8 ประมุขกู้วิกฤตคอลัมน์ โฟกัส รธน. ร้อนระหว่างการยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ
ที่มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธาน มีเรื่องที่เป็นประเด็นร้อนให้สังคมได้พูดถึง
และวิพากษ์วิจารณ์
นั่นคือ การกำหนดให้ประมุข 8 องค์กรมาร่วมประชุมกันเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตของ
ประเทศ
ต้นเรื่องมาจากแนวคิดของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ที่นำเสนอความเห็นแก่ "จรัญ
ภักดีธนากุล" ในฐานะประธานอนุ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ กรอบที่ 2 ว่าด้วย
สถาบันการเมือง ว่า เพื่อให้มีกลไกแก้ปัญหาเมื่อประเทศตกอยู่ในวิกฤต
กลุ่มนักวิชาการนี้เสนอให้ตั้งสภาพิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่อนุ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
กรอบที่ 2 เห็นว่า ไม่ควรตั้งเป็นองค์กรขึ้นมา แต่ให้มีการเรียกประชุมประมุของค์กร
ต่างๆ แทน
จนนำมาสู่การยกร่างในครั้งแรกให้มีประมุของค์กรต่างๆ 7 องค์กรใหญ่คือ
1. นายกรัฐมนตรี
2. ประธานรัฐสภา
3. ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
4. ประธานศาลฎีกา
5. ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
6. ประธานศาลปกครองสูงสุด
7. ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
มาประชุมกันเพื่อพิจารณาหาทางป้องกันหรือแก้ไขปัญหาในกรณีที่ประเทศตกอยู่ใน
ภาวะวิกฤต ภาวะคับขัน หรือเกิดสถานการณ์จำเป็นอย่างยิ่งในทางการเมือง
ในการยกร่างครั้งแรก ฝ่ายเลขานุการได้เขียนไว้ในประเด็นนี้ด้วยว่า
"มติของคณะบุคคลดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยคณะ
บุคคลดังกล่าวและผู้ปฏิบัติตามมติดังกล่าวย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้"
ครั้งนั้นมีการกำหนดไว้เป็น
มาตรา 67ในการประชุมของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้มีมติให้ตัดข้อความที่ให้มติมีผลบังคับใช้
ได้โดยชอบด้วยกฎหมายออก
ที่สุด หลังจาก กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญได้พิจารณากันเป็นที่เรียบร้อย จนออกมาเป็น
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกแล้ว
ได้มีการเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในส่วนที่ 13 สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
มาตรา 68 ว่า
"บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
ในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"
"ในกรณีที่ประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤต เหตุการณ์คับขัน หรือเกิดสถานการณ์จำเป็น
อย่างยิ่งในทางการเมือง ให้มีการประชุมร่วมกันระหว่าง
1. นายกรัฐมนตรี
2. ประธานสภาผู้แทนราษฎร
3. ประธานวุฒิสภา
4. ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
5. ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
6. ประธานศาลฎีกา
7. ประธานศาลปกครองสูงสุด
และ 8. ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
เพื่อพิจารณาหาทางป้องกันหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าว"
คำว่า "วิกฤต" ตามความในมาตรานี้จะหมายความว่าอย่างไรบ้างนั้น
"ปกรณ์ ปรียากร" โฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ บอกว่า ยังไม่มีการระบุกันใน
เจตนารมณ์การร่างรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ
เขาบอกว่า "ยากที่จะบอกว่า คำว่าวิกฤตคืออะไร มีรายรูปแบบ"
"แต่ในมาตรานี้ คำว่า วิกฤตจะหมายถึงเหตุการณ์เป็นวิกฤต ที่แก้โดยวิธีใดๆ ไม่ได้"
"วิกฤตที่ว่าก็คือ วิกฤตทางการเมือง จะเห็นได้จากการกำหนดความในวรรคสองที่ว่า
ในกรณีที่ประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤต เหตุการณ์คับขัน หรือเกิดสถานการณ์จำเป็น
อย่างยิ่งในทางการเมือง"
"การเผชิญหน้ากันทางการเมือง ยากจะบอกว่าใครถูกใครผิด ไม่มีใครยอมใคร หากไม่
ทำอะไรจะนำบ้านเมืองไปสู่กลียุค เคยเกิดขึ้นหลายสมัยแล้ว และทหารจะถือโอกาสนี้
เข้ายึดอำนาจ โดยอ้างว่าจำเป็นต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา"
"หากมองในแง่บวก ที่ผ่านมา คนในสังคมจะมองว่า เวลาบ้านเมืองอยู่ในภาวะจำเป็น
อย่างยิ่งในสังคม ทำไมผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจึงไม่ทำอะไร ผู้ใหญ่ก็บอกว่าไม่มีช่อง เมื่อ
มีมาตรานี้ก็จะใช้ช่องทางนี้"
แต่อย่างไรก็ตาม
ในประเด็นนี้ ก็มีหลายฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่ชัดเจนของคำว่า "วิกฤต" อยู่
รวมถึงความสงสัยในวิธีการจัดการประชุมของ 8 ประมุขที่จะเข้ามากู้วิกฤต
ทั้งความศักดิ์สิทธิ์ของมติว่าจะมีใครปฏิบัติตามหรือไม่
หรือแม้กระทั่งความสงสัยในเรื่องของอำนาจ เช่น หากมีมติให้นายกรัฐมนตรีลาออก
ก็จะเกิดคำถามว่า 8 ประมุขมีอำนาจอะไรมากไปกว่าประชาชนที่ลงคะแนนเลือกคน
ผู้นั้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ดังนั้น เกี่ยวประเด็นร้อนนี้ จึงเป็นหน้าที่ของ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญจะต้องอธิบาย
ให้สาธารณชนเข้าใจให้ได้
เพื่อป้องกันความสับสนและการนำไปขยายผลเพื่อประโยชน์ทางการเมือง...
มติชน วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10632http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pol07200450&day=2007/04/20§ionid=0133จาก 11 ยอดมนุษย์ ในมาตรา 67
http://forum.serithai.net/index.php?topic=12887.0
มาเป็น 8 ประมุข ในมาตรา 68
ยังคงไม่เปลี่ยนวิธีคิดแบบเทวดานิยม