกิดอีก เราก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป(7)


จุดมุ่งหมายพระพุทธศาสนา
เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ตัดกระแสธรรมชาติให้ขาดสะบั้นลงได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง กำจัดสาเหตุที่ก่อให้เกิดการถือกำเนิดในภพใหม่(Cool    สิ่งที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเกิดอีกไม่มีที่สิ้นสุดก็คือความต้องการของสรรพสัตว์เองหรือที่เรียกว่า “กิเลสตัณหา”(9)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ อานนท์ กรรมชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่ายางเหนียวในเมล็ดพืช วิญญานดำรงอยู่ได้ เพราะธาตุหยาบของสัตว์ มีความหลงไม่รู้ความจริงเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหา เป็นเชื้อเครื่องผูกเหนี่ยวใจไว้ การเกิดใหม่จึงมีต่อไปอีก(10) ตัณหาทำให้สัตว์ต้องเกิดอีก จิตของสัตว์ย่อมแล่นไป สัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่อาจ หลุดพ้นจากทุกไปได้”(11)

เมื่อมนุษย์เจริญวิปัสสนาจนเกิดมรรคจิตครบ ๔ ครั้ง ก็จะกำจัดกิเลสตัณหา ในจิตของตนเองให้หมดสิ้นไปได้อย่างสิ้นเชิง(12) เขาจะไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์มะม่วงที่มียางเหนียวอยู่ภายใน ถ้านำไปปลูกจะงอกเป็น ต้นมะม่วงได้อีก แต่ถ้านำไปต้มกำจัดยางเหนียวให้หมดไป จากนั้นนำไปปลูกโดย วิธีใดก็ตามจะไม่งอกอีกแล้ว กิเลสตัณหาในดวงจิตของเราก็เช่นกัน
แต่ถ้าหากไม่สามารถทำมรรคจิตให้เกิดครบ ๔ ครั้งได้   แม้เกิดเพียงครั้งเดียวก็จัดว่าเข้าสู่กระแสแล้ว(โสดาบัน)  ก็ไม่ต้องตกนรก/ทุกข์ในอบายอีกต่อไป และจะบรรลุอรหันต์ได้เองโดยอัตโนมัติภายในระยะเวลาไม่เกิน ๗ ชาติ(13)

กรรมฐาน
กรรมฐาน เป็นศาสตร์หนึ่งที่มีอยู่ในจักรวาลเหมือนกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ต่างกันแต่ศาสตร์นี้ต้องศึกษาวิจัยในห้องแลปร์คือจิตล้วน ๆ และ มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ความหลุดพ้นจากทุกทั้งปวง ศาสตร์นี้เป็นกลไกที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ยากที่มนุษย์จะเข้าถึงได้ สิ่งที่สามารถเข้าถึงและแทงตลอดกฏเกณฑนี้ได้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือจิตที่ทรงพลานุภาพ ตามธรรมดาแล้วมนุษย์ล้วนมีจิตกันทุกคน แต่จิตธรรมดาจะกลายเป็นจิตที่ทรง พลานุภาพได้นั้นต้องอาศัยการบ่มเพาะเป็นเวลานาน คัมภีร์อรรถกถาบอกว่า ต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัปเลยทีเดียว(14) ด้วยเหตุนี้ นาน ๆ จึงจะมีดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิสักครั้งหนึ่ง โลกใบนี้อุบัติขึ้นประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านปีมาแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนานมาก แต่ดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิแค่เพียง ๔ ครั้งเท่านั้น(15) ครั้งสุดท้ายมาปฏิสนธิ เมื่อ ๒๖๒๗ ปีก่อนนี้เอง ผู้นั้นเราเรียกกันว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

เรื่องกรรมฐานนี้ มนุษย์ทั่วโลกได้พยายามค้นคว้าและเข้าถึงมานานแล้ว แต่เนื่องด้วยบารมีไม่เพียงพอจึงเข้าถึงได้เพียงครึ่งเดียว คนกลุ่มนั้นก็คือพวก ฤษีและศาสดาต่าง ๆ พวกท่านสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีฤทธิ์เดชมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดกิเลสในจิตตนเองให้หมดไปได้(16) ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ ท่านเหล่านี้เข้าถึงได้เพียงแค่ระดับฌานสมาบัติเท่านั้น ยังไม่สามารถเข้าถึงวิปัสสนาปัญญา บรรลุมรรค ผล นิพพานได้(17)

สมถกรรมฐาน(18)  คือ  การกำหนดจิตอยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งที่เหมาะสม เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นต้น(19)  ใส่ใจแต่เฉพาะอาการเข้า อาการออกของลมหายใจเท่านั้น โดยไม่สนใจสิ่งอื่น แม้แต่ความคิดก็ไม่สนใจหายใจเข้า หายใจออกตามปกติธรรมด่า มีสติระลึกรู้อยู่ในขณะปัจจุบัน มีสติระลึกรู้อยู่อย่างนี้นับร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้งจนจิตตั้งมั่น แนบแน่นอยู่ กับลมหายใจนิ่งเป็นสมาธิ แล้วกำหนดรู้อาการนิ่งสงบของจิต จนนิ่งเป็นอุเบกขา เมื่อถึงขั้นนี้จะน้อมจิตไปทำสิ่งใดก็จะสำเร็จได้ดั่งใจหมาย เช่น สามารถ กำหนด รู้ความคิดของคนอื่นได้เป็นต้น(20)

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช พระองค์ได้ไปศึกษาศาสตร์นี้จากสำนักฤษีต่างๆ ที่มีอยู่ในสมัยนั้นจนหมดความรู้อาจารย์ แต่เมื่อออกจากสมาธิ กิเลสตัณหาก็ยังมีอยู่เท่าเดิม ยังมีความกลัวความกังวลอยู่ พระองค์จึงตัดสินพระทัยศึกษาค้นคว้าหาวิธีดับทุกข์ด้วยพระ องค์เอง ด้วยการเจริญวิปัสสนา(21)

เมื่อเกิดวิปัสสนาปัญญญารู้แจ้งอยู่ไปตามลำดับครบ ๑๖ขั้นจะบรรลุ โสดาบัน เที่ยวที่ ๒ บรรลุสกทาคามี เที่ยวที่ ๓ บรรลุอนาคามี เที่ยวที่ ๔บรรลุพระอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน(22) ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เมื่อไม่ต้องเกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์ กายทุกข์ใจอีกต่อไป การตายอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย จึงเรียกว่าดับขันธปรินิพพาน ดับทั้งกายดับทั้งจิต ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

อ้างอิง..พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(เล่มที่ / หน้าที่)
1ไตรปิฎก.๒๕/๔๗๖,๓๑/๔๐๐
2 ดูรายละเอียดใน ไตรปิฎก.๑๐/๑-๑๐
3 ไตรปิฎก.๑๖/๒๒๓
4 ไตรปิฎก๑๖/๒๒๗
5 ไตรปิฎก๑๔/๓๕๐-๓๖๕
6 ไตรปิฎก๑๕/๒๒๓
7 ไตรปิฎก๑๙/๕๓๔
8ไตรปิฎก.๑๑/๒๒๒ ,อรรถกถาอังคุตตรนิกาย(บาลี)๑/๑๖๔
9 ไตรปิฎก๑๕/๖๘
10 ไตรปิฎก.๒๐/๓๐๑
11 ไตรปิฎก๑๕/๗๐
12 ไตรปิฎก.๓๑/๙๗
13 ไตรปิฎก.๑๙/๕๔๔, ๑๔/๑๘๖, ๒๐/๓๑๕, ๒๕/๑๒
14 วิสุทฺธชนวิลาสินี(บาลี)๑/๑๒๐
15 ไตรปิฎก.๓๓/๗๒๓
16 ไตรปิฎก.๒๐/๓๘๐
17 ไตรปิฎก.๑๓/๓๙๖,อรรถกถามัชฌิมนิกาย(บาลี) ๑/๑๙๙
18 วิสุทฺธิมรรค(บาลี)๑/๑๓๒-๑๔๙
19 ไตรปิฎก.๑๒/๑๐๑
20 ไตรปิฎก.๑๐/๑๔๒, ๒๒/๓๖
21 ไตรปิฎก.๑๙/๔๖๑,อรรถกถาอังคุตตรนิกาย(บาลี)๑/๘๑๓๓
22 ไตรปิฎก.๓๑/๑-๑๖,๒๕/๗๒๐
http://dungtrin.com/




ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการเรียกร้องของพระสงฆ์   แต่ไม่เห็นด้วยกับการเข้าไปร่วมกับพีทีวี 
....ขอเรียกร้องตรงนี้ว่า  พระสงฆ์ทั้งปวงอย่าได้เข้าไปร่วมประท้วงกับพีทีวีเลยนะครับ.. มิฉะนั้นแล้วจะมีแต่ผลเสีย มิใช่ผลดี..       มิใช่ว่าพีทีวีชั่วร้ายนะครับ   แต่การทำแบบนั้นเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเกินไป  อาจทำให้บ้านเมืองแตกแยกได้
.....และขอเรียกร้องไปยังพีทีวี.. ว่า อย่าได้นำพระสงฆ์มาเรียกร้องทางการเมืองเลยนะครับ..  เห็นแก่ความสงบสุขขอบ้านเมืองเถอะนะ.....

