ผลสะท้อนในการยุบสภา บทเรียนที่ไม่ควรลืม?
ขอบคุณคุณ อุทิศ สุภาพ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวบทเรียนของการยุบสภาเป็นวิวัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่อาจเปรียบเทียบได้กับบทเรียนในการปฏิวัติรัฐประหารของประวัติศาสตร์ชาติไทย
ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 แต่ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยได้ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด เนื่องจากมีการปฏิวัติรัฐประหารเป็นระยะๆ ต่อเนื่องกันมาจนทำให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยเกิดความชะงักงันไม่พัฒนาก้าวหน้าไปได้อย่างสมบูรณ์แบบเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศอังกฤษหรือประเทศอเมริกา ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเกือบอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นแม่แบบมาตรฐานก็ได้ เป็นต้น
จนในที่สุด เมื่อปี พ.ศ.2535 ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และเกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ซึ่งประชาชนชาวไทยทุกคนคงจะพอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ เรียกว่า \"พฤษภาทมิฬ\"
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น สืบเนื่องมาจากกลุ่มประชาชนซึ่งได้รวมตัวกันเรียกร้องและชุมนุมในการต่อต้านผู้มีอำนาจของรัฐที่ใช้อำนาจในการทำการรัฐประหารซึ่งเรียกว่า คณะ ร.ส.ช. โดยผู้มีอำนาจส่วนใหญ่จะเป็นทหารที่พยายามจะสืบทอดการใช้อำนาจของรัฐไปยังทายาททางการเมือง ทำให้ประชาชนลุกฮือกันขับไล่และมีการนองเลือด
จนในที่สุดต้องอาศัยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคลี่คลายสถานการณ์ให้สงบลงได้ โดยผู้มีอำนาจในขณะนั้นต้องยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติคืนอำนาจให้ประชาชน ด้วยการจัดให้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันขึ้น
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ผู้เขียนเคยคิดและเคยสนทนากับเพื่อนๆ และเคยแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า ประเทศไทยจะหยุดยั้งการปฏิวัติรัฐประหารได้ก็ต่อเมื่อ ประชาชนส่วนใหญ่จะต้องไม่ยอมรับในการกระทำของผู้มีอำนาจที่ยึดอำนาจการปกครอง โดยแสดงการคัดค้านหรือประท้วง เพื่อก่อให้เกิดกระแสต่อต้าน และมีผลทำให้การคิดที่จะยึดอำนาจค่อยๆ หมดไป
ซึ่งข้อคิดอันนี้ก็ตรงกับพฤษภาทมิฬที่เกิดขึ้น และเป็นผลสะท้อนให้ผู้มีอำนาจรัฐเกิดข้อคิดและพัฒนาความคิดไม่หวนไปใช้อำนาจแบบสมัยเก่าๆ ที่ผ่านมา อันถือว่าเป็นวิวัฒนาการใหม่ของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยที่ว่างเว้นการปฏิวัติรัฐประหารมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาจจะนับได้ว่านานที่สุดก็ได้
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าบทเรียนของการปฏิวัติรัฐประหารและมีการต่อต้านจากประชาชนครั้งใหญ่นี้ ทำให้ผู้คิดที่จะก่อการยืดอำนาจมีความรอบคอบระมัดระวังขึ้น ไม่หลงระเริงกับอำนาจ และหวั่นเกรงต่อความอยู่รอด รวมทั้งเคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนมากขึ้น
นอกจากนี้ ผู้มีอำนาจโดยเฉพาะทหารยังมีวิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคำนึงถึงการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไว้เหนือสิ่งใด
ทั้งนี้ เนื่องจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ถ้ายึดหลักการและเหตุผลในกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นที่ตั้งแล้ว เชื่อได้ว่าเป็นระบอบที่นำพาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้เร็วและยั่งยืนนานตลอดไป
ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นรูปแบบที่ดีกว่าระบอบการปกครองในรูปแบบอื่นๆ โดยทั่วไปก็ได้
การยุบสภานั้น เป็นกลไกในระบอบประชาธิปไตยอย่างหนึ่งที่มีไว้สำหรับการควบคุม ถ่วงดุล (CHECK AND BALANCE) การใช้อำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร
ซึ่งการยุบสภานั้นเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหาร โดยกำหนดไว้เพื่อโต้ตอบการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งหลักการสำคัญของการยุบสภาตามแนวคิดและทฤษฎีอันถือเป็นหลักสากลนั้น ได้ยอมรับกันว่าสาเหตุหรือปัจจัยที่ควรจะนำมาอ้างในการยุบสภาได้นั้นมีแนวทางอยู่หลายประการด้วยกันคือ
1) มีการขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น ฝ่ายบริหารเสนอร่างกฎหมายสำคัญๆ สู่สภา แต่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่เห็นด้วย และไม่ผ่านร่างกฎหมายที่สำคัญๆ นั้น เช่น ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ หรือร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นต้น
2) มีการขัดแย้งระหว่างสภาสูงกับสภาล่างในการจัดทำกฎหมายสำคัญ
3) มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งยังไม่ทราบว่าประชาชนเห็นด้วยกับฝ่ายที่ขอให้แก้ไขหรือไม่
4) ต้องการเร่งกำหนดเลือกตั้งใหม่ให้เร็วขึ้น ในขณะที่ฝ่ายบริหารกำลังได้รับคะแนนนิยมจากประชาชน
5) สมาชิกสภากำลังจะลงมติหรือเข้าชื่อกันลงมติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล จึงสมควรให้ประชาชนตัดสินปัญหานี้แทนที่จะให้สภาเป็นผู้ตัดสิน
6) เกิดปัญหาไม่อาจตั้งรัฐบาลใหม่ได้ หรือต้องตั้งในรูปรัฐบาลผสมจากหลายพรรคมากเกินไป จึงยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่อีกหน
7) รัฐบาลขาดเสถียรภาพ เช่น พรรคร่วมรัฐบาลหรือผสมมีเสียงแตกกัน เป็นต้น
จากหลักการที่เกี่ยวข้องกับการยุบสภานั้น จะเห็นได้ว่าจะต้องกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หรือกระทำเพื่อให้เกิดการปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเท่านั้น
ฝ่ายบริหารจะนำเหตุหรือปัจจัยอื่นๆ มาเป็นเหตุในการยุบสภานั้นน่าจะไม่ถูกต้องชอบธรรม แต่ตรงกันข้ามน่าจะเป็นเรื่องที่กระทำตามอำเภอใจเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่ได้กำหนดเหตุแห่งการยุบสภาไว้ก็ตาม แต่ผู้นำประเทศหรือรัฐบาลควรจะต้องใช้วิจารณญาณโดยอาศัยเหตุผลที่ชอบธรรมและถูกต้องมาเป็นเหตุผลในการยุบสภา
ไม่ใช่จะอาศัยเหตุผลส่วนตัวของนักการเมืองคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะมาอ้างเท่านั้น
ดังจะเห็นได้จากเหตุผลในพระราชกฤษฎีกาที่เสนอขอยุบสภาโดยอ้างว่าเกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงขึ้นนั้น ทั้งๆ ที่ปัญหาต้นเหตุของความขัดแย้งอยู่ที่ตัวบุคคลเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาโดยส่วนรวมเลยแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าในหลายๆ ประเทศจะมีการปฏิบัติในการยุบสภาเช่นนี้กันมาแล้วก็ตาม แต่ประเทศไทยก็ไม่ควรจะยึดถือตามสิ่งที่ไม่ชอบธรรมมาเป็นตัวอย่าง
เนื่องจากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีอันจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยถอยหลังไม่เดินหน้าไปตามทิศทางที่กำหนดไว้
เพราะการกระทำสิ่งใด ถ้าขาดเหตุผลหรือหลักการที่ชอบธรรมแล้ว ก็ย่อมจะส่งผลให้เกิดความเสียหายหรือเกิดความไม่สงบเรียบร้อยวุ่นวายขึ้นในประเทศ