......พระสงฆ์เรียกร้องทางการปกครอง(แต่มิใช่ทางการเมือง) ได้    แต่ต้องไม่ฝักไผ่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง  ควรตั้งอยู่ในฐานะครูบาอาจารย์ของบ้านเมือง..ที่เห็นว่าอะไรควรทำที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้..
……ควรทำเหมือนกับพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ออกมาคลื่นไหวเรียกร้องขอชีวิตให้กับแม่ทัพนายกอง ที่จะต้องถูกประหารชีวิต  ...ทำให้พระนเรศวรยังเหลือแม่ทัพนายกองไว้ป้องกันประเทศต่อไปได้...

……..แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก็ยังเคยเสด็จไปห้ามกองทัพของพระเจ้าวิฑูฑภะถึง ๒ ครั้ง ๒คราว
.........กษัตริย์ ๒ เมืองทะเลาะแย่งน้ำกัน จนประจันหน้ากันแล้ว ..พร้อมที่จะทำสงครามแย่งน้ำกันโดยฉับพลัน ..พระองค์จึงเสด็จไปในระหว่างกองทัพทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วทรงเตือนให้สติ ว่า “เลือดมีค่ามากกว่าน้ำ


ประเทศมาเลเซีย ประกาศศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ทั้งที่มีประชากรชาวมุสลิมเพียงแค่ 65 %

ชื่อทางการ มาเลเซีย
ประมุข สมเด็จพระราชาธิบดี ตนกู ไซด์ ซีราจุดดิน ไซด์ ปุตรา จูมาลูลลาอิล
พื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง กรุงกัวลาลัมเปอร์
ประชากร 23.8 ล้านคน
สกุลเงิน ริงกิต
ศาสนา  อิสลาม 65%     พุทธ 16% เต๋า 10% ฮินดู 6%
ภาษา บาฮาสา มาเลเซีย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%...%B8%B5%E0%B8%A2
http://www.mfa.go.th/web/479.php?id=164


รัฐธรรมนูญของมาเลเซีย

(1) Islam is the religion of the Federation; but other religions may be practised in peace and harmony in any part of the Federation.
(2) In every State other than States not having a Ruler the position of the Ruler as the Head of the religion of Islam in his State in the manner and to the extent acknowledged and declared by the Constitution, all rights, privileges, prerogatives and powers enjoyed by him as Head of that religion, are unaffected and unimpaired; but in any acts, observance or ceremonies with respect to which the Conference of Rulers has agreed that they should extend to the Federation as a whole each of the other Rulers shall in his capacity of Head of the religion of Islam authorize the Yang di-pertuan Agong to represent him
(3) The Constitution of the States of Malacca, Penang, Sabah and Sarawak shall each make provision for conferring on the Yang di-Pertuan Agong shall be Head of the religion of Islam in that State
(4) Nothing in this Article derogates from any other provision of this Constitution
(5) Notwithstanding anything in this Constitution the Yang di-Pertuan Agong shall be the Head of the religion of Islam in the Federal Territories of Kuala Lumpur and Labuan; and for this purpose Parliament may by law make provisions for regulating Islamic religious affairs and for constituting a Council to advise the Yang di-Pertuan Agong in matters relating to the religion of Islam.
http://www.malaysianmonarchy.org.my/portal...ial%20Functions

ของอินโดนีเซีย
Chapter XI. Religion
Article 29
1. The State shall be based upon the belief in the One and Only God
2. The State guarantees all persons the freedom of worship, each according to his/her own religion or belief




นำมาให้อ่านครับ...

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย... ในมุมมองมุสลิม(คนหนึ่ง)
http://www.oknation.net/blog/unussorn/2007/04/18/entry-1


ทีแรกผมเฉยๆ กับประเด็นนี้  ไม่ได้ติดตามเพราะไม่เห็นว่ามันสำคัญ  แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่านคอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก  ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์ อดีตที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ผู้เขียนคอลัม์นี้ ท่านเห็นด้วยกับการบัญญัติให้ระบุคำว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” ลงในรัฐธรรมนูญ 

ด้วยเหตุผลที่ว่า ในประเทศมุสลิมหลายประเทศ  ยังระบุเลยว่า “อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ” แล้วทำไมพุทธศาสนิกชนถึงไม่กล้าระบุเช่นนั้นบ้าง  ท่านยกตัวอย่างรัฐธรรมนูญของประเทศมุสลิมประเทศหนึ่ง “Islam is the Religion of the Federation but other religion may be practiced in peace and harmony in any part of the Federation” (อิสลามเป็นศาสนาแห่งสมาพันธรัฐ แต่ศาสนาอื่นได้รับการปฏิบัติโดยสันติและกลมกลืน ในส่วนใดของสมาพันธรัฐก็ได้) และประเทศมุสลิมอื่นๆ อีกหลายประเทศที่ระบุเนื้อหาทำนองนี้ลงในรัฐธรรมนูญของตน

อ่านจบแล้วผมก็ “เออ... จริงด้วย” ประเทศที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนมากเขายังทำกันเลย  แล้วทำไมประเทศไทยที่มีพุทธศาสนิกชนมากถึง 90% จะทำแบบนั้นไม่ได้

ผมเห็นด้วยกับเขาครับ  ซึ่งตรงนี้ขอออกตัวก่อนว่าอาจจะเป็นความเห็นที่ต่างจากมุสลิมท่านอื่น แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะผมเห็นข้อดีของการยืดอกประกาศตัวแบบนี้  ความภูมิใจในความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองท่ามกลางความเน่าเฟะของลัทธิบริโภคนิยมถือว่าเป็นเจตนารมณ์ที่น่ายกย่อง 

หากประเทศไทยของผมหาญกล้าที่จะประกาศให้รู้ว่า บ้านนี้เมืองนี้มีพุทธศาสนิกชนเป็นสมาชิกส่วนมาก เพราะฉะนั้นอบายมุขต่างๆ อย่าได้หวังเข้าครอบงำประเทศนี้ ในศีล 5 ข้อที่เป็นชุดศีลเบื้องต้น ศาสนาพุทธห้ามดื่มสุรา สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี สิกฺขาปะทัง สมาทิยามิ ประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติจะไม่มีสุราจำหน่ายโดยถูกกฎหมาย ไม่มีผับไม่มีบาร์   ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต่อต้านการพนัน ประเทศนี้จะไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับการพนันในทุกประการ,  จะออกกฎหมายปราบปรามการค้าประเวณีอย่างถึงที่สุด

ถ้าประเทศไทยของผมมีรัฐธรรมนูญที่บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” เป็นรูปธรรมชัดเจน  แล้วนำคุณธรรมทางพุทธศาสนามาแปรรูปเป็นกฎหมายจรรโลงสังคม เหมือนหลายประเทศในตะวันออกกลาง  ผมว่าประเทศไทย(ในความเห็นของผม) คงจะน่าอยู่กว่าปัจจุบัน  ที่กฎหมายถูกผลิตขึ้นจาก “กิเลส” ของสังคม ไม่ได้เกิดขึ้นจาก “ศีลธรรม” อย่างที่ควรจะเป็น 

แต่ถ้าแนวคิดการระบุศาสนาประจำชาติ เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในสถาบันของตน หรือเกิดขึ้นเพื่อสนองความสะใจตน, เอาชนะคะคานกันและกันโดยที่ไม่มีผลทางการปรับปรุงสังคม ผมถือว่ามันไร้สาระ ไม่ควรค่ากับการเสียเวลาทุ่มเถียง มันเป็นการเชิดชูศาสนาด้วยตัวอักษร หาใช่การเชิดชูศาสนาด้วยแก่นของศาสนาแต่อย่างใด
บันทึกการเข้า
meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 25-04-2007, 22:08 »

พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

“The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogmas and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising , from the experience of all things, natural and spiritual as a meaningful unity.
Buddhism answers this description.. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism.”

“ศาสนาในอนาคตจะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือ พระเจ้าที่มีตัวตนและควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุม ทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจาก ประสบการณ์ตรงต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวม ที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้ ..
ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัย ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา ”

Albert Einstein ( อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ )
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฎีสัมพันธภาพ

อ้างอิง. Eistien , 1879- 1955,
Great personalities on Buddhism, By K. Dhammananda,Thera , Kuala Lumpur, Malaysia : Buddhist Missionary Society, 1965, p.87.



ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธ เกิดจากความกลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย ต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง และต้องการเข้าถึงสุขแท้สุขถาวรที่ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก (1)

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษาพระองค์เสด็จออกประพาสอุทยาน ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น พระองค์ได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนั่นคือ คนแก่ คนเจ็บและคนตาย ทำให้พระองค์ทรงหวั่นวิตกว่า  “อีกไม่นานเราเองก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ  ต้องตายอย่างนี้เหมือนกัน ทำอย่างไรหนอ เราจะรอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้? เมื่อมีร้อนก็มีหนาวแก้ เมื่อมีมืดก็มีสว่างแก้ เมื่อมีความแก่ความเจ็บและความตาย ก็ต้องมีวิธีแก้อย่างแน่นอน เราจะหาวิธีการนั้นให้พบให้จงได้” จากนั้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยทิ้งราชสมบัติ ทิ้งกองเงินกองทองออกจากพระราชวังไปนั่งให้ยุงกัดอยู่กลางป่า(2)


พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?

พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน(3) ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(4) บางชาติเกิดเป็นเทวดา บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ  ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(5)

เมื่อเรายังต้องเกิดอีก สิ่งที่จะตามมาด้วย คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์กายทุกข์ใจ ดั่งพระจาลาภิกษุณีกล่าวว่า “ ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว ผู้ที่เกิดมาแล้วย่อมประสบทุกข์ เพราะเหตุนี้แลเราจึงไม่ชอบความ เกิด”(6)
ฉะนั้น วิธีที่จะรอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์ทั้ง ปวงได้ ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ“การไม่เกิดอีก” เพราะเมื่อไม่เกิดอีก เราก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป(7)


จุดมุ่งหมายพระพุทธศาสนา
เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ตัดกระแสธรรมชาติให้ขาดสะบั้นลงได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง กำจัดสาเหตุที่ก่อให้เกิดการถือกำเนิดในภพใหม่(Cool    สิ่งที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเกิดอีกไม่มีที่สิ้นสุดก็คือความต้องการของสรรพสัตว์เองหรือที่เรียกว่า “กิเลสตัณหา”(9)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ อานนท์ กรรมชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่ายางเหนียวในเมล็ดพืช วิญญานดำรงอยู่ได้ เพราะธาตุหยาบของสัตว์ มีความหลงไม่รู้ความจริงเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหา เป็นเชื้อเครื่องผูกเหนี่ยวใจไว้ การเกิดใหม่จึงมีต่อไปอีก(10) ตัณหาทำให้สัตว์ต้องเกิดอีก จิตของสัตว์ย่อมแล่นไป สัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่อาจ หลุดพ้นจากทุกไปได้”(11)

เมื่อมนุษย์เจริญวิปัสสนาจนเกิดมรรคจิตครบ ๔ ครั้ง ก็จะกำจัดกิเลสตัณหา ในจิตของตนเองให้หมดสิ้นไปได้อย่างสิ้นเชิง(12) เขาจะไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์มะม่วงที่มียางเหนียวอยู่ภายใน ถ้านำไปปลูกจะงอกเป็น ต้นมะม่วงได้อีก แต่ถ้านำไปต้มกำจัดยางเหนียวให้หมดไป จากนั้นนำไปปลูกโดย วิธีใดก็ตามจะไม่งอกอีกแล้ว กิเลสตัณหาในดวงจิตของเราก็เช่นกัน
แต่ถ้าหากไม่สามารถทำมรรคจิตให้เกิดครบ ๔ ครั้งได้   แม้เกิดเพียงครั้งเดียวก็จัดว่าเข้าสู่กระแสแล้ว(โสดาบัน)  ก็ไม่ต้องตกนรก/ทุกข์ในอบายอีกต่อไป และจะบรรลุอรหันต์ได้เองโดยอัตโนมัติภายในระยะเวลาไม่เกิน ๗ ชาติ(13)

กรรมฐาน
กรรมฐาน เป็นศาสตร์หนึ่งที่มีอยู่ในจักรวาลเหมือนกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ต่างกันแต่ศาสตร์นี้ต้องศึกษาวิจัยในห้องแลปร์คือจิตล้วน ๆ และ มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ความหลุดพ้นจากทุกทั้งปวง ศาสตร์นี้เป็นกลไกที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ยากที่มนุษย์จะเข้าถึงได้ สิ่งที่สามารถเข้าถึงและแทงตลอดกฏเกณฑนี้ได้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือจิตที่ทรงพลานุภาพ ตามธรรมดาแล้วมนุษย์ล้วนมีจิตกันทุกคน แต่จิตธรรมดาจะกลายเป็นจิตที่ทรง พลานุภาพได้นั้นต้องอาศัยการบ่มเพาะเป็นเวลานาน คัมภีร์อรรถกถาบอกว่า ต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัปเลยทีเดียว(14) ด้วยเหตุนี้ นาน ๆ จึงจะมีดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิสักครั้งหนึ่ง โลกใบนี้อุบัติขึ้นประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านปีมาแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนานมาก แต่ดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิแค่เพียง ๔ ครั้งเท่านั้น(15) ครั้งสุดท้ายมาปฏิสนธิ เมื่อ ๒๖๒๗ ปีก่อนนี้เอง ผู้นั้นเราเรียกกันว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

เรื่องกรรมฐานนี้ มนุษย์ทั่วโลกได้พยายามค้นคว้าและเข้าถึงมานานแล้ว แต่เนื่องด้วยบารมีไม่เพียงพอจึงเข้าถึงได้เพียงครึ่งเดียว คนกลุ่มนั้นก็คือพวก ฤษีและศาสดาต่าง ๆ พวกท่านสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีฤทธิ์เดชมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดกิเลสในจิตตนเองให้หมดไปได้(16) ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ ท่านเหล่านี้เข้าถึงได้เพียงแค่ระดับฌานสมาบัติเท่านั้น ยังไม่สามารถเข้าถึงวิปัสสนาปัญญา บรรลุมรรค ผล นิพพานได้(17)

สมถกรรมฐาน(18)  คือ  การกำหนดจิตอยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งที่เหมาะสม เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นต้น(19)  ใส่ใจแต่เฉพาะอาการเข้า อาการออกของลมหายใจเท่านั้น โดยไม่สนใจสิ่งอื่น แม้แต่ความคิดก็ไม่สนใจหายใจเข้า หายใจออกตามปกติธรรมด่า มีสติระลึกรู้อยู่ในขณะปัจจุบัน มีสติระลึกรู้อยู่อย่างนี้นับร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้งจนจิตตั้งมั่น แนบแน่นอยู่ กับลมหายใจนิ่งเป็นสมาธิ แล้วกำหนดรู้อาการนิ่งสงบของจิต จนนิ่งเป็นอุเบกขา เมื่อถึงขั้นนี้จะน้อมจิตไปทำสิ่งใดก็จะสำเร็จได้ดั่งใจหมาย เช่น สามารถ กำหนด รู้ความคิดของคนอื่นได้เป็นต้น(20)

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช พระองค์ได้ไปศึกษาศาสตร์นี้จากสำนักฤษีต่างๆ ที่มีอยู่ในสมัยนั้นจนหมดความรู้อาจารย์ แต่เมื่อออกจากสมาธิ กิเลสตัณหาก็ยังมีอยู่เท่าเดิม ยังมีความกลัวความกังวลอยู่ พระองค์จึงตัดสินพระทัยศึกษาค้นคว้าหาวิธีดับทุกข์ด้วยพระ องค์เอง ด้วยการเจริญวิปัสสนา(21)

เมื่อเกิดวิปัสสนาปัญญญารู้แจ้งอยู่ไปตามลำดับครบ ๑๖ขั้นจะบรรลุ โสดาบัน เที่ยวที่ ๒ บรรลุสกทาคามี เที่ยวที่ ๓ บรรลุอนาคามี เที่ยวที่ ๔บรรลุพระอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน(22) ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เมื่อไม่ต้องเกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์ กายทุกข์ใจอีกต่อไป การตายอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย จึงเรียกว่าดับขันธปรินิพพาน ดับทั้งกายดับทั้งจิต ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

อ้างอิง..พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(เล่มที่ / หน้าที่)
1ไตรปิฎก.๒๕/๔๗๖,๓๑/๔๐๐
2 ดูรายละเอียดใน ไตรปิฎก.๑๐/๑-๑๐
3 ไตรปิฎก.๑๖/๒๒๓
4 ไตรปิฎก๑๖/๒๒๗
5 ไตรปิฎก๑๔/๓๕๐-๓๖๕
6 ไตรปิฎก๑๕/๒๒๓
7 ไตรปิฎก๑๙/๕๓๔
8ไตรปิฎก.๑๑/๒๒๒ ,อรรถกถาอังคุตตรนิกาย(บาลี)๑/๑๖๔
9 ไตรปิฎก๑๕/๖๘
10 ไตรปิฎก.๒๐/๓๐๑
11 ไตรปิฎก๑๕/๗๐
12 ไตรปิฎก.๓๑/๙๗
13 ไตรปิฎก.๑๙/๕๔๔, ๑๔/๑๘๖, ๒๐/๓๑๕, ๒๕/๑๒
14 วิสุทฺธชนวิลาสินี(บาลี)๑/๑๒๐
15 ไตรปิฎก.๓๓/๗๒๓
16 ไตรปิฎก.๒๐/๓๘๐
17 ไตรปิฎก.๑๓/๓๙๖,อรรถกถามัชฌิมนิกาย(บาลี) ๑/๑๙๙
18 วิสุทฺธิมรรค(บาลี)๑/๑๓๒-๑๔๙
19 ไตรปิฎก.๑๒/๑๐๑
20 ไตรปิฎก.๑๐/๑๔๒, ๒๒/๓๖
21 ไตรปิฎก.๑๙/๔๖๑,อรรถกถาอังคุตตรนิกาย(บาลี)๑/๘๑๓๓
22 ไตรปิฎก.๓๑/๑-๑๖,๒๕/๗๒๐
http://dungtrin.com/




ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการเรียกร้องของพระสงฆ์   แต่ไม่เห็นด้วยกับการเข้าไปร่วมกับพีทีวี 
....ขอเรียกร้องตรงนี้ว่า  พระสงฆ์ทั้งปวงอย่าได้เข้าไปร่วมประท้วงกับพีทีวีเลยนะครับ.. มิฉะนั้นแล้วจะมีแต่ผลเสีย มิใช่ผลดี..       มิใช่ว่าพีทีวีชั่วร้ายนะครับ   แต่การทำแบบนั้นเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเกินไป  อาจทำให้บ้านเมืองแตกแยกได้
.....และขอเรียกร้องไปยังพีทีวี.. ว่า อย่าได้นำพระสงฆ์มาเรียกร้องทางการเมืองเลยนะครับ..  เห็นแก่ความสงบสุขขอบ้านเมืองเถอะนะ.....

......พระสงฆ์เรียกร้องทางการปกครอง(แต่มิใช่ทางการเมือง) ได้    แต่ต้องไม่ฝักไผ่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง  ควรตั้งอยู่ในฐานะครูบาอาจารย์ของบ้านเมือง..ที่เห็นว่าอะไรควรทำที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้..
……ควรทำเหมือนกับพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ออกมาคลื่นไหวเรียกร้องขอชีวิตให้กับแม่ทัพนายกอง ที่จะต้องถูกประหารชีวิต  ...ทำให้พระนเรศวรยังเหลือแม่ทัพนายกองไว้ป้องกันประเทศต่อไปได้...

……..แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก็ยังเคยเสด็จไปห้ามกองทัพของพระเจ้าวิฑูฑภะถึง ๒ ครั้ง ๒คราว
.........กษัตริย์ ๒ เมืองทะเลาะแย่งน้ำกัน จนประจันหน้ากันแล้ว ..พร้อมที่จะทำสงครามแย่งน้ำกันโดยฉับพลัน ..พระองค์จึงเสด็จไปในระหว่างกองทัพทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วทรงเตือนให้สติ ว่า “เลือดมีค่ามากกว่าน้ำ


ประเทศมาเลเซีย ประกาศศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ทั้งที่มีประชากรชาวมุสลิมเพียงแค่ 65 %

ชื่อทางการ มาเลเซีย
ประมุข สมเด็จพระราชาธิบดี ตนกู ไซด์ ซีราจุดดิน ไซด์ ปุตรา จูมาลูลลาอิล
พื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร
เมืองหลวง กรุงกัวลาลัมเปอร์
ประชากร 23.8 ล้านคน
สกุลเงิน ริงกิต
ศาสนา  อิสลาม 65%     พุทธ 16% เต๋า 10% ฮินดู 6%
ภาษา บาฮาสา มาเลเซีย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%...%B8%B5%E0%B8%A2
http://www.mfa.go.th/web/479.php?id=164


รัฐธรรมนูญของมาเลเซีย

(1) Islam is the religion of the Federation; but other religions may be practised in peace and harmony in any part of the Federation.
(2) In every State other than States not having a Ruler the position of the Ruler as the Head of the religion of Islam in his State in the manner and to the extent acknowledged and declared by the Constitution, all rights, privileges, prerogatives and powers enjoyed by him as Head of that religion, are unaffected and unimpaired; but in any acts, observance or ceremonies with respect to which the Conference of Rulers has agreed that they should extend to the Federation as a whole each of the other Rulers shall in his capacity of Head of the religion of Islam authorize the Yang di-pertuan Agong to represent him
(3) The Constitution of the States of Malacca, Penang, Sabah and Sarawak shall each make provision for conferring on the Yang di-Pertuan Agong shall be Head of the religion of Islam in that State
(4) Nothing in this Article derogates from any other provision of this Constitution
(5) Notwithstanding anything in this Constitution the Yang di-Pertuan Agong shall be the Head of the religion of Islam in the Federal Territories of Kuala Lumpur and Labuan; and for this purpose Parliament may by law make provisions for regulating Islamic religious affairs and for constituting a Council to advise the Yang di-Pertuan Agong in matters relating to the religion of Islam.
http://www.malaysianmonarchy.org.my/portal...ial%20Functions

ของอินโดนีเซีย
Chapter XI. Religion
Article 29
1. The State shall be based upon the belief in the One and Only God
2. The State guarantees all persons the freedom of worship, each according to his/her own religion or belief




นำมาให้อ่านครับ...

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย... ในมุมมองมุสลิม(คนหนึ่ง)
http://www.oknation.net/blog/unussorn/2007/04/18/entry-1


ทีแรกผมเฉยๆ กับประเด็นนี้  ไม่ได้ติดตามเพราะไม่เห็นว่ามันสำคัญ  แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่านคอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก  ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์ อดีตที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ผู้เขียนคอลัม์นี้ ท่านเห็นด้วยกับการบัญญัติให้ระบุคำว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” ลงในรัฐธรรมนูญ 

ด้วยเหตุผลที่ว่า ในประเทศมุสลิมหลายประเทศ  ยังระบุเลยว่า “อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ” แล้วทำไมพุทธศาสนิกชนถึงไม่กล้าระบุเช่นนั้นบ้าง  ท่านยกตัวอย่างรัฐธรรมนูญของประเทศมุสลิมประเทศหนึ่ง “Islam is the Religion of the Federation but other religion may be practiced in peace and harmony in any part of the Federation” (อิสลามเป็นศาสนาแห่งสมาพันธรัฐ แต่ศาสนาอื่นได้รับการปฏิบัติโดยสันติและกลมกลืน ในส่วนใดของสมาพันธรัฐก็ได้) และประเทศมุสลิมอื่นๆ อีกหลายประเทศที่ระบุเนื้อหาทำนองนี้ลงในรัฐธรรมนูญของตน

อ่านจบแล้วผมก็ “เออ... จริงด้วย” ประเทศที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนมากเขายังทำกันเลย  แล้วทำไมประเทศไทยที่มีพุทธศาสนิกชนมากถึง 90% จะทำแบบนั้นไม่ได้

ผมเห็นด้วยกับเขาครับ  ซึ่งตรงนี้ขอออกตัวก่อนว่าอาจจะเป็นความเห็นที่ต่างจากมุสลิมท่านอื่น แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะผมเห็นข้อดีของการยืดอกประกาศตัวแบบนี้  ความภูมิใจในความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองท่ามกลางความเน่าเฟะของลัทธิบริโภคนิยมถือว่าเป็นเจตนารมณ์ที่น่ายกย่อง 

หากประเทศไทยของผมหาญกล้าที่จะประกาศให้รู้ว่า บ้านนี้เมืองนี้มีพุทธศาสนิกชนเป็นสมาชิกส่วนมาก เพราะฉะนั้นอบายมุขต่างๆ อย่าได้หวังเข้าครอบงำประเทศนี้ ในศีล 5 ข้อที่เป็นชุดศีลเบื้องต้น ศาสนาพุทธห้ามดื่มสุรา สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี สิกฺขาปะทัง สมาทิยามิ ประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติจะไม่มีสุราจำหน่ายโดยถูกกฎหมาย ไม่มีผับไม่มีบาร์   ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต่อต้านการพนัน ประเทศนี้จะไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับการพนันในทุกประการ,  จะออกกฎหมายปราบปรามการค้าประเวณีอย่างถึงที่สุด

ถ้าประเทศไทยของผมมีรัฐธรรมนูญที่บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” เป็นรูปธรรมชัดเจน  แล้วนำคุณธรรมทางพุทธศาสนามาแปรรูปเป็นกฎหมายจรรโลงสังคม เหมือนหลายประเทศในตะวันออกกลาง  ผมว่าประเทศไทย(ในความเห็นของผม) คงจะน่าอยู่กว่าปัจจุบัน  ที่กฎหมายถูกผลิตขึ้นจาก “กิเลส” ของสังคม ไม่ได้เกิดขึ้นจาก “ศีลธรรม” อย่างที่ควรจะเป็น 

แต่ถ้าแนวคิดการระบุศาสนาประจำชาติ เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในสถาบันของตน หรือเกิดขึ้นเพื่อสนองความสะใจตน, เอาชนะคะคานกันและกันโดยที่ไม่มีผลทางการปรับปรุงสังคม ผมถือว่ามันไร้สาระ ไม่ควรค่ากับการเสียเวลาทุ่มเถียง มันเป็นการเชิดชูศาสนาด้วยตัวอักษร หาใช่การเชิดชูศาสนาด้วยแก่นของศาสนาแต่อย่างใด