ดังเช่นในปัจจุบันที่มีการชุมนุมเรียกร้องในสิ่งที่เห็นว่าผู้นำหรือผู้ใช้อำนาจรัฐกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบธรรม ซึ่งทำให้บ้านเมืองได้รับความเสียหายทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ซึ่งในทั้งสามด้านนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หากด้านใดด้านหนึ่งเกิดความปั่นป่วนขึ้นก็จะส่งผลถึงกันและกัน
สำหรับในขณะนี้ การเมืองของประเทศไทยซึ่งนับได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่วิกฤตการณ์ในหลายๆ ด้าน ทั้งที่ระยะเวลาก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว บ้านเมืองก็ยังไม่ค่อยเข้ารูปเข้ารอยสู่ความสงบเรียบร้อยเลย
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเหตุการณ์ในการยุบสภาครั้งนี้ ก็คงจะเป็นบทเรียนของผู้นำฝ่ายรัฐบาลอันเปรียบได้ คล้ายกับการที่ผู้มีอำนาจจะคิดปฏิวัติรัฐประหารมีความยับยั้งชั่งใจได้ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว
ซึ่งการจะใช้อำนาจในการยุบสภานั้นก็มีลักษณะคล้ายกัน จะต้องใช้วิจารณญาณด้วยความระมัดระวัง ชอบด้วยเหตุและผล มิใช่ใช้อำนาจตามความอำเภอใจ ย่อมส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองและประเทศชาติโดยส่วนรวมอย่างใหญ่หลวงได้
ผู้เขียนเห็นว่ามีผลสะท้อนที่เกิดขึ้นในหลายๆ อย่าง เช่น การเลือกตั้งเป็นโมฆะต้องเลือกตั้งใหม่ หรือการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.ไม่ชอบธรรม ไม่มีความเป็นกลาง ต้องถูกพิพากษาให้จำคุก เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้มองเห็นชัดได้ว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทยเลย แต่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่มีนักการเมืองยุคใหม่หรือยุคไอทีหรือไฮเทค (Hi-Tech) ที่ทำให้เกิดขึ้นเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ทั้งที่วิสัยพื้นฐานของคนไทยโดยทั่วไปแล้ว ไม่เคยมีพฤติกรรมเชิงนโยบายที่ซับซ้อนมากเช่นนี้มาก่อน
นอกจากนี้ ผลสะท้อนซึ่งแสดงให้เห็นที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ การยุบสภาเพื่อหลบการตรวจสอบขององค์กรต่างๆ เช่น หลบการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัติในสภา หรือหลบการตรวจสอบของประชาชน 50,000 คน ซึ่งให้วุฒิสมาชิกเป็นผู้พิจารณา โดยมีการชิงยุบสภาเสียก่อน ทำให้วุฒิสมาชิกหมดอำนาจไปโดยปริยายด้วยการอาศัยเทคนิคในการใช้อำนาจทางกฎหมาย เป็นต้น
แต่แล้วการหลบการตรวจสอบก็หนีไม่พ้นในทางตรงกันข้าม กลับต้องมาเจอกับการตรวจสอบของมวลมหาชนหรือพลังนอกระบบรัฐสภา เสมือนหนีเสือปะจระเข้อีก
จึงสะท้อนให้เห็นได้ชัดว่า การกระทำหน้าที่ไม่ชอบธรรม ย่อมไม่สามารถรักษาตัวรอดได้ หรือธรรมย่อมชนะอธรรมนั่นเอง
ดังนั้น บทเรียนของการยุบสภาในครั้งนี้ จึงสะท้อนพฤติกรรมของนักการเมืองและวัฒนธรรมขององค์กรการเมืองในหลายๆ รูปแบบให้เห็นได้อย่างชัดเจน
อันถือได้ว่าเป็นบทเรียนที่เป็นอมตะที่ทุกคนไม่ควรที่จะลืมอันเป็นประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย
จึงใคร่ขอเสนอแนะผู้นำในรัฐบาลที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ขอให้ใช้บทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นอันนี้เป็นข้อพิจารณาที่จะป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ทางด้านการเมืองในประเทศไทยต่อไป
อันจะส่งผลให้วิวัฒนาการในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศไทยมีความก้าวหน้าได้เทียบทันประเทศอื่นๆ ที่ถือว่าเป็นแม่แบบและประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้