นี่ละครับปัญหาของคนที่นับถือศาสนาพุทธ  ยกมาซะเยอะแยะ  ไตรปิฎก. มีกี่เล่มกี่เล่ม ยกมาอ้างหมด   แต่เอาไปใช้กันไม่เป็น

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ศาสนาพุทธดีอย่างไร  ประวัติความเป็นมาอย่างไร  หรือมีไตรปิฎก. มากแค่ไหน

แต่อยู่ที่คุณจะเลือกเอาอะไรมาใช้ในการแก้ปัญหา  ในเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป   สุดท้ายพอไม่รู้จะเอาอะไรมาใช้ก็ยกไตรปิฎกมาทั้งตู้ให้คนอ่าน

หลักธรรมและรวมทั้งหลักวิชาการ  มันก็เหมือนกับการทำอาหาร  คือเราต้องรู้เวลาว่าอะไรควรใส่ก่อนใส่หลัง ไม่ใช่ว่าใส่ไปทีเดียวพร้อมกันหมด

หลักธรรมและหลักวิชาการแม้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง  แต่หากใช้ไม่ถูกเวลา ไม่ถูกปัญหา มันก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย

ถึงได้บอกว่านอกจากมีความรู้แล้ว  ควรจะต้องมีความเข้าใจกันด้วย 
บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
engg
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #12 เมื่อ: 25-04-2007, 22:22 »

ประเทศมาเลเซีย นับถืออิสลาม ประมาณ 50 % แต่มีกฎหมายห้ามศาสนาอื่นสร้างศาสนสถานเพิ่ม มีนโยบายชัดเจนในการอุดหนุนคนอิสลามในการแข่งขันกับคนศาสนาอื่น และยังมีข้อจำกัดอีกหลายอย่าง ไม่ได้ชี้แจงอะไรนอกจากเพราะคนส่วนนับถืออิสลาม

ส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยมักอ้างว่า คนจำนวนมากนับถือเทพฯ ถ้าเห็นว่าชาวพุทธยังไม่เป็นพุทธที่แท้จริง ต้องการแก้ไขส่วนนี้แล้ว การกำหนดในรัฐธรรมนูญเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะพัฒนาคนกลุ่มนี้ให้เข้าสู่ชาวพุทธอย่างแท้จริง เป็นการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
บันทึกการเข้า
เพื่อนร่วมชาติ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 777


« ตอบ #13 เมื่อ: 26-04-2007, 12:30 »

อ้างถึง
ทีแรกผมเฉยๆ กับประเด็นนี้  ไม่ได้ติดตามเพราะไม่เห็นว่ามันสำคัญ  แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่านคอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก  ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์ อดีตที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ผู้เขียนคอลัม์นี้ ท่านเห็นด้วยกับการบัญญัติให้ระบุคำว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” ลงในรัฐธรรมนูญ 

ด้วยเหตุผลที่ว่า ในประเทศมุสลิมหลายประเทศ  ยังระบุเลยว่า “อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ” แล้วทำไมพุทธศาสนิกชนถึงไม่กล้าระบุเช่นนั้นบ้าง  ท่านยกตัวอย่างรัฐธรรมนูญของประเทศมุสลิมประเทศหนึ่ง “Islam is the Religion of the Federation but other religion may be practiced in peace and harmony in any part of the Federation” (อิสลามเป็นศาสนาแห่งสมาพันธรัฐ แต่ศาสนาอื่นได้รับการปฏิบัติโดยสันติและกลมกลืน ในส่วนใดของสมาพันธรัฐก็ได้) และประเทศมุสลิมอื่นๆ อีกหลายประเทศที่ระบุเนื้อหาทำนองนี้ลงในรัฐธรรมนูญของตน

อ่านจบแล้วผมก็ “เออ... จริงด้วย” ประเทศที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนมากเขายังทำกันเลย  แล้วทำไมประเทศไทยที่มีพุทธศาสนิกชนมากถึง 90% จะทำแบบนั้นไม่ได้

ผมเห็นด้วยกับเขาครับ  ซึ่งตรงนี้ขอออกตัวก่อนว่าอาจจะเป็นความเห็นที่ต่างจากมุสลิมท่านอื่น แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะผมเห็นข้อดีของการยืดอกประกาศตัวแบบนี้  ความภูมิใจในความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองท่ามกลางความเน่าเฟะของลัทธิบริโภคนิยมถือว่าเป็นเจตนารมณ์ที่น่ายกย่อง 

นอกจาก ดร. ที่ว่า ผมอยากบอกด้วยว่ายังมีขบวนการแบ่งแยกดินแดนอีกหลายคนครับที่เห็นด้วย และรอคอยด้วยใจจดใจจ่อว่าเมื่อไหร่จะบรรจุข้อความนี้ลงในรัฐธรรมนูญซะที จะได้เอาไปอธิบายให้ประชาชนฟังเร็ว ๆ (ไม่ได้บอกว่า ดร. ท่านนั้นเป็นพวกเดียวกันกับขบวนการนะครับ แต่อยากบอกว่ายังมีคนอีกกลุ่มที่แอบลุ้น อยากให้บรรจุไว้ แต่ไม่ได้ออกมาเรียกร้อง

แล้วตรรกะที่ว่า ประเทศอื่นยังทำ เราก็น่าจะทำบ้างเนี่ย ผมว่าเลิกใช้ซะทีเถอะครับ มันไม่เห็นตรงกับหลักาลามสูตรเลย แล้วถามจริง ๆ ว่าถ้าเราเป็นคนศาสนาอื่น เราคิดว่าสองประเทศนี้น่าอยู่เหรอครับ ใจเขาใจเรานะ ถ้าคนอื่นใจแคบ เราก็ต้องใจแคบตามรึเปล่า

อ้อ... แต่ถ้าได้อย่างที่เรียกร้องแล้ว ก็อย่าลืมออกกฎหมายลูกห้ามขายเหล้าให้คนพุทธ ห้ามคนพุทธเข้าคลับ บาร์ อาบอบนวด สถานบันเทิงกลางคืน ห้ามคนพุทธทำงานโรงฆ่าสัตว์ ฯลฯ ด้วยนะครับ เดี๋ยวนี้บัตรประชาชนระบุศาสนาแล้ว ใช้วิธีตรวจบัตรเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2007, 12:32 โดย เพื่อนร่วมชาติ » บันทึกการเข้า
meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 26-04-2007, 14:47 »

ประเทศมาเลเซีย นับถืออิสลาม ประมาณ 50 % แต่มีกฎหมายห้ามศาสนาอื่นสร้างศาสนสถานเพิ่ม มีนโยบายชัดเจนในการอุดหนุนคนอิสลามในการแข่งขันกับคนศาสนาอื่น และยังมีข้อจำกัดอีกหลายอย่าง ไม่ได้ชี้แจงอะไรนอกจากเพราะคนส่วนนับถืออิสลาม

ส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยมักอ้างว่า คนจำนวนมากนับถือเทพฯ ถ้าเห็นว่าชาวพุทธยังไม่เป็นพุทธที่แท้จริง ต้องการแก้ไขส่วนนี้แล้ว การกำหนดในรัฐธรรมนูญเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะพัฒนาคนกลุ่มนี้ให้เข้าสู่ชาวพุทธอย่างแท้จริง เป็นการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน

ถามหน่อยเฮอะ พระสงฆ์ของเราน่ะปฏิบัติตามพระธรรมเคร่งครัดกันแค่ไหน  สู้คนนับถืออิสลามที่ไม่ได้บวชได้หรือเปล่า 

บ้านผมมีอิสลามล้อมหน้าล้อมหลัง เค้าเคร่งศาสนากันอย่างมาก ไม่มีการกินเหล้าเมายา  ไม่มีการเรี่ยไรเงินไปสร้างมัสยิส  ไม่มีการจัดงานภายในบริเวณศาสนสถาน


แต่พระสงฆ์ของเราเป็นไง  นี่วัดอยู่ตรงข้ามบ้านผมนี่เอง  พวกเปิดเพลงลูกทุ่งแต่ตีห้า ปลุกให้คนตื่นไปทำบุญ โอ้แม่เจ้า

มีการจัดงานวัดเกิดเจ้าอาวาส  เอาอบายมุขทุกอย่างเพื่อให้คนเข้ามาวัด  แล้วมันจะไปเหลืออะไรล่ะครับนี่  ศาสนาจะไม่เสื่อมได้อย่างไร ใครมันจะไปนับถือ

วัดที่ว่านี้อยู่แถวดอนเมือง  แต่แถวบ้านเกิดที่ผมอยู่มาก่อนไม่เป็นอย่างนี้นะเพราะอยู่ชานเมือง พระสงฆ์ยังอยู่ในพระธรรมวินัย 

แต่ในเมืองนี่แย่มาก  ออกบิณบาตเสร็จเอาของมาขายร้านค้าข้างวัด  ทำได้ไง   แล้วการฉันท์อาหารไม่รู้ว่าพระในเมืองเค้าต่างคนต่างฉันท์หรือ แบบนี้ก็มีการกักตุนอาหารเอาไว้นะสิ


วัดบ้านผมบิณฑบาตเสร็จก็จะเอาอาหารมารวมกัน แล้วพระสงฆ์ก็ลงมาฉันพร้อมกัน มีการสวดมนต์ก่อนฉันท์ หลังฉันท์ เสร็จแล้วก็มีลูกศิษนำอาหารที่พระฉันท์เสร็จแล้วไปกินกัน  สมัยผมเป็นเด็กก็เคยไปกิน กินเสร็จก็เอาถ้วยชามไปล้าง  อาหารเหลือ ก็ให้หมูให้หมา ให้แมว โยนให้ปลา  ไม่มีการกักตุนอาหารเอาไว้   

ที่เล่ามาก็อยากจะบอกว่า ถ้าหากบรรจุลงไปแล้้วมันจะแก้ปัญหาพระสมัยนี้ได้มั้ย พระสงฆ์จะดีขึ้นกันหรือเปล่า  ชาวพุทธจะเลิกงมงายกันหรือไง  ถ้าพระสงฆ์ยังไม่รู้จักควบคุมตัวเองได้ ต้องใช้รัฐธรรมนูญบังคับ นับประสาอะไรจะไปสอนใครเค้าได้  หวังว่าพระสงฆ์คงไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่นุ่งห่มผ้าเหลืองแล้วก็คอยแต่รับกิจนิมนต์ตามงานต่างๆ อย่างเดียวหรอกนะ 
บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
Ja-Ded
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 244


วิธีการรักษาอำนาจไว้ ก็คือการไม่ใช้อำนาจนั้น


« ตอบ #15 เมื่อ: 27-04-2007, 10:12 »

ผมว่าคนที่มาเรียกร้องกันนี่ คงจะถอยห่างออกไปจากคำสอนที่เป็นเนื้อแท้ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ไปเรื่อยๆ

หลักคำสอนนั้นสอนให้ไม่ยึดติด ไม่หวง ไม่ห่วง ปล่อยไปตามธรรมชาติ แค่เราทำใจให้ว่าง และยอมรับมัน

การออกมาเรียกร้อง น่าจะทำด้วยเหตุผล ด้วยสติ และปัญญา ไม่ใช่เอาศาสนา มาเป็นตัวประกัน

หลายปีที่ผ่านมา ผมหมดศรัทธากับชายนุ่งผ้าเหลือง หลายๆครั้งเจอกับตัวเอง ทุกวันนี้แทบไม่กราบไหว้

แต่พยายามปฏิบัติตัว ตามคำสอนของพระศาสดาเรื่อยมา หลายๆอย่างที่คนที่เรียกตัวเองว่าพุทศาสนิกชนกระทำในวันนี้

ไม่เคยมีในคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแต่โบราณกาล ใครเป็นคนบัญญัติ ทำให้ชาวพุทธออกนอกลู่นอกทางมานมนาน

ความเชื่อถูกกลบลบลงไปด้วยความงมงาย คำสอนของพระศาสดาถูกกลบลบลงไปด้วยเครื่องรางของขลัง

พระสงฆ์ผู้มีศีลและปฏิบัติธรรมด้วยจิตอันบริสุทธิ์ถูกกลบลบลงด้วยกิเลสตัณหา เงินทอง ที่ดิน สิ่งของสักการะที่ไม่ใช่สิ่งที่สงฆ์ควรถือครอง

ลาภยศสรรเสริญ ตำแหน่งต่างๆของสงฆ์ในวันนี้ ไม่เคยมีบัญญัติไว้ในสมัยพุทธกาล สิ่งเหล่านี้ ได้เปลี่ยนพระผู้อยู่ในศีลธรรมองค์แล้วองค์เล่า

ให้กลายเป็นสัมพเวสีที่ไม่รู้จักเพียงพอ ทั้งทรัพย์สมบัติและตัณหา กิเลสตัณหาเหล่านี้พระหามาเอง หรือฆราวาสนำมาถวาย

มาถึงวันนี้ พระกลับเอาศาสนามาเป็นตัวประกัน ต่อยอดแห่งกิเลสตัณหานั้นด้วยตัวเอง อะไรเรียกว่าเหมาะว่าควร แยกแยะไม่ออก

คำว่า "กาละเทศะ" ยังฟังไม่สะกิดหู ตะแบงแต่จะเอาให้ได้อย่างใจโดยไร้ความยั้งคิด นี่เหรอเมืองพุทธ สิ่งที่พวกท่านทำอยู่ตอนนี้

มันน่ากลัวเกินไปแล้ว นี่ขนาดยังไม่ได้บรรจุใน รัฐธรรมนูญ พวกท่านจะย่ำยีหลักพระธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้ากันไปถึงเมื่อไหร่
บันทึกการเข้า
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #16 เมื่อ: 27-04-2007, 11:00 »

เมื่อคืน ได้ดูสกุ๊ปช่อง 3 ที่พูดถึงประเทศศรีลังกา

ก็มีการบัญญัติ ไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่า พระพุทธศาสนา คือศาสนาประจำชาติ

แต่ก็ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นมา

ตรงนี้ ถ้าเกิด ขึ้น จะแก้ปัญหายังไง

ปัญหาของพระพุทธศาสนา คือการไม่บัญญัติ ไว้อย่างนั้นหรือ ลองคิดดูให้ดีๆ ดีกว่านะครับ อย่าถืออัตตาจนเกินไป

การเขียนไว้ แค่หนึ่งบรรทัด จะทำให้ คน เลิก คลั่งผี คลั่งจตุคาม คลั่งธรรมกาย แล้ว มาศึกษาพระพุทธศาสนา อย่างที่ถูกที่ควรหรือ

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่เป็นเหตุเป็นผล

การบัญญัติ ไว้ คือ การแก้ปัญหาจริงๆหรือ

ตอนแรก ผม ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรหรอกนะครับ ออกจะเห็นด้วยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ ผมเริ่มรู้สึกว่า มันไม่ใช่ทางออกที่ดีของประเทศไทยตอนนี้เลย มันจะนำไปสู่ปัญหาที่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

จะว่าแต่ก่อน ไม่บัญญัติ ก็แตกแยก แล้วการบัญญัติ มันเป็นการไปเพิ่มปัญหาหรือลดปัญหา หรือไม่อย่างไร

หากพุทธบริษัท ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มันจำเป็นด้วยหรือที่จะบัญญัติ เพื่อให้เกิดปัญหาที่หลายๆ คนคาดว่าจะเกิดขึ้น

ถ้าจะบัญญัติ จริงๆ

คนที่ผิดศิล จะต้องติดคุกหรือไม่

ศาสนาพุทธนี่ เอาพุทธใหนที่เป็นศาสนาประจำชาติ พุทธหรือพราหม หรือผี หรือ เจ้า

พระใบ้หวย ต้องอาบัติ ถึงปราชิกหรือไม่

พระมีทรัพย์ในครอบครองได้ไหม

แล้ว คนอื่น ที่ไม่ได้ นับถือ ศาสนาประจำชาติ เค้าจะรู้สึกน้อยใจหรือไม่

อื่นๆ อีกมากมายยยยยยยยยยยยยย

หาทางออกตรงนี้ ให้ได้ ก่อนเถอะนะครับ บอกให้ชัดเจน

ต่อไปจะบัญญัติ อะไรก็ตามสบายเลย
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
(ก้อนหิน) ละเมอ
Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,041



เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 27-04-2007, 20:10 »

บางคนยกมาตั้งเยอะแยะ แต่เวลาใช้จริงกลับเอาแต่กระพี้มาใช้...
ศาสนาพุทธไม่มีวันโดนกลืนหรือล่มสลาย เพราะว่า พระธรรมยังคงอยู่ เพราะพระธรรมคือ ความจริง เป็นสิ่งธรรมชาติ สามารถพิสูจน์ได้จริงๆ...
บันทึกการเข้า

engg
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #18 เมื่อ: 04-05-2007, 16:31 »

ศาสนาพุทธไม่มีวันโดนกลืนหรือล่มสลาย

อินเดียถูกทำลาย เหลือแต่พุทธสถาน อาฟกานิสถาน พุทธรูปก็พึ่งจะถูกยิงด้วยปืนใหญ่ อินโดนีเซียก็ไม่เหลือแล้ว นอกจากเจดีย์ใหญ่ที่จมดินอยู่

ถ้า(ก้อนหิน) ละเมอ เป็นพุทธก็ถือว่าประมาท ถ้านับถือในศาสนาอื่น ต้องขอยกย่องชมเชยในการอุทิศตนเพื่อศาสนานั้น
บันทึกการเข้า
ppppp
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 52


« ตอบ #19 เมื่อ: 04-05-2007, 17:53 »

ศาสนาพุทธไม่มีวันโดนกลืนหรือล่มสลาย

อินเดียถูกทำลาย เหลือแต่พุทธสถาน อาฟกานิสถาน พุทธรูปก็พึ่งจะถูกยิงด้วยปืนใหญ่ อินโดนีเซียก็ไม่เหลือแล้ว นอกจากเจดีย์ใหญ่ที่จมดินอยู่

ถ้า(ก้อนหิน) ละเมอ เป็นพุทธก็ถือว่าประมาท ถ้านับถือในศาสนาอื่น ต้องขอยกย่องชมเชยในการอุทิศตนเพื่อศาสนานั้น

เข้าใจคำว่าศาสนาแค่ไหนครับ?? ที่พูดไปก็แค่สิ่งปลูกสร้าง วัตถุ ที่ถูกทำลาย
ศาสนาจริงๆแล้วมันอยู่ที่ใจ ไม่มีใครบังคับ แย่งชิงหรือทำลายมันไปได้
แต่ถ้าคนไม่นับถือ เสื่อมศรัทธา ต่อให้มีกฎหมายอะไรก็ไม่มีใครเอาหรอกครับ
วันๆก็ยังมีโฆษณาชวนเชื่อให้เช่าพระ วัตถุมงคล ใบ้หวย บริจาคเงินสร้างจานบินเพื่อเป็นผลบุญในชาติหน้า ฯลฯ
สิ่งต่างๆนี่แหละที่ทำให้คนเบือนหน้าหนี และออกห่างจากศาสนา ที่ตอนนี้กลับกลายเป็นธุรกิจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในผ้าเหลือง
ผู้คนก็ยังแบ่งแยก เหยียบย่ำผู้อื่นที่ต่างศาสนา? แล้วนี่หรือชาวพุทธที่ดี?
แค่หลักง่ายๆให้ทำดี คิดดี ยังทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องอ้างศาสนาให้ยิ่งเสื่อมเสียดีกว่าครับ
บันทึกการเข้า

meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 06-05-2007, 19:45 »

เข้าใจคำว่าศาสนาแค่ไหนครับ?? ที่พูดไปก็แค่สิ่งปลูกสร้าง วัตถุ ที่ถูกทำลาย
ศาสนาจริงๆแล้วมันอยู่ที่ใจ ไม่มีใครบังคับ แย่งชิงหรือทำลายมันไปได้
แต่ถ้าคนไม่นับถือ เสื่อมศรัทธา ต่อให้มีกฎหมายอะไรก็ไม่มีใครเอาหรอกครับ
วันๆก็ยังมีโฆษณาชวนเชื่อให้เช่าพระ วัตถุมงคล ใบ้หวย บริจาคเงินสร้างจานบินเพื่อเป็นผลบุญในชาติหน้า ฯลฯ
สิ่งต่างๆนี่แหละที่ทำให้คนเบือนหน้าหนี และออกห่างจากศาสนา ที่ตอนนี้กลับกลายเป็นธุรกิจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในผ้าเหลือง
ผู้คนก็ยังแบ่งแยก เหยียบย่ำผู้อื่นที่ต่างศาสนา? แล้วนี่หรือชาวพุทธที่ดี?
แค่หลักง่ายๆให้ทำดี คิดดี ยังทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องอ้างศาสนาให้ยิ่งเสื่อมเสียดีกว่าครับ


ผมว่าคุณ  engg เค้าคงเข้าใจว่า ศาสนาพุทธจะอยู่ยังยืน ต้องปลูกสร้างวัด สร้างวัตถุมงคลเยอะ ๆ  เพื่อให้คนยังรู้ว่ายังมีศาสนาพุทธอยู่

แต่หารู้ไม่ว่าศาสนาคืออะไร ทำไมศาสนาพุทธจึงเสื่อมลง  ทำไมคนห่างไกลจากพุทธศาสนามากขึ้น

เป็นเพราะไม่มีกฏหมายบังคับ หรือเป็นเพราะผู้ที่มีหน้าที่สืบทอดคำสอนเองที่ไม่เข้าใจหลักธรรม ไม่ปฏิบัติตนให้อยู่ในศิลในธรรม ทำตนไม่น่าศรัทธา หากินอยู่กับความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ไม่สามารถนำหลักธรรมไปแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ในปัจจุบัน  พูดแต่เรื่องโลกหน้ากับอดีต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ จึงทำให้คนเบนหนีจากศาสนาพุทธไปหาศาสนาอื่่น

บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
engg
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #21 เมื่อ: 07-05-2007, 16:29 »

หลักคำสอนนั้นสอนให้ไม่ยึดติด ไม่หวง ไม่ห่วง ปล่อยไปตามธรรมชาติ แค่เราทำใจให้ว่าง และยอมรับมัน

ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นกลางๆตามธรรมชาติ คือตามสภาวะที่สิ่งทั้งหลายมันเป็นของมันเอง ตามเหตุปัจจัย มนุษย์ยึดความอยากของตนที่จะให้โลกและชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ทำให้เป็นทุกข์

พระพุทธเจ้าทรงแสดงการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงการดับไปแห่งทุกข์

หลักคำสอนอย่างรวบรัด เป็นแบบนี้

ศาสนาพุทธจะอยู่ยังยืน ต้องปลูกสร้างวัด สร้างวัตถุมงคลเยอะ ๆ

ผู้ที่มีหน้าที่สืบทอดคำสอนเองที่ไม่เข้าใจหลักธรรม ไม่ปฏิบัติตนให้อยู่ในศิลในธรรม ทำตนไม่น่าศรัทธา หากินอยู่กับความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ไม่สามารถนำหลักธรรมไปแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ในปัจจุบัน  พูดแต่เรื่องโลกหน้ากับอดีต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

สิ่งที่ยกมาแสดงถึงปัญหาของศาสนาพุทธทีต้องการบริหารเพื่อแก้ไข ซึ่งในอดีต ต้องใช้บารมีของพระมหากษัตริย์ เช่นพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธยอดฟ้า ต้องการความเป็นเจ้าของ

หลายๆท่านชี้ให้เห็นปัญหาของศาสนาพุทธ ผมเข้าใจว่ามีความต้องการที่จะให้ปัญหาเหล่านี้ลดลงหรือหมดไป

ในเมี่อการเป็นศาสนาของชาติ สามารถใช้แก้ปัญหาได้ตลอด 2550 ปี ทำไมท่านถึงไม่เห็นด้วย
บันทึกการเข้า
bgn
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


« ตอบ #22 เมื่อ: 07-05-2007, 18:09 »

เมื่อคืน ได้ดูสกุ๊ปช่อง 3 ที่พูดถึงประเทศศรีลังกา

ก็มีการบัญญัติ ไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่า พระพุทธศาสนา คือศาสนาประจำชาติ

แต่ก็ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นมา

ตรงนี้ ถ้าเกิด ขึ้น จะแก้ปัญหายังไง

ปัญหาของพระพุทธศาสนา คือการไม่บัญญัติ ไว้อย่างนั้นหรือ ลองคิดดูให้ดีๆ ดีกว่านะครับ อย่าถืออัตตาจนเกินไป

การเขียนไว้ แค่หนึ่งบรรทัด จะทำให้ คน เลิก คลั่งผี คลั่งจตุคาม คลั่งธรรมกาย แล้ว มาศึกษาพระพุทธศาสนา อย่างที่ถูกที่ควรหรือ

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่เป็นเหตุเป็นผล

การบัญญัติ ไว้ คือ การแก้ปัญหาจริงๆหรือ

ตอนแรก ผม ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรหรอกนะครับ ออกจะเห็นด้วยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ ผมเริ่มรู้สึกว่า มันไม่ใช่ทางออกที่ดีของประเทศไทยตอนนี้เลย มันจะนำไปสู่ปัญหาที่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

จะว่าแต่ก่อน ไม่บัญญัติ ก็แตกแยก แล้วการบัญญัติ มันเป็นการไปเพิ่มปัญหาหรือลดปัญหา หรือไม่อย่างไร

หากพุทธบริษัท ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มันจำเป็นด้วยหรือที่จะบัญญัติ เพื่อให้เกิดปัญหาที่หลายๆ คนคาดว่าจะเกิดขึ้น

ถ้าจะบัญญัติ จริงๆ

คนที่ผิดศิล จะต้องติดคุกหรือไม่

ศาสนาพุทธนี่ เอาพุทธใหนที่เป็นศาสนาประจำชาติ พุทธหรือพราหม หรือผี หรือ เจ้า

พระใบ้หวย ต้องอาบัติ ถึงปราชิกหรือไม่

พระมีทรัพย์ในครอบครองได้ไหม

แล้ว คนอื่น ที่ไม่ได้ นับถือ ศาสนาประจำชาติ เค้าจะรู้สึกน้อยใจหรือไม่

อื่นๆ อีกมากมายยยยยยยยยยยยยย

หาทางออกตรงนี้ ให้ได้ ก่อนเถอะนะครับ บอกให้ชัดเจน

ต่อไปจะบัญญัติ อะไรก็ตามสบายเลย


ผมขอเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งนะครับ เพราะประเมินคร่าวๆแล้วคนส่วนใหญ่ในนี้ค้านกัน
เห็นยกตัวอย่าง ศรีลังกา กันหลายหนแล้ว อย่าลืมยกตัวอย่าง เกาหลีใต้ ด้วยนะครับ

ว่าแต่ว่า จขกท นับถือศาสนาอะไรครับ บอกหน่อยได้ไหม เท่าที่ผมสำรวจทั้งในเวบและภายนอก คนที่ค้านเรื่องนี้ที่เป็นมุสลิมมีสัดส่วนไม่มากนะครับ แต่จะเป็นชาวพุทธและก็อีกศานาหนึ่ง ที่รู้สึกจะเดือดร้อนมาก

บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #23 เมื่อ: 07-05-2007, 20:08 »

หลักคำสอนนั้นสอนให้ไม่ยึดติด ไม่หวง ไม่ห่วง ปล่อยไปตามธรรมชาติ แค่เราทำใจให้ว่าง และยอมรับมัน

ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นกลางๆตามธรรมชาติ คือตามสภาวะที่สิ่งทั้งหลายมันเป็นของมันเอง ตามเหตุปัจจัย มนุษย์ยึดความอยากของตนที่จะให้โลกและชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ทำให้เป็นทุกข์

พระพุทธเจ้าทรงแสดงการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงการดับไปแห่งทุกข์

หลักคำสอนอย่างรวบรัด เป็นแบบนี้

ศาสนาพุทธจะอยู่ยังยืน ต้องปลูกสร้างวัด สร้างวัตถุมงคลเยอะ ๆ

ผู้ที่มีหน้าที่สืบทอดคำสอนเองที่ไม่เข้าใจหลักธรรม ไม่ปฏิบัติตนให้อยู่ในศิลในธรรม ทำตนไม่น่าศรัทธา หากินอยู่กับความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ไม่สามารถนำหลักธรรมไปแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ในปัจจุบัน  พูดแต่เรื่องโลกหน้ากับอดีต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

สิ่งที่ยกมาแสดงถึงปัญหาของศาสนาพุทธทีต้องการบริหารเพื่อแก้ไข ซึ่งในอดีต ต้องใช้บารมีของพระมหากษัตริย์ เช่นพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธยอดฟ้า ต้องการความเป็นเจ้าของ

หลายๆท่านชี้ให้เห็นปัญหาของศาสนาพุทธ ผมเข้าใจว่ามีความต้องการที่จะให้ปัญหาเหล่านี้ลดลงหรือหมดไป

ในเมี่อการเป็นศาสนาของชาติ สามารถใช้แก้ปัญหาได้ตลอด 2550 ปี ทำไมท่านถึงไม่เห็นด้วย

ผมว่า คำอธิบายข้างบน มันขัด ๆ กับการ สนับสนุน ให้มีศาสนาพุทธ เป็น ศาสนาประจำชาติ พิกล ๆ อยู่ ..........

อย่างไรก็ตาม ผมเฉย ๆ กับการมี หรือ ไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ .....เราจะมี หรือ ไม่มี ผมเอง ก็ยังคงเข้าวัด เข้าวา ตามโอกาสต่าง ๆ อยู่ดี ยังคงทำบุญ ทำทาน ไปตามอัธยาศัย และ ตามกำลัง ที่มีอยู่ดี......

แต่ถ้าหากจะบรรจุในรัฐธรรมนูญจริง .......ผมก็เห็นด้วยกับบางความเห็นตามบอร์ด ว่า ให้กำหนดบทลงโทษ ในการผิดวินัยของ บรรดาสงฆ์เลว ๆ ที่อาศัยวัดทำมาหากิน หรือ อาศัยผ้าเหลือง กระทำความเลว โดยต้องให้โทษหนักกว่า ฆราวาส ทั่วไป เพราะถือว่าเป็นผู้อยู่ในศีล ในธรรม และ เป็นผู้เผยแพร่ศีลธรรมให้กับบรรดาฆราวาสทั่วไป  ....หากบรรดาม๊อบเสือเหลืองที่รณรงค์ให้มีการบรรจุโทษดังกล่าวเข้าไปด้วย ผมจะยกให้ 2 มือ พร้อม 2 หัวแม่โป้งครับ.....แต่ถ้าเพียงแต่ให้บรรจุเข้าไปเฉย ๆ เพียงแค่บอกว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ ผมจะไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
บันทึกการเข้า
meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 07-05-2007, 21:46 »

หลักคำสอนนั้นสอนให้ไม่ยึดติด ไม่หวง ไม่ห่วง ปล่อยไปตามธรรมชาติ แค่เราทำใจให้ว่าง และยอมรับมัน

ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นกลางๆตามธรรมชาติ คือตามสภาวะที่สิ่งทั้งหลายมันเป็นของมันเอง ตามเหตุปัจจัย มนุษย์ยึดความอยากของตนที่จะให้โลกและชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ทำให้เป็นทุกข์

พระพุทธเจ้าทรงแสดงการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงการดับไปแห่งทุกข์

หลักคำสอนอย่างรวบรัด เป็นแบบนี้

ศาสนาพุทธจะอยู่ยังยืน ต้องปลูกสร้างวัด สร้างวัตถุมงคลเยอะ ๆ ไปศึกษาซะใหม่จะดีมั้ย เรื่องพวกนี้ผมเรียนมาตั้งแต่สมัยประถม 

ผู้ที่มีหน้าที่สืบทอดคำสอนเองที่ไม่เข้าใจหลักธรรม ไม่ปฏิบัติตนให้อยู่ในศิลในธรรม ทำตนไม่น่าศรัทธา หากินอยู่กับความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ไม่สามารถนำหลักธรรมไปแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ในปัจจุบัน  พูดแต่เรื่องโลกหน้ากับอดีต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

สิ่งที่ยกมาแสดงถึงปัญหาของศาสนาพุทธทีต้องการบริหารเพื่อแก้ไข ซึ่งในอดีต ต้องใช้บารมีของพระมหากษัตริย์ เช่นพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธยอดฟ้า ต้องการความเป็นเจ้าของเห็นควรให้พระสงฆ์สึกออกไปให้หมด ถ้าไม่สามารถแก้ไขกันเองได้ ต้องพึ่งบารมีของพระมหากษัตริย์

หลายๆท่านชี้ให้เห็นปัญหาของศาสนาพุทธ ผมเข้าใจว่ามีความต้องการที่จะให้ปัญหาเหล่านี้ลดลงหรือหมดไป

ในเมี่อการเป็นศาสนาของชาติ สามารถใช้แก้ปัญหาได้ตลอด 2550 ปี ทำไมท่านถึงไม่เห็นด้วย ไม่ได้มีหลักวิชาการอะไรมาอธิบายเลย ว่ามันจะแก้ปัญหาได้อย่างไร บอกแต่เพียงให้เขียนๆไปก่อนแล้วมันจะดีเอง นี่หรือคนนับถือพุทธ ที่ถูกสอนให้รู้จักใช้สติปัญญา มีเหตุมีผล


ปัจจุบันคนเริ่มมีการศึกษา หากศาสนาพุทธไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงทางด้านจิตใจเค้าได้แล้ว เค้าก็จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นที่สามารถเป็นที่พึ่งทางจิตใจเค้าได้
การสร้างแต่วัตถุมงคล เปรียบเสมือนกับการใช้บุญเก่าที่มีอยู่แล้ว  ซึ่งเมื่อไม่มีการสร้างบุญเพิ่ม มันก็ย่อมจะหมดไป ดังจะเห็นได้จากวัตถุมงคลที่เมื่อถึงเวลาหนึ่งคนก็เลิกนิยมกันไป เพราะใช้บุญเก่ากันจนหมด
บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
engg
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #25 เมื่อ: 08-05-2007, 00:43 »

ปัจจุบันคนเริ่มมีการศึกษา หากศาสนาพุทธไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงทางด้านจิตใจเค้าได้แล้ว เค้าก็จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นที่สามารถเป็นที่พึ่งทางจิตใจเค้าได้


ถ้าศึกษาจริงจะไม่เขียนแบบนี้ ถ้าศึกษาจริงมีแต่จะเพิ่มฉันทะ ให้ทุกคนได้มีโอกาสพบสิ่งที่วิเศษสุด

ขอให้ไปที่วัดญาณเวศกวันจะพบกับความจริง
บันทึกการเข้า
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: 08-05-2007, 00:55 »

ปัจจุบันคนเริ่มมีการศึกษา หากศาสนาพุทธไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงทางด้านจิตใจเค้าได้แล้ว เค้าก็จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นที่สามารถเป็นที่พึ่งทางจิตใจเค้าได้


ถ้าศึกษาจริงจะไม่เขียนแบบนี้ ถ้าศึกษาจริงมีแต่จะเพิ่มฉันทะ ให้ทุกคนได้มีโอกาสพบสิ่งที่วิเศษสุด

ขอให้ไปที่วัดญาณเวศกวันจะพบกับความจริง

แล้วปัญหาที่วัดธรรมกายสร้างขึ้นมา จะทำให้งมงายหรือค้นพบได้ครับ..

ยังมีวัดอีกมากมาย ที่ทำให้คนหลงทาง นอกนั้นก็กลายเป็นโรงเรียนไปหมดแล้ว..
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: